AIS Business เปิดตัว ‘AIS Cloud X’ ระบบนิเวศคลาวด์อัจฉริยะ ผนึกพาร์ทเนอร์ระดับโลก ร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์และแพลตฟอร์ม Cloud Native พร้อมประกาศความแข็งแกร่งสู่การเป็นผู้ให้บริการ Sovereign Cloud รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในงาน ‘AIS Business Cloud 2022’
ในช่วงที่ภาคธุรกิจต่างเดินหน้าทรานฟอร์มองค์กรเพื่อเพิ่มศักยภาพ ความรวดเร็วในการทำธุรกิจ รวมถึงรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจคาดเดาไม่ได้ โดยมีดิจิทัลเทคโนโลยีและโซลูชันเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้การทรานฟอร์มเกิดประสิทธิภาพสูงสุด AIS Business ในฐานะผู้นำด้านดิจิทัลโซลูชันสำหรับองค์กร จึงจัดงาน AIS Business Cloud 2022 งานสัมมนาทางด้านเทคโนโลยีคลาวด์ ภายใต้แนวคิด Compute | Connect | Complete เพื่อผลักดันให้ภาคธุรกิจไทยตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง และเทรนด์เทคโนโลยีอนาคตที่จะช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เพราะวันนี้ “คลาวด์ (Cloud)” คือเสาหลักสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พร้อมกันนี้ ยังได้เปิดตัว “AIS Cloud X” ระบบนิเวศคลาวด์อัจฉริยะ (Intelligent Cloud Ecosystem) ที่ระบบนิเวศคลาวด์ที่สมบูรณ์อย่างไร้รอยต่อ พร้อมช่วยธุรกิจให้สามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ รวมถึงแอปพลิเคชันและโซลูชัน ที่ต้องการการประมวลผลอย่างรวดเร็ว รองรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง (Critical Mission) และงานที่ต้องการความหน่วงต่ำ (Low Latency) รวมถึงการทำงานร่วมกับ VMware ในการเป็นพาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการ Sovereign Cloud รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนในการออกแบบระบบเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเก็บข้อมูลในประเทศ หรือมีการกำกับดูแลจากหน่วยงานเฉพาะ
สำหรับงาน AIS Business Cloud 2022 นับเป็นงานสัมมนาทางด้านเทคโนโลยีคลาวด์ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Compute | Connect | Complete โดยภายในงาน AIS Business ได้ประกาศความแข็งแกร่งของระบบนิเวศคลาวด์ ด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ อาทิ Microsoft, VMware, Veeam, Blendata, Opsta, Frontis Netbay เพื่อร่วมกันสร้างโซลูชันตอบโจทย์ให้ธุรกิจไทยก้าวข้ามความท้าทายในโลกดิจิทัลไปด้วยกัน
นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า “คลาวด์นับว่าเป็นหัวใจสำคัญที่องค์กรภาคธุรกิจต้องลุกขึ้นมาให้ความสำคัญอย่างจริงจัง เพราะจะช่วยให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็ว รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และบริบทใหม่ๆ ของโลกได้อย่างทันท่วงที การเปิดตัว AIS Cloud X ในวันนี้ จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการแพลตฟอร์มคลาวด์ ทั้ง Hybrid และ Multi-cloud พร้อมเชื่อมต่อ 5G และระบบนิเวศคลาวด์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องใช้แพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันในการให้บริการลูกค้าซึ่งต้องทำงานอยู่บนพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
“เพราะคลาวด์ คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยให้การทำ Digital Transformation ขององค์กรเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ AIS Business จึงมุ่งคิดค้นพัฒนาร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกเพื่อสร้าง Digital Ecosystem ให้สอดคล้องกับทิศทางและตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้วันนี้เรามีความพร้อมในการส่งมอบโซลูชันคลาวด์ที่มีความหลากหลาย ทั้งในเรื่องระบบประมวลผล Compute ที่ลูกค้าสามารถเลือกใช้ได้ตามโจทย์ทางธุรกิจที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังสามารถ Connect เชื่อมต่อการประมวลผลกับโครงข่าย 5G และ MEC และสุดท้ายจะช่วยให้ภาคธุรกิจ องค์กร ใช้งานโซลูชันคลาวด์ได้อย่าง Complete ยกระดับความสามารถขององค์กรให้พร้อมต่อความท้าทายใหม่ๆ ในบริบทโลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา” นายธนพงษ์ กล่าวในท้ายที่สุด
A9575
จันวาณิชย์ ผนึก SCB Academy ปั้นหลักสูตรพิเศษ เตรียมพร้อมบุคลากรของประเทศรับเทรนด์โลก
จันวาณิชย์ จับมือ SCB Academy สร้างหลักสูตรพิเศษให้แก่ผู้สนใจที่ต้องการเพิ่มพูนทักษะดิจิทัลแบบฟาสต์แทร็ค ใช้เวลาน้อยแต่ได้ผลลัพธ์ตรงเป้าทันต่อการเปลี่ยนแปลง มุ่งเน้นไปที่ 3 กลุ่มงานหลักที่จะเป็นอนาคตของตลาดแรงงานในอนาคต ได้แก่ ดิจิทัล ไอที และอีคอมเมิร์ซ
นายธนพล กองบุญมา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จันวาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทร่วมมือกับ SCB Academy เพื่อสร้างรูปแบบการเรียนรู้แบบใหม่ที่ผู้เรียนใช้เวลาน้อยลงแต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น สามารถทำงานจริงได้ ภายใต้ชื่อ “โครงการสร้างความร่วมมือพัฒนาบุคลากรที่มีศักยภาพสูงสู่องค์กร” โดยบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในประเทศให้แข็งแกร่ง สามารถแข่งขันได้ ภายใต้ความร่วมมือกับ SCB Academy โดยจะมุ่งเน้นหลักสูตรสำหรับกลุ่มงานหรือกลุ่มอาชีพที่เริ่มพัฒนาในระยะแรก ได้แก่ กลุ่มงานดิจิทัล กลุ่มงานไอที และกลุ่มงานอีคอมเมิร์ซ ซึ่งโครงการนี้ เป็นการร่วมมือกันของสององค์กรเพื่อพัฒนาหลักสูตรและแพลตฟอร์มการเรียนรู้ สำหรับพัฒนาบุคลากรด้วยความปรารถนาที่จะยกระดับทักษะดิจิทัลให้กับกำลังคนที่อยู่ในตลาดแรงงานในปัจจุบัน สร้างกำลังคนและบุคลากรดิจิทัลที่มีคุณภาพ และเตรียมความพร้อมด้านดิจิทัลให้แก่กลุ่มคนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานเพื่อเปิดโลกและสร้างโอกาสใหม่ๆ ในตลาดแรงงานแห่งโลกอนาคต
ทั้งนี้ จันวาณิชย์เติบโตมาจากโรงพิมพ์ด้านซีเคียวริตี้ และปรับตัวเข้าสู่งานไอที และงาน Trusted Service เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในยุคดิจิทัล ระยะเวลาที่ผ่านมา 101 ปี ทำให้จันวาณิชย์เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาและส่งเสริมบุคลากรโดยเฉพาะกลุ่มดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์งานในปัจจุบันและในอนาคต จึงได้สร้างแพลตฟอร์มเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับการจ้างงานปัจจุบัน โดยระบบจะมีการคัดกรองคนทั้งทางด้าน Soft skill และ Hard skill พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพบุคลากรเหล่านั้นให้แข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขัน สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันได้ นอกเหนือจากการพัฒนาแพลตฟอร์มเองแล้ว บริษัทฯ ยังมีการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพต่างๆ อีกมากมาย
นายวรวัจน์ สุวคนธ์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงาน SCB Academy ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวเสริมว่า โครงการสร้างความร่วมมือพัฒนาบุคลากรที่มีศักยภาพสูงสู่องค์กรระหว่าง SCB Academy และ บริษัท จันวาณิชย์ จำกัด เป็นโปรแกรมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลที่ถูกออกแบบเป็นพิเศษ ให้สามารถพัฒนาทักษะได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม อย่างน้อย 2-3 เท่า ทำให้สามารถเรียนจบได้ภายใน 3-6 เดือน และมีประสบการณ์ทำงานเทียบเท่ากับคนที่มีประสบการณ์การทำงาน 1-2 ปี โดยมีรูปแบบการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล (Personalization) มีเนื้อหาที่สั้นกระชับ และสามารถปรับให้เหมาะกับระดับความรู้ของแต่ละบุคคล เมื่อเรียนจบแล้วสามารถทำงานได้จริง ในองค์กรชั้นนำต่างๆ ในตำแหน่งที่เทียบเท่ากับคนที่มีประสบการณ์
หลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้จะถูกออกแบบขึ้นมาใหม่และไม่ได้เน้นไปที่ทักษะดิจิทัลเท่านั้นหากแต่ยังบูรณาการ ทักษะการเรียนรู้ (Learning How to Learn) ทักษะชีวิตหรือทักษะสำคัญแห่งโลกอนาคต (Essential Future Skills) และวิถีการทำงานแบบใหม่ (New Ways of Works) เพื่อให้ผู้ที่ผ่านหลักสูตรของโครงการมีทักษะที่รอบด้านและมีวิถีการทำงานที่สอดรับกับบริบทของโลกที่เปลี่ยนไปเพื่อให้ยังดำรงอยู่ได้ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปไวแค่ไหนตาม
โครงการนี้ ไม่เพียงแต่จะพัฒนาบุคลากรที่มีศักยภาพสูงสู่องค์กรเท่านั้นแต่ยังเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับกำลังคนของไทยให้สอดคล้องกับทิศทางของร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) หมุดหมาย ที่ ๑๒ “ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต” ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภายใต้เป้าหมายหลัก “การพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่” ซึ่งก็คือโลกยุคดิจิทัลอีกด้วย
A9373
มิว สเปซ เผยแผนรุกธุรกิจในช่วง 10 ปีแรก ประกาศเดินหน้าสร้าง Space Supply Chain รายใหญ่ใน SEA
บริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด [mu Space Corp] ผู้ผลิตชิ้นส่วนการบินและอวกาศ และผู้ให้บริการการสื่อสารผ่านดาวเทียม เผยแนวทางรุกธุรกิจช่วง 10 ปีแรก ประกาศเดินหน้าลงทุนสร้างเครือข่ายอุตสาหกรรมอวกาศ มุ่งเป็นผู้นำรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างเครือข่ายด้านวัสดุอุปกรณ์และสินค้าเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอวกาศทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจรดปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็น การจัดหาวัสดุผลิตดาวเทียม การจัดหาชิ้นส่วนอวกาศ การสร้างอุปกรณ์ ไปจนถึงประกอบออกมาเป็นสินค้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังเตรียมรุกธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่นๆ หลายด้าน ทั้งนี้ ได้รับความสนใจทั้งจากสื่อมวลชน และองค์กรต่างๆ เป็นจำนวนมาก
นายเจมส์ วรายุทธ เย็นบำรุง กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทมิว สเปซ เปิดเผยว่า “มิว สเปซ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในด้านการพัฒนาดาวเทียมและระบบพลังงานประสิทธิภาพสูง (High Power System) โดยทำให้เล็งเห็นความสำคัญในลงทุน 3 ด้าน ที่เป็นส่วนสำคัญที่ต่อยอดให้เกิดการสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมอวกาศ ได้แก่ Human Capital Knowledge (องค์ความรู้), Equipment & Machinery (เครื่องมือและเครื่องจักร) และ Raw Material (วัสดุอุปกรณ์และสารเคมี) อีกทั้ง ยังต้องได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะก่อนให้เกิดเครือข่ายในอุตสาหกรรมอวกาศได้อย่างยั่งยืน ด้วยเหตุนี้ มิว สเปซ จึงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่ม Start Up รุ่นใหม่ ให้ได้รับประสบการณ์และความรู้ที่ดี เพื่อที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมอวกาศอย่างมั่นคง พร้อมมีส่วนช่วยในการขยายตลาดในอุตสาหกรรมอวกาศได้เติบโตอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
จากรายงานเศรษฐกิจเกี่ยวกับธุรกิจด้านอวกาศ ได้มีสื่อมวลชนรายใหญ่และกลุ่มนักวิเคราะห์ระดับชั้นนำ ประเมินมูลค่าอุตสาหกรรมอวกาศทั่วโลก มีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยภายในปี 2569 จะเติบโตจากมูลค่า 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มไปถึง 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีส่วนผลักดันให้ประเทศไทย กลายเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายด้านอุตสาหกรรมอวกาศ อันเป็นปัจจัยบวกทั้ง ด้านเศรษฐกิจ, ด้านการศึกษา, ด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ด้านการสร้างอาชีพและการจ้างงาน อีกทั้ง ขยายผลลัพธ์เชิงบวกให้กระจายขยายเป็นวงกว้าง ครอบคลุมไปจนถึงระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับการแถลงข่าว “Thailand Space Supply Chain 10 ปี กับแผนเดินหน้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมอวกาศเต็มรูปแบบ” ที่จัดขึ้นครั้งนี้ ได้ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากองค์กรระดับชั้นนำ ได้แก่ AIRBUS บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนการบินระดับโลก โดยยินดีสนับสนุนและมีบทบาทร่วมสร้าง Space Supply Chain ให้เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA ได้กล่าวถึง “New Space Economy หรือ การสร้างเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอวกาศว่า ขณะนี้ บทบาทได้พลิกจากเดิมที่มีเพียง “ภาครัฐบาล” หรือ “ประเทศมหาอำนาจ” เป็นผู้ดำเนินการหลักเท่านั้น มาสู่กลุ่มภาคเอกชน ซึ่งเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ. นับได้ว่าเป็นองค์กรหลักที่มีส่วนในการสนับสนุนและผลักดัน New Space Economy ในการพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศ พร้อมทั้งผลักดันนโยบายรัฐบาลผ่าน (ร่าง) แผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ (พ.ศ. 2566 - 2580) ซึ่งนำเสนอแนวทางในการสร้าง Thailand Space Supply Chain สู่การเป็นอุตสาหกรรมอวกาศเต็มรูปแบบ”
สำหรับ การสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมด้านอวกาศ หรือ Space Supply Chain ให้มีความสมบูรณ์และครบวงจรอย่างแท้จริง ปกติต้องใช้ระยะเวลากว่า 30 - 40 ปี ในขณะที่ มิว สเปซ เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นในจุดยืน ที่จะสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมด้านอวกาศอย่างจริงจัง ประกอบกับได้รับการสนับสนุน จากกลุ่มนักลงทุนที่เล็งเห็นโอกาสในอุตสาหกรรมนี้ อาทิ นักลงทุนชั้นนำอย่างบริษัท บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ - อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าเอกชนของไทย รวมถึงบริษัท Majuven Fund พร้อมกลุ่มนักธุรกิจเอกชนต่างๆ เช่น ผู้บริหารจากมูลนิธิมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) รวมทั้งนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอีกมากมายทั้งในและต่างประเทศ ส่งผล มิว สเปซ สามารถสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมด้านอวกาศ หรือ Space Supply Chain ได้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
ผู้สนใจ สามารถรับชมภายในโรงงานบริษัท มิว สเปซ ได้ที่ https://www.facebook.com/muSpaceTech/videos/1272137476855975/
A9203
TICTA 2022 โชว์ผลงานพร้อมสู่เวทีนานาชาติ
เอทีซีไอโชว์ศักยภาพผลงานเทคโนโลยีดิจิทัลไทยใน TICTA2022 มอบรางวัลชนะเลิศ 11 ผลงานและรองชนะเลิศ 18 ผลงานจากจำนวนร่วมแข่งขัน 165 ผลงาน ผลักดันการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัลในระดับนานาชาติ
โครงการประกวดซอฟต์แวร์ดีเด่นแห่งชาติ Thailand ICT Awards (TICTA) เป็นโครงการที่สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (เอทีซีไอ) ได้จัดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2546 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับนานาชาติ และยังผลักดันให้ผู้ประกอบการเกิดการแลกเปลี่ยนความร่วมมือ สร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัลและองค์กรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ที่สำคัญยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมต้น ถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยเข้าร่วมแข่งขัน เพื่อเรียนรู้ต่อยอดศักยภาพและแรงบันดาลใจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในระดับสากล TICTA2022 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “The partnership to accelerate and uplift Thailand Digital entrepreneur”
นายสุภัค ลายเลิศ นายกสมาคมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย ประธานในพิธีมอบรางวัล TICTA2022 กล่าวว่า “TICTA เป็นโครงการการประกวดที่เฟ้นหาผลงานที่ดีเด่นของไทยไปแข่งขันในเวทีนานาชาติ และต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลไทยในการสร้างพันธมิตรเพื่อต่อยอดทางธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อีกทั้งเป็นการสร้างแรงบัลดาลใจให้แก่นักกเรียน นักศึกษาที่มีผลงานที่โดดเด่น
เอทีซีไอขอขอบคุณผู้สนับสนุนทุกท่านสำหรับการดำเนินโครงการ Thailand ICT Awards ในปีนี้ ซึ่งแสดงถึงการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาส่งเสริมเทคโนโลยีดิจิทัลและอุตสาหกรรมโดยภาพรวม การดำเนินโครงการในปีนี้ได้รับผลตอบรับอย่างดี มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมแข่งขันจำนวน 165 ผลงาน โดยมีผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ 11 ผลงาน และรางวัลรองชนะเลิศ 18 ผลงาน”
A9201
ปักหมุด 5 กลยุทธ์ไอทียุค Next Normal กับวีเอ็มแวร์
โดย นครินทร์ เทียนประทีป
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
บริษัท ยิบอินซอย จำกัด
เมื่อวิกฤตโควิด-19 กำลังผ่านพ้นไปพร้อมกับความปกติใหม่ (New Normal) กำลังถูกแทนที่ด้วยความปกติถัดไป (Next Normal) ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลกลายเครื่องมือสื่อสารต่อวิถีชีวิตและการขับเคลื่อนธุรกิจ ดังนั้น ทุกองค์กรจึงควรเตรียมพร้อมกับการกำหนดกลยุทธ์ไอทีเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในก้าวต่อไป
เดินหน้าต่อกับมัลติ-คลาวด์ (Multi-Cloud)
แม้องค์กรจะยังจำกัดตัวเองไว้ที่ไฮบริดคลาวด์ แต่มัลติ-คลาวด์ดูจะเป็นคำตอบที่ตรงจุดหากต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นจริงในอนาคต เพื่อรับมือปริมาณงานและอุปกรณ์สื่อสาร (Network Edge) ภายใต้แอปพลิเคชันหลากหลายโดยคอนเทนเนอร์และไมโครเซอร์วิสมากขึ้น ความท้าทายจึงอยู่ที่การสร้างสภาพแวดล้อมเวอร์ช่วลไลเซชันที่ผสานการทำงานของคลาวด์ทุกประเภท วีเอ็มแวร์ หนึ่งในผู้นำการพัฒนาเทคโนโลยีเวอร์ช่วลไลเซชันกล่าวว่า การใช้ ซอฟต์แวร์ (Software-defined) ในการบริหารทรัพยากรฮาร์ดแวร์ ได้แก่ เซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ และเน็ตเวิร์ค เพื่อมุ่งสู่ Hyper-Converged ภายใต้การจัดการแบบเวอร์ช่วล ถือเป็นหัวใจหนึ่งของความสำเร็จในการพัฒนาคลาวด์ ตัวอย่างเช่น VMware vSphere ซอฟต์แวร์ที่พัฒนามาเพื่อจัดการกับเวอร์ช่วลเซิร์ฟเวอร์ และร่วมกับ vMotion ในการยกย้ายและบริหารจัดการเวอร์ช่วลแมชชีนต่างๆ VMware vSAN ในการบริหารจัดการสตอเรจ หรือ การสร้างเวอร์ช่วลเน็ตเวิร์คโดย VMware NSX หรือ จะปรับเปลี่ยนอินฟราสตรัคเจอร์คลาวด์แบบจัดเต็มทุกฮาร์ดแวร์ด้วย VCF (VmWare Cloud Foundation) เพื่อเสริมบริการธุรกิจผ่านคลาวด์ และเกิดการใช้ทรัพยากรไอทีร่วมกันอย่างเป็นระบบ คุ้มค่าบนความปลอดภัยแบบ Zero-trust การเพิ่มเติมเทคโนโลยี HCX (Hybrid Cloud Extension) ที่ช่วยขยับขยายคลาวด์แบบ On-prem ขึ้นไปยังคลาวด์ระดับโกลบอล(Global Cloud) เช่น อเมซอนเว็บเซอร์วิส ไมโครซอฟท์อาซัวร์ หรือกูเกิล ที่มีการใช้งานต่างเวอร์ชันได้อย่างปลอดภัย ประหยัดทั้งเงินและเวลา เป็นต้น
ไม่ตกยุคเรื่องแอปพลิเคชัน (App Modernization)
เชื่อว่าองค์กรขณะนี้กำลังเผชิญการจัดการปริมาณงานจากแอปพลิเคชันที่มาจากสภาพแวดล้อมการทำงานเดิม บนเวอร์ช่วลแมชชีน และคลาวด์-เนทีฟ โดย เทคโนโลยีคอนเทนเนอร์ (Container) จะเข้ามาช่วยให้เกิดความมั่นคงในการพัฒนาแอปพลิเคชันตามแนวทาง DevOps ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตัวแอปพลิเคชันที่มีน้ำหนักเบาทำให้ย้ายตัวเองไปยังคลาวด์ประเภทต่างๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะเทคโนโนลยีไมโครเซอร์วิสในการเขียน Docker File ที่ระบุคำสั่งและการใช้งานในการสร้างอิมเมจเพื่อไปรันบนคอนเทนเนอร์แบบครบสมบูรณ์ในตัวเองจึงมีความปลอดภัยสูง รวมถึง คูเบอร์เนเตส (Kubernetes) ที่พร้อมบริหารจัดการกรณีมีการใช้งานคอนเทนเนอร์ปริมาณมากๆ ในองค์กร ซึ่ง VMware Tanzu เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยบริหารการพัฒนาแอปพลิเคชันบนคอนเทนเนอร์ได้สอดคล้องกับทุกสภาพแวดล้อมการทำงานบนคลาวด์ การจัดการกับคลัสเตอร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแอปพลิเคชัน คอยสอดส่องและปรับปรุงอินฟราสตรัคเจอร์ให้ทันสมัยและพร้อมต่อการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ๆ อยู่เสมอ
เหนือกว่าด้วยเวอร์ช่วลเน็ตเวิร์ค (Virtual Cloud Network)
อุปกรณ์เน็ตเวิร์คแบบแยกส่วนการทำงาน (Desperate Network Stack) กำลังถูกแทนที่ด้วยแพลตฟอร์มแบบเวอร์ช่วลเพื่อให้องค์กรมองเห็นเสมือนเป็นระบบเน็ตเวิร์คเดียวกัน เกิดการจัดการและรักษาความปลอดภัยที่ง่ายและมีประสิทธิภาพกว่าด้วยเครื่องมือเดียว โดยรองรับการทำงานได้หลากหลาย ทั้งเวอร์ช่วลแมชชีน คอนเทนเนอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และคลาวด์ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยี VMware NSX ที่มาพร้อมการจัดการไฟร์วอลล์แบบเบ็ดเสร็จในระดับเวอร์ช่วลแมชชีน จะช่วยลดปัญหาคอขวดของการบริหารเส้นทางจราจรของปริมาณงานและข้อมูลของไฟร์วอลล์หลักที่เชื่อมออกไปยังภายนอก ขึ้นสู่คลาวด์ หรือภายในดาต้าเซ็นเตอร์เอง ตลอดจนกำจัดจุดอ่อนความปลอดภัยโดยฝังระบบตรวจจับและป้องกันผู้บุกรุก (IDS และ IPS) ไว้ในไฮเปอร์ไวเซอร์ เทคโนโลยี AVI Load Balancer ในกาจัดการทรัพยากรตัวหลัก (Active) และสำรอง (Standby) เพื่อปรับเพิ่มหรือลดการใช้งานตามความเหมาะสมได้โดยอัตโนมัติ
รับมือการทำงานได้จากทุกที่ (Anywhere Workspace)
วีเอ็มแวร์ได้เผยตัวเลขว่า 74% ของพนักงานมีการทำงานแบบไฮบริดร่วมกันระหว่างเข้าออฟฟิศและทำงานจากบ้าน ขณะที่ 84% ตการจัดหาเครื่องมือที่ชาญฉลาดสำหรับการทำงานแบบดิจิทัลมากขึ้น ดังนั้น องค์กรจึงต้องมีโซลูชันที่ดีพอในการจัดการทรัพยากรที่รวดเร็ว การปกป้องข้อมูลและควบคุมการเข้าถึงแอปพลิเคชันจากอุปกรณ์ต่างๆ ได้ดี อย่างไรก็ตาม การทำงานบนสภาพแวดล้อมและแอปพลิเคชันใหม่ๆ จากทุกที่ ทำให้กรอบความปลอดภัยเดิมที่เคยควบคุมได้หายไป VMware Workspace One จึงเป็นแพลตฟอร์มการทำงานดิจิทัลที่จะช่วยองค์กรในการควบคุมคุมการเข้าถึงแอปพลิเคชันจากทุกอุปกรณ์ และมี VMware Horizon ตัวช่วยในการบริหารจัดการเวอร์ช่วลเดสก์ท็อปและเวอร์ช่วลแอปพลิเคชันให้กับการทำงานทางไกล รวมถึงกำหนดแนวทางความปลอดภัยที่เหมาะสมกับผู้ใช้งาน รวมถึง UEM (Unified Endpoint Management) ในการกำหนดกรอบนโยบายและจัดทรัพยากรที่เหมะสมปลอดภัยสำหรับเครื่องใช้งานปลายทาง ตลอดจนมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ปัญหาการใช้งานเวอร์ช่วลเดสก์ท็อปและเน็ตเวิร์คที่ลงลึกถึงรากของปัญหา (Root-cause Analysis)
ครบทุกมิติด้วยความปลอดภัย (Intrinsic Security)
โลกดิจิทัลทำให้องค์กรต้องมีมุมมองความปลอดภัยไอทีที่กว้างขึ้น วีเอ็มแวร์แนะว่า การสร้างระบบความปลอดภัยที่เข้มแข็งจะต้องครอบคลุม 5 เป้าหมายสำคัญ ได้แก่ 1.เครื่องใช้งานปลายทาง (Endpoint) 2.ปริมาณงาน (Workloads) ที่เกิดจากแอปพลิเคชันหรือกระบวนการพัฒนา (DevOps) 3. คลาวด์ 4.เน็ตเวิร์ค และ 5.ระบบระบุตัวตน (Identity System) ส่วน 3 แนวทางการจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูง คือ 1.จัดหาอุปกรณ์ที่ฝังระบบความรักษาปลอดภัยในตัว 2.ปรับเปลี่ยนระบบความปลอดภัยที่เคยแยกส่วนทำงาน (Silo) มาเป็นการบริหารแบบองค์รวม (Unified) และ 3.ไม่จำกัดการสอดส่องเฉพาะภัยคุกคามไซเบอร์ (Threat Centric) อย่างมัลแวร์ แรนซั่มแวร์ แต่ต้องมองถึงบริบทโดยรอบ (Context Centric) เช่น พฤติกรรมที่ผิดปกติโดยผู้ใช้งาน เพื่อครอบคลุมทุกความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด โดย VMware Carbon Black จะช่วยองค์กรป้องกัน ตรวจจับ และตอบโต้ความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้งานไม่ว่าจะเป็นเวอร์ช่วลไลเซชัน แอปพลิเคชัน คอนเทนเนอร์ คลาวด์ เป็นต้น ซึ่งเน้นการตรวจสอบเชิงลึกและสร้างระบบจัดการความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ข้ามไปมาระหว่างแอปพลิเคชันและคลาวด์ต่างๆ ขณะที่ VMware SASE จะมาเสริมการจัดการความปลอดภัยด้านเน็ตเวิร์คชนิดครบจบในโซลูชันเดียว ไม่ว่าจะเป็นเกตเวย์ SD-WAN เราเตอร์ วีพีเอ็น แอนตี้ไวรัส ความปลอดภัยในการใช้งานเว็บ คลาวด์ หรือการเข้าสู่ระบบของผู้ใช้งาน เป็นต้น
ด้วย 5 กลยุทธ์ไอทีและเทคโนโลยีจากวีเอ็มแวร์ จะทำให้องค์กรสามารถเดินหน้าธุรกิจยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย
A81110
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด