สมคิด เผยรัฐบาลดัน EEC ปลุกจิตสำนึกคนไทยร่วมวางอนาคตชูความโดดเด่นประเทศก่อนพ้นหน้าที่
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการสัมมนา 'EEC ไม่มีไม่ได้' ว่า รัฐบาลต้องการสร้างเจ้าของกิจการใหม่ๆ ที่นำเอาดิจิทัลมาสร้างมูลค่าสินค้า จุดหนึ่งที่รัฐบาลมองคือการสานต่อพื้นที่อุตสาหกรรมภาคตะวันออกที่มีอยู่เดิม โดยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อจูงใจการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ซึ่งมีคำขอเข้ามาเกือบ 2 แสนล้านบาท
"อนาคตของประเทศอยู่ในมือเราว่าจะให้เป็นอย่างไร เราจึงต้องพยายามผลักดันให้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เกิดขึ้นให้ได้ แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลเริ่มต้นไว้แล้ว เราต้องปลุกจิตสำนึกของคนในประเทศว่าอนาคตอยากเป็นอย่างไร...เหลืออีกปีหนึ่งผมก็จะทำงานถึงวันสุดท้าย แล้ววันหนึ่งคนจะรู้ว่าเกิดอะไร" นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด ระบุว่า รัฐบาลมีแนวคิดที่จะทำให้ประเทศเกิดความโดดเด่นขึ้นมา โดยมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เริ่มด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพราะหมดยุคที่จะแข่งขันโดยนำเรื่องค่าแรงถูกมาแข่งขันกันอีกต่อไป เนื่องจากการก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนมีการพัฒนาเพื่อรองรับโอกาสดังกล่าว
ดังนั้น รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่จะทำให้ประเทศเกิดความโดดเด่นขึ้นมา โดยมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เริ่มด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพราะหมดยุคที่จะแข่งขันโดยนำเรื่องค่าแรงถูกมาแข่งขันกันอีกต่อไป เนื่องจากการก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก
"วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อ 3-4 ปีก่อนกลายเป็นโอกาสที่จะได้ปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยการสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่สามารถแข่งขันได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันอย่างแรง ไม่ใช่แค่มียักษ์ใหญ่ไม่กี่เจ้า" นายสมคิด กล่าว
ทั้งนี้ คาดว่า พ.ร.บ.ฉบับใหม่เพื่อรองรับอีอีซีจะผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในเร็วๆ นี้
"ใกล้เสร็จแล้ว เหลืออีกไม่กี่มาตรา น่าจะเสร็จภายในไม่กี่วันนี้" นายสมคิด กล่าว
นอกจากนี้ คาดว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการที่ จ.ตราด จะมีการพิจารณาเรื่องเกี่ยวกับแผนพัฒนาพื้นที่อีอีซี ทั้งเรื่องการเกษตรและการท่องเที่ยว
ส่วนคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซีนั้นเชื่อว่าแนวโน้มน่าจะดี แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องการคือเน้นคุณภาพไม่ใช่ปริมาณ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านดิจิทัล เพราะในอนาคตการใช้อินเตอร์เน็ตมีความสำคัญมาก ส่วนการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านนั้นมีเส้นทางรถไฟทางคู่อยู่แล้ว เมื่อสถานการณ์เหมาะสม ภาคเอกชนก็จะดำเนินการเอง
ด้านความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองเรื่องกำหนดวันเลือกตั้งนั้น นายสมคิด ระบุว่า ยังไม่เคยได้ยินนักลงทุนแสดงความกังวลเรื่องการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เพราะต่สิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็นคือบ้านเมืองสงบ การเมืองมีเสถียรภาพ และภาวะเศรษฐกิจดี
"ถ้าไม่ทะเลาะกันก็น่าจะมีการเลือกตั้งเร็ว ผมลืมบอกไปว่าถ้าเศรษฐกิจดีอย่างนี้หุ้นน่าจะขึ้นนะ" นายสมคิด กล่าว
ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม และประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ.พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก กำลังจะผ่านการพิจารณาของชั้นกรรมาธิการเร็ว ๆ นี้ และคาดว่าจะเข้าสู่ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระที่ 3 และออกเป็นกฏหมายได้ในเดือน ก.พ. ซึ่งจะมีส่วนทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจในความพร้อมที่จะเข้าลงทุนในพื้นที่ EEC
ปัจจุบันมีการผลักดันโครงการ EEC ให้เกิดขึ้นจริงจากทุกภาคส่วน ซึ่งได้รับความสนใจจากทั้งในและนอกประเทศมากขึ้น และในส่วนของภาคอุตสาหกรรมที่มีความยึดโยงกับ EEC จะต้องมีการปรับตัวให้สอดรับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีอัตราเร่งสูง ถ้ามีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจะทำให้เติบโตแบบก้าวกระโดด แตกต่างจากยุคก่อนที่มีเวลาปรับตัวค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ดี การปรับตัวในการเดินตาม Roadmaps 4.0 จะต้องแก้ไขปัญหาสะสมที่ผ่านมาในอดีต ทั้งไทยและประเทศในภูมิภาคอาเซียน อาทิ ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน ซึ่งจะมีอิทธิพลมากขึ้นและผลกระทบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต และอาจส่งผลให้การเติบโตของประเทศไทยแกว่งตัว ชะลอตัว มีความผันผวน และมีส่วนกระทบต่อความเป็นอยู่ นอกจากนี้จะต้องสร้างโอกาสและอนาคตให้คนรุ่นใหม่ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
"วันนี้ เราพูดถึงยุทธศาสตร์ชาติ และไทยแลนด์ 4.0 เป็นแผนใหญ่ที่ต้องครอบคลุมไปทุกภาคส่วน และการนำไปสู่ภาคปฎิบัติ มีเป้าหมายคือการสร้างฐานพัฒนาของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจในเดือน พ.ย.-ธ.ค. 60 ที่ผ่านมาที่ออกมาเกินกว่ากระทรวงฯ คาด" นายอุตตม กล่าว
พร้อมระบุว่า นอกจากนี้ ยังต้องมองถึงเทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนช่วยในการเติบโตของประเทศ โดยมีแผนให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีให้ทั่วถึงก่อน และจึงให้ความรู้ความเข้าใจ เนื่องจากมองว่าถ้าคนไทยมีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น จะเป็นบ่อเกิดแห่งการสร้างสรรค์ต่อไป ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องมีแผนยุทธศาสตร์และนโยบายเพื่อยกระดับในการต่อยอดและเพิ่มมูลค่าให้มีจุดแข็งชัดเจน โดยผลิตสินค้าเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะต้องมีการผลิตเพื่อพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีให้ได้ ซึ่งเชื่อว่าคนไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำ
ขณะที่ภาคเกษตรกรรม จะต้องมีการยกระดับสู่อุตสาหกรรมอาหารสมัยใหม่ และมีการแปรรูปอาหารเป็นอาหารแห่งอนาคต เช่น มีส่วนผสมสำหรับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม และต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพ (BIO ECONOMY) ที่มีมูลค่าสูงและมีความต้องการจากตลาด โดยใช้ EEC เป็นฐานใหม่ ส่วนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ มองว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัจจุบันมีการสั่งซื้อนำเข้ามาเพื่อใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุน และเข้าถึงตลาดได้กว้างกว่า โดยเชื่อว่าคนไทยมีศักยภาพพอที่จะพัฒนาต่อยอดเพื่อผลิตเอง
รมว.อุตสาหกรรม มองว่า ประเทศไทยในอนาคตจะมีโอกาสขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านค่อนข้างมาก และหากประเทศเหล่านั้นมีการเติบโตที่ดี แรงงานเหล่านั้นอาจมีการย้ายกลับถิ่นฐาน ซึ่งมองว่าแรงงานคนจะต้องปรับไปอยู่ในส่วนอื่น ๆ ในขณะที่ธุรกิจเติบโตขึ้นก็จะทำให้มีงานใหม่ ๆ เข้ามา และสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบรับกับอุตสาหกรรมเป้าหมายต่อไป
เลขาฯ EEC เผย รบ.เตรียมใช้อำนาจ ม.44 ประกาศเขตส่งเสริมพื้นที่อุตสาหกรรมเพิ่มเติมอีก 18 เขต+1
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กล่าวถึงนโยบาย One Belt One Road ของจีนว่า อาจเป็นการปฏิวัติเศรษฐกิจครั้งสำคัญ รัฐบาลจึงมุ่งหวังให้โครงการอีอีซีจะเป็นสถานีเศรษฐกิจหลักของอาเซียนที่มีความได้เปรียบในเรื่องยุทธศาสตร์ที่ตั้ง ขณะที่ระบบเศรษฐกิจมีการปรับเปลี่ยนจากอดีตที่แข่งขันเรื่องแรงงานราคาถูก จะเห็นได้ว่าขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจของกลุ่ม CLMV กำลังเติบโตไล่หลังกลุ่มอาเซียน 5 เข้ามาทุกที
"ถ้าเราเริ่มต้นช้ากว่านี้จะล้าหลังไล่ตามไม่ทัน เพราะขณะนี้เศรษฐกิจของเวียดนาม และฟิลิปปินส์นำหน้าไทยไปแล้ว" นายคณิศ กล่าว
เลขาธิการอีอีซี กล่าวว่า การพัฒนาจะเน้น 4 เรื่อง คือ 1.โครงสร้างพื้นฐาน 2.อุตสาหกรรมเป้าหมาย 3.นโยบายท่องเที่ยวที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายใน 10 ปี และ 4.เมืองใหม่
โดยในวันที่ 1 ก.พ.นี้จะเสนอให้รัฐบาลใช้มาตรา 44 ประกาศเขตส่งเสริมพื้นที่อุตสาหกรรมเพิ่มเติมอีก 18 เขต+1 (นิคมอุตสาหกรรมเฉพาะไฮเทคโนโลยีสำหรับนักลงทุนจีน 3 พันไร่) ซึ่งเป็นพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมเดิมที่เหลืออยู่กว่า 2.6 หมื่นไร่ ขณะที่มีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
"ในอนาคตสภาพความเป็นอยู่ของพื้นที่อีอีซีจะเหมือนกับกรุงเทพฯ ไม่มีความแตกต่างกัน จังหวัดชลบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดระยองเป็นเพียงแค่เขตทางปกครองเท่านั้น" นายคณิศ กล่าว
เลขาธิการอีอีซี กล่าวว่า สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดคือเรื่องบุคลากร โดยเฉพาะสาขาอาชีวะที่มีความต้องการมากถึง 5 หมื่นคน ซึ่งมีการแก้ไขปัญหาไปได้แล้วบางส่วน และสิ่งสำคัญคือการเร่งออก พ.ร.บ.อีอีซี เพื่อไม่ให้โครงการเงียบหายไปเหมือนอีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งคาดว่าจะเสนอให้ที่ประชุม สนช.พิจารณาวาระ 3 ได้ในเดือน ก.พ.61
อินโฟเควสท์
การประชุมคณะกรรมการบริหาร การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 เวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุม อก. 1 กระทรวงอุตสาหกรรม
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งที่ 1/2561 ของ คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) โดยมีท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน ซึ่งมีสาระสำคัญ
ของการประชุม ดังนี้
1. เห็นชอบการประกาศเขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเพิ่มเติม
ที่ประชุมเห็นชอบและนำเสนอคณะกรรมการนโยบายกำหนดเขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเพิ่มเติม จากเดิมที่มีการกำหนดไปแล้วจำนวน 2 นิคม ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง และนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ด แห่งที่ 4 จังหวัดระยอง โดยเขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมที่จะมีการประกาศเพิ่มเติมมีจำนวนทั้งสิ้น 18 แห่ง ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ประมาณเงินลงทุนทั้งสิ้น 1.25 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย จังหวัดระยอง จำนวน 5 แห่ง จังหวัดชลบุรี จำนวน 12 แห่ง และจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 1 แห่ง
นอกจากนั้น ที่ประชุมยังมีมีมติเห็นชอบการยกระดับนิคมอุตสาหกรรม ซี.พี. ระยอง เป็นเขตส่งเสริม เพื่อกิจการอุตสาหกรรม รองรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่สื่อสารด้วยภาษาจีนโดยเฉพาะเป็นเขตส่งเสริมแห่งที่ 19
ดังนั้น จะทำให้พื้นที่ EEC มีเขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมรวมทั้งสิ้น 21 แห่ง เป็นพื้นที่ประกาศ เขตส่งเสริมพิเศษ 86,775 ไร่ พื้นที่รองรับการลงทุน 28,666 ไร่ ประมาณการเงินลงทุน 1.31 ล้านล้านบาท
2. เห็นชอบแผนปฏิบัติการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในพื้นที่ EEC
ที่ประชุมเห็นชอบแผนปฏิบัติการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC ที่มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ เชื่อมโยงทั้งทางบก น้ำ อากาศ เพื่อรองรับการพัฒนา EEC มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค ตั้งเป้าให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาเป็นศูนย์กลางและเมืองการบินของภูมิภาค และให้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นประตูเศรษฐกิจของ CLMV และอนุภูมิภาค และส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคเอกชน รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ ประกอบด้วย 168 โครงการ กรอบวงเงินลงทุนรวม 988,948.10 ล้านบาท โดยเป็นงบ PPP 583,500 ล้านบาท (59%) งบประมาณแผ่นดิน 296,684 ล้านบาท (30%) งบรัฐวิสาหกิจ 98,895 ล้านบาท (10%) และกองทุนหมุนเวียน (กองทัพเรือ) คิดเป็น 1% โดยแบ่งแผนดำเนินการออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย แผนงานระยะเร่งด่วน (พ.ศ. 2560-2561) แผนงานระยะกลาง (พ.ศ. 2562-2564) และแผนงานระยะต่อไป (ตั้งแต่ พ.ศ. 2565)
ผลที่คาดว่าจะได้รับคือระบบการขนส่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดต้นทุนโลจิสติกส์ให้แข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ และเมื่อรวมกับโครงข่ายภายนอกพื้นที่ EEC จะลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้ถึง 2% ของ GDP หรือ ปีละ 200,000 ล้านบาท ซึ่งจะเหนี่ยวนำให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนเพิ่มเติม โดยคาดจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.1 – 3.0 ล้านล้านบาท และประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนคุณภาพสูง
3. เห็นชอบแผนปฏิบัติการการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ EEC
ที่ประชุมเห็นชอบแผนปฏิบัติการการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและให้นำไปรับฟังความเห็นจากพื้นที่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวในพื้นที่ EEC ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง สู่การท่องเที่ยวระดับโลกอย่างยั่งยืน รองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และกลุ่มเชิงสุขภาพ เน้น พัทยา-สัตหีบ-ระยอง เป็นแกนการพัฒนาการท่องเที่ยว เน้นสนามบินอู่ตะเภาเป็นจุดเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่กับการท่องเที่ยวเชิงชุมชนและวิถีชีวิตชุมชน รวมทั้งการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการกำจัดขยะตามแนวชายฝั่งทะเลและเกาะท่องเที่ยวสำคัญ
แผนดังกล่าวประกอบไปด้วย 4 แผนงาน ได้แก่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว และการสร้างความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว รวมทั้งสิ้น 47 โครงการ กรอบวงเงินลงทุน 30,247.22 ล้านบาท โดยเป็นงบ PPP 23,000 ล้านบาท (76.04%) งบประมาณแผ่นดิน 6,897.22 ล้านบาท (22.80%) และงบรัฐวิสาหกิจ 350 ล้านบาท (1.16%)
ผลที่คาดว่าจะได้รับคือ มีผู้มาเยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้นจาก 29.89 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2560 เป็น 46.72 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2564 (เพิ่มขึ้น 1.5 เท่า) และมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 285,572 ล้านบาท ใน พ.ศ. 2560 เป็น 508,590 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2564 (เพิ่มขึ้น 1.8 เท่า)
4. รับทราบความคืบหน้า ร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ….
ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าว่าในขณะนี้ ร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. …. อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ในขั้นที่ 2 โดยหลังจากที่มีการพิจารณาครบทุกมาตราแล้ว จะจัดทำรายงานเสนอประธานสภา เพื่อประชุมฯในวาระที่ 3 คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2561
5. รับทราบความคืบหน้าด้านโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 5 โครงการ
ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าด้านโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะมีการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (EEC Track) ใน 5 โครงการสำคัญ ดังนี้
1. โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เชื่อม 3 ท่าอากาศยาน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา)
กำหนดร่างขอบเขตงาน (TOR)จะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 และประกาศเชิญชวน และทำการคัดเลือกเอกชนได้ในเดือนกรกฎาคม 2561
2. ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา
อยู่ระหว่างกำหนดร่างขอบเขตงาน (TOR) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2561
3. ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (MRO) ของการบินไทย และ Airbus
จะมีการลงนามความร่วมมือด้านการลงทุนระหว่าง การบินไทย และ Airbus ที่ตูลูส ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561
4. ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3
ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงินและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะได้ที่ปรึกษาประมาณเดือนมีนาคม 2561 และจะใช้เวลาศึกษาอีก 3 เดือน แล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2561 และจะได้เอกชนร่วมทุนประกอบการตามแผน EEC ในเดือนพฤศจิกายน 2561 และได้ผู้รับจ้างก่อสร้างฯ ตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ปี 2560 ภายในเดือนมกราคม 2562
5. ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3
กำหนดร่างขอบเขตงาน (TOR) จะแล้วเสร็จภายในเดือน เมษายน 2561 และประกาศเชิญชวนเอกชนได้ในเดือนมิถุนายน 2561 จะทำให้ได้สามารถคัดเลือกเอกชนได้ในเดือนกันยายน 2561 และดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม 2561 โดยขณะนี้ได้ทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) เสร็จสิ้นแล้วกำลัง รอรับความเห็นชอบ
6. รับทราบความคืบหน้าเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ที่มีวิสัยทัศน์ให้ EECi เป็นระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ซึ่งผลงานวิจัยและนวัตกรรมนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีของประชาคมอย่างยั่งยืน และมีกรอบการพัฒนา EECi ที่มุ่งเน้น “6 อุตสาหกรรมเป้าหมาย 3 เมืองนวัตกรรมมุ่งเน้น และ 5 ยุทธศาสตร์ดำเนินการ” คือ
• 6 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่และเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ และอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์
• 3 เมืองนวัตกรรมมุ่งเน้น ได้แก่ ศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ ศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมด้านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ และศูนย์กลางและฐานในการรังสรรค์นวัตกรรมจากเทคโนโลยีอากาศยาน อวกาศ และภูมิสารสนเทศ
• 5 ยุทธศาสตร์ดำเนินการและกลไกสนับสนุน ประกอบด้วย การนำ วทน. ยกระดับชุมชนและอุตสาหกรรม, วิจัยและนวัตกรรม การเตรียมความพร้อมและการพัฒนาบุคลากรด้าน วทน.พัฒนา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างกลไกความร่วมมือ และถ่ายทอดองค์ความรู้ จากในและต่างประเทศ
สกรศ. แถลงข่าวสร้างความเข้าใจระเบียบการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (PPP)กับ 5 โครงการหลักในพื้นที่ EEC
สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) แถลงข่าวสร้างความเข้าใจ ถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 (ระเบียบ PPP EEC Track) เพื่อขับเคลื่อน 5 โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ตามแผนพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เผยว่า รัฐบาลมีนโยบายผลักดันโครงการเหล่านี้ผ่านระเบียบ PPP EEC Track ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 ซึ่งนอกจากช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน เร่งกระบวนการทำงานทั้งหมดให้รวดเร็วขึ้น ใช้เวลาในการจัดเตรียมและเสนอโครงการ ไปจนถึงการคัดเลือกเอกชนและลงนามสัญญา ภายในเวลา 8-10 เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับขั้นตอนตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ที่จะใช้เวลารวมประมาณ 40 เดือน และขั้นตอน Fast Track ที่จะใช้เวลารวมประมาณ 20 เดือน และยังช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐในการกู้เงินหรือการนำงบประมาณของภาครัฐมาลงทุนได้เป็นอย่างมาก ขณะที่ประชาชนยังจะได้รับประโยชน์จากการบริการที่มีประสิทธิภาพในราคาที่เหมาะสม
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระเบียบ PPP EEC Track จะช่วยผลักดันให้โครงการลงทุนใน EEC เดินหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเสนอโครงการโดยหน่วยงานเจ้าของโครงการ การคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน การกำกับดูแลและติดตามผลให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามที่กำหนดในสัญญาร่วมทุน การแก้ไขสัญญา การทำสัญญาใหม่และการยกเลิกสัญญาหากมีเหตุจำเป็น การรับฟังความเห็นจากภาคเอกชน ไปจนถึงขั้นตอนการรายงานและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสาระสำคัญของสัญญาร่วมทุน วิธีการคัดเลือกเอกชน และผลการดำเนินโครงการในส่วนที่ไม่เป็นความลับทางการค้าของเอกชน อย่างน้อย 6 เดือนต่อ 1 ครั้ง
ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า การขับเคลื่อนโครงการ EEC ให้สำเร็จได้ จำเป็นต้องพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจการค้าโดยพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงข่ายคมนาคมขนส่งผู้โดยสารและสินค้า ทั้งทางอากาศ ทางราง ทางถนน และทางน้ำ ให้เชื่อมสู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และผลักดันให้ภาคตะวันออกของไทยเป็นประตูสู่ตลาด CMLV และจีนตอนใต้ โดย 5 โครงการสำคัญในพื้นที่พัฒนา EEC ที่รัฐบาลเร่งผลักดันให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnerships : PPP) ประกอบด้วย 1. สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 2. ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา 3. รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 4. ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และ 5. ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 รวมวงเงินลงทุนทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 6 แสนล้านบาท โดยกำหนดร่างขอบเขตงาน (TOR) ทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 2561
ทั้งนี้ สำหรับ โครงการ EEC รัฐบาลได้จัดเตรียมสิทธิประโยชน์และมาตรการต่างๆ เพื่อดึงดูดเอกชนที่มีศักยภาพมาร่วมพัฒนาโครงการ อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี เป็นสัดส่วนไม่เกิน 100% ของเงินลงทุน การยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร การยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบหรือวัสดุจำเป็น สำหรับส่วนที่ผลิตเพื่อการส่งออก 1 ปี สิทธิประโยชน์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามาเพื่อการศึกษาลู่ทางการลงทุน หรือนำช่างฝีมือและผู้ชำนาญการเข้ามาทำงาน รวมถึงการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และส่งออกซึ่งเงินตราต่างประเทศ (สำหรับโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา) ฯลฯ
ชี้ผังเมือง EEC สรุปกลางปี'61 หลังมี 'ม.44' มาช่วยสางปม
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาค ตะวันออก (อีอีซี), สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.)ชี้แจงการอาศัยอำนาจคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 เพื่อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินใน อีอีซีในส่วนของการจัดวางผังเมือง และพัฒนาเมืองว่า การออก ม.44 ที่ผ่านมา ก็เพื่อเร่งรัดขั้นตอนต่างๆ ให้การดำเนินงานมีความรวดเร็วเป็นรูปธรรมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการผ่อนปรนมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด หรือโครงการอื่นๆ ขอย้ำว่าขั้นตอนเรื่องสิ่งแวดล้อมยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
"หากดำเนินการตามขั้นตอนปกติจะใช้เวลานาน การประกาศใช้มาตรา 44 จึงเข้ามาช่วยปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างกรมโยธาธิการ และผังเมือง กับ สกรศ. ให้ กว้างขวาง กระชับและรวดเร็วมากขึ้น เพื่อให้การกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมในอีอีซี มีแผนผังที่ชัดเจนภายในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2561 จากเดิมคาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงเดือนสิงหาคม 2561 ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้แผนผังนี้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในอีอีซีได้เลย หลังจากนั้นจะนำแผนผังดังกล่าวไปจัดทำเป็นกฎหมายผังเมืองใหม่ คาดจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จมีผลบังคับใช้ภายใน 1 ปี"นายคณิศ กล่าว
กฎหมายอีอีซีไม่ชัดเจนฉุดยอดขอรง.4 ร่วง 9%
ไทยโพสต์ : พระราม 6 * คณะกรรม การอีอีซีรับ เอกชนชะลอลงทุน เพราะรอความชัดเจนกฎหมาย ด้าน กรอ.เผย 10 เดือน ยอดขอ รง.4 ในพื้นที่ภาคตะวันออกวูบ 9%
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (ครศ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการได้ขยายระยะเวลา การเชิญชวนนักลงทุนเทคโน โลยีขั้นสูงจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งตั้งเป้าไว้ 30 ราย ออกไปจากสิ้นปี 2560 เป็นเดือน มี.ค.2561 เนื่องจากสำนักงานอีอีซีเริ่มก่อตั้งช่วงเดือน มี.ค.2560 ดังนั้นอยากขอเวลาทำงาน 1 ปี เพื่อให้การชักชวนการลงทุนประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
"ยอมรับว่า การทำงานของสำนักงานอีอีซีค่อนข้างมีข้อจำกัด คือ นักลงทุนที่ตัดสินใจลงทุนแล้วทั้งหมดเป็นนักลงทุนที่มีการลงทุนในไทยอยู่ก่อนแล้ว และต่างรอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อีอีซี ประกาศใช้ ดังนั้น เราจึงหวังว่ากฎหมายจะผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ภายในปีนี้ เพื่อให้การลงทุนในอีอีซีขับเคลื่อนไปได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล" นายคณิศกล่าว
นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวว่า การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) และขยายกิจการในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)ในช่วงเดือน ม.ค.-ต.ค.60 มีจำนวนโรงงานทั้งสิ้น 495 โรงงาน ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันในปี 59 ที่มีอยู่ 544 โรงงาน ขณะที่มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 52,500 ล้านบาท ลดลง 50% จากช่วง เดียวกันของปี 59 ที่อยู่ที่ 105,000 ล้านบาท และการจ้างงานทั้งหมด 8,060 คน ลดลง 49.96% จากช่วงเดียวกันของปี 59 ที่อยู่ที่ 16,000 คน.
ลงทุน EEC สะดุดชี้กม.ไทยล่าช้า-ต่างชาติรอชัดเจน
แนวหน้า : นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) เปิดเผย ความคืบหน้าการลงทุนในพื้นที่ อีอีซี 3 จังหวัด ประกอบด้วย ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ว่า ได้ขยายระยะเวลาการเชิญชวนนักลงทุนประเภทใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างประเทศ จากเดิมตั้งเป้าหมายระยะแรก 30 ราย ภายในสิ้นปี 2560 ขยายเป็นเดือนมีนาคม 2561 เนื่องจากสำนักงาน อีอีซี เริ่มก่อตั้งช่วงเดือนมีนาคม 2560 ดังนั้น อยากขอเวลาทำงาน 1 ปี เพื่อให้การชักชวนการลงทุนประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
โดยนักลงทุนต่างชาติที่เป็นกลุ่ม เป้าหมาย ทาง อีอีซี จะเน้นกลุ่มที่มี เทคโนโลยีขั้นสูง เป็นเทคโนโลยีใหม่ของประเทศ เน้นผลประโยชน์กับประเทศ เน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยี การฝึกฝนบุคลากร มากกว่าเม็ดเงินลงทุนที่จะเข้ามา
"ยอมรับว่า การทำงานของสำนักงาน อีอีซีค่อนข้างมีข้อจำกัด คือ นักลงทุนที่ตัดสินใจลงทุนแล้วทั้งหมดเป็นนักลงทุนที่มีการลงทุนในไทยอยู่ก่อนแล้ว อาทิ โตโยต้า ยื่นลงทุนในเทคโนโลยียานยนต์ไฮบริด กว่า 20,000 ล้านบาท และตอนนี้มีบริษัทหลายรายแสดงความสนใจลงทุนเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี อาทิ นิสสัน ฮอนด้า ส่วนรายใหญ่ๆ ในอุตสาหกรรมอื่น อาทิ อุตสาหกรรมอากาศยาน คือ แอร์บัส อุตสาหกรรมดิจิทัล คือ ลาซาด้า ต่างรอให้กฎหมาย คือ ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) อีอีซี ประกาศใช้ก่อน ผมจึงหวังว่ากฎหมายจะผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ(สนช.)ภายในปีนี้ เพื่อให้การลงทุนในอีอีซีขับเคลื่อนไปได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล" นายคณิศกล่าว
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.)ดูแลด้านการลงทุน กล่าวว่า ในส่วนของเอกชนเองขณะนี้ได้มีการรวมตัวบริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ ของไทยประมาณ 30-40 บริษัท ติดต่อขอร่วมลงทุนกับบริษัทต่างชาติที่มีเทคโนโลยีสูงให้เข้ามาลงทุนในไทย โดยสอท.เป็นหน่วยงานกลางในการประสานพาเอกชนไทย ไปหารือกับบริษัทต่างชาติโดยตรง ขณะนี้อยู่ระหว่างวางโปรแกรมและบางส่วนได้ เดินทางไปหารือแล้ว โดยประเทศเป้าหมาย อาทิ เยอรมนี เม็กซิโก ฝรั่งเศส ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อิสราเอล ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน
นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวว่า การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน(ร.ง.4)และขยายกิจการในพื้นที่โครงการอีอีซี ในช่วงเดือนมกราคมตุลาคม 2560 ว่า มีจำนวนโรงงานทั้งสิ้น 495 โรงงาน ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันในปี 2559 ที่มีอยู่ 544 โรงงาน ขณะที่มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 5.25 หมื่นล้านบาท ลดลง 50% จากช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่อยู่ที่ 1.05 แสนล้านบาท และการจ้างงานทั้งหมด 8.06 พันคน ลดลง 49.96% จากช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่อยู่ที่ 1.6 หมื่นคน
ทั้งนี้ ในพื้นที่อีอีซี จ.ชลบุรี เป็นพื้นที่มีการขอใบอนุญาตประกอ
การประชุมคณะกรรมการบริหาร การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560 เวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุม 1 กระทรวงอุตสาหกรรม
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งที่ 5/2560 ของ คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) โดยมีท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน ซึ่งมีสาระสำคัญ
ของการประชุม ดังนี้
1. เห็นชอบหลักการแผนการพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี
ที่ประชุมเห็นชอบหลักการแผนพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี โดยมอบให้ฝ่ายเลขานุการรับความเห็นของคณะกรรมการไปปรับปรุงแผนให้ครบถ้วนโดยเฉพาะเรื่องโครงการ โดยระยะสั้นต้องมีโครงการหลักที่ตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ และมีความชัดเจนว่าสถาบันการศึกษาใดจะสนับสนุนการพัฒนาบุคคลากรด้านใด ทั้งนี้ แผนนี้เป็นแผนงานหนึ่งใน 8 แผนงานของแผนพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก แผนนี้ดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี โดยมี ดร. คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ สกรศ. เป็นประธานและมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้แทนหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นอนุกรรมการ
การจัดทำแผนนี้ได้พิจารณาถึงความต้องการแรงงานของนักลงทุนเป็นหลัก ทั้งด้านปริมาณและสมรรถนะของแรงงานของอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้ง 10 อุตสาหกรรม รวมทั้งได้พิจารณาถึงแนวโน้มความต้องการแรงงานภายใน5 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2560 -2564) มาพิจารณาประกอบกับปริมาณการผลิตบุคลากรด้านที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของสถาบันต่างๆ ทั่วประเทศ และแนวโน้มความสามารถในการผลิตบุคลากรรองรับ พบว่าอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็น New S-Curve นั้นเป็นอุตสาหกรรมที่ส่วนใหญ่ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญรองรับจึงต้องมีการเตรียมครูผู้ฝึก (Trainer) ในสาขาที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน และโลจิสติกส์ ให้เพิ่มจำนวนขึ้น
และสำหรับในสาขาที่ประเทศไทยยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญอาจจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งทาง BOI จะใช้เป็นเงื่อนไขในการขออนุมัติการส่งเสริมการลงทุน และกระทรวงศึกษาธิการจะอนุญาตให้มหาวิทยาลัยจากต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงมาเปิดสาขาที่ตอบรับต่อ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเป็นการดำเนินการตามคำสั่ง คสช. ที่ 27/2560 และ 29/2560 นอกจากนั้น ยังมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงระบบการศึกษาทั้งระบบในพื้นที่ EEC โดยเริ่มตั้งแต่การสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กตั้งแต่ระดับอนุบาลให้มีความสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พร้อมนี้ ได้พิจารณาด้านการพัฒนาด้านวิจัยและเทคโนโลยีที่จะรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายอีกด้วย
แผนดังกล่าวประกอบไปด้วย แผนระยะสั้นและระยะยาว มีโครงการระยะเร่งด่วน 22 โครงการ พร้อมด้วย โครงการระยะปานกลางและระยะยาว จำนวน 13 โครงการ ในการนี้ โครงการระยะสั้นที่สำคัญจะเริ่มดำเนินงานตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ได้แก่ โครงการศึกษาและจัดทำหลักสูตรและฝึกอบรม: ระดับปริญญาตรี และอาชีวศึกษา เป็นการพัฒนาครูผู้ฝึก (Trainer) พร้อมทั้งพัฒนาเพื่อขยายผลให้มีครูฝึกจำนวนมากขึ้นและเพื่อขยายหลักสูตร 4 หลักสูตรนี้เข้าสู่การเรียนการสอนปีสุดท้ายของสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ
นอกจากนั้น ยังมีโครงการค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับระดับมัธยมศึกษา และโครงการห้องสมุดวิทยาศาสตร์เคลื่อนที่สำหรับระดับประถมศึกษา และโครงการการศึกษานอกโรงเรียนในลักษณะของการดูงานนอกสถานที่สำหรับระดับประถมศึกษา คาดว่าโครงการเหล่านี้ จะใช้เป็นโครงการตัวอย่างที่ขยายผลการพัฒนาบุคคลากรในพื้นที่EEC ในอนาคต
2. เห็นชอบหลักการสำหรับแนวทางการดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา(TG MRO Campus)
โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (TG MRO Campus) โดย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงที่มีความจำเป็นต่อสนามบินอู่ตะเภา ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยไปสู่ระดับโลก ดึงดูดสายการบินทั่วโลกให้มาใช้บริการ ดังนั้น รัฐบาลจึงให้ความสำคัญและการสนับสนุนโครงการนี้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของกิจกรรมการซ่อมบำรุงอากาศยาน ณ สนามบินอู่ตะเภา และเพื่อให้การเพิ่มศักยภาพท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาเป็นไปตามแผนงาน
ที่ประชุมให้ความเห็นชอบหลักการสำหรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ โดยให้มีมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐในการก่อสร้างอาคารซ่อมบำรุง (Hangar) อาคารโรงซ่อมบริภัณฑ์ (Back shop) โรงพ่นสี (Painting Shop) พื้นที่ซ่อมบำรุงระดับลานจอด(Aircraft Parking Area และ Aircraft Swing Compass Area) และ สิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมถึงระบบสาธารณูปโภค โดยเห็นชอบให้บริษัทการบินไทยเป็นผู้จัดทำข้อกำหนดความต้องการ ก่อนนำมาพิจารณาร่วมกับ สกรศ.และกองทัพเรือ ถึงขอบเขตความเหมาะสมและกรอบวงเงินในการลงทุนก่อสร้าง ทั้งนี้ ในส่วนของผลตอบแทนการลงทุนดังกล่าวจะมีการพิจารณาเรียกเก็บจากผู้ประกอบการในอัตราที่เหมาะสมต่อไป
3. รับทราบหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ 2560 และประกาศลำดับรอง
ที่ประชุมรับทราบว่า นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้ลงนาม ในประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 (ประกาศ EEC Track) แล้วเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2560 ในการนี้ ที่ประชุมรับทราบประกาศ EEC Track ซึ่งมีประกาศลำดับรอง 5 ฉบับ ประกอบด้วย
1. ประกาศสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง รูปแบบ และรายละเอียดของรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ พ.ศ. 2560
2. ประกาศสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง คุณสมบัติของที่ปรึกษาไทยหรือที่ปรึกษาต่างประเทศ พ.ศ. 2560
3. ประกาศสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง รายละเอียดการประกาศเชิญชวน วิธีการประกาศเชิญชวน วิธีการคัดเลือกของคณะกรรมการคัดเลือกหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน รายละเอียดของเอกสารการคัดเลือก และข้อกำหนดมาตรฐานของสัญญาร่วมลงทุน พ.ศ. 2560
4. ประกาศสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง รายละเอียดที่ต้องจัดทำเพิ่มเติมในการเสนอให้คัดเลือกเอกชนโดยไม่ใช้วิธีการประมูล พ.ศ. 2560
5. ประกาศสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการในการรับฟังความเห็นจากภาคเอกชน พ.ศ. 2560
ทั้งนี้ ประกาศ EEC Track และประกาศระดับรองดังกล่าวจะใช้กับโครงการร่วมลงทุนกับเอกชนตามที่คณะกรรมการนโยบายฯ ได้ประกาศไว้ (EEC Projects List) ได้แก่
1. โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก (Aerotropolis)
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม
2. โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินแบบไร้รอยต่อ
ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอคณะกรรมการนโยบายฯเพื่ออนุมัติหลักการโครงการ
3. โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะ 3
ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA)
4. โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะ
ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA)
5. โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา
ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอคณะกรรมการนโยบายฯเพื่ออนุมัติหลักการโครงการ
อะไรควรจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงในการพัฒนา EEC?
ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ ‘ประเทศไทย 4.0’ เพื่อนำพาประเทศสู่การเป็นประเทศรายได้สูง ที่มาถูกทาง โดยพยายามแก้ไขจุดอ่อนของนโยบายก่อนหน้า เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษใน 10 จังหวัดชายแดน และการส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve industries)
รัฐบาลมุ่งหวังให้โครงการ EEC ดึงดูดการลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศในพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่เดิมของโครงการพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ดที่เกิดขึ้นในอดีต
แม้ว่า การดึงดูดการลงทุนมีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น เป้าหมายที่แท้จริงของการพัฒนา EEC ไม่ควรวัดจากเพียงยอดลงทุนที่ได้รับ หรือจำนวนบริษัทชั้นนำระดับโลกที่มาลงทุน แต่ควรวัดจากความสามารถเทคโนโลยีของประเทศ และทักษะของแรงงานไทยที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการปฏิรูปกฎระเบียบและการบริการภาครัฐที่จะตามมา และการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในระยะยาว
ในการดำเนินโครงการ EEC รัฐบาลได้ประกาศเสาหลักที่สำคัญ 3 ประการคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การให้แรงจูงใจเพื่อดึงดูดการลงทุน และการอำนวยความสะดวกในการลงทุน
เสาแรกคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีทั้งการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม เช่น สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือสัตหีบ รถไฟรางคู่ และมอเตอร์เวย์ และการเริ่มโครงการใหม่ เช่น รถไฟความเร็วสูง และเมืองอัจฉริยะ
เสาที่สองคือ การให้แรงจูงใจทางภาษีและไม่ใช่ภาษี โดยนักลงทุนในเขตส่งเสริมจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากเป็นประวัติการณ์ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 15 ปี ซึ่งทำให้อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จะจัดเก็บจริงของไทยต่ำที่สุดในอาเซียน และการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดเหลือเพียงร้อยละ 17 สำหรับ บุคคลที่มีทักษะสูงในระดับโลก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยมีมาตรการในลักษณะดังกล่าว นอกจากแรงจูงใจทางภาษีแล้ว นักลงทุนยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี เช่น การเช่าที่ดินได้สูงสุด 99 ปี การได้รับอนุญาตให้ทำธุรกรรมทางการเงินด้วยเงินตราต่างประเทศ และการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้เสร็จภายใน 1 ปี
เสาสุดท้าย คือ การอำนวยความสะดวกในการลงทุน ซึ่งจะมีการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ในสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยเลขาธิการของสำนักงานฯ สามารถอนุมัติหรือออกใบอนุญาตต่างๆ ได้ ทั้งที่เกี่ยวกับการควบคุมอาคาร การจดทะเบียนพาณิชย์ และการจัดสรรที่ดิน ซึ่งจะช่วยปลดล็อคปัญหาด้านกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และการให้บริการของรัฐที่ขาดความเป็นเอกภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
การมุ่งมั่นดำเนินการตามมาตรการใน 3 เสาหลักดังกล่าวทำให้ EEC กลายเป็นโครงการที่น่าสนใจมากต่อนักลงทุน เมื่อเทียบกับการดึงดูดการลงทุนทั้งหลายของรัฐบาลไทยที่เคยมีมา ด้านรัฐบาลเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การลงทุนที่จะเกิดขึ้นใน EEC จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
ผู้เขียนเชื่อว่า โครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างทั้ง สนามบินอู่ตะเภา รถไฟรางคู่ และมอเตอร์เวย์ น่าจะเกิดขึ้นจริงตามแผนที่วางไว้ ขณะที่การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุดซึ่งมีการถมทะเล ยังต้องผ่านการยอมรับจากชุมชนก่อน ส่วนการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินคือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิและอู่ตะเภาก็มีความท้าทายไม่น้อย เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความเสี่ยงสูงและต้องใช้เวลานานกว่าจะคุ้มทุน
ผู้เขียนยังเชื่อว่า การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ จะช่วยดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายได้พอควร แต่มาตรการดังกล่าวก็มีต้นทุนสูงและมีประสิทธิผลจำกัด ทั้งนี้อุตสาหกรรมที่คาดว่า น่าจะมีการลงทุนมากคือ สาขาที่ไทยมีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่งคือ อุตสาหกรรมเดิมที่ลงทุนอยู่แล้วบางส่วน เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน และท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและเชิงสุขภาพ บริการสุขภาพ และอุตสาหกรรมใหม่บางสาขา เช่น การซ่อมบำรุงเครื่องบิน (MRO) โลจิสติกส์ และออโตเมชั่น โดยบริษัทต่างชาติชั้นนำในระดับโลก เช่น แอร์บัส โตโยต้า และลาซาด้า ได้แสดงความสนใจที่จะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ลำพังมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติและโครงสร้างพื้นฐานที่จะเกิดขึ้น ไม่ควรเป็นเป้าหมายหลักของ EEC ที่ผ่านมา ไทยสามารถดึงดูดบริษัทชั้นนำระดับโลกให้เข้ามาลงทุนในประเทศได้ไม่น้อย เช่น ในอุตสาหกรรมรถยนต์ เราก็มีผู้ผลิตรายใหญ่ทั้งจากญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เราก็มีบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ 2 รายใหญ่ที่สุดโลกคือ ซีเกท และเวสเทิร์น ดิจิตอล บริษัทเหล่านี้ทำให้เกิดการจ้างงาน การเชื่อมโยงไทยเข้ากับห่วงโซ่การผลิตของโลก และทำให้ไทยกลายเป็นประเทศส่งออกรายใหญ่ในเอเชีย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ยังคงติดอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลางอยู่เช่นเดิม
บทเรียนในอดีตจึงชี้ว่า การดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยไม่ได้สร้างความสามารถทางเทคโนโลยีของตัวเอง และไม่ยกระดับทักษะของแรงงานไทย จะไม่เพียงพอที่จะทำให้ไทยกลายเป็นประเทศรายได้สูง อันที่จริง ประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ในโลกก็ชี้ว่า ไม่มีประเทศใดที่สามารถหลุดพันจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางลำพังด้วยการลงทุนจากต่างชาติได้เลย นอกจากนี้ แม้โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดได้ทำให้ 3 จังหวัดมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น ประชาชนไม่น้อยในพื้นที่ และภูมิภาคอื่นๆ ในประเทศได้รับผลประโยชน์ไม่มากนัก ซึ่งทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ
ดังนั้น การพัฒนา EEC ให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างแท้จริง จึงควรเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่เหมาะสม 4 ประการคือ
ประการแรก ไทยต้องมีความสามารถทางเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของไทยเข้าร่วมพัฒนาเทคโนโลยีกับบริษัทต่างชาติและบริษัทไทยที่มาลงทุน เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลยังควรพิจารณาตั้งสถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม โดยอาจตั้งขึ้นมาใหม่ หรือแยกบางหน่วยออกจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แต่ต้องกำหนดให้มีภารกิจที่ชัดเจนคือ การพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เป็นหลัก
ประการที่สอง แรงงานไทยต้องมีทักษะที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยอาชีวะของไทยต้องทำงานร่วมกับบริษัทใน EEC ในการพัฒนาบุคลากรและจัดการสอนแบบทวิภาคี เพื่อให้นักศึกษามีทักษะที่ตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง
ประการที่สาม ต้องมีการปฏิรูปกฎระเบียบของรัฐ และการให้บริการประชาชนอย่างครบวงจรตามมาโดยเร็ว โดยนำเอาบทเรียนจาก EEC ไปขยายผลทั่วประเทศ เพราะกฎระเบียบและการบริการภาครัฐที่ขาดประสิทธิภาพเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศมานาน
ประการสุดท้าย ต้องมีการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและการสร้างความสามารถของชุมชนอย่างจริงจัง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดในอดีต โดยต้องเน้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส และเปิดให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด