นายกรัฐมนตรี และผู้บริหารอีอีซี ยกคณะโรดโชว์ยุโรป ดึงลงทุนอีอีซีเพิ่ม
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสากรรม เปิดเผยว่า ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ จะร่วมเดินทางกับคณะของพล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปเยือนยุโรปเป็นครั้งแรกในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ โดยจะถือโอกาสนี้เดินทางไปเยือน สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) และฝรั่งเศส เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลโรดโชว์ กับนักลงทุน ถึงความคืบหน้าโครงการต่างๆในอีอีซี หลังจากที่พระราชบัญญัติ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 ประกาศใช้แล้ว โดยต้องการให้มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอต่อเนื่องในปีนี้อย่างต่ำ 300,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ต้องการให้เป็นใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้ มีนักลงทุนต่างชาติหลายรายสนใจที่จะเข้าลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมยานยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมผลิตยา ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน
“วัตถุประสงค์หลักของการโรดโชว์ครั้งนี้คือการสร้างความเข้าใจกับนักลงทุนต่างชาติว่าอีอีซีคืออะไร และถือเป็นการขยายความร่วมมือหลังจากที่บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) ได้ลงนามกับบริษัทแอร์บัส เมื่อธันวาคม 2560 ในโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา รวมทั้งเป็นการย้ำความมั่นใจให้กับนักลงทุน หลังจากที่รัฐบาลประกาศเชิญชวนการลงทุน และเตรียมประกาศทีโออาร์ ประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ ว่ารัฐบาลลงทุนจริง และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะเป็นไปตามแผน”นายอุตตม กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ขณะนี้มีนักลงทุนต่างชาติ 9 ราย สนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนโครงการเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเป็นการสร้างเมืองใหม่ รองรับการลงทุนในอีอีซี โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนาในหลายมิติ เพื่อให้เมืองอัจฉริยะก้าวสู่การเป็นอุตสาหกรรมและเมืองยุคใหม่ มีระบบคมนาคมที่สะดวกรวดเร็ว ไม่มีปัญหารถติด .
นายกฯ นั่งหัวโต๊ะ กพอ.เร่งรัดการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก ทำแผนขยายเมืองรอบข้างให้เป็นระบบ
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กพอ. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้สั่งการให้เร่งรัดการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออกที่สนามบินอู่ตะเภา เพื่อให้เชื่อมโยงกับรถไฟความเร็วสูงตรงเวลา และวางแผนการขยายตัวของเมืองรอบๆ ข้างให้เป็นระบบ โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.รับทราบแนวทางภาพรวมของการขยายตัวจากเมืองการบินภาคตะวันออก ไปสู่มหานครการบินภาคตะวันออกในระยะ 10 ปี เริ่มต้นจากพื้นที่เมืองการบินภาคตะวันออกบริเวณสนามบินอู่ตะเภา ขนาด 6,500 ไร่ ไปสู่เขตชั้นในของมหานครการบินภาคตะวันออกพื้นที่โดยรอบรัศมี 10 กม. ไปสู่เขตชั้นนอกรัศมี 30 กม.
2.มีงานและโครงการสำคัญที่ดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะงานวางแผนทางวิ่งที่ 2 งานวางแผนแม่บทและการศึกษาความเหมาะสม เพื่อการร่วมทุนกับเอกชน
3.มอบหมายให้กองทัพเรือ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามลำดับความสำคัญของกิจการตามที่เสนอ ด้วยวิธีการบริหารโครงการแบบเร่งด่วน (Fast Track) และจัดทำแผนปฏิบัติการในรายละเอียดร่วมกันอย่างบูรณาการ รวมทั้งกำกับโครงการให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนด โดยเสนอคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) พิจารณาก่อนเสนอมาอีกครั้งหนึ่ง
4.รับทราบความก้าวหน้าโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออกที่สำคัญ คือ โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ซึ่งปัจจุบัน บมจ.การบินไทย (THAI) อยู่ระหว่างดำเนินการปรับแก้รายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นไปตามประกาศ EEC Track โดยการปรับแก้ตามความเห็นเพิ่มเติมจากหน่วยงานภาครัฐและคณะกรรมการคัดเลือก เพื่อสรุปนำเสนอฝ่ายบริหารของ บมจ.การบินไทย และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยคาดว่าจะสามารถได้ TOR ในเดือนก.ย.หรือต.ค.นี้ และคาดว่าได้จะเอกชนที่ชนะการประมูลในเดือนม.ค.62 โดยมีแผนก่อสร้างเสร็จในปี 66 ขณะที่ตัวเลขการลงทุนเบื้องต้นมีมูลค่า 2 แสนล้านบาท
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมฯ ยังรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนที่มี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รวมทั้งรับทราบมาตรการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยเมืองใหม่อัจฉริยะน่าอยู่จะดำเนินการในพื้นที่ EEC ต้องมีองค์ประกอบ 6 ลักษณะ ได้แก่ 1.ชุมชนอัจฉริยะ (Smart Community) 2.สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) 3.การคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) 4.พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) 5.เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) 6.การบริหารจัดการอัจฉริยะ (Smart Governance)
ที่ประชุม กพอ.ยังรับทราบความก้าวหน้าโครงการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand : ECCd) และโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) โดยรับทราบความก้าวหน้า EECd ที่จะจัดตั้ง IoT Institute ในระยะแรก และรับทราบแนวทางให้มีการร่วมทุนกับเอกชนในการพัฒนา EECd รวมทั้งรับทราบความก้าวหน้า EECi และการสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อเจรจาและชักชวนนักลงทุน
อย่างไรก็ดี การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรกภายใต้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 ที่ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 และมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังนี้
1.มีการเปลี่ยนชื่อจากคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กนศ.) เป็นคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) 2.มีคณะกรรมการเพิ่มเป็น 28 คน (จากเดิม 18 คน ภายใต้ คำสั่งคสช. 2/2560) ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นรองประธาน รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง 14 ท่าน หัวหน้าหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง 3 ท่าน ประธานสถาบันเอกชนทั้ง 3 สถาบัน ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน และเลขาธิการคณะกรรมการ 3.มีการเปลี่ยนชื่อสำนักงานจาก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) เป็นสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)
นอกจากนี้ ที่ประชุม กพอ. ยังรับทราบการดำเนินงานของ สกพอ. ตามคำสั่ง คสช. 2/2560 และเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) และเห็นชอบในหลักการการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และให้ กบอ.พิจารณาแล้วนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายต่อไป
ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เตรียมโรดโชว์โครงการ EEC กับนักลงทุนที่ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิ.ย.นี้ พร้อมกับเตรียมโรดโชว์ที่ประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และจีน พร้อมโรดโชว์นักลงทุนไทย และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนด้วย
อินโฟเควสท์
รองประธานคณะกรรมาธิการเพื่อการปฏิรูปและพัฒนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมงานสัมมนานานาชาติความร่วมมือในตลาดของประเทศที่สามระหว่างจีน-ญี่ปุ่น ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชนจีนประจำประเทศไทย และสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจาประเทศไทย ได้จัดงานสัมมนาหัวข้อ 'งานสัมมนานานาชาติความร่วมมือในตลาดของประเทศที่สามระหว่างจีน-ญี่ปุ่น ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย'ณ โรงแรม เรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา
งานนี้เกิดขึ้นเนื่องด้วยสาธารณรัฐประชาชนจีนและญี่ปุ่นได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอกชนระหว่างจีน - ญี่ปุ่น ในประเทศที่สาม เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 ณ กรุงโตเกียว จึงจัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนากิจกรรมทางธุรกิจของภาคเอกชนจีนและญี่ปุ่นภายใต้กรอบเจรจาระดับสูงด้านเศรษฐกิจ และทั้งสองประเทศจะร่วมกันสำรวจตลาดและภาคอุตสาหกรรมในประเทศที่สามที่ภาคเอกชนจีนและญี่ปุ่นจะร่วมลงทุน ซึ่งในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ของประเทศไทยเป็นจุดหมายสาคัญในการร่วมลงทุนของทั้งสองประเทศจึงเกิดการสัมมนาครั้งนี้ขึ้น
งานนี้ได้รับเกียรติจากนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมของไทย นาย หนิง จี๋เจ่อ รองประธานคณะกรรมาธิการเพื่อการปฏิรูปและพัฒนาสาธารณรัฐประชาชนจีน นายชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย หลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และนายคณิต แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก นายหนิง จี๋เจ่อ กล่าวสุนทรพจน์ในงานว่า “ผมรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่ได้เดินทางมาถึงกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นเมืองที่สวยงามเพื่อเข้าร่วมงานสัมมนานานาชาติความร่วมมือในตลาดของฝ่ายที่สามระหว่างจีน-ญี่ปุ่นในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ในนามของคณะกรรมการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติและในนามส่วนตัวขอแสดงความยินดีกับการจัดงานสัมมนาที่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ และขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่มีส่วนร่วมในการผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคและความร่วมมือพหุภาคีมาโดยตลอดด้วยความจริงใจ
จีน – ไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ดี ประชาชนทั้งสองประเทศมีไมตรีจิตต่อกันดุจพี่น้อง 43 ปี นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจึงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจการค้า วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สังคมและวัฒนธรรมประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างจีน - ไทยก้าวสู่ระดับสูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เมื่อปี 2560 เมื่อประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้พบปะกับ ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทยสองครั้ง ซึ่งได้ร่วมกันกำหนดทิศทางของการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง และเมื่อเดือนมกราคม ปี 2561 นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนได้พบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทยเข้าหารือและบรรลุความคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือด้านต่าง ๆ ตรงกันหลายโครงการ ประเทศจีนยังคงเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของไทยและเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากที่สุด ประเทศไทยเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับสามของจีนในอาเซียน ความร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างจีน - ไทยก็เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โครงการความมือร่วมมือรถไฟจีน - ไทยได้เริ่มก่อสร้างอย่างเป็นทางการ ในหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและไทยอยู่ที่ร้อยละ 6.7 และร้อยละ 3.9 ตามลำดับ ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสในการขยายการลงทุนระหว่างกัน
หัวข้อของงานสัมมนาในวันนี้คือความร่วมมือในตลาดของฝ่ายที่สามโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย สำหรับโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ผมขอแสดงความคิดเห็น 3 ข้อดังนี้
ข้อที่ 1 เราได้สังเกตว่าระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติไปแล้ว ได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วนของสังคม รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคและยกระดับอุตสาหกรรม และนับตั้งแต่ปี 2558 ได้เสนอโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเป็นต้นมา ภายใต้ความพยายามของหน่วยงานรัฐ และบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง งานได้คืบหน้าไปมาก และในเดือนพฤษภาคมนี้เองได้ผ่านและประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นหลักประกันทางกฎหมายในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์
ข้อที่ 2 เราเห็นว่าพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกมีทำเลที่ตั้งที่มีความเหมาะสมยิ่ง มีศักยภาพพัฒนามาก พื้นที่นี้อยู่สามจังหวัดซึ่งประกอบด้วยฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เศรษฐกิจเจริญ รายได้ต่อหัวสูงสุดในประเทศไทย ภายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษนั้น การคมนาคมสะดวกสบาย อุตสาหกรรมมีความทันสมัย สาขาอุตสาหกรรมครบครัน และสามารถขยายธุรกิจสู่แหลมอินโดจีนและภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และขยายไปถึงมาเลเซีย สิงคโปร์และอินโดนีเซียเป็นต้น เป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและมีผลต่อภูมิภาคอย่างกว้างไกล
ข้อที่ 3 พวกเราเชื่อว่า ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกถือได้วาเป็นมาตรการสำคัญของไทยที่จะส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน มีบทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพของการพัฒนา จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน
ส่วนความร่วมมือทวิภาคีจีน - ไทยและความร่วมมือจีนไทยญี่ปุ่นสามฝ่ายในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกนั้น ผมก็มีความคิดเห็น 3 ข้อ
ข้อที่ 1 เรายินดีขยายความร่วมมือทวิภาคีจีนไทยเพื่อพัฒนาภูมิภาค ผู้นำของจีนให้ความสำคัญต่อการประสานนโยบายข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางกับโครงการระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เดือนมกราคมตอนที่นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนพบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทยที่กรุงพนมเปญ ผู้นำทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกันที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งในการประสานยุทธศาสตร์ระหว่างกัน ขณะนี้ประเทศไทยกำลังดำเนินนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพื่อยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ประเทศจีนก็กำลังเร่งพัฒนา “เส้นทางสายไหมดิจิทัล” จำนวนบริษัทยูนิคอร์นหรือ Unicorn Enterpriseมากเป็นอันดับ 1 ในโลก“เศรษฐกิจเครือข่าย (Network economy)” และ “เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม(platform economy)” เป็นพลังงานใหม่ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจจีน เรายินดีและสามารถประสานยุทธศาสตร์การพัฒนากับประเทศไทย
ข้อที่ 2 เรายินดีดำเนินความร่วมมือสามฝ่ายในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตอนที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพบนาย หวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้แสดงท่าทีสนับสนุนความร่วมมือสามฝ่ายในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกอย่างชัดเจน ผู้นำจีน ญี่ปุ่นก็ให้ความสำคัญและบรรลุข้อตกลงสำคัญในการร่วมมือในตลาดฝ่ายที่สาม เดือนพฤษภาคมปีนี้ ตอนที่นาย หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนเยือนประเทศญี่ปุ่นและเข้าพบนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ และได้เป็นสักขีพยานในการลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อกันลืมหรือ MOU ว่าด้วยความร่วมมือในตลาดฝ่ายที่สาม ความเข้าใจตรงกันระหว่างผู้นำจีน ไทย ญี่ปุ่นสามประเทศนั้นเป็นการสร้างรากฐานที่ดีในการร่วมมือพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
ข้อที่ 3 เราก็ควรตระหนักว่าความร่วมมือระหว่างจีน ไทยและญี่ปุ่นสายฝ่ายในภูมิภาคนี้มีความสำคัญยิ่งในการผลักดันความร่วมมือพหุภาคี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือว่าเป็นภูมิภาคหนึ่งที่มีความคึกคักทางเศรษฐกิจ โครงสร้างอุตสาหกรรมจีน ไทย ญี่ปุ่นต่างมีเอกลักษณ์ ระบบเศรษฐกิจเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ความร่วมมือในพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออกมีศักยภาพสูงผมเชื่อมั่นว่าภายใต้การประสานงานและวางแผนที่ดีของไทย สามฝ่ายสามารถเกิดความร่วมมืออย่างใกล้ชิด เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เสริมจุดแข็งซึ่งกันและกัน เพื่อผลักดันโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกให้มีความคืบหน้าต่อไป
เกี่ยวกับความร่วมมือสามฝ่ายในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ผมมีข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรม 3 ข้อ
ข้อที่ 1 ปฏิบัติตามแผนแม่บท เน้นบริษัทเป็นผู้ดำเนินการสำคัญ บนพื้นฐานเคารพการวางแผนเกี่ยวกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เราขอเสนอว่าทั้งสามฝ่ายควรยืนหยัดหลักการ บริษัทเป็นตัวสำคัญ ตามหลักการทำธุรกิจ เป็นไปตามกลไกตลาดและเคารพกติกาสากลเพื่อดำเนินการความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน ฝ่ายจีนสนับสนุนส่งเสริมให้บริษัทสามประเทศต่างใช้จุดแข็งของตน เสริมสร้างความร่วมมือ ผลักดันการพัฒนาของโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
ข้อที่ 2 เสริมสร้างความเข้มแข็งในการประสานงานระหว่างรัฐบาลด้วยกัน เพื่อให้การบริการแก่ความร่วมมือระหว่างบริษัท ควรส่งเสริมการประสานงานระหว่างรัฐบาลเพื่อเป็นการให้การบริการแก่บริษัทให้เกิดความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ส่งเสริมบริษัทสามฝ่ายมีการแบ่งปันข้อมูล ที่เกี่ยวกับนโยบาย โครงการเป็นต้น เพื่อเป็นการให้บริการอย่างบูรณาการ
ข้อที่ 3 เริ่มจากโครงการที่เป็นรูปธรรม ค่อย ๆ ขยายจากจุดร่วมกันสู่ความร่วมมือรอบด้าน ส่งเสริมให้บริษัทสามฝ่ายมีความร่วมมือจากโครงการที่เป็นรูปธรรม มีการศึกษาหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในโครงการ และศึกษาความเป็นไปได้ถึงความร่วมมือในโครงการใหญ่และสาขาอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อแสวงหาจุดร่วมของความร่วมมือแล้วค่อยขยายผลสู่ความร่วมมือรอบด้าน
สุดท้ายนี้ ผมขออำนวยพรให้การสร้างสรรค์ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกคืบหน้าอย่างราบรื่น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบริษัทจีน ไทย ญี่ปุ่นสามประเทศมีความประสานงานและร่วมมืออย่างใกล้ชิดและใช้จุดแข็งของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเป็นระเบียงแห่งความร่วมมือ ระเบียงแบบวิน-วิน ระเบียงแห่งการพัฒนาและเขตพัฒนาพิเศษแห่งมิตรภาพ เพื่อสร้างคุณูปการต่อความร่วมมือพหุภาคี ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคและต่อการเพิ่มพูนความผาสุกแก่ประชาชนชาวไทย
Click Donate Support Web
รัฐบาล เตรียมประกาศออก TOR เชิญชวนร่วมประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน 30 พ.ค., แย้มมี 5 กลุ่มจากใน-ตปท.สนใจ
นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภาครัฐพร้อมจะประกาศเชิญชวนนักลงทุนภาคเอกชนที่มีศักยภาพ ทั้งไทยและต่างประเทศเข้าร่วมการประกวดราคาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา) แล้วในวันที่ 30 พ.ค.61 โดยมีเป้าหมายจะดำเนินการคัดเลือกผู้ลงทุนให้ได้ภายในปี 61
โครงการดังกล่าวครอบคลุมเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากสนามบินดอนเมือง-สนามบินอู่ตะเภา โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร ประกอบด้วย
1.รถไฟความเร็วสูงส่วนต่อขยายแอร์พอร์ตลิงก์ ดอนเมือง-พญาไท ระยะทาง 21 กิโลเมตร
2.รถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ พญาไท-สุวรรณภูมิ ระยะทาง 29 กิโลเมตร
3.รถไฟความเร็วสูงจากสนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินอู่ตะเภา ระยะทาง 170 กิโลเมตร
4.พัฒนาพื้นที่สถานีและสนับสนุนการให้บริการผู้โดยสาร ได้แก่ สถานีมักกะสันประมาณ 150 ไร่ สำหรับการเป็นสถานีหลักรถไฟความเร็วสูง, สถานีศรีราชาประมาณ 100 ไร่ สำหรับการเป็นสถานีสนับสนุนบริการรถไฟและโรงซ่อมหัวรถจักรของ รฟท.
สำหรับ กรอบการร่วมลงทุนในครั้งนี้ได้นำข้อเสนอและความคิดเห็นที่ได้รับจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมาพิจารณาอย่างจริงจัง เพื่อให้มีความสมบูรณ์และชัดเจนบนหลักการเปิดกว้างให้เกิดการแข่งขันของภาคเอกชน (International Bidding) เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐ โดยจะดำเนินโครงการภายใต้ประกาศคณะกรรมการนโยบายเรื่องการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (PPP EEC Track)
"วันที่ 30 พ.ค.ประกาศเชิญชวนอย่างเป็นทางการให้ผู้ลงทุนที่มีความสนใจ เข้ามารับเอกสารคือเชิญชวนให้เข้ามาดูโครงการ แล้วก็ให้มาซื้อเอกสาร TOR ทั้งนี้ทั้งนั้นเป้าหมายคือ ให้สามารถคัดเลือกเอกชนที่เหมาะสม เข้ามาดำเนินโครงการนี้ภายในปี 61 เป็นไปตามแผน นี่คือเป้าหมายหลัก"รมว.อุตสาหกรรม กล่าว
ทั้งนี้ ในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด EEC) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะจัดประชุมครั้งแรกหลังจาก พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา และจะจัดการประชุมชี้แจงต่อสถานฑูตทุกประเทศเกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ ที่กระทรวงการต่างประเทศ
นายอุตตม กล่าวว่า ขณะนี้มีนักลงทุนต่างชาติจากจีน ญี่ปุ่น ยุโรปหลายประเทศสนใจเข้าร่วมโครงการ เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการใหญ่ ดังนั้นคงจะมีการจัดตั้งเป็นรูปแบบ Consortium ซึ่งรวมแล้วขณะนี้มีอยู่ประมาณ 5 กลุ่มทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน เพื่อผู้เข้าร่วมประมูลจำนวนมาก จึงมีแนวโน้มให้มีสัดส่วนต่างชาติถือหุ้นได้มากกว่า 50% และได้ผ่อนผันให้รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานรัฐของประเทศเดียวกันเข้าร่วมประมูลได้มากกว่า 1 กลุ่ม แต่รัฐบาลประเทศนั้นๆ ต้องทำหนังสือรับรองว่าหน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจประเทศนั้นๆ จะไม่มีการฮั้วกัน
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม กล่าวว่า รัฐบาลจะประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนโครงการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค. - 17 มิ.ย. และจะเปิดขายเอกสารประกวดราคาระหว่างวันที่ 18 มิ.ย.-9 ก.ค.นี้ โดยจะมีการประชุมชี้แจงครั้งที่ 1 ในวันที่ 23 ก.ค. และ 24 ก.ค.จะพาไปลงพื้นที่ ในวันที่ 24 ก.ย.จะมีการจัดประชุมชี้แจงครั้งที่ 2 โดยระหว่างนั้นตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.- 9 ต.ค.นี้จะเปิดรับคำถามจากเอกขน
จากนั้นจะกำหนดให้ยื่นซองประกวดราคาในวันที่ 12 พ.ย.61 โดยจะมีทั้งหมด 4 ซอง คือซองคุณสมบัติทั่วไป ซองเทคนิค ซองเสนอราคา และ ซองข้อเสนอพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อโครงการ ทั้งหมดจะพิจารณาประกอบกันและคาดใช้ระยะเวลาพิจารณาคัดเลือกประมาณ 1 เดือน ซึ่งจะประกาศผู้ที่เสนอผลตอบแทนที่ดีที่สุด หรือมีข้อเสนอให้รัฐร่วมลงทุนน้อยที่สุดเป็นผู้ชนะการประมูล ภายในธ.ค.นี้ เมื่อสรุปผลประกวดราคาแล้วจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติ จึงจะสามารถลงนามสัญญากับเอกชนได้ราวต้นปี 62
โครงการนี้จะมีระยะเวลาก่อสร้างไม่เกิน 5 ปี กำหนดเปิดให้บริการต้นปี 67 ขณะเดียวกัน สนามบินอู่ตะเภาจะมีการลงทุนก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ที่รองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคน/ปี ที่ใช้เวลาก่อสร้างราว 4-5 ปี ซึ่งทั้งสองโครงการจะต้องเกิดขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า ด้วยการออกแบบกระบวนการให้รวดเร็วและกระชับในรูปแบบ PPP EEC Track จะทำให้การเดินหน้าโครงการรวดเร็วสอดรับไปกับการพัฒนาของเขตพิเศษภาคตะวันออก สำหรับสถานีที่รถไฟจะวิ่งผ่านนั้น นอกเหนือไปจากเป็นการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมสำหรับประชาชนแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งที่รองรับการพัฒนาและการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกสามจังหวัดอีกด้วย
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 2.2 แสนล้านบาท เปิดให้เอกชนร่วมลงทุนรุปแบบ net cost อายุโครงการ 50 ปี โดยรัฐจะร่วมลงทุนไม่เกิน 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐจะทยอยจ่ายให้เอกชนภายใน 10 ปีหลังจากเปิดให้บริการ หลังจากครบ 50 ปี รัฐบาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมด รวมรถไฟความเร็วสูง สถานี และอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งสิ้นจะมีผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจตลอดทั้งโครงการประมาณ 7 แสนล้านบาท
นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงคมนาคมกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้นอกจากครอบคลุมเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากสนามบินดอนเมือง-สนามบินอู่ตะเภา โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร มีจำนวนสถานีรวมทั้งสิ้น 15 สถานี โดยรถไฟความเร็วสูงส่วนต่อขยายแอร์พอร์ตลิงก์ ดอนเมือง-พญาไท ระยะทาง 21 กิโลเมตร มีจำนวน 2 สถานี , รถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ พญาไท-สุวรรณภูมิ ระยะทาง 29 กิโลเมตร มีจำนวน 8 สถานี และ รถไฟความเร็วสูงจากสนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินอู่ตะเภา ระยะทาง 170 กิโลเมตร มีจำนวน 5 สถานี
ปัจจุบันรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ พญาไท-สุวรรณภูมิ ที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว ในร่าง TOR ได้กำหนดให้เอกชนซื้อกิจการรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ ในมูลค่าราว 1.1 -1.2 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันผลการดำเนินงานมีขาดทุนสะสมประมาณ 1,785 ล้านบาทก โดยปี 60 ขาดทุนประมาณ 280 ล้านบาท และเป็นหนี้ค่าก่อสร้างประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท เมื่อต้องทำรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จึงนำโครงการแอร์พอร์ตลิงก์มารวม และแก้ปัญหาการขาดทุนในคราวเดียว
ทั้งนี้ จำนวนผู้โดยสารรถไฟแอร์พอร์ตลิง ปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 7 หมื่นเที่ยวคน/วัน โดยรถไฟให้บริการ 7 ขบวน ซึ่งจะเพิ่มเป็น 9 ขบวนในปลายปีนี้ และคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มมาเป็น 1 แสนเที่ยวคน/วันในปี 63-64 หลังจากเชื่อมเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่เปิดให้บริการ โดย รฟท.จะให้เวลาเอกชนเตรียมตัวรับมอบกิจการ 2 ปี และปีที่ 3 เอกชนจึงจะรับมอบและรับรู้รายได้ของกิจการ
นอกจากนี้ ได้ให้เอกชนเช่าที่ดินบริเวณรอบสถานีมักกะสันประมาณ 150 ไร่ และที่ดินบริวเณศรีราชาประมาณ 25 ไร่จากทั้งหมดมี 100 ไร่ที่นำไปปรับปรุงเป็นสถานีรถไฟความเร็วสูง โดยเอกชนจะต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินทั้งสองแห่งให้ รฟท.ประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาทตลอดระยะเวลาสัมปทาน
ผู้ที่สนใจสามารถเข้าดูข้อมูลโครงการที่เว็บไซต์ของรฟท. เว็บไซต์อีอีซี เว็บไซต์กระทรวงคมนาคม และสถานทูตไทยในต่างประเทศทุกประเทศ และจะประกาศทางหนังสือพิพม์และสถานีโทรทัศน์ด้วย
อินโฟเควสท์
5 รายสนชิงรถไฟไฮสปีด พร้อมพัฒนาที่มักกะสัน-ศรีราชา
แนวหน้า : เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม,นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม ร่วมแถลงเอกสารการประกวดราคา(ทีโออาร์) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)
นายอุตตม กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม-17 มิถุนายน 2561 จะประกาศ เชิญชวนนักลงทุนภาคเอกชนที่มีศักยภาพทั้งไทย และต่างประเทศเข้าร่วมประกวดราคาแบบนานาชาติ คาดจะสามารถคัดเลือกผู้ชนะประมูลได้ภายในปี 2561 ซึ่งเบื้องต้นมีนักลงทุนทั้งจากไทยและต่างประเทศ 5 กลุ่มธุรกิจให้ความสนใจลงทุน
ขั้นตอนจากนั้นจะกำหนดการขายซองประกวดราคาในวันที่ 18 มิถุนายน-9 กรกฎาคม 2561, กำหนดเรียกประชุมชี้แจงเอกชนผู้ซื้อ เอกสาร ครั้งที่ 1 วันที่ 23 กรกฎาคม 2561, ลงพื้นที่ดูโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิ้งค์และพื้นที่ตามแนวเส้นทางวันที่ 24 กรกฎาคม 2561, ประชุมชี้แจงเอกชนผู้ซื้อเอกสารครั้งที่ 2 วันที่ 24 กันยายน 2561, ระหว่างนี้จะเปิดรับคำถามจากเอกชน ผู้ซื้อเอกสารวันที่ 10 กรกฎาคม-9 ตุลาคม 2561, พร้อมตอบคำถามวันที่ 10 กรกฎาคม-30 ตุลาคม 2561, กำหนดให้ เอกชนยื่นเอกสารข้อเสนอวันที่ 12 พฤษภาคม 2561 และ จะเจรจาต่อรองประกาศผลปลายปี 2561 ก่อนลงนามสัญญาต่อไป
โครงการดังกล่าวมีระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร (กม.) 15 สถานี ความเร็ว 250 กม./ชม. มูลค่าโครงการประมาณ 2.2 แสนล้านบาท คาดระยะเวลาก่อสร้าง 4-5 ปี กำหนดอายุสัมปทานโครงการ 50 ปี ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ตลอดทั้งโครงการประมาณ 7 แสนล้านบาท เมื่อครบสัญญารัฐ จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมด มูลค่ามากกว่า 3 แสนล้านบาท รวมทั้งให้สิทธิพัฒนาพื้นที่สถานีและสนับสนุนการให้บริการให้ผู้โดยสารสถานีมักกะสัน ขนาดพื้นที่ประมาณ 50 ไร่ พร้อม การพัฒนาพื้นที่สถานีศรีราชาที่มีประมาณ 100 ไร่ แต่ใช้ประโยชน์พื้นที่ 75 ไร่ สำหรับเป็นสถานีเพื่อสนับสนุนบริการรถไฟ ที่จอดและโรงซ่อมหัวรถจักรของร.ฟ.ท. ส่วนที่เหลืออีก 25 ไร่ ให้เอกชนนำไปพัฒนา และจ่ายค่าเช่าให้ร.ฟ.ท.ตามราคาตลาด
มีรายงานแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง, เครือปตท., กลุ่มบีทีเอส ต่างสนใจร่วมประมูล
สมคิด เร่ง'PPP'ห้ามเลื่อน ดีเลย์ 6 โปรเจ็กต์จี้คมนาคมจัดการ พร้อมเข็น 3 โครงการเข้า PPP Fast Track วงเงิน 4.46 แสนล้านบาท
ไทยโพสต์ : พระราม 6 * 'สมคิด' สั่งเข้มเดินหน้าโครงการ PPP ตามกรอบ ไม่ให้มีโรคเลื่อนแน่นอน หลังเจอตอ 6 โครงการส่อเค้าดีเลย์ จี้คมนาคมดูแลพร้อมเข็น 3 โครงการเข้า PPP Fast Track วงเงิน 4.46 แสนล้านบาท
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประ ธานคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ PPP ว่า ที่ประชุมได้สั่งให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดโครงการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่วางไว้ อาทิ โครงการของกรมทางหลวง และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นต้น โดยให้ทุกโครงการเร่งดำเนินการให้ได้ภายในปีนี้ ไม่ให้หยุดดำเนินการในกรณีที่ไม่มีความจำเป็น
"หากโครงการไหนติดไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ก็ต้องมาคุยกัน เพราะโครงการ PPP มีความสำคัญ สะท้อนการใช้จ่ายลงทุนของรัฐบาลว่าทำได้เร็วหรือช้า บางโครงการ เช่น รถไฟฟ้าสีม่วงใต้ สีส้ม หรือสีชมพู ซึ่งมีการเซ็นสัญญาไปแล้วเป็นปี จะไม่ให้มีการเลื่อนโครงการเป็นเด็ดขาด ซึ่งทาง รฟม.รับปากแล้ว" นายสมคิดกล่าว
นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรม การนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังมีโครงการที่มีความล่าช้าจากแผนงานประมาณ 6 โครงการ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-วงแหวนกาญจนาภิเษก โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯมีนบุรี และโครงการมอเตอร์เวย์ตามจังหวัดต่างๆ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต และนครราชสีมา เป็นต้น
นอกจากนี้ รองนายกรัฐ มนตรียังได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดโครงการภายใต้มาตร การ PPP Fast Track ให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่วางไว้ โดยภายในปี 2561 คาดว่าจะมีโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track นำเสนอต่อคณะกรรมการ PPP พิจารณาอย่างน้อยจำนวน 3 โครง การ ประมาณการมูลค่าเงินลงทุนรวม 4.46 แสนล้านบาท ได้แก่ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายนครปฐม-ชะอำ 8.06 หมื่นล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-วงแหวนกาญจนาภิเษก 1.28 แสนล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตกและตะวันออก 2.38 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คณะกรรม การ PPP ได้ติดตามความคืบหน้า การดำเนินโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ของกระทรวงคมนาคมอีกจำนวน 5 โครงการ ประ มาณการมูลค่าเงินลงทุนรวม 2.4 แสนล้านบาท โดยเร่งรัดการพัฒนา โครงการระบบขนส่งมวลชนในหัว เมืองต่างๆ ในต่างจังหวัด เพื่อเป็น การกระจายการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปสู่ภูมิภาค.
บอร์ด PPP เร่ง 3 โครงการภายใต้ Fast Track นำเสนอภายในปีนี้ รวมมูลค่าลงทุน 4.47 แสนลบ.
นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 2/2561 ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่วางไว้ โดยภายในปี 2561 คาดว่าจะมีโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track นำเสนอต่อคณะกรรมการ PPP พิจารณาอย่างน้อยจำนวน 3 โครงการ ประมาณการมูลค่าเงินลงทุนรวม 446,874 ล้านบาท ได้แก่ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายนครปฐม-ชะอำ 80,600 ล้านบาท, โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-วงแหวนกาญจนาภิเษก 128,235 ล้านบาท และ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันตกและตะวันออก 238,039 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะกรรมการ PPP ได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ของกระทรวงคมนาคมอีกจำนวน 5 โครงการ ประมาณการมูลค่าเงินลงทุนรวม 240,126 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ Rest Area ของทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา, โครงการ Rest Area ของทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี, โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต, โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดเชียงใหม่ และ โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดนครราชสีมา โดยเร่งรัดการพัฒนาโครงการระบบขนส่งมวลชนในหัวเมืองต่างๆ ในต่างจังหวัด เพื่อเป็นการกระจายการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปสู่ภูมิภาค และบรรเทาปัญหาการจราจรหนาแน่นของหัวเมืองหลัก
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ PPP ได้สั่งให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดโครงการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่วางไว้ อาทิ โครงการของกรมทางหลวง และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นต้น โดยให้ทุกโครงการเร่งดำเนินการให้ได้ภายในปีนี้ ไม่ให้หยุดดำเนินการในกรณีที่ไม่มีความจำเป็น
"หากโครงการไหนติด ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ก็ต้องมาคุยกัน เพราะโครงการ PPP มีความสำคัญ สะท้อนการใช้จ่ายลงทุนองรัฐบาลว่าทำได้เร็วหรือช้า บางโครงการ เช่น รถไฟฟ้าสีม่วงใต้ สีส้ม หรือสีชมพู ซึ่งมีการเซ็นสัญญาไปแล้วเป็นปี จะไม่ให้มีการเลื่อนโครงการเป็นเด็ดขาด ซึ่งทาง รฟม. รับปากแล้ว" นายสมคิด กล่าว
ขณะที่ สคร.รายงานว่า ขณะนี้ยังมีโครงการที่มีความล่าช้าจากแผนงาน 6 โครงการ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-วงแหวนกาญจนภิเษก, โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ- มีนบุรี และโครงการมอเตอร์เวย์ตามจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต และนครราชสีมา เป็นต้น
สศช.ปลื้ม Q1 จีดีพีโต 4.8% สมคิดฟุ้งรัฐ-เอกชนจับมือกระตุ้นศก.
หลานหลวง * สภาพัฒน์เผยจีดีพีไตรมาส 1/2561 พุ่ง 4.8% ขยายตัวสูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส และปรับจีดีพีปีนี้ ปรับคาดการณ์ทั้งปีโต 4.2-4.7% "สมคิด" ปลื้มเศรษฐกิจ Q1 โตสูงสุดรอบ 5 ปี ฟุ้งเกิดจากรัฐบาลร่วมมือกับเอกชนกระตุ้นเศรษฐกิจ มองภาพเอกชนมั่นใจ-เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น
นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิด เผยว่า เศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ไตรมาส 1/2561 ขยายตัว 4.8% เพิ่มขึ้นจากการขยายตัว 4% ในไตรมาส 4/2560 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส หรือในรอบ 5 ปี
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจากการปรับเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวเป็น 2.23 ล้านล้านบาท จากเดิม 2.15 ล้านล้านบาท, การส่งออกขยายตัว 8.9% จากเดิมโต 6.8% ขณะที่มีแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ การใช้จ่ายภาครัฐบาล คาดว่าเบิกจ่ายทั้งปีไม่ต่ำกว่า 92% และยังมีการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มเติมอีก 150,000 ล้านบาท รวมถึงการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งมีมูลค่า 165,400 ล้านบาท และ การปรับตัวดีขึ้นของรายได้เกษตรกรตามการขยายตัวของ ราคาสินค้าเกษตรสำคัญๆ ยก เว้นยางพาราและปาล์มน้ำมันที่ราคายังลดลง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงต้องจับตาราคาน้ำ มันที่ปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ ต้องจับตาความเสี่ยงจากการดำเนินมาตร การทางการค้าระหว่างสหรัฐกับ จีน และความเสี่ยงจากการ เคลื่อนย้ายเงินทุน และอัตราแลกเปลี่ยน จากการขึ้นดอก เบี้ยของประเทศหลัก ทำให้ สศช.ปรับประมาณการเงินบาทปีนี้แข็งค่าขึ้นอยู่ที่ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จาก 31.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประ เทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวสูงที่ 4.8% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน หรือ 2.0% จากไตรมาสก่อน โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการบริโภคที่เร่งตัว และอุปสงค์จากต่างประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความไม่แน่ นอนจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศที่ต้องติดตามพัฒนาการต่อไปอย่างใกล้ชิดอาทิ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐ ศาสตร์ นโยบายการค้าระหว่างประเทศ ราคาน้ำมันดิบ และการกระจายตัวของกำลังซื้อในประเทศ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1/2561 ขยายตัวสูงถึง 4.8% ว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี ซึ่งสะท้อนว่าทุกปัจจัยที่มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นทั้งหมด ทั้งการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวต่อเนื่อง 4 ไตรมาส, ภาคการเกษตรที่เติบโตที่น่าพอใจ และภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
โดยจีดีพีไตรมาส 1/2561 ขยายตัวถึง 4.8% เป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส และสูงสุดในรอบ 5 ปี การเติบโตทางเศรษฐกิจดังกล่าวเกิดจากสิ่งที่รัฐบาลพยายามดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนได้แสดงผลออกมาแล้ว เพราะรัฐบาลไม่ยอมให้เศรษฐกิจอยู่ใต้สถานการณ์ทั่วไป และคิดว่าเศรษฐกิจจะโตได้เท่านั้น ทั้งนี้รัฐบาลดูปัจจัยเศรษฐกิจทุกตัว ปัจจัยไหนที่ทำให้ขยายตัวได้มากกว่าปกติได้ก็จะดำเนินการ.
สภาพัฒน์ ปรับคาดการณ์ GDP ปี 61 เป็นโต 4.2-4.7% หลัง Q1/61 โตพุ่ง 4.8% สูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ปรับคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 61 เป็นเติบโต 4.2-4.7% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 4.5% จากเดิมคาดการณ์ไว้ในช่วง 3.6-4.6% หลังจากไตรมาส 1/61 เศรษฐกิจขยายตัวได้ถึง 4.8% สูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส จากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 4.0%
"เศรษฐกิจไตรมาสแรกโตกว่าที่เราคาดการณ์ ประกอบกับมีการปรับสมมติฐานรายรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ซึ่งสองปัจจัยนี้ทำให้เราปรับเพิ่มค่ากลาง GDP ปีนี้จากเดิม 4.1% เมื่อรอบที่แล้วมาเป็น 4.5% ซึ่งอยู่ในระดับกรอบบนของประมาณการเดิม" นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการ สศช. แถลงเช้าวันนี้
สำหรับ ปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้มาจาก การปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก และระดับราคาสินค้าในตลาดโลก ซึ่งจะสนับสนุนให้การส่งออกและการผลิตสาขาอุตสาหกรรมขยายตัวในเกณฑ์ดี และสนับสนุนเศรษฐกิจภาพรวมได้อย่างต่อเนื่อง แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาลและการลงทุนภาครัฐยังอยู่ในเกณฑ์สูง และมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
การฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นของการลงทุนภาคเอกชนตามการเพิ่มขึ้นของอัตราการใช้กำลังการผลิตในสาขาอุตสาหกรรม การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ความคืบหน้าของโครงการลงทุนภาครัฐ และการปรับตัวดีขึ้นของความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจ และการปรับตัวดีขึ้นและการกระจายตัวมากขึ้นของฐานรายได้ประชาชนในระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัว 8.9% การบริโภคภาคเอกชนและการสะสมทุนถาวรรวมขยายตัว 3.7% และ 4.7% ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.7-1.7% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 8.4% ของ GDP
รองเลขาธิการ สศช. กล่าวว่า ได้มีการปรับสมมติฐานที่ใช้คาดการณ์ GDP ของไทยในปีนี้ใหม่ โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% ปริมาณการค้าโลกขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.3% สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทในปีนี้ยังมีแนวโน้มปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยปรับสมมติฐานใหม่เป็น 31.50 บาท/ดอลลาร์ จากเดิมที่ประเมินไว้ 32 บาท/ดอลลาร์
นอกจากนี้ ยังคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้จะปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60-70 ดอลลาร์/บาร์เรล จากของเดิมที่ระดับ 55-65 ดอลลาร์/บาร์เรล รวมทั้งคาดว่ารายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.23 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% จากของเดิมที่คาดไว้ที่ 2.18 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ดี มองว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ การลงทุนภาครัฐจะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น ส่วนการเบิกจ่ายภาครัฐก็มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นเช่นกัน แม้การเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงไตรมาสแรกจะยังไม่สูงมากนักก็ตาม
ส่วนกรณีที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากน้อยอย่างไรนั้น จากผลการศึกษาของหลายน่วยงาน พบว่าผลกระทบเริ่มมีน้อยลง เนื่องจากประเทศต่างๆ มีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว และในกรณีของประเทศไทยนั้นคงจะไม่ได้มีแต่ผลกระทบเพียงอย่างเดียว เพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีราคาเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นแม้ราคาน้ำมันจะปรับสูงขึ้นไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงหรือส่งผลกระทบที่น่ากังวลต่อเศรษฐกิจไทยแต่อย่างใด
นายวิชญายุทธ กล่าวว่า จากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นมีแนวโน้มให้ราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ในภาพรวมแล้วคงจะไม่เพิ่มสูงขึ้นมากนัก โดยเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งราคาน้ำมัน และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อกำลังซื้อโดยรวมของประชาชน ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 1.2% (ค่ากลางของคาดการณ์เงินเฟ้อปีนี้ที่ 0.7-1.7%) ก็ถือว่าอยู่ในกรอบนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้ที่ 1-4% ในปีนี้
รองเลขาธิการ สศช. ยังเชื่อว่า ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยจนน่ากังวล หากยังอยู่ในขอบเขตจำกัดตามที่แต่ประเทศได้ประกาศมาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างกันออกมา
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ 1.การผลิตภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลังจากฐานที่สูงขึ้น 2.ราคาสินค้า อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างช้าๆ
และ 3.ความเสี่ยงจากความผันผวนในระบบเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนและอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นทิศทางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และเงื่อนไขทางการเมืองในประเทศที่สำคัญๆ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่อาจะกระทบต่อความเชื่อมั่นและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ของนักลงทุนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน อัตราเงินเฟ้อ ฐานะการคลัง และดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐ และปริมาณพันธบัตรในตลาดโลก
สำหรับ ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญในปี 61 นี้ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับ 1.การสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบการ SMEs และเศรษฐกิจฐานราก 2.เตรียมความพร้อมด้านกำลังแรงงานและคุณภาพแรงงานให้เพียงพอต่อการรองรับการขยายตัวของภาคการผลิตและการลงทุน 3.สนับสนุนการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะภาคการส่ออก การลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยว 4.ขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐให้สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมาย โดยเร่งรัดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การเบิกจ่ายงบลงทุน และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
อินโฟเควสท์
สมคิด ชวนนลท.เกาหลีลงทุนใน EEC มุ่งสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมเป้าหมาย ยกเป็นหุ้นส่วนด้านเทคโนโลยี-นวัตกรรม
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา "Korea-Thailand 60th Anniversary of Diplomatic Relations: Maekyung Thailand Forum"ว่า เกาหลีใต้เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจชั้นนำของเกาหลีใต้ก็เข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้ว เกาหลีใต้จึงเปรียบเสมือนหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศไทย และเป็นหุ้นส่วนที่มีศักยภาพสูง ทั้งความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
"งานสัมมนา จึงเป็นโอกาสอันดีที่นักธุรกิจเกาหลีใต้ได้เล็งเห็นถึงโอกาสการลงทุนในประเทศไทยที่เปิดกว้างและมีความพร้อมในการรองรับการลงทุนใหม่ๆ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) การจัดตั้งเขตพัฒนานวัตกรรม (อีอีซีไอ) และดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์ (อีอีซีดี) เพื่อเป็นแหล่งรองรับการลงทุนใหม่ของเกาหลีใต้ และเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต"นายสมคิด กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ปรับปรุงการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาทิ การปรับแก้กฎหมายส่งเสริมการลงทุน กฎหมายด้านศุลกากร การออกกฎหมายอีอีซี และการออกสมาร์ทวีซ่า ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย สามารถเข้ามาทำงานในไทย และขอใบอนุญาตทำงานได้โดยสะดวกยิ่งขึ้น
"สิ่งที่กล่าวมานี้ เป็นพัฒนาการด้านการส่งเสริมการลงทุนในไทยที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบภายใต้ รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้นักธุรกิจเกาหลีใต้มั่นใจได้ว่า ประเทศไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศหุ้นส่วนในการลงทุนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน รัฐบาลไทยขอเชิญนักลงทุนจากเกาหลีใต้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในกิจการเดิมที่มีอยู่แล้ว หรือเข้ามาลงทุนในกิจการใหม่ เพื่อนำศักยภาพ ความหลากหลาย และจุดแข็งของเกาหลีและไทยมาผนึกกำลังร่วมกันสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นในอนาคต" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมระบุว่า เมื่อค่ำวานนี้ (16 พ.ค.) ก็ได้มีการผนึกกำลังกันแล้ว โดยเป็นการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างบีโอไอ กระทรวงอุตสาหกรรม และโคเรียไบโอ หรือองค์กรส่งเสริมเทคโนโลยีชีวภาพของสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Biotechnology Industry Organization: KoreaBio) โดยมีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยาน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี ตลอดจนความร่วมมือในการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การสัมมนา การจับคู่ทางธุรกิจ การสำรวจลู่ทางการลงทุน เป็นต้น
นายสมคิด กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีความเหมาะสม ทั้งเชิงสถานการณ์และจังหวะเวลา ทั้งจากสถานการณ์บ้านเมืองของไทยที่มีความสุขสงบ การเมืองมีเสถียรภาพ และกำลังก้าวสู่การเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจ มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพจาก 1% ในปี 2557 ก้าวสู่ 3% ในปี 2558 และ 3.3% ในปี 2559 และ 3.9% ในปี 2560 และคาดว่าในปีนี้ จะเห็นการเติบโตทะลุ 4% อย่างแน่นอน ซึ่งผลจากการฟื้นตัว ทำให้เพิ่มความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม การส่งออกดีขึ้น และการลงทุนในต่างประเทศ การท่องเที่ยว ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเกาหลีเข้ามาเที่ยวที่ประเทศไทย 1.7 ล้านคนในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ ทุนสำรองมีมากกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังอยู่ในระดับต่ำ
นายสมคิด กล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ สถานการณ์ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาของเอเชีย ศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก กำลังเคลื่อนตัวจากตะวันตกมายังฝั่งเอเชีย ทั้งโครงการเส้นทางสายเศรษฐกิจ หรือ One Belt One Road (OBOR) เชื่อมต่อจากจีนสู่อาเซียน และการสร้างอินโดแปซิฟิค ที่ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาในกลุ่มประเทศ CLMVT ทำให้เกิดconnectivity เป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวของภูมิภาค
ทั้งนี้ CLMVT กำลังเป็นหัวใจสำคัญของอาเซียน ไม่ว่า จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐ เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมกับไทย ซึ่งไทยถือว่าอยู่ใจกลางของภูมิภาคนี้ รวมถึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางโดยธรรมชาติ ส่งผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่เข้าตั้งฐานการลงทุนในไทยมากขึ้น เพื่อเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้านประเทศอื่นๆ ด้วย
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ตลาดทุนไทยในปัจจุบันมองว่าไม่ได้มีปัญหา แต่มีความแข็งแกร่งที่ไม่เป็นสองรองใครในอาเซียน โดยยืนยันว่านักลงทุนเกาหลีใต้หากเดินทางมาลงทุนไทยจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน พร้อมกับฝากให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ดูแลนักลงทุนเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561-2562 เชื่อว่ายังเติบโตได้ดี โดยต้องการให้บริษัทเอกชนที่มีแผนงานหรือพร้อมที่จะลงทุนขยายธุรกิจให้เดินหน้าได้เลย เนื่องจากในเวลานี้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 4% แน่นอน ซึ่งสิ่งที่ไทยต้องการให้เกาหลีใต้มาช่วย เช่น การลงทุนทางราง รถไฟความเร็วสูง การสร้างเมืองใหม่ เป็นต้น
ขณะที่นักลงทุนเกาหลีใต้ได้สอบถามถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในไทย ซึ่งนายสมคิด กล่าวว่า ทุกบริษัทจากเกาหลีใต้มีโอกาสเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะไทยมีธุรกิจปิโตรเคมีที่มีโอกาสเติบโตดี จึงสามารถเข้ามาลงทุนโดยตรงหรือเข้ามาในรูปแบบกิจการร่วมค้า หรือ Joint Venture ได้ และด้านการลงทุนนั้น BOI ก็พร้อมสนับสนุน ซึ่งคิดว่าศักยภาพของนักธุรกิจเกาหลีใต้มีความเข้มแข็งมากไม่เป็นสองรองใคร ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับนักลงทุนโดยให้สิทธิเท่าเทียมและมีความเป็นกลาง
ส่วนธุรกิจการบินในไทยนั้น นายสมคิด กล่าวว่า รัฐบาลไทยก็เปิดกว้างเช่นกัน หากนักลงทุนเกาหลีใต้ต้องการให้ดูแลในเรื่องใดสามารถเสนอมาไดั โดยขณะนี้การท่องเที่ยวของไทยเติบโตดี มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยมากถึง 35 ล้านคน และในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้รายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตได้ดี ซึ่งจะทำให้ธุรกิจการบินเติบโตดีมากขึ้น และในอนาคตไทยจะเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม การเดินทางมาของนักลงทุนเกาหลีในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสในการหาลู่ทางและแสวงหาพันธมิตรในอนาคต ซึ่งทางรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและดูแลอย่างเต็มที่ และทางรัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการปฏิรูปเศรษฐกิจไทย ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน เปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย โดยมีนโยบายสำคัญ คือ ไทยแลนด์ 4.0 เพราะต้องการสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีมูลค่ามากขึ้น
พร้อมระบุว่า โลกกำลังเปลี่ยนไป ทำไทยต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูปจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แม้มีโอกาสหลายครั้งแต่ไม่สามารถปลุกกระแสได้เลย แต่ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดี เราต้องการสร้างกระแสการปฏิรูปและกำลังเปลี่ยนแปลงประเทศไทย และต้องการมิตรสหายเชื่อมโยงให้เกิดประโยชน์สูงสุด
"เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีจุดแข็งในสิ่งเหล่านี้ รถยนต์ท่านมีฮุนได เทเลคอมท่านมีซัมซุง แอลจี มีอุตสาหกรรมอาหาร เหล็ก รถไฟฟ้า เครื่องบิน ดิจิทัล ท่านไม่เป็นสองรองใคร" นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าว่า จะหาโอกาสนำคณะนักธุรกิจจากไทยไปหารือกับทางเกาหลีใต้อีกครั้ง เพื่อพัฒนาความร่วมมือให้มากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญ อยากให้เกาหลีใต้มีความเชื่อมั่นว่าไทยมีศักยภาพ เชื่อมั่นและไว้วางใจกัน ซึ่งเชื่อว่าหากได้ทำงานร่วมกันจะสามารถสำเร็จได้อย่างแน่นอน
ด้าน น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า บีโอไอมั่นใจว่านักธุรกิจชั้นนำที่เดินทางมาจากเกาหลีใต้กว่า 170 ราย และนักธุรกิจเกาหลีใต้ที่ดำเนินกิจการในประเทศไทยแล้วและเข้าร่วมงานครั้งนี้อีกกว่า 40 ราย จะมองเห็นภาพรวมของประเทศไทย ทั้งในด้านนโยบายและการดำเนินงานจากบุคคลสำคัญหลายท่าน ได้แก่ โดย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม และนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
นอกจากนี้ นักธุรกิจเกาหลีใต้จะยิ่งมองเห็นโอกาสใหม่ๆ นอกเหนือจากด้านอิเล็กทรอนิกส์ ด้านดิจิทัล ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และด้านไบโอเทคโนโลยี เพราะบีโอไอมีมาตรการใหม่ คือ มาตรการส่งเสริมการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (สมาร์ท ซิตี้) ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายคือบริษัทผู้พัฒนาระบบอัจฉริยะด้านต่างๆ ซึ่งบริษัทชั้นนำของเกาหลีมีศักยภาพสูงมาก และมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพื้นที่อีอีซี ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้กับบริษัทเกาหลีที่กำลังตัดสินใจเลือกแหล่งลงทุนให้เลือกประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด