เอสเอพี ประเทศไทย เดินเกมรุกกลยุทธ์ ‘คลาวด์ยืนหนึ่ง’
ชูแนวคิด ‘Intelligent, Sustainable Enterprise’ พร้อมขับเคลื่อนความยั่งยืน
• ตั้งเป้าสร้างอัตราการเติบโตของพอร์ตบริการโซลูชั่นบนระบบคลาวด์เฉลี่ยต่อปีแบบทบต้นสู่ 51% ภายในปี 2568
• พร้อมผนึกกำลังพาร์ทเนอร์กว่า 70 ราย เร่งเปลี่ยนแปลงธุรกิจด้วยระบบคลาวด์ ที่ไม่ใช่เพียงชั่วคราว แต่เพื่อความยั่งยืน
• เดินหน้าเสริมศักยภาพเยาวชน ตลอดจนธุรกิจ SMEs ปรับตัวสู่วิถีดิจิทัลเต็มรูปแบบ
(จากซ้ายไปขวา) กุลวิภา ประดิษฐผลเลิศ ผู้อำนวยการธุรกิจทั่วไป เอสเอพี อินโดไชน่า, เอทูล ทูลิ กรรมการผู้จัดการ เอสเอพี อินโดไชน่า, นพดล เจริญทอง ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจตลาดขนาดกลาง (Mid Market) เอสเอพี อินโดไชน่า
เอสเอพี ประเทศไทย ยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์โซลูชั่นสำหรับองค์กร ประกาศแผนธุรกิจครั้งสำคัญ กับกลยุทธ์ ‘คลาวด์ยืนหนึ่ง’ (Cloud Only Strategy) ตอกย้ำสถานะผู้นำบริการโซลูชั่นคลาวด์ เร่งหนุนองค์กรธุรกิจ ภาครัฐ ปรับกระบวนการทำงาน ยกเครื่องทางดิจิทัลบนระบบคลาวด์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความยืดหยุ่น คล่องตัวแบบไร้รอยต่อ ชี้แนวคิด ‘Intelligent, Sustainable Enterprise’ คือ วิถีใหม่ของการดำเนินธุรกิจ นอกเหนือจากการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาดและสร้างผลกำไร จะต้องตระหนักถึงผลกระทบของสิ่งแวดล้อม สังคมและความยั่งยืนไปพร้อมกัน
โดยผลพวงจากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา เอสเอพี ประเทศไทย มองว่า มี 3 บทเรียนสำคัญที่ภาคธุรกิจ ควรนำเอามาเป็นหลักยึดในการทบทวนกลยุทธ์ รวมถึงเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินงาน เมื่อต้องเผชิญกับภาวะหยุดชะงัก (Disruption) ทางธุรกิจ อันได้แก่ ความยืดหยุ่นในการทำงาน, ความต่อเนื่องทางธุรกิจ และ ความยั่งยืน
สร้างการเติบโตด้วยระบบคลาวด์
หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ประเทศไทยจะอยู่ในยุคทองของการทำ Digital Transformation และโซลูชั่นคลาวด์ คือ คำตอบของการพลิกโฉมธุรกิจ ซึ่งข้อมูลจาก Gartner ได้คาดการณ์การใช้จ่ายด้านโซลูชั่นคลาวด์สาธารณะของผู้ใช้งาน End-user ทั่วโลก ปี 2565 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20.4% คิดเป็น 494.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ มูลค่าใช้จ่ายบริการคลาวด์ของไทยปีนี้ จะเติบโตเพิ่มขึ้น 36.6% คิดเป็นมูลค่า 40.8 พันล้านบาท
ล่าสุด เอสเอพี ได้ประกาศผลประกอบการทั่วโลก ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 โดยธุรกิจคลาวด์ ยังคงมีโมเมนตัมการเติบโตต่อเนื่อง บริการโซลูชั่นบนระบบคลาวด์ของ เอสเอพี มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น ด้วยรายได้สูงขึ้นกว่า 31% และ 25% ณ อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Constant Currencies : CC) สำหรับรายได้ของโซลูชั่นคลาวด์ SAP S/4HANA พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กว่า 78% และ 71% ณ อัตราแลกเปลี่ยนคงที่
เอทูล ทูลิ กรรมการผู้จัดการ เอสเอพี อินโดไชน่า กล่าวว่า “โควิดเป็นตัวเร่งให้ภาคธุรกิจ ตลอดจนภาครัฐ หันมาให้ความสำคัญกับการทำ Digital Transformation และ การใช้งานโซลูชั่นบนระบบคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อปูทางสู่ความยั่งยืน รวมถึงยกระดับการทำงานท่ามกลางความไม่แน่นอน องค์กรธุรกิจจึงจำเป็นต้องมองหาระบบ ERP บนคลาวด์ ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ครอบคลุมการดำเนินธุรกิจแบบ end-to-end สามารถวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และวางแผนรับมือได้ทันท่วงที”
“ปัจจุบัน ธุรกิจยังสามารถย้ายการใช้งานไปยังระบบคลาวด์ได้อย่างง่ายดาย พร้อมความสามารถในการปรับขนาดตามการใช้งาน เพื่อลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ (TCO) สำหรับก้าวต่อไปในการเดินหน้ากลยุทธ์ ‘คลาวด์ยืนหนึ่ง’ (Cloud Only Strategy) นี้ จะผลักดันให้อัตราการเติบโตบริการโซลูชั่นบนระบบคลาวด์เฉลี่ยต่อปีแบบทบต้นของ เอสเอพี ประเทศไทย สู่ 51% ภายในปี 2568” เอทูล กล่าวเสริม
‘ความยั่งยืน’ ตัวแปรสำคัญของธุรกิจยุค Next Normal
ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญเร่งด่วนของประเทศในการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนมากขึ้น พร้อมกันนี้ บริษัทต่างๆ ในประเทศไทยควรปรับกระบวนทัศน์การทำธุรกิจ จาก เศรษฐกิจแบบเส้นตรง (Linear Economy) ซึ่งผลิตของเสียมากกว่า 91% ผ่านการผลิตแบบดั้งเดิม มาเป็นเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยวิธีการที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และลดของเสียให้น้อยที่สุด
กุลวิภา ประดิษฐผลเลิศ ผู้อำนวยการธุรกิจทั่วไป เอสเอพี อินโดไชน่า กล่าวว่า “เอสเอพี มีความเชี่ยวชาญในการใช้ประโยชน์จากเรียลไทม์ดาต้า ผสานเข้ากับเทคโนโลยี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้องค์กรมองไปข้างหน้าและสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตควบคู่ไปกับการพัฒนาความยั่งยืน ที่ผ่านมา เราสนับสนุนลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจค้าปลีก, Healthcare, เคมีภัณฑ์, E-Commerce เป็นต้น ผนวกโซลูชั่นครอบคลุมตั้งแต่งานด้าน Supply Chain, ระบบจัดซื้อ, บริหารทรัพยากรบุคคล ไปจนถึง โซลูชั่นบริหารประสบการณ์ลูกค้า ล่าสุด เอสเอพี ประเทศไทย ยังได้ร่วมมือกับ South City Group เริ่มใช้งานโซลูชั่น RISE with SAP ที่เน้นข้อมูลเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน”
เอสเอพี มุ่งมั่นช่วยให้โลกดำเนินงานได้ดีขึ้นและปรับปรุงชีวิตของผู้คน จึงดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมด้วยแนวทาง “Chasing Zero” ได้แก่ การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์, การสร้างของเสียเป็นศูนย์ และ ผลักดันความไม่เท่าเทียมกันเป็นศูนย์ นอกจากนี้ ยังได้เดินหน้าเสริมศักยภาพเยาวชน ผ่านโครงการมากมาย ทั้งการร่วมกับมูลนิธิอาเซียน จัดการแข่งขัน ASEAN Data Science Explorers ติดอาวุธทางดิจิทัลและทักษะที่จำเป็น ให้แก่เยาวชนในอาเซียนมากกว่า 32,000 คน รวมถึง โครงการ SAP University Alliances นำโซลูชั่นของ เอสเอพี ไปใช้ในหลักสูตรผ่านเครือข่ายสถาบันการศึกษามากกว่า 80 แห่งทั่วอาเซียน
มุ่งสู่อนาคตด้วยนวัตกรรม
การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านคลาวด์เทคโนโลยีนั้น ถือเป็นพันธกิจสำคัญของ เอสเอพี ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนทางธุรกิจ ตลอดจนความต้องการของลูกค้า ก่อนหน้านี้ กลุ่มธุรกิจ Mid Market และ SMEs อาจมีข้อเสียเปรียบในการเข้าถึงระบบเทคโนโลยีได้น้อยกว่าองค์กรขนาดใหญ่ และเผชิญความท้าทายด้านความผันผวนของแรงงาน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโซลูชั่นคลาวด์ของ เอสเอพี มีส่วนเปิดกว้างให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่าเทียมองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยทางเลือกบริการแบบ Subscription และการลงทุนที่น้อยกว่า
จากผลการศึกษาล่าสุดของ เอสเอพี ในหัวข้อ “Transformational Talent: The impact of the Great Resignation on Digital Transformation in APJ’s SMEs” เจาะลึก SMEs ไทย พบ 68% มองว่าพาร์ทเนอร์ทางเทคโนโลยีที่สามารถช่วยในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้นั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต โดย 66% ของ SMEs ไทย ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นดำเนินงานกับพาร์ทเนอร์ทางเทคโนโลยีได้อย่างไร
การศึกษานี้เผยให้เห็นว่า กลุ่มพนักงาน และเทคโนโลยี จะกลายเป็นหัวใจหลักขับเคลื่อน SMEs นอกเหนือไปจากความยืดหยุ่นในการทำงาน การปรับตัวทางดิจิทัลจะทำให้ SMEs สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ดำเนินงานได้ฉับไว เมื่อวางกลยุทธ์ที่ใช่ ผสาน Mindset ที่เปิดกว้าง และ เลือกพันธมิตรทางธุรกิจรวมถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะช่วยให้ SMEs ไทย เดินหน้าต่อไปได้
นพดล เจริญทอง ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจตลาดขนาดกลาง (Mid Market) เอสเอพี อินโดไชน่า กล่าวว่า “เรามีพาร์ทเนอร์ทางเทคโนโลยีมากกว่า 70 รายที่คอยให้คำแนะนำและช่วยในการดำเนินงานตลอดจนติดตั้งระบบของ เอสเอพี ที่สำคัญลูกค้ากว่า 80% ของ เอสเอพี ทั่วโลกเป็นกลุ่ม SMEs แน่นอนว่า ในประเทศไทย เราได้ดำเนินงานช่วยเหลือลูกค้ากลุ่ม SMEs ให้เริ่มต้นเส้นทางการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลสู่การเป็น Intelligent, Sustainable Enterprise อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างระบบหลังบ้านที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”
RISE with SAP โซลูชั่นคลาวด์ที่ครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจแบบองค์รวม สามารถปรับขนาด ยืดหยุ่นตามความต้องการและรูปแบบธุรกิจของลูกค้า นอกจากนี้ โซลูชั่น SAP Cloud for Sustainable Enterprises เป็นโซลูชั่นที่สามารถช่วยบริษัทต่างๆ ในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมด้วย การวิเคราะห์จากข้อมูลเชิงลึก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านความยั่งยืน
A5060
WELOVEBOOKING ขานรับร่วมโครงการ LiVE Business Matching
ผนึกกำลัง LiVE Platform และ AIS เสนอนวัตกรรมระบบจองนัดหมาย AMS ติดปีกธุรกิจ SMEs
แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลสัญชาติไทยที่มีความเชี่ยวชาญทาง ด้าน Digital Transformation ภายใต้แบรนด์ WELOVEBOOKING ขานรับเข้าร่วมโครงการ LiVE Business Matching ที่ถูกจัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์ LiVE Platform และ AIS โครงการที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อมุ่งเน้นสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจและการเตรียมความพร้อมในการระดมทุนของ SMEs และ Startups เพิ่มความแข็งแกร่งของทุกอุตสาหกรรมและยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของทุกภาคส่วน โดย WELOVEBOOKING ผู้นำด้านเทคโนโลยี BOOKING SYSTEM ได้นำเสนอนวัตกรรมสำหรับธุรกิจบริการสมัยใหม่ ระบบ AMS (Appointment Management System) หรือ ระบบบริหารจองนัดหมายอัจฉริยะเข้าร่วมโครงการ โดยระบบสามารถจัดการเวลาในการเข้ารับบริการ ลดปัญหาความแออัด ลูกค้าจอง Online อัตโนมัติได้ตลอด 24 ชั่วโมง วิเคราะห์และรายงานผลด้วยระบบแดชบอร์ด แบบ Realtime เก็บประวัติการนัดหมายไว้บน LINE OA ครอบคลุมทุกสถานะ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านงานบริการ เพิ่มยอดขายแบบก้าวกระโดด สร้างอาวุธติดปีกให้เจ้าของธุรกิจเหนือคู่แข่งสร้างรายได้แบบยั่งยืน
นายวิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าว “เราในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลแพลตฟอร์ม และระบบไอทีโซลูชั่น ภายใต้แบรนด์ WELOVEBOOKING ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation และได้นำ Digital Technology เข้ามาช่วยปรับใช้กับทุกภาคส่วนของธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ สร้างโอกาสทางธุรกิจยุค New Normal ไม่ให้ผู้ประกอบการ โดน Digital Disruption ท่ามกลางยุคของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จำนวนผู้ใช้งาน online เติบโตสูงขึ้น โดยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มุ่งเน้นไปทาง Digital Platform มากขึ้น เจ้าของธุรกิจหลายแห่งเร่งปรับตัวเพิ่มช่องทางการขายและให้บริการจากออฟไลน์สู่ออนไลน์มากขึ้น ทำให้เกิดการกระตุ้นให้องค์กรต่างๆ มีความต้องการพัฒนาทางด้าน Digital Technology โดยการนำ Digital Connectivity ซึ่งเป็นการออกแบบเชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียว ทั้งรูปแบบ One Site และ Online มาใช้กับธุรกิจ
โดย WELOVEBOOKING ได้พัฒนาออกแบบนวัตกรรมบริการระบบบริหารจัดการ การจองและการนัดหมาย หรือ ระบบ AMS (Appointment Management System) และนำระบบเสนอต่อโครงการ LiVE Business Matching เพื่อก้าวสู่การเป็น Digital Partnership กับตลาดหลักทรัพย์ LiVE Platform และ AIS โดยระบบนี้สามารถใช้งานร่วมกับช่องทางโซเชียลมีเดียยอดฮิต อย่าง LINE OFFICIAL ACCOUNT ซึ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทได้เสริมความแข็งแกร่งโดยการเข้าร่วมเป็น Developer Partner กับ LINE ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ จึงนับเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาแพลตฟอร์ม บนช่องทาง Social Commerce เพิ่มโอกาสในการให้บริการด้านการพัฒนา IT Solution แก่องค์กรต่างๆ ได้มากขึ้น บริษัทจึงมุ่งเน้นพัฒนาระบบ AMS ซึ่งจะเป็นเครื่องมือตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบัน เพื่อลดปัญหาความแออัด และการรอเวลาในการเข้ารับบริการ สำหรับลูกค้าของเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการ ช่วยลดความผิดพลาดในด้านการปฏิบัติงาน รวมถึงการบริหารจัดการเวลา โดยถือเป็นรูปแบบการพัฒนาที่ตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุดสำหรับการดำเนินธุรกิจในยุคสถานการณ์โรคระบาด Covid-19
โดยระบบ AMS สามารถใช้งานร่วมกับช่องทางที่หลายคนคุ้นชินอย่าง SSF (Self Service Kiosk) เพื่อให้บริการ ณ สถานที่บริการต่างๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงเรียน ศูนย์ราชการ ศูนย์บริการประชาชนต่างๆ ร้านค้า เป็นต้น โดยระบบสามารถเชื่อมโยงการทำธุรกรรมบริการทุกช่องทางแบบหนึ่งเดียว และสามารถบริหารจัดการผ่านระบบหลังบ้าน ติดตามสถานะการทำรายการ ตลอดจนการวิเคราะห์ผ่านระบบแดชบอร์ด ได้ตั้งแต่ การลงทะเบียน การนัดหมาย การยืนยันตัวตน ณ สถานที่บริการ ตามการออกแบบ Customer Jouney เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าในการเข้ารับให้บริการ
ระบบ AMS พัฒนาบนระบบคลาวด์เทคโนโลยีระดับโลกที่มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูง อีกทั้งยังสามารถทำงานร่วมกันกับบริการอื่นๆ แบบไร้รอยต่อ ทั้งระบบ TMS (Ticketing Management System) และระบบ CRM (Customer Relation Management) ที่ WELOVEBOOKING ได้ออกแบบและพัฒนา ได้แก่ ระบบการจองจำหน่ายตั๋วออนไลน์ e-Booking, ระบบการจำหน่ายคูปองออนไลน์ e-Voucher, ระบบสมาชิกออนไลน์ e-Member, ระบบใช้จ่ายแทนเงินสด e-Cashcard, CRM พร้อมฟีเจอร์การใช้งาน ที่ครอบคลุมการบริหารจัดการ ในหลากหลายประเภทธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวสันทนาการ เช่น พิพิธภัณฑ์ งานอีเว้นท์ โรงละคร คอนเสิร์ต การแสดง กีฬา กลุ่มธุรกิจการเดินทาง เช่น ตั๋วรถ ตั๋วเรือ รวมไปถึงธุรกิจ SME อื่นๆ เช่น โรงแรม ที่พัก คลินิก โรงพยาบาล สปา ร้านอาหาร ฯลฯ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสะดวก และส่งมอบความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ยกระดับการบริการ พร้อมติดอาวุธ ให้ธุรกิจขนาด SMEs ได้มีระบบที่สามารถบริหารจัดการงานได้แบบอัตโนมัติ ตลอด 24 ชม.”
A5059
ADTE by ETDA ปลื้มหลักสูตร Digital ID คนเรียนแน่น
พร้อมลุยต่อหลักสูตร Digital Transformation สมัครด่วน! ก่อนปิดรับ 6 พ.ค.นี้
สถาบัน ADTE by ETDA (เอ็ดเต้ บาย เอ็ตด้า) หรือ Academy of Digital Transformation by ETDA ภายใต้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (Electronic Transactions Development Agency) เผยหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน แห่อัพสกิลความรู้กับหลักสูตร Digital ID แน่น หวังเตรียมพร้อมปรับองค์กรสู่ดิจิทัล พร้อมลุยต่อหลักสูตร Digital Transformation ที่จะสร้างให้คนไทยแตกต่าง พร้อมรองรับโลกอนาคต เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ถึง 6 พ.ค.นี้
นายชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA เปิดเผยว่า การยกระดับการทำงานและการทำธุรกิจ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลให้พร้อมกับการแข่งขันในโลกยุคใหม่ ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ ETDA เร่งดำเนินการและทำงานเชิงรุกมาอย่างต่อเนื่อง อย่างการจัดโครงการ ETDA Launchpad ที่จะมุ่งถ่ายทอดความรู้ให้กลุ่มผู้ประกอบการ e-Commerce, SMEs, พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต่างๆ ได้มีทักษะ How to และ e-Tool ไปช่วยต่อยอดยกระดับธุรกิจ พร้อมๆ กับการร่วมพัฒนานวัตกรรมของ Service Provider หรือ ผู้ให้บริการภาคเอกชน ได้มีพื้นที่ในการ Showcase สร้างระบบนิเวศน์ของการจับคู่ทางธุรกิจเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต พร้อมๆ กับการเสริมความรู้ พัฒนาทักษะด้านดิจิทัล ผ่านหลักสูตรสถาบัน ADTE ที่พัฒนาหลักสูตรดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับคนไทย ชุด “ADVANCE YOUR DIGITAL WORKFORCE ก้าวข้ามขีดจำกัดของธุรกิจ ในยุคดิจิทัล ที่คุณออกแบบได้” ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ถูกพัฒนาขึ้นจากประสบการณ์ตรงของผู้เชี่ยวชาญจาก ETDA ที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของไทย โดยที่ผ่านมาได้เปิดอบรมไปแล้ว 2 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตร Electronic Signature และที่เพิ่งจบไปคือหลักสูตร Digital ID ที่เปิดอบรมระหว่างวันที่ 20 - 22 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา โดยทั้ง 2 หลักสูตรนี้ ได้รับการตอบรับจากบุคลากร พนักงาน จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้บริหาร ผู้ประกอบการ SMEs สมัครเรียนเต็มทุกที่นั่ง โดยผู้ที่ผ่านการอบรมจากสถาบัน ADTE ไม่เพียงได้รับความรู้ที่เริ่มตั้งแต่การปูพื้นฐานในหัวข้อตามหลักสูตรนั้นๆ เท่านั้น แต่ยังจะได้เข้าใจในมุมของกฎหมาย มาตรฐานดิจิทัลที่เกี่ยวข้อง จากผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมผลักดันโดยตรงและที่สำคัญยังจะได้กระบวนการ กลยุทธ์ในการนำไปใช้งานและการเลือกเครื่องมือเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะเข้ามาช่วยยกระดับการทำงานและการทำธุรกิจให้พร้อมกับโลกอนาคตด้วย
ทั้งนี้ เพื่อให้คนไทยเปลี่ยนผ่านการทำงานสู่ดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ADTE จึงต่อยอดสู่หลักสูตร Digital Transformation เพื่อสร้างองค์กรและคุณให้แตกต่างด้วยเนื้อหาหลักสูตรที่อัดแน่นด้วย Digital Knowledge และ Digital Process จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Electronic Document Transformation สู่การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็น e-Office เต็มตัว โดยเริ่มจากเรื่องของการทำเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึง Smart Digital Law and Standard การปูพื้นฐานให้คุณเข้าใจกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นในมุมของ e-Document, e-Signature, Digital ID ที่ช่วยเสริมเพิ่มความเชื่อมั่นการทำงานในรูปแบบ Online working และ Smart Digital Service รู้จักเครื่องมือในการ Transform องค์กรได้อย่างมืออาชีพ เพื่อให้ผู้เรียนได้เดินหน้า Smooth & Smart ด้วยกระบวนการทำงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีผลทางกฎหมาย ที่สำคัญหลังเรียนจบทุกคนได้รับใบรับรอง (Certificate) การันตีความสามารถด้านดิจิทัล สู่การสร้างความได้เปรียบในการทำงานและการทำธุรกิจบนโลกยุคใหม่
โดยหลักสูตร Digital Transformation จะเปิดอบรมในวันที่ 10 – 12 พฤษภาคม 2565 (3 วัน 12 ชั่วโมง) 2 วันแรกจะเป็นการอบรมในรูปแบบ Online เจาะลึกทฤษฎี รู้ลึก รู้จริงกับผู้เชี่ยวชาญ ก่อนต่อด้วยการอบรม ในรูปแบบ Onsite Workshop ทดลองฝึกปฏิบัติ ต่อยอดสู่การใช้งานจริงในวันสุดท้าย ดังนั้น ใครที่ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้ สมัครได้ตั้งแต่วันนี้-วันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่ลิงก์ https://forms.gle/KfhPcoDNxS6WkYzF7 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ เพจ ADTE by ETDA หรือโทร 02-123-1235
A5058
NTT DATA เปิดเทรนด์ใหม่บล็อกเชน เชื่อมต่อข้าม Ecosystem
มุ่งสู่โลกไร้ศูนย์กลางสมบูรณ์แบบ พร้อมส่งแพลตฟอร์ม TradeWaltz ลงตลาด
บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้เครือบริษัท เอ็นทีที เดต้า คอร์ปอเรชัน จำกัด ผู้นำด้านธุรกิจดิจิทัลและบริการด้านไอทีชั้นนำระดับโลก เผยเทคโนโลยีบล็อกเชน เมกะเทรนด์ทรงศักยภาพ เป็นกุญแจเชื่อมโลกที่สำคัญ ไม่จำกัดเฉพาะอุตสาหกรรมการเงิน แต่จะกระจายออกไปเป็นกระดูกสันหลังใหม่ของทุกอุตสาหกรรม ทั้งประกัน อุตสาหกรรมยานยนต์ โลจิสติกส์ การแพทย์ การแลกเปลี่ยนสกุลเงินข้ามประเทศ จับตาการสร้าง Ecosystem บนบล็อคเชนเพื่อเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างอุตสาหกรรม ต่อยอดและเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น เปิดเคสตัวอย่าง ค่ายผลิตยานยนต์สัญชาติเยอรมันและผู้ประกอบการโลจิสติกส์ระดับโลกร่วมสร้างบล็อกเชน เพื่อพัฒนาการทำงานร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใส ทั้งยังชูแพลตฟอร์ม TradeWaltz เชื่อมโยงบล็อกเชนรับเทรนด์ใหม่เพื่อธุรกิจการค้าแบบไร้รอยต่อ
นายฮิโรนาริ โทมิโอกะ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีบล็อกเชนได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เสมือนเป็นกระดูกหลังใหม่ของโลก ด้วยคุณสมบัติเชื่อมโยงข้อมูลได้แบบไร้ศูนย์กลาง มีความโปร่งใส เนื่องจากเก็บข้อมูลโดยการเชื่อมต่อทุกระบบการทำงาน และระบบความปลอดภัยด้วยการจำกัดสิทธิ์ผู้เข้าถึงข้อมูล ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตามความเหมาะสม ส่งผลให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยสูง ช่วยลดการจัดทำรายงานแบบ manual และลดระยะเวลาการทำงาน โดยที่ผ่านมาจะเห็นภาพที่ชัดเจนในมิติของการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง หรือ DeFi (Decentralize Finance) เพื่อตัด “ตัวกลาง” โดยใช้บล็อกเชนพร้อมกับสัญญาอัจฉริยะ (Smart contact) ในการทำธุรกรรมเป็นหลัก เช่น การทำธุรกรรมฝาก-โอน-ถอน ซื้อประกัน ซื้อกองทุน การแลกเปลี่ยนเงินตรา ทั้งในและต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย นำมาซึ่งค่าทำเนียมต้นทุนธุรกรรมที่ต่ำลง มีความสะดวกรวดเร็วในการใช้บริการในมุมของผู้บริโภค ในขณะที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการเงินสามารถลดต้นทุน สร้างประสบการณ์ที่ด้านบริการแก่ผู้ใช้บริการมายิ่งขึ้น
นอกจากโลกการเงิน เทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังแทรกซึมเข้าไปมีบทบาทสำคัญในทุกอุตสาหกรรม จากรายงานของ NelsonHall ระบุว่าในตลาดทั่วโลกมีมูลค่าบริการบล็อกเชนอยู่ที่ 496 ล้านดอลลาร์ในปี 2020 และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 53.3% ไปจนถึงปี 2025 ซึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดใน 5 ปีข้างหน้า โดยกลุ่มธนาคารและการเงิน โทรคมนาคมและสื่อ และภาครัฐ จะเติบโตมากที่สุด ซึ่งกลุ่มธนาคารและการเงินจะเป็นภาคส่วนที่ใช้บริการบล็อกเชนมากที่สุด เนื่องจากมีการพัฒนาบริการใหม่ๆ เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลเพื่อรองรับความต้องการของตลาด รวมถึงการยืนยันตัวตน การออกเอกสารแบบเรียลไทม์ผ่านระบบดิจิทัล จะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีบล็อกเชน
“NTT DATA มองว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจพัฒนาได้ในทุกมิติ โดยจะเข้าไปมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการแพทย์ การศึกษา หน่วยงานภาครัฐ องค์กรเพื่อสังคม ประกันภัย อุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะการช่วยพัฒนากระบวนการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานแบบ manual รูปแบบเดิม เพิ่มความโปร่งใสในทุกขั้นตอนการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลการทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นตลอดระบบซัพพลาย เพื่อส่งเสริมกระบวนการทำงานร่วมกัน ซึ่งแม้ในปัจจุบันบล็อกเชนส่วนใหญ่จะถูกใช้เฉพาะในอุตสาหกรรมการเงิน โดยที่ผ่านมา NTT DATA ได้ร่วมพัฒนาสร้างระบบ ecosystem บนบล็อกเชนเพื่อเชื่อมโยงระบบการทำงานระหว่างบริษัทผลิตและพัฒนายานยนต์รายใหญ่ของประเทศเยอรมนี เข้ากับระบบการทำงานของบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำระดับโลก เพื่อพัฒนาระบบซัพลายเชนตั้งแต่กระบวนการก่อนการผลิตจนถึงการจัดส่งชิ้นส่วนอะไหล่ไปยังตัวแทนจำหน่ายตามความต้องการ โดยพัฒนาบล็อคเชนเพื่อสร้างจุดเชื่อมต่อการทำงานแบบอัตโนมัติ ครอบคลุมการทำงานระบบซัพพลายเชนได้ 17 ประเทศทั่วโลก สามารถจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล และตรวจสอบผ่านแดชบอร์ดได้แบบเรียลไทม์ นับตั้งแต่เวลาสั่งซื้อไปตลอดจนถึงการส่งมอบในขั้นสุดท้าย ทำให้ช่วยลดระยะเวลาการทำงาน นับเป็นอีกก้าวที่สำคัญของวงการบล็อกเชน” นายฮิโรนาริ
นายฮิโรนาริ กล่าวทิ้งท้ายว่า NTT DATA เชื่อมั่นในศักยภาพของบล็อกเชนที่สามารถต่อยอดได้ในอนาคต ด้วยการเชื่อมต่อหลายบล็อกเชนที่แม้จะอยู่คนละ ecosystem เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการต่อยอดทางธุรกิจระหว่างกันได้ง่ายและทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยได้พัฒนาแพลตฟอร์มการแบ่งปันข้อมูลทางการค้าระหว่างประเทศ TradeWaltz (เทรด-วอลซ์) ที่สร้างขึ้นโดยอาศัยข้อมูลที่ได้รับจากกลุ่มบริษัท (Consortium) ในหลายอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันระบบการค้าระหว่างประเทศทั่วโลกสู่ระบบดิจิทัล โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการจัดทำเอกสารทางการค้าบนระบบดิจิทัลและทำให้มั่นใจว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้นครบถ้วนถูกต้อง แพลตฟอร์มนี้สามารถรับประกันความถูกต้องของเอกสารดิจิทัลและการถ่ายโอนสิทธิ์ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน ช่วยแชร์ข้อมูลแบบเรียลไทม์และการอัพเดตสถานะด้วยระบบการจัดการกระบวนการทางธุรกิจ ทั้งยังลดความเสี่ยงของการสูญหาย ถูกขโมย และการปลอมแปลงเอกสาร คุณสมบัติโดดเด่นของแพลตฟอร์มนี้คือการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันต่อเจ้าของข้อมูล ส่งเสริมให้เกิดการใช้ข้อมูลอย่างครอบคลุมในหลากหลายธุรกิจและไม่จำกัดเขตแดน สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศให้ดำเนินธุรกิจที่ลื่นไหลบนโลกธุรกิจยุคดิจิทัล และในฐานะผู้นำธุรกิจดิจิทัลระดับโลก NTT DATA สามารถให้บริการสร้าง ecosystem ของ บล็อกเชน ได้แบบ end-to-end นับตั้งแต่ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การออกแบบระบบ และการพัฒนาระบบด้วยการบูรณาการ (Integrate) ระบบจากหลายบริษัทที่อยู่ภายใต้บล็อกเชนด้วยการเชื่อมต่อผ่าน API ตลอดจนการบำรุงรักษาระบบ เพื่อสร้างมูลค่า และคุณค่าให้กับบริษัท
A4728
รายงานฉบับใหม่จาก Unit 42 ของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ เผย ทั่วโลกทุบสถิติการจ่ายค่าไถ่ให้มัลแวร์ในปี 2564 เพราะข้อมูลรั่วเข้าตลาดมืดเพิ่มขึ้น
● การเรียกค่าไถ่มีมูลค่าโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 144% คิดเป็น 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
● การจ่ายค่าไถ่มีมูลค่าโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 78% คิดเป็น 541,010 ดอลลาร์สหรัฐ
● ประเทศไทยโดนมัลแวร์เรียกค่าไถ่โจมตีติดอับดับ 6 ในเอเชียแปซิฟิคและญี่ปุ่น
● จำนวนการโพสต์ข้อมูลสำคัญรั่วไหลในตลาดมืดเพิ่มขึ้น 85%
การจ่ายค่าไถ่ให้มัลแวร์ทุบสถิติใหม่ในปี 2564 เนื่องจากอาชญากรไซเบอร์หันไปพึ่งพาตลาดมืดอย่าง “เว็บไซต์รวมข้อมูลรั่ว”มากขึ้น เพื่อกดดันเหยื่อให้จ่ายค่าไถ่โดยข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ข้อมูลสำคัญ อ้างอิงตามงานวิจัยที่เผยแพร่ในวันนี้จาก Unit 42 ของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ (NASDAQ: PANW) ผู้นำด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก
จากรายงานภัยคุกคามมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ประจำปี 2565 จาก Unit 42 มูลค่าเฉลี่ยของการเรียกค่าไถ่ซึ่ง Unit 42 จากพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ดูแลในฐานะที่ปรึกษาด้านระบบรักษาความปลอดภัย มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 144% ในปี 2564 แตะระดับ 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 72.6 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการจ่ายค่าไถ่เพิ่มขึ้น 78% แตะระดับ 541,010 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 17.85 ล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ บริการระดับมืออาชีพและกฎหมาย การก่อสร้าง การค้าส่งและค้าปลีก เฮลท์แคร์ และโรงงานอุตสาหกรรม
เจน มิลเลอร์-ออสบอร์น รองผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองด้านภัยคุกคามของ Unit 42 กล่าวว่า “ในปี 2564 การโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่สร้างความก่อกวนต่อกิจวัตรประจำวันของผู้คนทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหาของกินของใช้ การเติมน้ำมัน การโทรสายด่วนกรณีฉุกเฉิน หรือแม้แต่การขอความช่วยเหลือทางการแพทย์”
การโจมตีส่วนใหญ่เกิดจากกลุ่มมัลแวร์เรียกค่าไถ่ที่ชื่อ Conti ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ มากกว่า 1 ใน 5 ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่าง REvil หรือที่รู้จักกันในชื่อ Sodinokibi ที่ 7.1% และกลุ่ม Helloy Kitty และ Phobos (กลุ่มละ 4.8%) สำหรับประเทศไทย มัลแวร์ Lockbit 2.0 เป็นกลุ่มที่พบมากที่สุด คือ 9 ตัวจากทั้งหมด 13 ตัว
จำนวนเหยื่อที่โดนโพสต์ข้อมูลสำคัญบนเว็บไซต์เพิ่มขึ้น 85% ในปี 2564 คิดเป็น 2,566 องค์กร อ้างอิงข้อมูลการวิเคราะห์จาก Unit 42 โดยเหยื่อราว 60% อยู่ในอเมริกา, 31% อยู่ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และ 9% อยู่ในเอเชียแปซิฟิก สำหรับในไทย กรุงเทพเป็นเมืองที่โดนโจมตีสูงสุด โดยกลุ่มที่โดนโจมตีมากที่สุด คือ ภาคบริการเชิงพาณิชย์และบริการมือชีพ ตามด้วยภาคซอฟต์แวร์และบริการ และกลุ่มรถยนต์และชิ้นส่วนประกอบ
สำหรับบทวิจารณ์ บทวิเคราะห์ และรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแยกตามกลุ่มภูมิภาค อุตสาหกรรม และมัลแวร์เรียกค่าไถ่ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในรายงานซึ่งดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ และยังมีรายละเอียดสรุปเนื้อหาในรายงานอยู่ในบล็อกของ Unit 42 ด้วย
A4502
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด