NTT DATA เปิด 3 ความท้าทายของโลกการตลาดยุคใหม่ ชี้ Digital Experience หนทางมัดใจผู้บริโภคยั่งยืน
บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้เครือบริษัท เอ็นทีที เดต้า คอร์ปอเรชัน จำกัด ผู้นำด้านธุรกิจดิจิทัลและบริการด้านไอทีชั้นนำระดับโลก เปิด 3 ความท้าทายแห่งโลกการตลาดยุคใหม่ และงานศึกษาถึงบทบาทของการสร้างประสบการณ์ลูกค้าปัจจุบันใน Innovation Index report พร้อมแนะเทคนิคการสร้าง Digital Experience หัวใจสำคัญในการสร้างความสำเร็จของ Digital Marketing เริ่มจากกลยุทธ์ที่ชัดเจน ช่วยตีกรอบกระบวนการทำงาน (Workflow) นำไปสู่การออกแบบช่องทางการสื่อสาร การออกแบบสุนทรียภาพทางสายตา (Visual Design) เพื่อมัดใจลูกค้า รวมถึงการสร้าง Digital Channel ที่มีประสิทธิภาพเข้าถึงอินไซด์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล ไปพร้อมกับการบริหารจัดการระบบและการวัดผลเพื่อการพัฒนาระบบต่อเนื่อง สนับสนุนองค์กรและแบรนด์สร้างประสบการณ์ที่ดีและให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์ต่อเนื่องกับแบรนด์อย่างยั่งยืน
นายฮิโรนาริ โทมิโอกะ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า องค์กรและแบรนด์ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับ 3 ความท้าทายในสมรภูมิการตลาดดิจิทัล ประกอบไปด้วย
1) การแข่งขันเพื่อสร้างประสบการณ์ และคุณค่าให้กับลูกค้า โดยจะต้องเข้าใจในความคาดหวังที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น (Individual Expectation) เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าและสร้างบทบาทการแข่งขันในตลาด
2) ลูกค้าตัดสินใจรวดเร็วขึ้น องค์กรและแบรนด์จำเป็นต้องเข้าถึง และทำความเข้าใจลูกค้าในข้อมูลเชิงลึกให้รวดเร็วและเรียลไทม์มากที่สุด จึงต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อเก็บข้อมูลผ่านช่องทางการตลาดที่หลากหลาย และมีความถูกต้องแม่นยำมากที่สุด
3) ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ หรือใช้บริการอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงชีวิตของการเป็นลูกค้า จำเป็นต้องเร่งเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นองค์ความรู้ให้เร็วที่สุด และนำไปสู่การปฏิบัติ ลงมืออย่างแท้จริง
อ้างอิงจากงานศึกษาของ เอ็นทีที เดต้า Innovation Index report พบว่า 66% ของผู้บริหารระดับสูงล้วนให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก และ 60% ขององค์กรที่มีการพัฒนาแอปพลิเคชันกล่าวว่าพวกเขาเห็นคุณค่าในการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน
“การปรับปรุง Digital Experience ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำ Digital Marketing ให้ประสบผลสำเร็จ นับเป็นสิ่งสำคัญในการผลักดันธุรกิจในปัจจุบัน และช่วยให้องค์กรสามารถเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคผ่านทุกๆ ช่องทางดิจิทัล (Digital Channel) ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ ผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท การตัดสินใจ การซื้อ การรักษาลูกค้า และการกลับมาซื้อซ้ำ ซึ่งการพัฒนาช่องทางดิจิทัลให้มีความหลากหลายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า จำเป็นต้องมีการวัดผลการทำงานของแต่ละช่องทางการตลาด เพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงานทางธุรกิจ รวมถึงการต่อยอดนำข้อมูลไปวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อนำไปพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด โดยองค์กรและแบรนด์ต้องวางแผน ตั้งวัตถุประสงค์ และเป้าหมายการทำ Online Marketing ที่ชัดเจน เพื่อนำมาซึ่งการวัดผลกระทบของช่องทางดิจิทัลต่อธุรกิจ และช่วยตัดสินใจลงทุนในช่องทางดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพและได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงสุด
อย่างไรก็ดี จากประสบการณ์การทำงานกับบริษัทชั้นนำทั่วโลก เราพบว่าหัวใจสำคัญของการให้บริการลูกค้า และพัฒนา Digital Experience คือ ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรกก่อนจะเลือกและนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ (Put your customer first, technology second)” ทางเอ็นทีที เดต้า ได้รวบรวมประสบการณ์พัฒนาบริการช่วยให้องค์กรทั่วโลกสร้าง Digital Experience ได้ประสบผลสำเร็จและมีประสิทธิผล ดังต่อไปนี้
1. Omnichannel Strategy & Digital Experience Advisory การให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ ช่วยค้นหาและกำหนดกลยุทธ์สำหรับการสร้างประสบการณ์ดิจิทัลของลูกค้าจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
2. Experience Design บริการออกแบบ ตั้งแต่กระบวนการทำงาน (Workflow) ช่องทางการสื่อสาร รวมถึงการออกแบบสุนทรียภาพทางสายตา (Visual Design) เพื่อดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย
3. Performance Management เป็นการติดตามผลการดำเนินงาน การวัดผลเพื่อพัฒนาระบบ Digital Marketing ที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน ตามเป้าหมายทางธุรกิจ
เมื่อไม่นานมานี้ เอ็นทีที เดต้า ได้วางกลยุทธ์พัฒนา Digital Experience ให้ค่ายรถยนต์ EV ชั้นนำจากประเทศเยอรมัน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ด้วยการพัฒนาแพลทฟอร์มเพื่อรองรับการเข้าถึงของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่การสร้างระบบสมาชิก, ระบบ Marketing Automation, ระบบจัดการ Content (Content Management System: CMS) ระบบบริหารจัดการสินทรัพย์ทางดิจิทัล (Digital Asset Management), ระบบ e-Commerce เพื่อรองรับการซื้อ-ขาย และการชำระเงินได้หลายรูปแบบ, ระบบจัดการกลุ่มเป้าหมาย (Lead Management) ระบบดูแลลูกค้าหลังการขาย (Customer Service Center) และ การประเมินวัดผลภายหลังการบริการ (Evaluation Center) เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดี เอ็นทีที เดต้า สามารถช่วยพัฒนาระบบควบคุมแบบปิด สำหรับทราฟฟิคของไพรเวทโดเมน เพื่อเติมเต็มการทำงานของการตลาดออนไลน์ พัฒนาระบบ Customer Loyalty เพื่อให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์ต่อเนื่องกับแบรนด์อย่างยั่งยืน รวมถึง Unified Content Center และ Unified Digital Asset Center ผ่านช่องทางขององค์กรที่หลากหลาย และสร้างแบบจำลองการวิเคราะห์ข้อมูลผ่าน Omni-channel ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติงานประจำวันได้ รวมถึงการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดให้มีความคล่องตัว และตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
A91017
ดร.รอยล จิตรดอน คว้า ‘รางวัลรัตนราชสุดาสารสนเทศ’ ประจำปี 2564 รางวัลเกียรติคุณสูงสุดสำหรับบุคลากรทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีองค์ประธานที่ปรึกษามูลนิธิรางวัลรัตนราชสุดาสารสนเทศ พระราชทาน “รางวัลรัตนราชสุดาสารสนเทศ” ครั้งที่ 2 (ประจำปี 2564) ให้แก่ ดร.รอยล จิตรดอน บุคคลผู้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแก่สังคมส่วนรวมและประเทศชาติ อันมีผลงานเป็นที่ประจักษ์และเป็นรูปธรรม ในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศขั้นสูงมาบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ช่วยพลิกชีวิตความเป็นอยู่และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน รางวัลพระราชทาน ประกอบด้วย เงินรางวัล 2,000,000 บาท เข็มเชิดชูเกียรติทองคำและโล่พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ
ดร.รอยล จิตรดอน เป็นผู้มีผลงานและเกียรติประวัติด้านการบริหารจัดการข้อมูลทรัพยากรน้ำในอันดับสูงสุดของประเทศไทย เป็นผู้ริเริ่มดำเนินโครงการศึกษาวิจัยเรื่อง “การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชน” โดยพัฒนาระบบ Weather 901 เพื่อส่งข้อมูลสภาพภูมิอากาศทั้งในและต่างประเทศ ด้วยระบบออนไลน์ แบบเรียลไทม์ ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ ปริมาณฝน และทิศทางลม เพื่อเตรียมการวางแผนช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที ปัจจุบันพัฒนาจนเกิดเป็น “คลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ” ซึ่งเป็นระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำยุคใหม่ของประเทศ ที่อาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศขั้นสูง ผนวกกับฐานข้อมูล ฐานความรู้ และฐานงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ วิทยาการข้อมูล การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่ทันสมัย ระบบนี้เปิดให้บริการแก่ทุกคนผ่านเว็บไซต์ www.thaiwater.net และ Mobile Application ชื่อ ThaiWater ซึ่งไม่เพียงแต่หน่วยงาน องค์กรต่างๆ จะนำไปใช้แล้ว ประชาชนทั่วไปยังสามารถเข้าถึงข้อมูล ติดตามสถานการณ์น้ำและสภาพอากาศด้วยตนเองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ ดร.รอยล ยังมีผลงานการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น ระบบโทรมาตรเคลื่อนที่ ขนาดเล็ก, Data GRID และ Geographical Information Infrastructure เป็นต้น รวมถึงได้ดำเนินโครงการตามแนวพระราชดำริในด้านการจัดการทรัพยากรน้ำในชุมชน ตามหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักสำคัญ คือ การแก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งควบคู่กัน ในการพัฒนาพื้นที่ในเขตชลประทานให้เกิดความมั่นคงด้านน้ำ และพัฒนาโครงสร้างขนาดเล็ก จัดการน้ำของชุมชนในพื้นที่นอกเขตชลประทาน ส่งเสริมการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนด้วยยุทธศาสตร์ และมาตรการที่หลากหลายอย่างเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และนำมาบูรณาการการพัฒนาทั้งด้านน้ำ การเกษตร และพลังงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ที่สำคัญคือการดำเนินงานร่วมกันระหว่างชุมชนและเครือข่ายท้องถิ่น ทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมเกิดความสมดุล นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ด้วยหลักการเข้าใจชุมชน เข้าใจธรรมชาติ การมีแนวคิดในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบของ ดร.รอยล ผสานกับการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อช่วยสนับสนุนการดำเนินงานการจัดการน้ำชุมชน ช่วยพลิกชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน ทำให้ชุมชนมีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภค บริโภค และเหลือใช้สำหรับพื้นที่เกษตร สามารถเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี และมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางธรรมชาติที่ช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน จึงทำให้ชุมชน สามารถรอดพ้นจากปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม และแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืน ปัจจุบัน ดร.รอยล ดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน) รวมถึงการเป็นกรรมการ อนุกรรมการ ในมูลนิธิและหน่วยงานเพื่อการพัฒนาชุมชนและสังคมอีกหลายหน่วยงาน
ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ประธานกรรมการมูลนิธิรางวัลรัตนราชสุดาสารสนเทศ กล่าวว่า “มูลนิธิรางวัลรัตนราชสุดาสารสนเทศได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานชื่อมูลนิธิฯ และพระราชทานพระราชานุญาตให้เชิญอักษร พระนามาภิไธย “ส.ธ.” ประดับที่ตราสัญลักษณ์ของมูลนิธิฯ และพระราชทานชื่อรางวัลว่า “รางวัลรัตนราชสุดาสารสนเทศ” นับเป็นมงคลอย่างยิ่ง
รางวัลนี้ ถือว่าเป็นรางวัลสูงสุดทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของคนไทย เพื่อคนไทย ซึ่งยังไม่เคยมีองค์กรใดในประเทศไทยจัดมาก่อน และ ดร.รอยล เป็นผู้ได้รับรางวัลเป็นคนที่สอง นับจากการเปิดตัวรางวัลนี้ในปีพ.ศ. 2563 ซึ่งผู้ได้รับเกียรติยศในปีนั้น คือ ศาสตราจารย์ ดร. ไพรัช ธัชยพงษ์ ด้วยมูลนิธิเล็งเห็นถึงความสำคัญของบุคลากรทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงได้จัดรางวัลนี้ขึ้น เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่บุคลากรทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในการเดินหน้ามุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นคุณประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ รวมถึงเป็นแบบอย่างและมีส่วนผลักดันให้เกิดนักคิด นักพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศให้มีมากขึ้น อันจะเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย รางวัลนี้จึงเป็นการประกาศเกียรติคุณ ยกย่อง เชิดชูเกียรติบุคลากรคนไทย ไม่ว่าจะอยู่ในภาครัฐหรือเอกชน ที่ทุ่มเทแรงกายและความสามารถมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เสียสละ มีความเป็นเลิศด้านการคิดค้น พัฒนา ประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงมีส่วนสำคัญในการสร้างผลงาน สิ่งประดิษฐ์ หรือนวัตกรรม และวางรากฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง และก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การศึกษา ฯลฯ ในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้านอย่างมีนัยสำคัญ ก่อให้เกิดคุณูปการอย่างใหญ่หลวงแก่สังคมส่วนรวมและประเทศชาติ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะต่อผู้ด้อยโอกาส เยาวชน และผู้สูงอายุ
ทุกปี มูลนิธิรางวัลรัตนราชสุดาสารสนเทศ ได้เชิญชวนหน่วยงาน องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน มูลนิธิ สมาคม สถาบันการศึกษา เสนอชื่อบุคคลที่สมควรได้รับรางวัลมายังมูลนิธิฯ คณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 7 ท่าน โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย เป็นประธาน และคณะกรรมการมูลนิธิฯ 11 ท่าน ซึ่งมีผมเป็นประธาน ได้พิจารณากลั่นกรองอย่างเข้มข้น และมีมติให้ดร.รอยล จิตรดอน เป็นผู้สมควรได้รับ “รางวัลรัตนราชสุดาสารสนเทศ” ประจำปี 2564 ผลงานการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศของ ดร.รอยล ก่อให้เกิดคุณูปการอย่างใหญ่หลวงแก่สังคมส่วนรวมและประเทศชาติ อันมีผลงานเป็นที่ประจักษ์และเป็นรูปธรรม ครอบคลุมหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศขั้นสูงมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำของชุมชน ช่วยพลิกชีวิตความเป็นอยู่และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ช่วยให้ผู้ด้อยโอกาสในชุมชนได้มีอาชีพ มีรายได้จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ก่อให้เกิดผลกระทบที่ดีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นบุคคลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นต้นแบบของการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยแท้จริง และเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะได้รับรางวัลรัตนราชสุดาสารสนเทศ”
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าดูได้ที่ Website มูลนิธิ Ratanarajasuda Information Technology
Award Foundation www.rita.or.th
A9871
รู้ทัน 5 กลโกงมิจฉาชีพบนแอป LINE พร้อมแนะ 5 วิธีรับมือช่วยเช็คก่อนเชื่อ ไม่เป็นเหยื่อกลโกง
นับวันกลโกงมิจฉาชีพที่แฝงตัวอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการใช้ชีวิตอยู่บนโลกดิจิทัลจนกลายเป็นวิถีชีวิตปกติ จนหลายคนเผลอ หลวมตัวตกเป็นเหยื่อ เพราะเหล่ามิจฉาชีพต่างก็งัดกลเม็ดมาหลอกได้อย่างแนบเนียน ขณะที่หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็พยายามปราบปรามและให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชากรดิจิทัลในการป้องกันตัวเองไปพร้อมๆ กัน
เช่นเดียวกับ LINE ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่อยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ใช้ในไทยกว่า 53 ล้านคน ได้รวบรวม 5 กลโกงที่เหล่ามิจฉาชีพใช้บนแพลตฟอร์ม LINE หรือแอบอ้างชื่อบริษัทฯ พร้อมข้อเท็จจริง ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ LINE เอาไว้เช็คก่อนเชื่อ ไม่เป็นเหยื่อกลโกง
1. อ้างเป็นเจ้าหน้าที่จาก LINE ทางโทรศัพท์ ขู่ระงับบัญชี LINE
บริษัทฯ จะไม่มีการติดต่อผู้ใช้งานผ่านช่องทางโทรศัพท์ หรือเพิ่มเพื่อนทาง LINE ไปพูดคุยถึงปัญหาการใช้งานต่างๆ อย่างแน่นอน โดยปกติจะติดต่อผ่านแบบฟอร์มสอบถาม contact-cc.line.me และอีเมลที่ให้กรอกในฟอร์มเท่านั้น และทาง LINE จะไม่ขอรหัสผ่านหรือข้อมูลส่วนตัวจากผู้ใช้งานในทุกกรณี การระงับบัญชีจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ละเมิดกฎของแพลตฟอร์มและจะแจ้งเตือนผ่านระบบเท่านั้น
2. SMS ชวนสมัครงานบริษัทต่างๆ ชวนเพิ่มเพื่อนบน LINE เพื่อติดต่อกรอกข้อมูลส่วนตัว
โดยปกติแล้ว บริษัทต่างๆ จะไม่นิยมประกาศรับสมัครงานผ่านช่องทาง SMS บนโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะการเชิญชวนให้เพิ่มเพื่อนบน LINE เพื่อไปพูดคุย กรอกข้อมูลส่วนตัว หรือให้คลิกลิงก์ใดๆ วิธีที่ดีที่สุด คือ ติดต่อไปยังบริษัทนั้นๆ โดยตรง หรือศึกษารายละเอียดบนเว็บไซต์ทางการของบริษัทนั้นก่อน
3. ชวนลงทุนในบริษัท LINE หรือแจ้งว่าคุณเป็นผู้โชคดีได้รับรางวัล
ข้อนี้ สามารถจำขึ้นใจสั้นๆ ได้เลยว่า บริษัท LINEฯ ไม่มีนโยบายชักชวนลงทุนหุ้นในบริษัทเป็นอันขาด ขณะที่หากมีการติดต่อว่าเป็นผู้โชคดีว่าได้รับรางวัลจาก LINE อันดับแรกเลยผู้ใช้ควรตรวจสอบก่อนว่าได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมทางการตลาดใดๆ กับ LINE ก่อนหน้านี้หรือไม่ และตรวจสอบให้แน่ใจผ่านช่องทางทางการของบริการนั้นๆ อีกทีก็ไม่เสียหาย
4. บัญชีทางการ LINE ปลอม จากสารพัดแบรนด์ ลวงล้วงข้อมูล
เป็นอีกข้อที่รับมือได้ไม่ยาก เริ่มด้วยอย่าเพิ่งคลิกลิงก์หรือให้ข้อมูลใดๆ แม้จะเป็นแบรนด์หรือหน่วยงานชื่อดัง โดยเฉพาะธนาคาร จากนั้นสังเกตโล่สีน้ำเงิน หรือ โล่สีเขียว ที่อยู่หน้าชื่อบัญชี ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองโดย LINE ในกรณีที่เป็นโล่สีเทา แนะนำให้ตรวจสอบกับร้านค้าหรือหน่วยงานนั้นๆ ผ่านช่องทางอื่นอีกครั้ง ไม่หลงเชื่อจำนวนเพื่อนที่แสดงบนหน้าโปรไฟล์ เพราะสามารถปลอมแปลงได้
5. ข้อความจากทั้งเพื่อนและไม่ใช่เพื่อน ขอยืมเงิน หรือข้อมูลส่วนตัว
มิจฉาชีพที่มาในแนวนี้ มักจะทักมาในรูปแบบเพื่อนบน LINE จากการลักลอบขโมยรหัสผ่านมาล็อกอิน (หรือไม่ใช่เพื่อนบน LINE ก็ได้เช่นกัน) เพิ่มเพื่อนมาทักขอยืมเงิน หรือ ขอข้อมูลส่วนตัวต่างๆ รวมถึงส่งลิงก์แปลกปลอมมาให้ช่วยคลิก ผู้ใช้ LINE สามารถรับมือวิธีนี้ได้อย่างทันท่วงที ด้วยการไม่คลิกลิงก์นั้นเป็นอันขาด และติดต่อเจ้าตัวผ่านช่องทางอื่น เช่น โทรศัพท์ เพื่อย้ำให้มั่นใจว่าเป็นบุคคลเดียวกัน หากพบว่าไม่ใช่บุคคลนั้นจริง ให้กด ‘รายงาน’ แชทดังกล่าวได้เลย
นอกจากนี้ LINE ขอสรุป 5 ข้อแนะนำช่วยให้รู้เท่าทันและรับมือมิจฉาชีพบน LINE แบบง่ายๆ แต่ป้องกันได้ ดังนี้
1. ไม่คลิกลิงก์ที่ไม่ทราบที่มา (หากยังไม่ชัวร์ อย่าเพิ่งคลิกเด็ดขาด)
2. ไม่เผยรหัสผ่านบัญชีกับใคร โดย LINE จะไม่ขอรหัสผ่านส่วนตัวของท่านในทุกกรณี โดยเฉพาะผู้ที่ล็อกอิน LINE ผ่านอุปกรณ์อื่นบ่อยครั้ง ควรเปลี่ยนรหัสผ่านใหม่อย่างสม่ำเสมอ
3. ลงชื่อออกทุกครั้ง เมื่อใช้ LINE ผ่านอุปกรณ์ที่ไม่ใช่เครื่องหลัก
4. ตรวจสอบที่มาของผู้ติดต่อรายนั้นให้แน่ใจ เสียเวลาอีกนิด จะได้ไม่เสียหาย
5. กดรายงานปัญหา (Report) บัญชีไม่พึงประสงค์ ได้ง่ายๆ ด้วยการกด ไอคอน 3 แถบบนห้องแชท > ตั้งค่าอื่นๆ > รายงานปัญหา > เลือกปัญหาที่ต้องการรายงาน > กด ‘รับทราบและส่ง’
พบปัญหาการใช้งานใดๆ เกี่ยวกับ LINE ติดต่อผ่านช่องทางทางการได้ที่ Contact-cc.line.me
A9836
นับถอยหลัง! เอสซีจี ชวนสัมผัสมิติใหม่แห่งความยั่งยืนด้วยพลังเทคโนโลยีดิจิทัล ใน ‘SUSTAINABILITY EXPO 2022’ 26 ก.ย. – 2 ต.ค. 65 นี้
เอสซีจียกทัพนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลพลิกโฉมความยั่งยืนมาให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์จริงในงาน “SUSTAINABILITY EXPO 2022: GOOD BALANCE, BETTER WORLD” มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยเทคโนโลยีดิจิทัลถูกถ่ายทอดภายใต้แนวคิด “Sustainability for All” ที่ทุกภาคส่วนและคนรุ่นใหม่ร่วมกันสร้างสรรค์ เพื่อชีวิตสะดวกสบาย ปลอดภัย สังคมน่าอยู่ และสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ตามแนวทาง ESG 4 Plus ของเอสซีจี (มุ่ง Net Zero 2050 – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ ภายใต้ความเชื่อมั่น โปร่งใส) พบกับ “DoCare Tele-monitoring System” ชุดติดตามสุขภาพทางไกล “SCG Solar Roof ระบบ Hybrid” ระบบหลังคาโซลาร์ เทคโนโลยีไฮบริด ใช้ไฟฟ้าได้ทั้งกลางวันและกลางคืน “Talking Faucet” ก๊อกน้ำอัจฉริยะสั่งงานด้วยเสียง รวมถึงเทคโนโลยีต้นแบบที่เอสซีจีพัฒนาร่วมกับคนรุ่นใหม่ อาทิ “Brain Computer Interface” เทคโนโลยีสั่งงานอุปกรณ์ IoT ด้วยคลื่นสมอง “Naiyana” ผู้ช่วยนำทางผู้พิการทางสายตา “Meplug” นวัตกรรมที่ชาร์จไฟ อยู่ที่ไหนก็ซื้อไฟฟ้าใช้ได้ และอีกหลากหลายนวัตกรรม เทคโนโลยีจัดเต็มที่บูธเอสซีจี
นอกจากนี้ เอสซีจี ยังได้ร่วมแบ่งปันมุมมองด้านเทคโนโลยีและความยั่งยืน ในหลากหลายหัวข้อ อาทิ หัวข้อ “Leading Sustainable Business” ร่วมเสวนาโดย คุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ในวันที่ 1 ต.ค. 2565 เวลา 11.00-12.00 น. ณ เวทีกลาง ชั้น G หัวข้อ “เทคโนโลยีเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ร่วมเสวนาโดย คุณอภิรัตน์ หวานชะเอม Chief Digital Officer เอสซีจี ในวันที่ 29 ก.ย. 2565 เวลา 13.00-14.00 น. ณ เวที Talk Stage ชั้น G และ หัวข้อ “Idea Pitching: Youth for the Future” โดยตัวแทนเยาวชนจากโครงการ Young Talent Program ของเอสซีจี ในวันที่ 1 ต.ค. 2565 เวลา 11.00-11.30 น. ณ เวที Talk Stage ชั้น G
นับถอยหลังพร้อมกัน และร่วมสัมผัสเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความยั่งยืนจากเอสซีจี ได้ที่บูธเอสซีจี ฮอลล์ 2 ชั้น G และเลือกซื้อสินค้ารักษ์โลกราคาสุดพิเศษ “คิด-จาก-ถุง” และ “สินค้าจาก SCGP” ที่ Marketplace ชั้น LG ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน – 2 ตุลาคม 2565 เวลา 10.00-21.00 น. เข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://sustainabilityexpo.com และติดตามนวัตกรรมและข่าวสารอื่นๆ ของเอสซีจีได้ที่ https://www.scg.com/esg และ https://scgnewschannel.com / Facebook: scgnewschannel / Twitter: @scgnewschannel หรือ Line@: @scgnewschannel
A9796
เอ็นไอเอเผยปี 65 สตาร์ทอัพไทยสนใจเข้าสู่วงโคจรเศรษฐกิจอวกาศเพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าส่ง 15 สตาร์ทอัพหน้าใหม่รับการระดมทุน ผ่านโปรเจกต์ ‘Space Economy: Lifting Off 2022’
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เดินหน้าสานต่อโครงการ Space Economy: Lifting Off 2022 ปีที่ 2 เปิดเวทีให้สตาร์ทอัพสายอวกาศ (SpaceTech) พัฒนาโมเดลธุรกิจร่วมกับหน่วยงานชั้นนำในอุตสาหกรรมอวกาศระดับประเทศ พร้อมโอกาสรับการลงทุนเพื่อต่อยอดและขยายตลาด ซึ่งปีนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมพัฒนาโซลูชันด้านอวกาศกว่า 120 ราย แต่ผ่านการคัดเลือก 15 ราย เพื่อร่วมนำเสนอโมเดลธุรกิจกับนักลงทุน โดยครอบคลุมทั้งกลุ่มเทคโนโลยีระยะเริ่มต้น และระยะพัฒนาต้นแบบ
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า “ในปีนี้การวิจัยและคิดค้นเทคโนโลยีด้านอวกาศกลายเป็นกระแสที่มาแรงและอยู่ในความสนใจของหลายประเทศทั่วโลก ไม่ต่างจากเทคโนโลยีโลกเสมือน หรือเมตาเวิร์ส ซึ่งประเทศไทยได้บรรจุให้กิจการอวกาศเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ต้องเร่งขับเคลื่อนและพัฒนา ด้วยการต่อยอดศักยภาพเดิมให้มุ่งหน้าไปสู่การพัฒนาดาวเทียมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล การสื่อสาร ความมั่นคง และงานวิจัยชั้นสูง รวมทั้งมีนโยบายเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพด้านอวกาศได้เข้ามาร่วมพัฒนาโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดประโยชน์กับประเทศในวงกว้างทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม”
“การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและการผลักดันให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ คือเส้นทางสำคัญของการก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง เนื่องจากการสร้างเศรษฐกิจอวกาศรูปแบบใหม่นั้นจะมีเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อน ต่างจากเศรษฐกิจอวกาศเดิมที่มีรัฐบาลหรือองค์กรของรัฐเป็นผู้ดำเนินงานเท่านั้น นอกจากนี้ การสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับอวกาศยังสามารถเพิ่มมูลค่าในภาคการผลิต และเป็นกลไกที่ช่วยยกระดับให้อุตสาหกรรมอื่นของประเทศเติบโตไปพร้อมกันได้ เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์ เกษตร และอาหาร ตลอดจนกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือ New S - Curve ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติกว่า 4 - 5 แสนล้านบาทต่อปี เช่น หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัลได้อีกด้วย”
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอวกาศมากว่า 1,000 ราย อยู่ในธุรกิจทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมมากกว่า 30,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ต่อปี โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมหลายสิบโรงงาน รวมถึงมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์บางส่วนที่เริ่มสนใจปรับเปลี่ยนกระบวนการมาผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมแล้ว
ทั้งนี้ เพื่อให้นวัตกรรมดังกล่าวถูกพัฒนาได้อย่างรวดเร็วขึ้น NIA จึงร่วมกับภาคีความร่วมมืออวกาศไทย (Thai Space Consortium) ดำเนินการจัด “โครงการ Space Economy: Lifting Off 2022” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อพัฒนาสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกด้านดังกล่าวให้สามารถขยายผลด้านเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานชั้นนำในอุตสาหกรรมอวกาศ เปิดโอกาสให้นำผลิตภัณฑ์และบริการที่กำลังพัฒนามาทดสอบแนวความคิดให้มีความพร้อมต่อการนำไปใช้และก้าวสู่การแข่งขันในเชิงพาณิชย์
นอกจากนี้ ยังมุ่งเป็นสะพานเชื่อมการระดมทุนจากกลุ่มนักลงทุนที่สนใจ ซึ่งปีที่ผ่านมานั้นเงินลงทุนในสตาร์ทอัพและธุรกิจด้านอวกาศเติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 50 คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 3 ของเงินลงทุนทั้งหมดจาก VC ทั้งนี้ การได้รับการระดมทุนจะช่วยให้สตาร์ทอัพแต่ละรายสามารถขยายตลาดและพัฒนาสิ่งใหม่ได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเป็นตัวเร่งให้ผู้ที่สนใจเข้ามาสู่อุตสาหกรรมนี้เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
“โครงการ Space Economy: Lifting Off มีเป้าหมายในการสร้างผู้ประกอบการสตาร์ทอัพด้านเศรษฐกิจอวกาศเข้าสู่ภาคธุรกิจ ทำให้เกิดห่วงโซ่อุปทานของผู้พัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมอวกาศขึ้นในประเทศ และเมื่อประเทศไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้ก็ไม่จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนของเทคโนโลยีต่ำลง และภาคเศรษฐกิจของไทยโดยรวมก็จะสามารถพัฒนาได้รวดเร็ว ทั้งนี้ เป้าหมายการสร้างสตาร์ทอัพอวกาศของ NIA จะสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่สามารถส่งดาวเทียมไปโคจรรอบดวงจันทร์ภายใน 7 ปี ซึ่งจะทำให้ไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมอวกาศโลกที่มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ และมีโอกาสสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอีกมหาศาล ทั้งนี้ ในปีแรก NIA ได้สร้างสตาร์ทอัพด้านเศรษฐกิจอวกาศรายใหม่จำนวน 10 ราย จากผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการมากกว่า 100 ราย”
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับกิจกรรมในปีที่ 2 นี้ ได้รับความสนใจจากสตาร์ทอัพในหลากสาขามากขึ้น และมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการกว่า 120 ราย ครอบคลุมทั้งกลุ่มเทคโนโลยีระยะเริ่มต้น และระยะพัฒนาต้นแบบ และมีองค์กรภาคเอกชนทั้งในอุตสาหกรรมอวกาศและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพสตาร์ทอัพเหล่านี้มากกว่า 20 องค์กร โดยมีผลงานที่ผ่านเข้ารอบคัดเลือกเพื่อรับโอกาสการระดมทุนจำนวน 15 ราย ได้แก่ Centro Vision ดาวเทียมขนาดเล็ก วงจรถี่ สามารถถ่ายภาพได้ทุกวัน Farm Dee Mee Suk Plus แพลตฟอร์มครบวงจรเพื่อเกษตรกร คาดการณ์ผลผลิตและสถานะพืชด้วยภาพถ่ายดาวเทียม Gaorai ระบบปฏิบัติการเทคโนโลยีการเกษตรที่เชื่อมต่อเกษตรกรกับนักขับโดรนรับจ้างเพื่อการเกษตร Intech แอพพลิเคชั่นครบวงจรเพื่อการเกษตร
โดยใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม Maneelab ชุดซอฟต์แวร์ระบบย่อยสำหรับสร้างอุปกรณ์ที่ใช้บนยานอวกาศ Mush Composite วัสดุแห่งโลกอนาคตจากเส้นใยเห็ด Spacedox ระบบการจัดการจราจรอวกาศ (space traffic management) ตรวจสอบและติดตามดาวเทียม TemSys ชุดฝึกการเรียนรู้ระบบรับส่งสัญญาณจากดาวเทียม Tevada Corp ระบบตรวจวัดปริมาณก๊าซคาร์บอน ด้วยภาพถ่ายดาวเทียมและ AI VAAM จานรับสัญญาณดาวเทียมระบบ 3 แกน ขนาด 6 เมตร Advance Space Composite สารเคลือบเพื่อป้องกัน tin whisker บน PCB board และ ขั้ว d-sub LINK Application แพลตฟอร์มวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อพิจารณาปล่อยสินเชื่อ Premium Robotics แขนหุ่นยนต์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับงานบนอวกาศ Semi-Latus Rectum บริการซ่อมแซม เปลี่ยนอะไหล่ เติมเชื้อเพลิงดาวเทียม เพื่อยืดอายุการใช้งาน และ Solutions Maker อุปกรณ์รับเวลาโดยตรงจากดาวเทียม แทนการที่ใช้งาน NTP/PTP
สำหรับกลุ่มเทคโนโลยีระยะเริ่มต้น รางวัลทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม Solutions Maker รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ทีม LINK Application รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม Advance Space Composite
ส่วนเทคโนโลยีระยะพัฒนาต้นแบบ รางวัลทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม Gaorai รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ทีม Intech รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม VAAM และรางวัลป๊อปปูล่าโหวต ได้แก่ ทีม Spacedox ทั้งนี้ทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากทั้ง 2 สาขา และรางวัลป๊อปปูล่าโหวต จะได้มีโอกาสเข้าร่วมนำเสนอนวัตกรรมในงาน STARTUP x INNOVATION THAILAND EXPO 2023 หรือ SITE2023 เพื่อโอกาสในการงทุนและการเติบโตต่อไป
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด