FWD ประกันชีวิต จัด ‘FWD Hackathon 2022’ ชวนคนรุ่นใหม่สร้างสรรค์นวัตกรรมที่แตกต่าง ภายใต้แนวคิด ‘การเปลี่ยนมุมมองของผู้คนที่มีต่อการประกันชีวิต’
FWD ประกันชีวิต ชวนคนรุ่นใหม่เข้าร่วมแข่งขันโครงการ ‘FWD Hackathon 2022’ เปิดพื้นที่เสนอความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม โดยเปิดกว้างให้ทุกคนทั้งนักศึกษา และวัยเริ่มทำงาน ประชันไอเดียชิงเงินรางวัลรวม 350,000 บาท พร้อมเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ผ่านกิจกรรมตลอดโครงการ
นายเดวิด โครูนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (“เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต หรือ “FWD ประกันชีวิต”) เปิดเผยว่า “เราเป็นบริษัทประกันที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital by designed) โดยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาขับเคลื่อนการทำงานในทุกส่วน เพื่อทำให้ประกันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ซื้อง่าย เข้าถึงง่าย มีส่วนร่วมได้ง่าย ตอบรับยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเราเล็งเห็นความสำคัญของการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มาร่วมพัฒนานวัตกรรม เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสนำความคิดสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรมที่ตนสนใจมาทำให้เป็นจริง ดังนั้นในปีนี้เราจึงได้จัดโครงการ “FWD Hackathon 2022” ขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยและผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานได้เข้าแข่งขันนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่แตกต่าง และร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเรา ในการเปลี่ยนมุมมองของผู้คนที่มีต่อการประกันชีวิต”
FWD Hackathon 2022 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2565 โดยรับสมัครผู้แข่งขัน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนักศึกษาชั้นปีที่ 3 และ 4 จากทุกคณะ ทุกมหาวิทยาลัย รวมทั้งผู้ที่กำลังศึกษาระดับปริญญาโท และ กลุ่มผู้จบการศึกษาและกำลังทำงานไม่เกิน 2 ปี โดยจะรับสมัครเป็นกลุ่มๆ ละ 3-5 คน ซึ่งจะมีการคัดเลือก 20 ทีมแรก ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2565 ณ ทรูดิจิทัลพาร์ค และ รอบ 10 ทีมสุดท้าย เพื่อนำเสนอผลงานระหว่างวันที่ 23 - 24 กรกฎาคม 2565 ณ โรงแรม อวานี พลัส หัวหิน รีสอร์ท โดยจะมีผู้บริหารและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตัดสินคัดเลือกทีมผู้ชนะเลิศ 4 ทีม ได้แก่ ทีมชนะเลิศ รับรางวัลเงินสดมูลค่า 150,000 บาท, รองชนะเลิศอันดับ 1 รับรางวัลเงินสดมูลค่า 100,000 บาท, รองชนะเลิศอันดับ 2 รับรางวัลเงินสดมูลค่า 50,000 บาท และ รางวัล Popular vote ซึ่งโหวตโดยพนักงาน FWD ประกันชีวิต รับรางวัลเงินสดมูลค่า 50,000 บาท นอกจากนี้ ยังได้รับโอกาสเป็นตัวแทน FWD ประกันชีวิต ประเทศไทย ไปร่วมแข่งขันนำเสนอนวัตกรรมสร้างสรรค์กับโครงการ FWD Springboard X ที่จะจัดขึ้นในระดับภูมิภาคเอเชีย ผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรงจากทีมงานในระดับภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งโอกาสในการเข้าร่วมงานกับ FWD ประกันชีวิตด้วย
“FWD Hackathon 2022 ที่เราจัดขึ้นเปิดกว้างสำหรับทุกคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ สนใจในเทคโนโลยี และพร้อมเรียนรู้เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งผู้สมัครเข้าร่วมโครงการสามารถมาจากสายงานต่างๆ ไม่จำกัดที่จะต้องเป็นคนที่อยู่ในสายเทคโนโลยีเท่านั้น โดยเราพร้อมสนับสนุนให้ทุกคนได้ระดมความคิด ไอเดีย และทำงานร่วมกันในการนำเสนอนวัตกรรมที่สดใหม่ และได้มีโอกาสที่จะทำให้ไอเดียเป็นจริง” นายเดวิด กล่าวปิดท้าย
ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมแข่งขัน FWD Hackathon 2022 ได้ที่ https://www.surveymonkey.com/r/LS2PG97 หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณจีรภัทร์ ฝ่ายสายงานบุคลากรและวัฒนธรรม FWD ประกันชีวิต โทร. 094-215-6903
A7293
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
AIS คว้ารางวัล Microsoft Thailand Partner of the Year 2022
ตอกย้ำความเป็นผู้นำที่ส่งมอบนวัตกรรมและโซลูชันของไมโครซอฟท์ ร่วมกันยกระดับองค์กรไทย
คุณสมชัย (Mr.Somchai) - คุณอัลเลน ลิว ยง เคียง (Mr.Allen Lew Yoong Keong) AIS,
คุณแอนเดรีย เดลลา แมทเทีย (Ms Andrea Della Mattea) - คุณธนวัฒน์ (Mr.Dhanawat) MS
บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เวส เน็ตเวิร์ค จำกัด ในเครือเอไอเอส ผู้นำในการให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลในประเทศไทย คว้ารางวัล Microsoft Thailand Partner of the Year Award ประจำปี 2022 ซึ่งนับว่าเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่ไมโครซอฟท์ได้มอบให้กับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกที่สามารถส่งมอบบริการที่เหนือกว่าในด้านนวัตกรรมให้กับลูกค้าโดยอาศัยเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์
นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า “เอไอเอส และไมโครซอฟท์ ได้ผนึกกำลังเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อร่วมพัฒนาการให้บริการกับภาคธุรกิจในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2015 โดยเราได้ร่วมส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจัทัลในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีด้าน Cloud, การประมวลผลข้อมูล, การปกป้องความปลอดภัยด้านไซเบอร์, เทคโนโลยี IoT และการใช้โครงข่าย 5G กับ Edge computing ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ในหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ ซึ่งเห็นผลลัพธ์ได้จากอัตราการเติบโตของรายได้ในส่วนของโซลูชั่นไมโครซอฟท์ มากกว่า 100% ทั้งนี้ เรายังได้ร่วมกับไมโครซอฟท์ในการพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลเชิงลึกให้กับทีมงานของเอไอเอส เพื่อให้สามารถส่งมอบบริการให้กับลูกค้าองค์กรได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดย AIS นับว่าเป็นพันธมิตรรายแรกในประเทศไทยที่ได้การรับรองความเชี่ยวชาญในด้าน Azure Advanced Specialized ตอกย้ำความเป็นผู้นำและความเชี่ยวชาญในการให้บริการโซลูชั่น Azure ที่มีความบซ้อนเฉพาะทาง ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การสร้างระบบ รวมถึงการดูแลระบบไอทีของลูกค้า ซึ่งนอกจากการพัฒนาทักษะให้กับทีมงานของเอไอเอสแล้ว เรายังได้ร่วมกับไมโครซอฟท์เพื่อต่อยอดศักยภาพให้กับองค์กรไทยในทุกระดับ เพื่อให้องค์กรธุรกิจพร้อมรับมือทุกโอกาส ความท้าทาย และการแข่งขัน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยให้มีแรงขับเคลื่อนเพื่อสร้างการเติบโตได้”
คุณธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย (Mr.Tanapong Ittisakulchai) AIS - คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ (Mr.Dhanawat Suthumpun) MS
ด้วยการผนวกเทคโนโลยีและบริการระดับโลกจากไมโครซอฟท์ เข้ากับศักยภาพด้านโครงข่ายและบริการดิจิทัลของเอไอเอส ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง และก่อให้เกิดการพัฒนาบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาดจำนวนมากกว่า 12 โซลูชั่นในปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างด้านไอที รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ในหลากหลาย ตัวอย่างความสำเร็จหนึ่งคือ การที่เอไอเอสได้เข้าไปช่วยย้ายระบบไอทีของธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของประเทศไทย จากระบบ On-premise ขึ้นคลาวด์ Microsoft Azure โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเอไอเอสได้เข้าไปตั้งแต่การให้คำปรึกษา การออกแบบระบบร่วมกันกับทางลูกค้า จนถึงการย้ายระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ทั้งด้านไอทีและตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจ ซึ่งประโยชน์ที่เห็นได้ชัดคือ การช่วยลดต้นทุนด้านไอทีขององค์กรลงได้มากกว่า 20% อีกทั้งยังช่วยเพิ่มในเรื่องของความปลอดภัยและการส่งมอบ Applications ตอบโจทย์การเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทย
ด้าน Nick Parker corporate vice president of Global Partner Solutions ของ Microsoft กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ประกาศรายชื่อผู้ชนะ ในรางวัล Microsoft Partner of the Year Awards 2022 พันธมิตรเหล่านี้มีความโดดเด่นเหนือบรรดาผู้เข้าชิงจำนวนมาก เราขอแสดงความประทับใจในนวัตกรรมของพวกเขาที่ใช้เทคโนโลยี Microsoft Cloud ในการดูแลลูกค้า”
รางวัล Microsoft Partner of the Year Awards จะมอบให้กับพันธมิตรของ Microsoft ที่ได้พัฒนา และ นำเสนอแอปพลิเคชัน บริการ และ เครื่องมือที่อยู่บนพื้นฐานของ Microsoft อย่างสร้างสรรค์ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งรางวัลต่างๆ ถูกจำแนกตามสาขาอย่างหลากหลาย โดยผู้ที่ได้รับรางวัลจะถูกคัดเลือกมาจากการเสนอชื่อเข้าชิงเป็นจำนวนกว่า 3,900 ราย จากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
สำหรับรางวัลนี้ได้ถูกประกาศในทุกปีก่อนการประชุมพันธมิตรระดับโลกของบริษัท ในชื่อ Microsoft Inspire ซึ่งในปีนี้กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 19-20 กรกฎาคม สำหรับรายละเอียดของรางวัลรวมถึงการประกาศผู้ชนะสามารถชมได้ทาง https://partner.microsoft.com/en-us/inspire/awards
A6944
NTT DATA จับมือ ม.บูรพา ปั้นบุคลากร COBOL หนุนธุรกิจแบงค์-การเงิน แก้วิกฤตขาดคน
(จากซ้าย) คุณวรรลภา พันธ์ครุฑ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด, คุณโคทาโร่ โอชิโอะ กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด, (ตรงกลาง) รองศาสตราจารย์ ดร.วัชรินทร์ กาสลัก อธิการบดี มหาวิทยาลัยบูรพา, (จากขวา) ผศ.ดร. กฤษณะ ชินสาร คณบดีคณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยบูรพา, ดร. อภิชาต ทองอยู่ ประธานคณะทำงานด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการศึกษาคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้เครือบริษัท เอ็นทีที เดต้า คอร์ปอเรชัน จำกัด ผู้นำด้านธุรกิจดิจิทัลและบริการด้านไอทีชั้นนำระดับโลก ลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยบูรพา คลอดโครงการ NTT DATA Critical Resource Preparation เดินหน้าสร้างบุคลากรไอทีคุณภาพป้อนตลาดงาน นำร่องเร่งบ่มเพาะบุคลากร COBOL ป้อนเข้าตลาด หลังเริ่มประสบปัญหาขาดแคลน เผยกว่า 70% ขององค์กรขนาดใหญ่ยังใช้ภาษา COBOL โดยเฉพาะอุตสาหกรรมธนาคารและการเงิน ประกัน กองทุน โรงแรม โรงพยาบาล ที่มีการขยายธุรกิจต่อเนื่อง สวนทางกับจำนวน COBOL Programmer ที่เริ่มขาดแคลนมีจำนวนลดลง เผยผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา COBOL ทั่วโลกมีอายุเฉลี่ย 55 ปี และมีเพียง 30% มหาวิทยาลัยทั่วโลกที่เปิดสอนหลักสูตร เอ็นทีที เดต้าพร้อมพัฒนาบุคคลากรด้าน COBOL เล็งสนับสนุนพัฒนาด้านไอทีด้านอื่นป้อนตลาดแรงงานในปัจจุบันและอนาคต
นายโคทาโร่ โอชิโอะ กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนร่วมลงนามความร่วมมือร่วมกับมหาวิทยาลัยบูรพา ดำเนินโครงการ NTT DATA Critical Resource Preparation โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันพัฒนาศักยภาพและเพิ่มความพร้อมให้กับนักศึกษาเข้าสู่ตลาดงานและสร้างแรงงานคุณภาพด้านเทคโนโลยีให้กับประเทศ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนายกระดับอุตสาหกรรมการเงินของประเทศไทย โดยได้ร่วมมือกับ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ภายใต้โครงการ IBM Academic Initiative ในการพัฒนาความรู้และทักษะที่เกี่ยวกับ COBOL Programming, ระบบเมนเฟรมและไฮบริดคลาวด์ให้กับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ผ่านการมอบหลักสูตรการเรียนการสอนตลอดภาคเรียน การจัดอบรมให้ความรู้พร้อมแลกเปลี่ยนมุมมองกับคณาจารย์ รวมถึงมอบเครดิตการใช้คลาวด์ฟรีเพื่อให้นักศึกษาสามารถเข้าไปทดลองใช้ระบบจริงแบบเดียวกับที่ใช้ในโลกธุรกิจ
ทั้งนี้ เอ็นทีที เดต้า จะเข้าไปทำหน้าที่ด้านการสนับสนุนให้กับทางอาจารย์ ทั้งในด้านการตอบคำถามด้านเทคนิค รวมถึงความรู้เพิ่มเติมในด้านของภาษา COBOL เพื่อให้นักศึกษาสามารถเรียนจบหลักสูตรและพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ และนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการจะมีโอกาสได้ร่วมงานกับ เอ็นทีที เดต้า ช่วงฝึกงาน รวมไปถึงเมื่อจบจากมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าสู่ตลาดงานอย่างเต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยเองกำลังเผชิญหน้ากับการขาดแคลนบุคลากร COBOL Programmer เนื่องจากการใช้งานภาษา COBOL ในการประมวลผลบนคอมพิวเตอร์เมนเฟรม (Mainframe) ยังมีความเสถียร มีประสิทธิภาพสูง และข้อมูล Tech channel พบว่า 70% ขององค์กรขนาดใหญ่ ยังคงใช้งานระบบด้วยภาษา COBOL และธนาคารชั้นนําของโลก 45 ใน 50 แห่งยังใช้ COBOL ตัวอย่างเช่น ทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรมผ่านการรูดบัตร ATM ระบบจะรันเข้าสู่ศูนย์กลางด้วยภาษา COBOL 95% ของเวลาทั้งหมด และในหลายอุตสาหกรรมยังทำงานระบบด้วยภาษา COBOL อยู่โดยความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นจุดเร่ิมต้นการสนับสนุนพัฒนาบุคลากรด้านไอทีที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อตลาดแรงงานในปัจจุบันและอนาคต ไปพร้อมกับการการส่งเสริมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เข้าสู่สายอาชีพที่เป็นที่ต้องการของตลาดได้
รองศาสตราจารย์ ดร.วัชรินทร์ กาสลัก อธิการบดี มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า ความร่วมมือกันครั้งนี้นับเป็นการผนึกกำลังของสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีของประเทศไทยเพื่อสร้างแรงงานคุณภาพป้อนเข้าสู่ตลาดงานในประเทศและระดับโลก โดยเฉพาะบุคลากรด้าน COBOL Programmer ที่กำลังเข้าสู่สภาวะขาดแคลนทั่วโลกปัจจุบันคือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา COBOL ทั่วโลกมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 55 ปี และมีเพียงมหาวิทยาลัย 30% ทั่วโลกที่ยังคงบรรจุวิชาภาษา COBOL ไว้ในหลักสูตร ในประเทศไทยเองพบว่า หลายมหาวิทยาลัย ไม่ได้มีการหลักสูตรภาษา COBOL หรือบางมหาลัยเป็นเพียงวิชาเลือก เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีเก่า แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีความจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการเงินและการธนาคาร
“แม้ภาษา COBOL (Common Business Oriented Language) จะเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงที่ใช้งานมานานกว่า 60 ปี แต่ก็ยังมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับธุรกิจอุตสาหกรรมหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเงินและธนาคาร ประกันสังคม กองทุนรวม โรงแรม และโรงพยาบาล ที่เน้นใช้งานในระบบประมวลผลหลัก (Core system) ซึ่งต้องรองรับปริมาณงานในจำนวนมาก และ ประมวลผลอย่างถูกต้องและรวดเร็ว โดยใช้ระบบในการประมวลผลบนคอมพิวเตอร์เมนเฟรม (Mainframe) ประมวลผลธุรกรรมของแต่ละธุรกิจ ส่งผลให้ความต้องการ COBOL Programmer เพิ่มสูงขึ้นตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างต่อเนื่องไปทั่วโลก สวนทางกับจำนวนบุคลากร COBOL Programmer ที่มีจำนวนน้อยลงอย่างต่อเนื่อง”
A6884
ปั้นคน ‘เอไอ-ดาต้าไซน์ส-ไฮบริดคลาวด์’ พร้อมใช้ แก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศ
ไอบีเอ็มดึงการสนับสนุนระดับภูมิภาค ผุดโมเดล ‘สามประสาน’ เจาะลึกสร้างทักษะเข้มข้นเต็มหลักสูตร
ไอบีเอ็ม (NYSE: IBM) ประกาศร่วมแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรไอทีที่พร้อมทำงานของไทย โดยเฉพาะด้านเอไอ ดาต้าไซน์ส และไฮบริดคลาวด์ ที่มีความสำคัญต่อการรับมือดิสรัปชันทั้งในวันนี้และอนาคต ชี้การสร้างคนพร้อมใช้ที่ตอบโจทย์ตลาดคือทางออกที่ธุรกิจไทยต้องการที่สุดในเวลานี้ จับมือมหาวิทยาลัยและพันธมิตรทางธุรกิจเดินหน้าเปิดรายวิชา ยกระดับดึงการสนับสนุนจากสำนักงานใหญ่ไอบีเอ็ม เอเชียแปซิฟิค พร้อมประสานจุดแข็งของแต่ละฝ่าย นำผู้เชี่ยวชาญไอที-ธุรกิจร่วมถ่ายทอดความรู้
ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว จึงเกิดเป็นโมเดล ‘สามประสาน’ ที่ดึงจุดแข็งของไอบีเอ็ม มหาวิทยาลัยต่างๆ และพันธมิตรธุรกิจ เพื่อร่วมสร้างคนไอทีพร้อมใช้ที่จะเป็นที่ต้องการของโลกธุรกิจอย่างแท้จริง โดยไอบีเอ็มจะมอบหลักสูตรเต็มภาคเรียนด้านเอไอ ดาต้าไซน์ส ไฮบริดคลาวด์ นวัตกรรมบนระบบเมนเฟรม และการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ที่พัฒนาขึ้นจากความเชี่ยวชาญและความเข้าใจเชิงลึกด้านเทคโนโลยีและธุรกิจของไอบีเอ็ม ร่วมด้วยการถ่ายทอดความรู้ในมุมอุตสาหกรรมและบริบทจริงของธุรกิจจากอีโคซิสเต็มของคู่ค้า แก่สถาบันการศึกษาที่เน้นตอบโจทย์ความต้องการของตลาดงาน เบื้องต้นประกอบด้วย มหาวิทยาลัยบูรพา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น และจะมีมหาวิทยาลัยอื่นๆ เพิ่มเติมภายในปีนี้ โดยมีบริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นพันธมิตรที่ร่วมนำร่อง ก่อนจะขยายความร่วมมือสู่พันธมิตรทางธุรกิจรายอื่นๆ ต่อไป
“ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำในเอเชียแปซิฟิค ที่เราได้เห็นการเดินหน้าผลักดันโครงการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอย่างต่อเนื่อง และมีการนำเทคโนโลยีก้าวล้ำอย่างเอไอ ดาต้าไซน์ส และไฮบริดคลาวด์เข้ามาใช้ในโลกธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ผู้บริโภคไทยในวงกว้างก็เปิดรับและปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ ดังเห็นได้จากปริมาณการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 230% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา” นางสาวแอ็กเนส เฮฟท์เบอร์เกอร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของไอบีเอ็ม อาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเกาหลี (ASEANZK) กล่าว “วันนี้การขาดคนที่มีทักษะพร้อมสำหรับการทำงานกำลังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจของไทยและทั่วโลก ไอบีเอ็มตระหนักถึงปัญหานี้และพร้อมที่จะดึงทรัพยากร ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงอีโคซิสเต็มของคู่ค้าธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคที่มีประสบการณ์ เข้าร่วมแก้ปัญหาเร่งด่วนนี้ เพื่อช่วยประเทศไทยในการสร้างคนทำงานที่มีทักษะและความพร้อมอย่างแท้จริง”
“การรับมือกับปัญหาทักษะและความพร้อมของคนทำงานในแนวทางที่ยั่งยืน ย่อมไม่สามารถทำได้สำเร็จหากขาดความร่วมมือจากพันธมิตรที่มีประสบการณ์ในเชิงลึกทั้งจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม รวมถึงการร่วมผลักดันจากภาคการศึกษา ดังการสนับสนุนที่ได้รับจากกลุ่มมหาวิทยาลัยชั้นนำที่เริ่มนำร่องแล้วในวันนี้” นายสวัสดิ์ อัศดารณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย และ Managing Partner กลุ่มธุรกิจไอบีเอ็ม คอนซัลติง กล่าว “ความเร่งด่วนในวันนี้ ไม่ใช่แค่การพยายามสร้างคนจำนวนมากเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมั่นใจด้วยว่าคนที่จบออกมาจะมีทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจและพร้อมทำงานจริงๆ ไอบีเอ็มรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความร่วมมือจากทุกมหาวิทยาลัยในวันนี้ รวมถึงเอ็นทีที เดต้า ที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ร่วมนำร่อง โดยเราพร้อมขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย พันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงบริษัทไอทีอื่นๆ ในการร่วมผลักดันแก้ปัญหาสำคัญของประเทศในวงกว้างต่อไป”
ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่าไทยเป็นประเทศที่มีความพร้อมกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคในแง่การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ โดยเฉพาะในธุรกิจอีคอมเมิร์ซและฟินเทค โดยเทคโนโลยีดิจิทัลจะสามารถสร้างเงินทุนหมุนเวียนให้ประเทศไทยได้กว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขณะที่ World Economic Forum (WEF) คาดการณ์ว่าการปิดช่องว่างด้านทักษะทั่วโลก จะสามารถเพิ่ม GDP โลกได้ 11.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2571 โดยภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันในด้านการศึกษาและฝึกอบรม เพื่อให้ก้าวทันความต้องการของตลาด ความเปลี่ยนแปลงทางประชากร และความก้าวล้ำของเทคโนโลยีที่เดินหน้าไม่หยุดยั้ง
นอกจากการมอบหลักสูตรการเรียนการสอนตลอดภาคเรียน ที่ผ่านการคัดกรองให้ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรธุรกิจไทยแล้ว ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ไอบีเอ็มและพันธมิตรยังจะจัดอบรมให้ความรู้พร้อมแลกเปลี่ยนมุมมองกับคณาจารย์ รวมถึงมอบเครดิตการใช้คลาวด์ฟรีเพื่อให้นักศึกษาสามารถเข้าไปทดลองและฝึกใช้งานเทคโนโลยีเอไอ ดาต้าไซน์ส ไฮบริดคลาวด์ หรือแม้แต่ระบบเมนเฟรม ในแบบเดียวกับที่ใช้จริงในโลกธุรกิจ
A6834
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด