อีอีซีชู 5G มุ่งพัฒนา ‘คน’ ส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีชุมชน
เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เตรียมความพร้อมก้าวสู่การพัฒนาพื้นที่ในเฟสสาม มุ่งเน้นการพัฒนาเมืองยกระดับความปลอดภัย ติดตั้งและทดลองใช้ 5G ในตำบลบ้านฉางเพื่อบูรณาการสู่เมืองต้นแบบสมาร์ตซิตี พร้อมอบรมความรู้ชุมชนยกระดับทักษะบุคลากรภาคการท่องเที่ยวยกระดับ 12 ชุมชนใน อีอีซี สร้างโมเดลการท่องเที่ยววิถีชุมชนยั่งยืน
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ในบทบาทของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรถไฟความเร็วสูง เมืองการบินภาคตะวันออก และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด แต่อีอีซียังมีพันธกิจและบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่อีอีซีให้ความสำคัญในปีนี้
นาง ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการด้านเศรษฐกิจมหาภาค สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เล่าว่า โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ อีอีซี แบ่งงานออกเป็น 3 ส่วนหลักได้แก่ งานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการส่วนต่อขยายของท่าเรือมาบตาพุดและท่าเรือแหลมฉบัง งานยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 อุตสาหกรรม และงานพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น งานด้านการศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันเมื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคืบหน้าไปได้ตามเป้าหมายแล้ว ในปี 2564 นี้ อีอีซี จึงมุ่งเน้นการพัฒนาชุมชน
การพัฒนาชุมชนตามแนวทางของอีอีซีมีงานที่สำคัญในหลายส่วนด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาโครงข่าย 5G และการนำร่องการประยุกต์ใช้ 5G ที่ตำบลบ้านฉางเป็นพื้นที่เมืองต้นแบบ สมาร์ทซิตี้เมืองน่าอยู่ ที่มีการวางแผนการจัดการให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
นายปรมินทร์ แสงศักดิ์สิทธารถ รองปลัดเทศบาลตำบลบ้านฉาง ให้ข้อมูลว่า ตำบลบ้านฉางเป็นเมืองที่อยู่คู่อุตสาหกรรม เพราะมีนิคมอุตสาหกรรมเอเชียและนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดอยู่ด้านทิศตะวันออก จึงมีปัญหาเรื่องมลพิษ จึงเป็นความท้าทายในการยกระดับให้ตำบลเป็นเมืองน่าอยู่ เมื่อปี 2562 มีการจัดทำบ้านฉางโมเดลเพื่อเป็นเมืองต้นแบบและได้รับการสนับสนุนจากอีอีซีและ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) ในการติดตั้ง 5G ช่วยให้การทำสมาร์ตซิตีเกิดขึ้นได้จริง
เทศบาลตำบาลบ้านฉาง มีการติดตั้งระบบ 5G และ เสาอัจฉริยะที่สามารถเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อม คุณภาพอากาศ คุณภาพน้ำ การจราจร โดยระบบเซ็นเซอร์บันทึกภาพและกล้องวีดิโอ เพื่อเฝ้าระวังติดตามความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงนำข้อมูลที่ได้รับประมวลผลบริหารจัดการให้เมืองมีความน่าอยู่มากขึ้น ที่ผ่านมามีเคสที่เกิดขึ้นจริง และได้ใช้ข้อมูลจากเสาอัจฉริยะในการคลี่คลายคดีอุบัติเหตุและคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปีนี้เมื่อติดตั้งเสาอัจฉริยะครบ 146 จุด จะทำให้การทำงานของเมืองอัจฉริยะชัดเจนยิ่งขึ้น
และในช่วงที่เศรษฐกิจบอบช้ำ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีอีซีได้จัดทำโครงการสนับสนุนการท่องเที่ยววิถีชุมชน เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรายได้ดีเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของอีอีซี และภาคการท่องเที่ยวยังมีมูลค่าคิดเป็นประมาณ 17% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของ 3 จังหวัด การยกระดับทักษะบุคลากรทางด้านการท่องเที่ยว เพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายจึงสำคัญอย่างมาก
ที่ผ่านมาอีอีซีเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนชุมชนในหลายรูปแบบทั้งโครงการสนับสนุนการท่องเที่ยวผ่านกองทุนอีอีซี รวมถึงโครงการล่าสุดที่อีอีซีจัดทำโครงการฝึกอบรมระยะสั้นเพื่อยกระดับทักษะบุคลากรภาคการท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งชุมชนตะเคียนเตี้ย เป็น 1 ใน 12 ชุมชนเป้าหมายที่อีอีซีมีแผนการยกระดับพัฒนาทักษะบุคลากร
นาย วันวิวัฒน์ เกศวา รองผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์องค์กร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า อีอีซีเห็นโอกาสในการส่งเสริมพัฒนาทักษะ อาชีพ และสินค้าชุมชน ภายใต้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน โดยคัดเลือกชุมชน 12 แห่งเข้าร่วมโครงการพัฒนาชุมชน ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้นในรูปแบบ Demand Driven โดยจัดหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน เช่น ที่ชุมชนบ้านตะเคียนเตี้ย แม้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ชุมชนมีความเข้มแข็ง แต่ก็ยังต้องการอบรมในบางหลักสูตร เช่น การตลาดและการจัดทำแพ็คเกจท่องเที่ยว ซึ่งอีอีซีจะเข้าสนับสนุนในจุดนี้
ภายใต้กรอบการทำงานของอีอีซีในปี 2564 จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรเป็นลำดับแรก โดย ดร.ชลจิต กล่าวอย่างชัดเจนว่า การพัฒนาคนเป็นหัวใจของการพัฒนาอีอีซี โครงการต่างๆ ที่อีอีซีดำเนินการล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มโอกาส ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนในหลากหลายมิติ ทั้งการพัฒนาโครงการพื้นฐาน การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพก็ล้วนแล้วแต่เป็นหนึ่งในการพัฒนาที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในอีอีซีทั้งสิ้น
การสร้างเมืองต้นแบบที่สำเร็จจึงไม่ใช่แค่เพียงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพียงอย่างเดียว แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่การพัฒนาคน ยกระดับความรู้ความสามารถ ควบคู่กับการสร้างความสุข ยกระดับจิตใจ ท้ายที่สุดแล้วอีอีซีจะเป็นต้นแบบการพัฒนา ที่ภูมิภาคอื่นของประเทศสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างพื้นที่แห่งความสุขที่ทุกภาคส่วนอยู่ร่วมกับได้อย่างยั่งยืน
A4207
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
NT ผนึกกำลัง สกพอ. เดินหน้าโครงการ บ้านฉาง เมืองต้นแบบ 5G แห่งแรกของประเทศไทย สู่อนาคตเมือง Smart City
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นประธานในการแถลงข่าวเปิดตัว บ้านฉาง เมืองต้นแบบ 5G แห่งแรกของประเทศไทย'ร่วมกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) โดยมีนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และนายปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ระยอง ร่วมเป็นสักขีพยาน ถือเป็นโครงการที่ความร่วมมือร่วมใจของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อทำให้เกิดต้นแบบการใช้เทคโนโลยี 5G ในการบริหารจัดการเมืองสู่ Smart City ภายใต้โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นอกจากนี้ ยังมีการจัดสัมมนาให้ความรู้เรื่อง 5G สมาร์ทซิตี้และประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตประชาชน โดยมีผู้เชี่ยวชาญ ดร. ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาพิเศษคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และนายปรมินทร์ แสงศักดิ์สิทธารถ รองปลัดเทศบาลตำบลบ้านฉาง เป็นผู้ร่วมอภิปราย
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้เปิดเผยการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC ให้สามารถดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทั้งหมด ซึ่งใช้เทคโนโลยี 5G ในการควบคุมเมืองผ่านข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เพื่อพัฒนาเทศบาลตำบลบ้านฉาง ให้กลายเป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะ เปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ด้วยการสร้างชุมชนปลอดภัย สิ่งแวดล้อมชุมชนยั่งยืน บริการด้านสาธารณสุขและระบบสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยวในชุมชนด้วยเทคโนโลยี 5G แห่งแรกของประเทศไทย
เมืองอัจฉริยะ (Smart city) คือรูปแบบของเมืองแห่งอนาคต ที่ใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมต่อระหว่างประชาชน ชุมชน กับระบบงานบริการของทางภาครัฐ และภาคเอกชนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด หัวใจของการเป็นเมืองอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบนั้น ประกอบไปด้วยการรวบรวมข้อมูลเทคโนโลยี (Internet of Things-IoT) ที่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้อย่างง่ายดายและรวบรวมข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มาใช้ควบคู่กับการเก็บฐานข้อมูลโครงสร้างประชากรและข้อมูลทางภูมิศาสตร์จำนวนมหาศาล และนำมาวิเคราะห์แบบบูรณาการ ต่อยอดในการพัฒนานโยบายต่างๆ ของทางภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำเทคโนโลยี 5G ที่มีระบบการประมวลผล และความเร็วในการเชื่อมต่อที่แรงกว่า 4G ถึง 100 เท่า ทั้งยังสามารถสร้างศูนย์รวมข้อมูล (Data center) เพื่อจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงสุด และสร้างแพลตฟอร์มแสดงผล ให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงประชาชนสามารถเข้าถึงและนำข้อมูลไปใช้งานได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ
เทศบาลตำบลบ้านฉาง จังหวัดระยอง ตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่สนามบินอู่ตะเภา และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเชื่อมต่อทางหลวงหมายเลข 7 หรือ มอเตอร์เวย์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 10 ตารางกิโลเมตร เป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart City) แห่งแรกของประเทศไทย เนื่องจากมีศักยภาพเพียงพอในการเชื่อม 3 ท่าอากาศยาน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิอู่ตะเภา) ซึ่งในอนาคตพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงในย่าน ASEAN5 ถือเป็นเมืองที่มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาให้เป็นเมืองแห่งอนาคตที่อยู่ในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยกระดับให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต คือ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม ชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัลและการแพทย์ การบินและโลจิสติกส์ โดยใช้ระบบอัจฉริยะครบวงจรด้วยเทคโนโลยี 5G
ที่ผ่านมา สกพอ. และ NT ได้ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อทดสอบระบบเสาอัจฉริยะ 5G (5G Smart pole) โดยสามารถใช้งานได้มากกว่า 10 ฟังก์ชั่น เช่น ระบบการตรวจจับระดับสารพิษในอากาศและค่าฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านฉาง ตลอด 24 ชั่วโมง และส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐและเอกชน เพื่อเฝ้าระวังและสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทันที
ในด้านความปลอดภัย หากประชาชนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ที่มีเสาสมาร์ทโพล 5G เกิดอุบัติเหตุหรือประสบอันตรายรวมถึงภัยที่เกิดจากรถชน ประชาชนสามารถกดปุ่มขอความช่วยเหลือ (SOS) จากเสาสมาร์ทโพล 5G ใกล้ตัวหรือแจ้งผ่านแอปพลิเคชั่นเมืองได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ก็สามารถตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวได้จากกล้องวงจรปิดที่มีระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถสังเกตการณ์รวมถึงการวิเคราะห์ตรวจจับใบหน้าอาชญากรหรือตรวจสอบคนหาย โดยโครงการนำสัญญาณ 5G มาประยุกต์ใช้ในการโอนถ่ายและเชื่อมข้อมูลกับภาครัฐ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ (RealTime) และช่วยเหลือได้ทันเวลา
นอกจากนี้ ยังสามารถดูแลและรักษาความปลอดภัย โดยการนำโดรน 5G ไร้คนขับทำหน้าที่บินสำรวจบริเวณหาดและท่าเรือ หาเรือจอดซ้อน เพื่อตรวจสอบคนลอบเข้าเมือง และการเดินเรือที่ผิดกฎหมาย หรือแม้แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในทะเล
ดร.ณัฐวุฒิ ศาสตราวาหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสื่อสารไร้สาย 2 บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม เพื่อรองรับ ระบบสื่อสารต่างๆ และเทคโนโลยี 5G ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ระหว่าง สกพอ. เพื่อพัฒนาการใช้โครงสร้างพื้นฐานระบบโทรคมนาคมและดิจิทัลในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งหมด รองรับระบบการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี 5G ที่จะช่วยภาครัฐสามารถบริหารจัดการเทศบาลตำบลบ้านฉาง จังหวัดระยองให้ไปเป็นเมืองต้นแบบ 5G
สมาร์ทซิตี้ (Smart City) ในอนาคต ขณะนี้ทางบริษัทโดยวางท่อ เสา สายส่งสัญญาณ ระบบไฟเบอร์ออพติกสำหรับโครงข่าย 5G โดยเฉพาะเพื่อรองรับการให้บริการผ่านคลื่นสัญญาณย่าน High Band ความถี่ 26 GHz ที่ได้รับการจัดสรรคลื่นความถี่ล่าสุดจาก กสทช. ซึ่งทั้งหมดถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของบริการโทรคมนาคมที่ภาคเอกชนสามารถใช้งานได้ร่วมกัน (Infrastructure Sharing) เพื่อลดการลงทุนซ้ำซ้อนระหว่างภาครัฐกับเอกชนใช้ทรัพย์สินของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่เป็นการผูกขาดทางธุรกิจ
เทศบาลตำบลบ้านฉางถือเป็นการนำร่องเมืองอัจฉริยะแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งใช้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5G ให้ครอบคลุมพื้นที่ในการให้บริการมากที่สุด เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับความเร็วและแรงกว่าระบบ 4G เดิมมากกว่า 100 เท่า ทำให้ภาครัฐและภาคเอกชนและประชาชนสามารถเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างกันได้อย่างสูงสุด โดยได้นำเทคโนโลยี 5G Core ของ Mavenir Systems Limited ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เครือข่ายคลาวด์เนทีฟแบบครบวงจร (end-to-end) รายเดียวในอุตสาหกรรม การมุ่งเน้นไปที่การเร่งการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายซอฟต์แวร์และการกำหนดนิยามใหม่ของระบบเครือข่ายสำหรับผู้ให้บริการการสื่อสาร ด้วยมาตรฐานเทคโนโลยี Open-RAN และ Open API ทำงานผ่านระบบ Cloud ที่มีความปลอดภัยสูงเพื่อควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน 5G ให้สามารถเชื่อมต่อระบบ VoLTE, VoWiFi, Advanced Messaging (RCS), Multi-ID, vEPC และ Virtualized RAN ได้ครบถ้วน
นอกจากนี้ NT ยังได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน คือ บริษัท 5จี แคททะลิซท์ เทคโนโลยีส์ จำกัด บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิสโก้ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมกันจัดหาเทคโนโลยีชั้นนำจากทั่วโลกและหลากหลายเพื่อออกแบบ 5G โซลูชั่นส์ที่ตอบโจทย์ระบบการบริหารจัดการเมืองใช้งานของเมือง เช่น การให้ข้อมูลกิจกรรมต่างๆ ในเมือง การจัดระเบียบการขนส่งและการจราจร ข้อมูลรถโดยสารสาธารณะ พื้นที่สาธารณะที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและระบบไฟทางอัตโนมัติ ระบบกำจัดน้ำเสีย เป็นต้น เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5G นำร่องเมืองอัจฉริยะและเตรียมพร้อมให้บ้านฉางเป็นเมืองต้นแบบ 5G แห่งแรกของประเทศไทย ที่จะมีการพัฒนาให้ไปเป็นเมืองต้นแบบ 5G สมาร์ทซิตี้ (Smart City) ในอนาคต โดยเทศบาลตำบลบ้านฉาง จังหวัดระยอง ถือเป็นเมืองนำร่องทดสอบระบบสมาร์ทซิตี้ที่ใช้เทคโนโลยี 5G อย่างในการบริหารจัดการให้เป็นเมืองที่มีความน่าอยู่ สามารถรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เป็นที่อยู่อาศัย ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มในพื้นที่ ลดค่าใช้จ่ายของประชาชนและเกิดการใช้ทรัพยากรของเมืองที่คุ้มค่าที่สุด
โครงการบ้านฉาง จะเป็นเมืองต้นแบบ 5G ที่สำคัญเพื่อขยายผลเป็นการบริหารเมืองอัจฉริยะ (Smart City) แห่งแรกของประเทศไทย ตามหลักการ 7 สมาร์ทของสำนักงานดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DEPA) ในอนาคตอันใกล้นี้
A3452
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
EECi จับมือเอกชนจีน ขับเคลื่อนศูนย์นวัตกรรม SMC มุ่งเป้ายกระดับขีดความสามารถโรงงานไทย สู่อุตสาหกรรม 4.0
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมลงนามความร่วมมือกับ SIASUN AUTOMATION (SINGAPORE) PTE. LTD. เพื่อการสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation, EECi) ด้วยการนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ มาร่วมขับเคลื่อนศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Smart Manufacturing Center: SMC) อันจะส่งผลให้เกิดการยกระดับขีดความสามารถในภาคการผลิตของประเทศไทยให้เปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม 4.0
โดยมี ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และ นางสาลินี ผลประไพ ผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออก 1 กรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมด้วย ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้อำนวยการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) นาย Zhao Chen ประธานกรรมการบริหาร SIASUN AUTOMATION (SINGAPORE) PTE. LTD. และ นางสาว Toh Guat Lan รองประธานกรรมการบริหาร SIASUN AUTOMATION (SINGAPORE) PTE. LTD. ร่วมลงนาม
ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้อำนวยการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) กล่าวว่า “มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ เซียซุน ในการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรม SMC-SIASUN ขึ้นที่ EECi ซึ่ง EECi หรือ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมสำคัญของประเทศ กำกับดูแลโดย สวทช. มีพันธกิจหลักในการมุ่งสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่สมบูรณ์เพื่อรองรับการขยายขนาดงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์อย่างแท้จริง และการปรับแปลงเทคโนโลยีขั้นสูงให้เข้ากับบริบทอุตสาหกรรมของประเทศไทย
ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมสำคัญของ EECi ในการสนับสนุน ส่งเสริม และยกระดับขีดความสามารถในอุตสาหกรรมภาคการผลิตของไทย ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้ด้วยการประยุกต์ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดย สวทช. มีแผนที่จะให้ศูนย์นวัตกรรม SMC เป็นศูนย์กลางการบริการที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมภาคการผลิตของประเทศ ซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษให้สอดคล้องกับบริบทของไทย อาทิ การประเมินความพร้อมของผู้ประกอบการสู่อุตสาหกรรม 4.0 การให้คำปรึกษาทางธุรกิจและทางเทคนิค การฝึกอบรมอุตสาหกรรมภาคการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อให้เกิดทักษะใหม่และมีทักษะที่สูงขึ้น อีกทั้งยังมีพื้นที่สำหรับใช้ทดสอบ/ทดลอง (Industry 4.0 test-bed) ในการทำนวัตกรรมอีกด้วย”
นาย Zhao Chen ประธานกรรมการบริหาร SIASUN AUTOMATION (SINGAPORE) กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทชั้นนำจากประเทศจีน เซียซุน คอร์ปอเรชั่น ได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นบริษัทไฮ-เทคชั้นนำระดับโลกที่บูรณาการนวัตกรรม วิจัยพัฒนา และการผลิตหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และสาขาที่เกี่ยวข้อง เซียซุนได้เล็งเห็นถึงความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย จึงผนึกกำลังกับ สวทช. ในการพัฒนาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไอโอทีเพื่อภาคอุตสาหกรรม คลาวด์คอมพิวเตอร์ บิ๊กดาต้า และเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่นๆ เพื่อเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมภาคการผลิตของประเทศไทยสู่ไทยแลนด์ 4.0 อย่างยั่งยืน”
ศูนย์นวัตกรรม SMC ภายใต้ EECi ARIPOLIS ได้รับอนุมัติกรอบงบประมาณจาก ครม. 5,400 ล้านบาท โดยงบประมาณหลักในระยะแรกจะเป็นการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมสำคัญ เพื่อรองรับอุตสาหกรรม 4.0 นอกจากนี้ ศูนย์นวัตกรรม SMC ยังได้ร่วมกับผู้ประกอบการไทย EECi หน่วยงานพันธมิตรจากภาครัฐและเอกชนพัฒนาโครงการนำร่องที่เรียกว่า IDA Platform (Industrial IoT and Data Analytics Platform) โดยเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากจากอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ตรวจจับสัญญาณต่าง ๆ จากเครื่องจักรในกระบวนการผลิต สู่การวิเคราะห์และบูรณาการข้อมูล ทำให้ทราบสถานภาพของเครื่องจักร นำไปสู่การบริหารจัดการการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพและอนุรักษ์พลังงาน ปัจจุบัน มีโรงงานนำร่องเข้าร่วมโครงการในปี 2563 จำนวน 15 โรงงาน และจะขยายไปอีก 500 โรงงานภายในเวลา 3 ปี
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
EEC เดินหน้าระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (EFC) ช่วยเกษตรกรรายได้มั่นคง ผลไม้ไทยแข่งขันได้ทั่วโลก
การประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ครั้งที่ 1/2564
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 กระทรวงพลังงาน ได้รับทราบ และพิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้
ทั้งนี้ การขับเคลื่อน EFC จะยกระดับภาคเกษตรไทย โดยนำเทคโนโลยีทันสมัยช่วยสนับสนุน การค้า การขนส่ง การเพาะปลูก ผลผลิตตรงความต้องการของตลาด ผ่านการขับเคลื่อนใน 4 แนวทางหลัก
1.) ศึกษาความต้องการตลาด เน้นศึกษา ความต้องการ ทุเรียน มังคุด และผลไม้ภาคตะวันออก สำรวจตลาดทั้งในและต่างประเทศ ถึงรสนิยมผู้บริโภค โดย สกพอ. อยู่ระหว่างศึกษาความต้องการตลาดทุเรียน เริ่มจากผู้บริโภคชาวจีน
2.) วางระบบการค้าสมัยใหม่ ผ่าน e-commerce และ e-Auction พัฒนาและลงทุนบรรจุภัณฑ์ ผลไม้
จากภาคตะวันออก ขนส่งทางอากาศได้จำนวนมาก และสะดวก สู่ตลาดโลกได้ทันที เกษตรกรได้รับรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
3.) จัดทำระบบห้องเย็น ที่ทันสมัย จึงทำให้รักษาคุณภาพผลไม้สดใหม่เหมือนเก็บจากสวน ส่งขายได้ตลอดปี และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย โดยคาดว่าจะเปิดดำเนินการระยะแรกภายใน 12 เดือน
4.) จัดระบบสมาชิก อบจ.ระยอง จะช่วยรวบรวมสมาชิกสวนทุเรียน เพื่อนำร่องโครงการ โดยสมาชิกที่ร่วมโครงการ จะต้องใช้เทคโนโลยีพัฒนาผลผลิตที่ได้มาตรฐาน ตรงความต้องการตลาด
ที่ประชุม กบอ. รับทราบ ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และในพื้นที่ อีอีซี มาตรการเยียวยาภาครัฐที่ดำเนินการไปแล้ว ครอบคลุมกว่า 1.2 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 55 ของวัยทำงานใน อีอีซี อย่างไรก็ตาม มาตรการเยียวยาภาครัฐเพิ่มเติมในระยะต่อไป มีความสำคัญและจำเป็น เช่น โครงการเราชนะ และการปรับเงื่อนไข
ใน พ.ร.ก. soft loan จะเพิ่มความครอบคลุมการช่วยเหลือ ส่งผลดีต่อประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ อีอีซี
อีอีซี ในระยะต่อไป นอกจากจะเร่งการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตให้กับประเทศแล้ว ยังต้องทำนโยบายที่เน้นมุ่งเป้าเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบแรงจากโควิดมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมมาตรการเยียวยาภาครัฐในการฟื้นฟูและเพิ่มศักยภาพของประชากรในพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยการพัฒนาทักษะบุคลากรแบบ Demand driven (EEC model) เป็นหนึ่งในกลไกเสริมมาตรการเยียวยาภาครัฐจากผลกระทบโควิด เพื่อสนับสนุนให้แรงงานมีรายได้ ช่วยสร้างแรงจูงใจให้บริษัทยังคงการจ้างงาน ซึ่งได้ดำเนินการเพิ่มเติม 3 โครงการ อีกกว่า 12,220 คน ซึ่งจะทำให้ภายในปี 2565 อีอีซี จัดการพัฒนาทักษะบุคคลากร รวมทั้งสิ้นได้กว่า 91,846 คน
ที่ประชุม กบอ. รับทราบ ภาพรวมการขอรับส่งเสริมการลงทุนใน อีอีซี ในรอบปี 2563 (ม.ค.- ธ.ค 2563) ที่ผ่านมา มีทั้งสิ้น 453 โครงการ มูลค่าลงทุนสูงถึง 2.08 แสนล้านบาท คิดเป็น 43% ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศเป็นการลงทุนจากต่างประเทศรวม 1.15 แสนล้านบาท คิดเป็น 55% ของมูลค่าขอรับส่งเสริมทั้งหมดใน อีอีซี โดยนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาลงทุนใน อีอีซี สูงสุด มูลค่าการลงทุน 50,455 ล้านบาท คิดเป็น 44% และอันดับสองเป็นนักลงทุนจากจีน มูลค่าการลงทุน 21,831 ล้านบาท ด้านความคืบหน้า โครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนใน อีอีซี ในปี 2563 จาก 453 โครงการ ได้อนุมัติคำขอแล้ว 292 โครงการ คิดเป็น 64% ออกบัตรส่งเสริมแล้ว 172 โครงการ คิดเป็น 59% และได้เริ่มโครงการแล้ว 79 โครงการ คิดเป็น 46%
ที่ประชุม กบอ. รับทราบ การลงนาม MOU ศึกษาการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) ระหว่าง การท่าเรือฯกับ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ร่วมกันศึกษาแนวทางการลงทุน รูปแบบการให้บริการขนส่ง กำหนดแผนงานที่เหมาะสมการพัฒนาท่าเรือบก ในเขตพื้นที่ Amata Smart & Eco City ใน สปป.ลาว ไปยังท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อเชื่อมต่อระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย ให้เป็นโครงข่ายการขนส่งสินค้า เปิดประตูการค้าให้ สปป. ลาว ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และสนับสนุนโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โดยพัฒนาท่าเรือบกให้เป็นโครงข่ายเชื่อมโยงขนส่งสินค้า จากประเทศจีน สปป.ลาว และประเทศไทย ขับเคลื่อนท่าเรือแหลมฉบังก้าวสู่ศูนย์กลางการค้า การบริการ และการลงทุนโดยเฉพาะด้านระบบโลจิสติกส์ที่จะเชื่อมโยงกับนานาชาติ โดยความร่วมมือศึกษาการพัฒนาท่าเรือบก จะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2564 นี้
ที่ประชุม กบอ. รับทราบความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งการดำเนินงานเป็นไปตามแผนคณะทำงานเร่งรัด ฯ และมีความคืบหน้าต่อเนื่องเป็นลำดับ โดยการรื้อย้ายสาธารณูปโภค เพื่อเปิดพื้นที่ก่อสร้าง พร้อมสามารถส่งมอบพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ภายในเดือนมีนาคม 2564 และการส่งมอบพื้นที่เวนคืน อยู่ในขั้นตอนการทำสัญญาซื้อขายโดย รฟท. ซึ่งจะส่งมอบพื้นที่อย่างช้าภายในเดือนกันยายน 2564
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 5/2563
การประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 5/2563 วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธาน ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ได้รับทราบ และพิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้
1. พัฒนาโครงข่าย 5G และโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd)
ที่ประชุม กพอ. พิจารณา แนวทางการดำเนินงานผลักดันการใช้ประโยชน์จาก 5G ให้เกิดการลงทุนพัฒนาระบบ 5G ในพื้นที่ อีอีซี โดยมีแนวทาง ดังนี้
(1) สร้างผู้ใช้ 5G อย่างเป็นระบบ ผลักดันให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐใช้เทคโนโลยี 5G ในโรงงานทั้งหมดในพื้นที่เขตส่งเสริมอีอีซี ประมาณ 10,000 แห่ง โรงแรมทั้งหมดในอีอีซี ประมาณ 300 แห่ง หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่มเอสเอ็มอี โดยได้จัดทำโครงการนำร่องพัฒนาระบบ 5G เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชน เริ่มตั้งแต่ บริเวณฐานทัพเรือสัตหีบ เสริมความมั่นคง สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน เสริมโครงสร้างพื้นฐาน นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เสริมประสิทธิภาพอุตสาหกรรม และอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อให้ชุมชนได้เริ่มทดลองใช้ระบบ 5G
(2) เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการข้อมูล ผลักดันให้ภาคเอกชนและภาครัฐ จัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ ในพื้นที่ อีอีซี โดยให้ EECd เป็นจุดติดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) นอกจากนี้ วางแนวทางและปรับข้อกฎหมาย นำข้อมูลคลาวด์ภาครัฐ และคลาวด์ภาคเอกชน เฉพาะข้อมูลที่เปิดเผยได้มาจัดทำข้อมูลกลาง เพื่อธุรกิจในอนาคต (Common Data Lake) เพื่อให้ภาคธุรกิจ และกลุ่มสตาร์ทอัพ นำข้อมูลดังกล่าวไปต่อยอดพัฒนาธุรกิจ เช่น E-Commerce การท่องเที่ยว สาธารณสุข และการแพทย์
(3) พัฒนาบุคลากรดิจิทัล ผลักดันเอกชนให้เข้ามาร่วมลงทุนการพัฒนาคน โดยเน้นผลิตบุคลากรที่มีทักษะตามความต้องการของเอกชน (Up-Re-New) จำนวน 100,000 คน
นอกจากนี้ ได้ปรับแนวทางการดำเนินโครงการ EECd ให้เป็นกลไกหลักเพื่อขับเคลื่อนพัฒนาโครงข่าย 5G ซึ่งวิธีการพัฒนาจะเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานที่มีประสบการณ์ จัดตั้งเขตนวัตกรรมดิจิทัลในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน จีน และสหภาพยุโรป โดย สกพอ. เป็นเจ้าภาพ
2. มูลค่าการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ที่ประชุม กพอ. รับทราบ การขอรับส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี ช่วง 11 เดือน (ม.ค.- พ.ย. 2563) มีทั้งสิ้น 387 โครงการ มูลค่าลงทุนสูงถึง 1.28 แสนล้านบาท เทียบเท่าครึ่งหนึ่งของการลงทุนทั้งประเทศ เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ 76,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และปิโตรเคมี โดยนักลงทุนที่สนใจจะลงทุน ขณะนี้ บีโอไอ ได้ประสานกระทรวงต่างประเทศ ทดลองผ่อนผันการกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศ เพื่อความสะดวกและเป็นแรงจูงใจ ให้กับนักลงทุนในการเข้ามาลงทุนในอีอีซี
3. พัฒนาแผนเกษตรในอีอีซี ยกระดับ ภาคการเกษตรให้มีรายได้ ใกล้เคียงภาคอุตสาหกรรม
ที่ประชุม กพอ. รับทราบความก้าวหน้าแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่ อีอีซี โดยแผนเกษตรในอีอีซีใช้ความต้องการตลาดนำ (Demand Pull) เน้นเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร พัฒนาสินค้าตรงความต้องการ ใช้เทคโนโลยีสร้างรายได้ (Technology Push) ให้สินค้าเกษตร มีคุณภาพดี ราคาสูง ให้ความสำคัญ 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ ผลไม้ ประมงเพาะเลี้ยง พืชชีวภาพ พืชสมุนไพร ปศุสัตว์ เพื่อยกระดับการผลิตตรงความต้องการ เพิ่มมูลค่า สร้างรายได้เกษตรกรอย่างยั่งยืน และมอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้แผนฯ เป็นกรอบในการขอรับงบประมาณปี 2565 เป้าหมายหลัก ต้องการยกระดับภาคเกษตร ใช้เทคโนโลยีนำการผลิต สินค้าตรงตามความต้องการของตลาด เพิ่มรายได้ภาคเกษตร ใกล้เคียงภาคอุตสาหกรรม
A12563
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด