KBTG จัดหลักสูตร Cyber Security Bootcamp พร้อมเปิดโอกาสร่วมงานกับองค์กรชั้นนำ
KBTG เปิดตัวหลักสูตร Cyber Security Bootcamp ภายใต้โครงการ Tech Kampus ClassNest พัฒนาบุคลากรด้านไอที นักศึกษาจบใหม่ หรือผู้ที่สนใจอยากย้ายสายงานมาทำด้าน Cyber Security พร้อมเปิดโอกาสร่วมงานกับองค์กรชั้นนำ ตอกย้ำความตั้งใจของ KBTG ที่อยากส่งเสริมคุณภาพการศึกษาทางด้านเทคโนโลยีในไทยและสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ที่เปี่ยมศักยภาพ
นายชัชวัฒน์ อัศวรักวงศ์ Chief Information Security Officer บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เปิดเผยว่า Cyber Security ถือเป็นทักษะที่ขาดแคลนอย่างมากในประเทศไทยและทั่วโลก จึงเป็นที่มาของการจัดหลักสูตร Cyber Security Bootcamp ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ 2 ภายใต้โครงการ Tech Kampus ClassNest เหมาะสำหรับนักศึกษาจบใหม่ และบุคลากรสายไอทีที่ต้องการรีสกิลเพื่อเปลี่ยนสายงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลระบบเครือข่าย นักพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือสายงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการนี้จะได้เรียนรู้และอัพสกิลกันอย่างเข้มข้นจากหลักสูตรออนไลน์ที่ทาง KBTG ได้คัดสรรมา รวมถึงมีแบบฝึกหัดให้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีทีมงานด้าน Cyber Security ของ KBTG ผู้มากประสบการณ์มาช่วยให้คำแนะนำและดูแลผู้เรียนแบบใกล้ชิดตลอด 3 เดือน เมื่อเรียนจบแล้ว จะได้รับความรู้ทั้งด้านการโจมตีระบบ (Offensive) ด้านการป้องกันและการตรวจจับการโจมตี (Defensive) รวมถึงการดูแลระบบที่ช่วยสนับสนุนงานด้าน Cyber Security เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเริ่มต้นทำงานด้าน Cyber Security ในบริษัทชั้นนำของประเทศไทยได้
โดย KBTG พร้อมแจกทุนการศึกษาให้แก่ผู้ที่สนใจ จากคอร์สราคา 25,000 บาท เหลือเพียง 5,000 บาท สำหรับ 50 ที่นั่งเท่านั้น ทั้งนี้ผู้สมัครต้องมีความรู้ไอทีติดตัว และจะต้องผ่านข้อสอบ Pre-Test เพื่อวัดพื้นฐานด้าน System, Network, Development และ Cyber Security จึงจะได้รับสิทธิ์เข้าเรียน นอกจากนี้ยังเสริมด้วย Onsite Workshop ที่นอกจากจะได้ลงมือทำจริงแล้ว ยังได้พูดคุยและปรึกษากับโค้ชส่วนตัวจากทีม KBTG อย่างใกล้ชิด รวมถึงกิจกรรมสุดพิเศษที่ได้เตรียมไว้ให้กับผู้ที่เข้าอบรมแบบสุด Exclusive ก่อนจะจบ Bootcamp ด้วยการทำ Post-Test เพื่อวัดระดับทักษะหลังเรียน
นอกจากจะช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาแล้ว เมื่อเรียนจบหลักสูตร ผู้เรียนที่ผ่านเงื่อนไขของการอบรมจะได้รับเชิญให้เข้าสัมภาษณ์รอบสุดท้ายเพื่อเข้าทำงานที่ KBTG และหากสามารถบรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำและผ่านการทดลองงาน ก็จะได้รับเงินคืน 5,000 บาท ถือเป็นการอัพสกิลแบบฟรีๆ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ - 24 มิถุนายน 2565 และ จะเริ่มเรียนตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2565 สามารถดูรายละเอียดและเกณฑ์การสมัครได้ที่ https://www.techkampus.tech
Tech Kampus ClassNest เป็นโครงการภายใต้ Tech Kampus ที่จัดขึ้นโดย KBTG มีวัตถุประสงค์เพื่อบ่มเพาะทักษะให้แก่ผู้ที่ต้องการพัฒนาศักยภาพด้านไอที รวมถึงตอบสนองตลาดแรงงานด้านเทคของไทย โดยจัดทำคอร์สสอนทักษะด้านเทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงและเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรม ออกแบบหลักสูตรและถ่ายทอดโดยผู้เชี่ยวชาญจาก KBTG และบุคลากรชั้นนำในสายต่างๆ โดยหลักสูตร Cyber Security นี้จะมาช่วยเสริมกำลังในการรีสกิลและอัพสกิล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพด้านไอทีและตลาดแรงงาน Tech Skill ให้กับประเทศไทย ตอกย้ำความตั้งใจของ KBTG ที่มุ่งมั่นส่งเสริมคุณภาพการศึกษาและสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพให้แก่วงการเทคโนโลยีไทย
A6130
พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ เรียกร้องอุตสาหกรรมระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์
เร่งติดตั้งใช้งาน ZTNA 2.0 – Zero Trust with Zero Exceptions
จากโซลูชัน ZTNA รุ่นแรกยังมีข้อบกพร่องด้านการปกป้องความปลอดภัยอีกหลายส่วน อาจทำให้องค์กรตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงอันตราย
พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ (NASDAQ: PANW) ผู้นำระดับโลกด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ได้กระตุ้นเตือนทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมให้เข้าสู่ Zero Trust Network Access 2.0 (ZTNA 2.0) ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ของการเข้าถึงระบบอย่างปลอดภัย โดย ZTNA ได้พัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนเครือข่ายส่วนตัวแบบเสมือน (VPN) เหตุเพราะไม่สามารถขยายขอบเขตบริการได้เพียงพอและยังให้สิทธิ์ที่มากเกินจำเป็น บวกกับผลิตภัณฑ์ ZTNA 1.0 ยังมีความไว้วางใจมากเกินไป ส่งผลให้ผู้ใช้งานเกิดความเสี่ยงในท้ายที่สุด ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ถูกแก้ไขใน ZTNA 2.0 โดยได้ยกเลิกการตั้งค่าความไว้วางใจโดยปริยายเพื่อให้มั่นใจได้ว่าองค์กร จะมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเพียงพอ
“นี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ เพราะเราอยู่ในยุคที่เกิดการโจมตีทางไซเบอร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และสองปีที่ผ่านมา รูปแบบการทำงานก็เปลี่ยนไปอย่างมาก หลายคนทำงานได้จากหลายสถานที่ ส่งผลให้การปกป้องพนักงานและแอปพลิเคชันขององค์กรที่ต้องใช้กลายเป็นเรื่องที่ยากและสำคัญยิ่งขึ้น” เนอร์ ซุค ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ กล่าว “Zero trust หรือการไม่วางใจในส่วนใดเลยถือเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับ และจัดเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุด แต่อย่างไรก็ดีไม่ใช่เพียงแค่มีชื่อ Zero trust แล้วทุกโซลูชันจะสามารถไว้วางใจได้ ตัวอย่างเช่น ZTNA 1.0 ที่ยังมีจุดบกพร่องอยู่พอสมควร”
ZTNA 1.0 มีข้อจำกัดสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่มีการทำงานแบบไฮบริดและมีแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ ทั้งยังไม่สามารถตรวจสอบติดตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้ แอปพลิเคชัน หรืออุปกรณ์ ไม่สามารถตรวจสอบหรือป้องกันมัลแวร์หรือการลอบเข้าสู่ระบบผ่านการเชื่อมต่อต่างๆ ของผู้ไม่หวังดี ที่สำคัญ ZTNA 1.0 ยังไม่สามารถปกป้องข้อมูลขององค์กรได้ทั้งหมดอีกด้วย
ด้วย ZTNA 2.0 เช่น Prisma® Access จากพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์, จะช่วยให้องค์กรพร้อมรับมือกับความท้าทายเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งในด้านแอปพลิเคชันยุคใหม่ ภัยคุกคาม และบุคลากรที่ทำงานแบบไฮบริด ทั้งนี้ ZTNA 2.0 มาพร้อมคุณสมบัติหลักที่สำคัญดังต่อไปนี้
● สิทธิ์การเข้าถึงน้อยสุดเท่าที่จำเป็น (Least-privileged access) — ให้สิทธิ์การเข้าถึงได้แบบเฉพาะส่วนทั้งในระดับแอปพลิเคชันและแอปพลิเคชันย่อย สามารถตั้งค่าโดยอิสระไม่ขึ้นกับโครงสร้างเครือข่าย เช่น IP Address และหมายเลขพอร์ต
● การยืนยันความไว้วางใจอย่างต่อเนื่อง (Continuous trust verification) — แม้จะอนุญาตให้เข้าถึงแอปพลิเคชันแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีการประเมินความไว้วางใจอย่างต่อเนื่องโดยดูจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในเรื่องตำแหน่งอุปกรณ์ พฤติกรรมผู้ใช้งานและพฤติกรรมการทำงานของแอปพลิเคชัน
● การตรวจสอบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง (Continuous security inspection) — มีการตรวจสอบทราฟฟิกของแอปพลิเคชันในเชิงลึก อย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในส่วนของการเชื่อมต่อที่ได้รับอนุญาตแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะภัยคุกคามที่เพิ่งค้นพบใหม่และยังไม่ได้รับการแก้ไข (Zero-day Threat)
● ปกป้องข้อมูลทั้งหมด (Protection of all data) — ช่วยควบคุมข้อมูลในทุกแอปพลิเคชันให้ปลอดภัยภายใต้นโยบายการป้องกันข้อมูลสูญหาย (DLP) ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งรวมถึงแอปพลิเคชันส่วนตัวและ SaaS แอปพลิเคชัน
● รักษาความปลอดภัยให้กับทุกแอปพลิเคชัน (Security for all applications) — รักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องให้กับแอปพลิเคชันทุกประเภทที่ใช้ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันบนคลาวด์ยุคใหม่ แอปพลิเคชันแบบเดิม หรือบรรดา SaaS แอปพลิเคชันก็ตาม
ในรายงานฉบับใหม่ จอห์น เกรดี ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์อาวุโสของ ESG กล่าวว่า “โซลูชัน ZTNA 1.0 ซึ่งเป็น Zero trust รุ่นแรกยังมีจุดที่ไม่สมบูรณ์อีกหลายส่วนในการสร้าง Zero trust ตามหลักการณ์ที่แท้จริง เนื่องจากมีการอนุญาตสิทธิ์เข้าถึงที่มากเกินความจำเป็น อีกทั้งเมื่อทำการอนุญาตสิทธิ์ (grant) เรียบร้อยแล้ว ก็จะให้ความไว้วางใจกับการเชื่อมต่อดังกล่าวไปตลอด (implicit trust) ส่งผลให้อาจเป็นช่องทางคุกคามระบบ ก่อให้เกิดการสั่งงานในการดำเนินการใดๆ ที่เป็นอันตรายต่อระบบโดยรวมได้”เกรดียังกล่าวด้วยว่า “ถึงเวลาแล้วที่ควรใช้แนวทางใหม่ของ ZTNA ซึ่งออกแบบใหม่ตั้งแต่ต้น เพื่อรับมือกับความท้าทายในด้านแอปพลิเคชันยุคใหม่ ภัยคุกคาม และบุคลากรที่ทำงานแบบไฮบริด”
จากรายงานของ ESG Research, การขับเคลื่อนธุรกิจจากการประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Zero-trust นั้นจะช่วยองค์กร รองรับการป้องกันภัยไซเบอร์แบบใหม่ (cybersecurity modernization) และยังสามารถรักษาความปลอดภัย การเชื่อมต่อจากระยะไกล (Secure Remote Access) จากพนักงาน และบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ (ดูรูป)
“วันนี้ การปกป้องบุคลากรที่ทำงานแบบไฮบริดซึ่งมีการใช้เทคโนโลยีด้านคลาวด์ และโมบายมากขึ้น รวมถึงมีรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปจากเดิม จัดเป็นเรื่องที่ซับซ้อน” เจอร์รี แชปแมน วิศวกรของ Optiv กล่าว “การทบทวนเรื่อง Zero Trust ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากต่อองค์กรไฮบริดยุคใหม่ เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นเราจึงร่วมมือกับพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ เพื่อแนะนำลูกค้าให้รู้จักกับหลักการ ZTNA 2.0 เช่น การตรวจยืนยันตัวบุคคลและการตรวจสอบการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่องในทุกส่วนเพื่อให้เกิดความปลอดภัยอยู่ทุกเวลา”
ดร.ธัชพล โปษยานนท์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยและภูมิภาคอินโดไชน่า พาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์ กล่าวว่า “การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้วิถีการทำงานเปลี่ยนไป พนักงานยังคงต้องการทำงานแบบไฮบริดแม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นแล้ว เทคโนโลยี ZTNA 2.0 ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องความปลอดภัยและการควบคุมการเข้าถึง ด้วยเทคโนโลยี ZTNA 2.0 จะช่วยให้องค์กรไทย สามารถป้องกันระบบเครือข่ายของตนให้มีความปลอดภัย ไม่ว่าพนักงานจะเข้าถึงเครือข่ายองค์กรจากที่ไหนในโลกก็ตาม”
ความสามารถใหม่ของ Prisma Access
Prisma Access เป็นโซลูชันเดียวในอุตสาหกรรมที่ผ่านข้อกำหนดของ ZTNA 2.0 ในวันนี้ โดย Prisma Access ช่วยปกป้องทราฟิกทุกส่วนของแอปพพลิเคชันด้วยความสามารถที่ดีที่สุด ขณะเดียวกันก็ยังช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลและการเชื่อมต่ออีกด้วย สำหรับ Prisma Access เพิ่มความสามารถใหม่ๆ ดังต่อไปนี้
● ZTNA Connector — เชื่อมต่อคลาวด์แอปพลิเคชันและแอปพลิเคชันที่มีอยู่เดิมให้พร้อมใช้อย่างง่ายดาย ทำให้การติดตั้งใช้งาน ZTNA 2.0 เป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น
● ผลิตภัณฑ์เดียวในอุตสาหกรรมที่เป็น Unified SASE — สามารถกำหนดกรอบนโยบายการทำงานและโมเดลข้อมูลในด้าน SASE ทั้งหมด โดยสามารถบริหารจัดการได้จากคลาวด์คอนโซลเพียงหนึ่งเดียว
● Self-serve ADEM (Autonomous Digital Experience Management) — ช่วยแจ้งข้อมูลสำคัญแก่ผู้ใช้งาน ให้ทราบถึงปัญหาที่ต้องเร่งดำเนินการในเชิงรุก พร้อมมอบแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยอัตโนมัติ
กำหนดการวางจำหน่าย
Prisma Access พร้อมให้บริการแล้วในวันนี้และรองรับ ZTNA 2.0 โดยครบถ้วน สำหรับ ZTNA Connector, Unified SASE และ Self-serve ADEM จะพร้อมใช้งานในอีก 90 วันข้างหน้า
A6043
ทูซีทูพี ผู้นำเกตเวย์การชําระเงินออนไลน์ระดับโลก เผย มูลนิธินพเฉลิมโรจน์ ดึงดูแลระบบแอปพลิเคชัน สมาร์ท เฮลท์ แคร์ สร้างความเชื่อมั่นการท่องเที่ยว จ.สตูล
ทูซีทูพี (2C2P) ตอกย้ำความเป็นผู้นำแพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลกและในประเทศไทย เผยล่าสุดร่วมงานกับมูลนิธินพเฉลิมโรจน์ ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกําไรในประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดสตูล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย นำการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ มาเพิ่มความสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยว เพื่อช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย
นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด เล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ที่ผู้บริโภคและผู้ค้าที่มีการตื่นตัวและยอมรับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ซึ่งเป้าหมายสำคัญของทูซีทูพีคือ การอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ การยกระดับการค้าในภูมิภาค และการทำให้ ทูซีทูพี เป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์ของการความน่าเชื่อถือที่สูงที่สุดสำหรับการชําระเงินออนไลน์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ
“ทูซีทูพีได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างยาวนานตลอด 20 ปี โดยล่าสุด ได้รับมอบหมายงานจาก มูลนิธินพเฉลิมโรจน์ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดสตูล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย ให้ทำหน้าที่เป็นเกตเวย์การชําระเงินออนไลน์ แอปพลิเคชัน “นุกซ์” New Ultimate Experience (New Ultimate Experience: NUX) ซึ่งเป็นระบบสมาร์ท เฮลท์ แคร์ ที่ช่วยให้ภาคธุรกิจบริการบนเกาะหลีเป๊ะสามารถรับนักท่องเที่ยว TEST & GO เดินทางมาเที่ยวเกาะหลีเป๊ะได้ โดยไม่ต้องกักตัวอย่างมั่นใจมากขึ้น เพียงนักท่องเที่ยวดาวน์โหลดแอปพลิเคชันลงในโทรศัพท์ เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่เทศบาลและบุคลากรทางการแพทย์ในท้องถิ่นสามารถตรวจสอบประวัติ การฉีดวัคซีนบันทึก ป้องกันเชื้อโควิด COVID-19 และผลตรวจ ATK ของนักท่องเที่ยวผ่านแอปพลิเคชั่นนุกซ์ และเมื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม นุกซ์สมาร์ทวอทช์ บุคลากรสาธารณสุขจังหวัดสตูลสามารถติดตามตรวจสอบสัญญาณชีพของนักท่องเที่ยวในระหว่างการเข้าพักในบนเกาะหลีเป๊ะ เพื่อเฝ้าระวังอาการเริ่มต้นของการติดเชื้อโควิด-19 ให้การดูแลรักษา และคัดแยกผู้ป่วยได้แต่เนิ่นๆ โดยในเบื้องต้นนักท่องเที่ยวสามารถยืมอุปกรณ์เสริม นุกซ์สมาร์ทวอทช์ ไปใช้ได้ที่ท่าเรือข้ามฟาก ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถจ่ายค่ามัดจำอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในกรณีที่รับบริการด้านสุขภาพ ผ่านบริการของทูซีทูพี ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย” นายปิยชาติ กล่าว
ประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภาวะตกต่ำของการท่องเที่ยวที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยถือเป็นอันดับ 1 ในการสร้างรายได้ หนึ่งในห้าของ GDP ของประเทศ และมีสัดส่วนการจ้างงานสูงถึง 20% แต่ในปี 2564 ที่ผ่านมา จากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกทำให้มีอัตรานักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยเพียง 200,000 คน ลดลงจากปี 2562 ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาราวจำนวน 40 ล้านคน ต่อปี
ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ทดลองโมเดลแซนด์บ็อกซ์ต่างๆ โดยนำร่องที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อส่งเสริมให้เกิดการฟื้นฟูการท่องเที่ยวสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะภาคใต้ที่มีนักท่องเที่ยวทั่วโลกนิยมเดินทางมาพักผ่อนตลอดทั้งปี
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธนิต พุทธพงษ์ศิริพร รองประธานมูลนิธินพเฉลิมโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มูลนิธินพเฉลิมโรจน์ ได้ริเริ่มโครงการฟื้นฟูการท่องเที่ยวในจังหวัดสตูล ซึ่งเป็นจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งเป็นประตูสู่เกาะที่สวยที่สุดในทะเลอันดามัน โดยเริ่มจากเกาะหลีเป๊ะ ก่อนการแพร่ระบาดมีนักท่องเที่ยวมากกว่าหนึ่งล้านคนไปเที่ยวที่เกาะหลีเป๊ะในแต่ละปี ตัวเลขนี้ลดลงตั้งแต่การระบาดใหญ่
“มูลนิธิฯ ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดสตูล และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล กระทรวงสาธารณสุข เพื่อพัฒนารูปแบบแซนด์บ็อกซ์การท่องเที่ยวเชิงซ้อน ที่ช่วยให้นักท่องเที่ยว TEST & GO สามารถเดินทางมาเที่ยวเกาะหลีเป๊ะได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ผ่านการทำงานบนแอปพลิเคชันนุกซ์ New Ultimate Experience (NUX) ที่สามารถช่วยเจ้าหน้าที่สามารถในการติดตามสุขภาพของนักท่องเที่ยวได้ และเข้าให้บริการสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็ว โดยมูลนิธินพเฉลิมโรจน์เลือกใช้บริการจากทูซีทูพี สำหรับการรับชำระค่ามัดจำอุปกรณ์ เนื่องจากทูซีทูพีมีประสบการณ์และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแพลตฟอร์มการชำระเงินทั่วโลก จึงมีความมั่นใจในการใช้บริการ อีกทั้งโซลูชันการชําระเงินของทูซีทูพียังมีความยืดหยุ่นสูง และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริหาร เนื่องจากมีการชำระในระบบของการเช่า โดยในช่วงทดลองใช้ระบบ พบว่าแอปพลิเคชันมีประสิทธิภาพสูง มั่นใจว่าสามารถรองรับการใช้งานสำหรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ อย่างไรก็ตามการส่งมอบบริการลงทะเบียนและเช่านี้โมเดล Sandbox จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกคน ภายในต้นเดือนมิถุนายนนี้” ดร. ธนิต กล่าว
“ทางสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสตูล ยินดีเป็นอย่างยิ่งในการเปิดพรมแดนของประเทศไทย เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง ด้วยความร่วมมือกับมูลนิธินพเฉลิมโรจน์ และ 2C2P เราเชื่อว่านักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเกาะหลีเป๊ะได้อย่างสบายใจ ด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทวอทช์ที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถลงทะเบียนรายละเอียดการฉีดวัคซีนได้อย่างลงตัวในขณะที่พักผ่อนอยู่” นายสามารถ เจริญฤทธิ์ ประธานกรรมการ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสตูล กล่าว
อย่างไรก็ตามด้วยความมุ่งมั่นการดำเนินงานของ 2C2P บริษัทมีความยินดีที่จะสนับสนุนงานการกุศลที่สร้างแรงบันดาลใจของมูลนิธินพเฉลิมโรจน์ และมีส่วนช่วยภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักของประเทศไทยให้กลับมายืนหยัดอีกครั้ง การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะถูกเร่งด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้วยโซลูชั่นที่ไร้รอยต่อ เช่น เกตเวย์ การชําระเงินของเรามีบทบาทสำคัญในการก้าวไปสู่อนาคตที่สดใส นายปิยชาติ กล่าวทิ้งท้าย
A6022
ควันหลงกระแสเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. บิสกิต โซลูชั่น เปิดผลวิเคราะห์กระแสโซเชียล
เสริมศักยภาพ AI วิเคราะห์เจตนาระดับความคิดเห็นแม่นยำถึง 72%
บิสกิต โซลูชั่น หรือ BIZCUIT หนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยี AI โซลูชั่น เผยข้อมูลจากโซเชียลมีเดียช่วงโค้งสุดท้ายก่อนและหลังเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เสริมสมรรถนะของ AI ด้านวิเคราะห์ภาษาในบริบทของการเลือกตั้งให้สมบูรณ์มากขึ้น ครอบคลุมทั้งช่วงก่อนและหลังเลือกตั้งด้วยปริมาณข้อมูลระดับเมก้ามากกว่า 7 ล้านคำ พบหลังปิดหีบเลือกตั้ง เกิดปรากฏการณ์ข้อมูลการแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียถล่มทลายมากกว่าก่อนเลือกตั้งเกือบเท่าตัว ต่อยอดสร้างความแม่นยำในการวิเคราะห์เจตนาการแสดงความคิดนั้นให้กับ AI โดยความแม่นยำยังอยู่ในระดับ 72% แม้ถูกนำมาใช้กับข้อมูลชุดใหม่หลังเลือกตั้ง พร้อมส่ง AI ถอดรหัสการเลือกตั้งระดับประเทศ
นายสุทธิพันธุ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิสกิต โซลูชั่น จำกัด หรือ BIZCUIT เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในการศึกษาข้อมูลบนสื่อโซเชียลมีเดียหลากหลายแพลตฟอร์มช่วงก่อนการเลือกตั้งในระหว่างวันที่ 21 มี.ค. – 7 พ.ค. 65 ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของเทคโนโลยี AI Machine Learning ด้านความเข้าใจภาษาแบบธรรมชาติ (NLU) ของ BIZCUIT ให้มีความเข้าใจลึกลงไปถึงบริบทหรือ domain ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเมืองมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงต่อยอดขยายผลเพิ่มระยะเวลาการเพิ่มความสามารถของ AI ไปจนถึงวันที่ 26 พ.ค. 65 ที่ผ่านมา ด้วยการดึงข้อมูลจาก Facebook Twitter และ YouTube ซึ่งมีเงื่อนไขแตกต่างกันตามแต่โครงสร้างข้อมูลในแต่ละแพลตฟอร์ม ทั้งข้อมูลที่เป็นการ post หรือ tweet หรือ VDO content นำมาวิเคราะห์ จำนวน 105,816 คอนเทนต์ และมีจำนวน comment หรือ reply tweet รวม 595,942 comment บนข้อมูลสาธารณะ 100% ที่ยินยอมในการเปิดเผย และยังมีระบบอัตโนมัติในการลบข้อมูลระบุตัวตนทั้งหมดก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนเริ่มงาน ทำให้ผู้ที่ทำหน้าที่ Train Data นั้นไม่ทราบที่มาของข้อมูล ซึ่งการ Training data ให้กับ AI ครั้งนี้ ครอบคลุมทั้งช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง ด้วยปริมาณข้อมูลระดับเมก้าที่มีจำนวนมากกว่า 7 ล้านคำ พบว่าเกิดปรากฏการณ์ข้อมูลการแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียแบบถล่มทลายมากกว่าก่อนเลือกตั้งเกือบเท่าตัว นับเป็นการต่อยอดสร้างความแม่นยำในการวิเคราะห์เจตนาการแสดงความคิดนั้นให้กับ AI มีความแม่นยำอยู่ในระดับ 72% ส่งผลให้ AI ของ BIZCUIT มีความพร้อมที่จะลงไปวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งระดับประเทศในอนาคตได้
ทั้งนี้ ข้อมูลที่น่าสนใจจากการใช้ AI วิเคราะห์พบว่าปริมาณข้อมูลการแสดงความคิดเห็นช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง แม้จะมีระยะเวลาจำนวนวันที่น้อยกว่า แต่มีปริมาณข้อมูลในโลกออนไลน์มีจำนวนมากใกล้เคียงกับช่วงก่อนเลือกตั้ง สะท้อนให้เห็นความตื่นตัวของประชาชนที่ลุ้นผลการนับคะแนนอย่างชัดเจน โดยจัดกลุ่มผลการศึกษาวิเคราะห์ออกมา แบบแบ่งช่วงระยะเวลาและแพลตฟอร์ม ดังนี้
หลังวันเลือกตั้ง (23-26 พฤษภาคม 2565)
(ภาพประกอบที่ 7) BIZCUIT วิเคราะห์ Comment บน Facebook และ reply tweet บน Twitter จำนวน 111,525 ข้อความ พบว่าเสียงส่วนใหญ่พูดถึงนายชัชชาติ โดยหัวข้อที่ถูกพูดถึง (Topic) มากเป็นอันดับหนึ่งคือพูดถึงตัวบุคคล และอันดับสองคือพรรคการเมือง โดยความรู้สึกที่ถูกพูดถึงนั้นมีสัดส่วนเป็นบวกมากที่สุด และยังคงได้รับเจตนาในการสนับสนุนในสัดส่วนที่มากที่สุด ถัดมาคือนายวิโรจน์ ที่แม้ผลการเลือกตั้งจะเป็นอันดับสาม แต่การถูกพูดถึงนั้นมากกว่านายสุชัชวีร์ที่ได้คะแนนเลือกตั้งเป็นอันดับที่สอง รวมทั้งความรู้สึกเป็นบวกที่ผู้แสดงความคิดเห็นพูดถึงถึงนายวิโรจน์นั้นมีสัดส่วนที่มากกว่า (ภาพประกอบที่ 8) นอกจากนี้ยังพบว่าผลวิเคราะห์จาก Twitter หลังการเลือกตั้งจำนวน 47,309 tweet และ reply tweet สอดคล้องกัน คือการถูกพูดถึงจะเกิดขึ้นที่ตัวนายชัชชาติเป็นหลัก ถัดมาคือนายวิโรจน์ โดยถูกพูดถึงในนัยยะที่เป็นบวกมากทั้งคู่
“การศึกษาข้อมูลของ BIZCUIT ในครั้งนี้ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ในโลกออนไลน์ที่เกิดขึ้น ซึ่งนับว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้ได้สร้างปริมาณข้อมูลตัวอักษรภาษาไทยที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ BIZCUIT ได้เตรียมความพร้อมที่จะใช้ AI ในการวิเคราะห์บริบทการเลือกตั้งผ่านข้อมูลโซเชียลมีเดียเมื่อมีการเลือกตั้งอื่นๆ ในอนาคต โดยความสามารถด้านการวิเคราะห์ภาษาไทยด้วย AI NLU หรือ การเข้าใจภาษาธรรมชาติของ BIZCUIT นับว่ามีการพัฒนาก้าวไปอีกขั้น โดยการให้บริการวิเคราะห์ภาษาไทยนั้นสามารถใช้บริการได้ผ่าน Solution ต่างๆ หรือการเรียกใช้บริการวิเคราะห์ภาษาไทยด้วย API โดยตรง ภายใต้บริการ Text PowerT ปัจจุบัน BIZCUIT มี AI ด้านการวิเคราะห์ภาษาธรรมชาติมากถึง 16 หมวดและการเลือกตั้งนั้นถือเป็นหมวดที่ 17 โดยทาง BIZCUIT มี AI ด้านการวิเคราะห์ภาษาธรรมชาติรองรับอยู่ 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาบาฮาซา อินโดนีเซีย (Bahasa) และภาษาฟิลิปปินส์ (Tagalog) ซึ่งส่วนใหญ่เป็น AI ที่ใช้งานเกี่ยวกับด้านการบริการลูกค้าและการตลาด โดยวัตถุประสงค์สำคัญที่ทาง BIZCUIT มุ่งที่จะสร้าง AI ด้านการวิเคราะห์ภาษาธรรมชาติให้มีความเข้าใจในหลายหมวดให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะปลดล็อคความสามารถของ digital transformation ในประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังมีข้อจำกัดทางภาษาให้หมดไปอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อความสามารถในการแข่งขันทั้งในภูมิภาคและระดับโลก” นายสุทธิพันธุ์ กล่าวสรุป
วันเลือกตั้ง (22 พฤษภาคม 2565)
(ภาพประกอบที่ 6) BIZCUIT เลือกวิเคราะห์เฉพาะส่วน Comment หรือ reply tweet ในวันเลือกตั้งเพื่อดูแนวโน้มการแสดงความคิดเห็นโดยรวมทั้งจากแพลตฟอร์ม Facebook และ Twitter จำนวน 52,178 Comment / reply tweet โดยพบว่านายชัชชาติ นั้นถูกพูดถึงมาเป็นอันดับหนึ่ง รวมทั้งเจตนา (Intention) ในการพูดถึงก็มีสัดส่วนของการสนับสนุนมากกว่าผู้สมัครท่านอื่นๆ โดยนายสุชัชวีร์ และนายวิโรจน์ตามมาในอันดับถัดไป ซึ่งทั้งคู่มีคะแนนใกล้เคียงกันมาก ส่วนอันดับที่สี่คือนายสกลธี และอันดับที่ห้าคือนายอัศวิน ซึ่งถือว่ามีทิศทางสอดคล้องกับผลการเลือกตั้ง แต่เมื่อพิจารณาผลเฉพาะจากแพลตฟอร์ม Twitter จำนวน 5,360 reply tweet จะเห็นได้ว่าจำนวนและสัดส่วนของนายวิโรจน์และนายศิธานั้นสูงกว่านายสุชัชวีร์ นายอัศวิน และนายสกลธีอย่างมีนัยยะ ทำให้พอจะเห็นแนวโน้มว่าผู้แสดงความคิดเห็นบน Twitter ผ่าน reply tweet เกี่ยวกับผู้สมัครในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 นั้นอาจจะไม่ได้มีการกระจายตัวตามโครงสร้างประชากรของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง
7 วัน ก่อนการเลือกตั้ง (15-21พฤษภาคม 2565)
Twitter 7 วันก่อนการเลือกตั้งเป็นช่วงที่ห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่ข่าวสารชี้ชวนผู้สมัคร รวมถึงการทำโพล จึงเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีการรายงานความนิยมของผู้สมัคร BIZCUIT จึงได้ใช้ทั้ง Keyword และ Hashtag เป็นเงื่อนไขแรกในการดึงข้อมูลเข้ามาวิเคราะห์ ซึ่งดึงข้อมูลมาจำนวน 20,750 tweet โดยพบว่านายสกลธี ภัททิยกุล (ภาพประกอบที่ 1) เป็นผู้สมัครที่ถูก tweet ถึง โดยแซงผู้สมัครรายอื่นขึ้นมาเป็นอันดับสามจากอันดับห้า นอกจากนี้ ยังพบกว่าปริมาณ tweet ที่เจอในช่วง 7 วันนี้มีจำนวนเท่ากับ tweet ของวันที่ 21 มี.ค.-14 พ.ค. (จำนวน 55 วัน) รวมกัน และจากการวิเคราะห์เนื้อหา (Topic) ความรู้สึก (Sentiment) และเจตนา (Intention) ในการ tweet ที่พูดถึงนายสกลธี ส่วนใหญ่เป็นการพูดถึงตัวผู้สมัครเกือบ 50% แต่มีความรู้สึกที่เป็นบวกและต้องการสนับสนุนน้อยกว่า 35% (ภาพประกอบที่ 2) โดยภาพรวมของ Twitter จากการ tweet และ reply tweet ทั้ง 31,643 ข้อความ นายชัชชาติและนายวิโรจน์ถูกพูดถึงใกล้เคียงกัน แต่นายชัชชาติมีสัดส่วนความรู้สึกที่เป็นบวกและเจตนาที่ต้องการสนับสนุนในสัดส่วนที่มากกว่าผู้สมัครรายอื่น (ภาพประกอบที่ 3) หากดู trend การ tweet จะสังเกตว่าวันที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือวันที่ 15 พ.ค.65 ซึ่งเป็นวันที่มีรายการดีเบตในช่อง Youtube ของ The Standard ที่ทำให้นายวิโรจน์มีการถูก tweet ถึงมากกว่านายชัชชาติ และเป็นครั้งแรกที่นายสกลธีถูก tweet ถึงในปริมาณที่มากที่สุดต่อวัน และขึ้นเป็นอันดับสาม ทิ้งจากผู้สมัครท่านอื่น
Youtube (ภาพประกอบที่ 4) ได้ทำการศึกษาข้อมูลจาก Youtube ช่อง The Standard ในวันที่ 15 พ.ค. 2565 ด้วยเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งผู้ว่า ซึ่งมีทั้งหมด 15 Post (คลิปเต็มรายการดีเบต และคลิปย่อยที่ตัดออกมา) 10,922 comment ซึ่งจะเห็นว่า นายวิโรจน์ถูกกล่าวถึงมากกว่านายชัชชาติ และมีสัดส่วนความรู้สึกเชิงบวก และความต้องการที่จะสนับสนุนมากกว่าผู้สมัครท่านอื่นอย่างมีนัยยะ โดยจากการวิเคราะห์ Comment จาก Youtube พบว่านายสกลธีถูกพูดถึงเป็นอันดับที่สาม ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลใน twitter
Facebook (ภาพประกอบที่ 5) โดยวิเคราะห์ 111,608 comment จาก 715 Post บน facebook เพจข่าว โดยจะเห็นว่ากระแสบน Facebook มีความแตกต่างจาก Twitter ซึ่งอันดับหนึ่งที่ถูก comment ถึงเป็นนายชัชชาติ แต่อันดับสองนั้นเป็นนายอัศวิน และตามมาด้วยนายสกลธี โดยจำนวนของ comment นั้นมีความใกล้เคียงกันแต่สัดส่วนของความรู้สึก (Sentiment) ที่เป็นบวกและเจตนา (Intention) ที่ต้องการสนับสนุนผู้สมัครนั้น นายชัชชาติมีมากกว่าผู้สมัครท่านอื่น
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI โซลูชั่น ด้วย Machine Learning โดยเฉพาะด้าน Natural Language Processing (NLP) ติดต่อ https://www.bizcuitsolution.com/th/talk-to-us/ หรือ โทร. 02-664-1675-7
A6017
โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ เลือกจูนิเปอร์เน็ตเวิร์ก
สร้างแคมปัสเน้นประสบการณ์เรียนรู้ดิจิทัลเต็มรูปแบบ
เครือข่าย AI ดันโรงเรียนคิงส์คอลเลจกรุงเทพ สร้างประสบการณ์การเรียนรู้เฉพาะในแบบส่วนบุคคล
แบบออนไลน์ และผสมผสานสำหรับนักเรียนอย่างลงตัว
จูนิเปอร์เน็ตเวิร์ก (NYSE: JNPR) ผู้นำด้านระบบเครือข่าย และความมั่นคงปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI เผยว่า โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ (King’s Bangkok) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำสำหรับนักเรียนทั้งในและต่างประเทศได้เลือกใช้โซลูชันแบบมีสาย แบบไร้สาย และระบบรักษาความปลอดภัยของจูนิเปอร์ (Juniper) เพื่อขับเคลื่อนระบบเครือข่าย และสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีภายในโรงเรียน ด้วยเครือข่าย AI ที่มั่นคงปลอดภัย จะทำให้โรงเรียนสามารถสร้างประสบการณ์การเรียนการสอนที่ดียิ่งขึ้นสำหรับเจ้าหน้าที่และนักเรียน รองรับการเรียนรู้ในระบบห้องเรียนที่กำลังกลับมา และจำนวนนักเรียนที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในฐานะที่เป็นโรงเรียนนานาชาติจากวิมเบิลดัน โรงเรียนคิงส์คอลเลจ เป็นโรงเรียนนานาชาติแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ King’s Bangkok จึงมีพันธกิจคือ มุ่งสู่การเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของเอเชีย ด้วยจำนวนนักศึกษาเกือบ 1,000 คน ที่มาเข้าเรียนในโรงเรียนในปัจจุบันและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ King’s Bangkok มีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบเพื่อรองรับความต้องการของผู้เรียนได้อย่างเป็นอิสระ เข้าใจถึงความต้องการเป็นรายบุคคล และสร้างประสบการณ์การเรียนที่หลากหลายและได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักเรียนขึ้นสู่ความเป็นเลิศ ตอบโจทย์ความมุ่งมั่นของโรงเรียนในด้านคุณภาพการเรียนรู้ในระดับสูง สร้างสรรค์และปลอดภัย ทางโรงเรียนจึงร่วมมือกับจูนิเปอร์ เพื่อสร้างระบบเครือข่ายในโรงเรียนให้ขับเคลื่อนด้วย AI ที่แข็งแกร่ง และสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบ ให้ไว้วางใจได้สำหรับทั้งครูและนักเรียน
เพื่อให้ตอบโจทย์เป้าหมายในการสร้างเครือข่ายโรงเรียนไร้สายแห่งแรก King’s Bangkok ได้ติดตั้ง Juniper Wireless Access Points รวมกับบริการ Juniper Mist Wireless Assurance เพื่อให้เจ้าหน้าที่ นักเรียน และผู้มาเยือนสามารถเข้าถึงการเชื่อมต่อที่รวดเร็วและไว้วางใจได้ทุกที่ทุกเวลา สวิตช์อีเทอร์เน็ต EX3400 และ EX2300 รวมถึงบริการ Juniper Mist™ Wired Assurance ของจูนิเปอร์ช่วยสนับสนุนการเชื่อมต่อนี้ โดยนำข้อมูลเชิงลึกมาสร้างประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ ขณะที่การบริหารและการใช้งานเครือข่ายแบบมีสายจะจัดการได้ง่ายยิ่งขึ้น วิธีนี้จะช่วยให้โรงเรียนรองรับจำนวนอุปกรณ์เชื่อมต่อ และความต้องการใช้แบนด์วิดท์ในเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต เมื่อจำนวนนักเรียนที่ต้องการเข้าถึงเครื่องมือการเรียนรู้ดิจิทัลทั่วทั้งโรงเรียนมีการขยายตัวขึ้น
เพื่อให้ ทีมไอทีของโรงเรียนไม่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่จำนวนมาก Juniper Mist Cloud Services ช่วยเพิ่มความคล่องตัวโดยการปรับใช้และการจัดการโครงสร้างเครือข่ายภายในโรงเรียน King’s Bangkok ในขณะที่ Mist AI ช่วยลดความยุ่งยากในการดำเนินงานและช่วยรายงานประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ King’s Bangkok ทำให้มองเห็นอุปกรณ์เชื่อมต่อหลายพันเครื่องได้ ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต ไปจนถึงแล็ปท็อป ในคราวเดียวกัน
นอกจากนี้ โรงเรียนยังต้องปฏิบัติตามกฎหมาย GDPR และ PDPA ของสหราชอาณาจักรและประเทศไทย การปกป้องข้อมูลจึงมีความสำคัญสูงสุด King’s Bangkok ให้ความสำคัญอย่างมากในการปกป้องนักเรียนจากเว็บไซต์และเนื้อหาที่เป็นภัย จึงเลือกใช้ใช้ SRX1500 Services Gateway ของจูนิเปอร์ทำหน้าที่เป็นไฟร์วอลล์ที่มีความสามารถของเน็กซ์เจเนอเรชันไฟร์วอลล์
ด้วยเครือข่ายที่มั่นคงปลอดภัยและประสิทธิภาพสูง ขับเคลื่อนโดยระบบอัตโนมัติ และ Mist AI King’s Bangkok จึงได้เสริมความแข็งแกร่งในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศไทย โดยเชื่อมต่อเครือข่ายที่ทำงานอย่างราบรื่นให้ทั้งนักศึกษา เจ้าหน้าที่ และผู้มาเยือนครอบคลุมทั่วทั้งโรงเรียน
“การเป็นพันธมิตรกับจูนิเปอร์เน็ตเวิร์ก ทำให้ King’s Bangkok สามารถตอบโจทย์ตรงตามความมุ่งมั่นตั้งใจของเราในการมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นนวัตกรรมและมั่นคงปลอดภัยสำหรับนักเรียนและครู โรงเรียนของเรามองไปข้างหน้าเสมอ และด้วยคลาวด์และโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของจูนิเปอร์ จะช่วยให้ทีมไอทีของเรามีระบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น และมั่นใจได้ว่าการเชื่อมต่อไร้สายทั่วทั้งโรงเรียนเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่สะดุด ในขณะที่เราคาดการณ์ว่า จำนวนนักเรียนกำลังจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจึงมั่นใจว่าจูนิเปอร์ได้ช่วยให้เราสร้างเครือข่ายที่สามารถปรับขนาดรองรับความต้องการได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ดิจิทัลที่เหนือกว่าสำหรับนักเรียนให้เก่งที่สุดเพื่อประเทศไทย” นายดิออน นอร์มัน ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ กล่าว
“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ ได้เลือกจูนิเปอร์ เพื่อมอบประสบการณ์การศึกษาระดับโลกให้แก่ประเทศไทยที่ไม่หยุดนิ่งและกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ด้วยระบบอัตโนมัติและข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทีมไอทีของโรงเรียนสามารถมุ่งเน้นไปที่งานตามลำดับความสำคัญ ทำให้งานด้านไอทีราบรื่นและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เรามั่นใจว่า วิธีการสร้างระบบเครือข่ายที่เน้นประสบการณ์การใช้งานเป็นอันดับแรกจะช่วยเร่งกระบวนการสร้างองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของโรงเรียนให้รวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างความมั่นใจได้ว่า ครูและนักเรียนจะได้รับประสบการณ์ทางการศึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่จะสร้างขึ้นมา” กล่าวโดยนาย เพอร์รี ซุย ผู้อำนวยการอาวุโส ภาคพื้นอาเซียนและไต้หวัน จูนิเปอร์ เน็ตเวิร์ก
A51015
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด