EEC อนุมัติการลงทุนแล้ว 1.7 ล้านล้านบาท (การลงทุนภาคเอกชน 80% และภาครัฐ 20%)
ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2565 การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
การประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 1/2565 วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธาน ประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้รับทราบ และพิจารณาความก้าวหน้า การดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
ปี 2561 – 64 ถือเป็นช่วงวางเสาเอก หรือ เริ่มต้นมี พ.ร.บ. อีอีซี ถึงแม้ใน 2 ปีหลังจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่อีอีซี ได้อนุมัติการลงทุนแล้วประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท (การลงทุนภาคเอกชน 80% และภาครัฐ 20%) เกิดจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 654,921 ล้านบาท ลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายประมาณ 924,734 ล้านบาท และบูรณาการเชิงพื้นที่ประมาณ 82,000 ล้านบาท ทั้งนี้ หลังจากเกิด อีอีซี ทำให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวมที่สำคัญๆ ได้แก่
เปิดศักราชใหม่ ปี 2565 อีอีซี เร่งสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง ขับเคลื่อนแผนลงทุนระยะ 2 อีอีซี (ปี 2565-2569) ตั้งเป้าเกิดการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท จากการต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน 2 แสนล้านบาท ดึงดูดการลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ต่อยอดจากฐานปกติ และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ปีละ 4 แสนล้านบาท เพื่อให้เกิดการลงทุนนวัตกรรมใหม่เคียงคู่สิ่งแวดล้อม รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตขึ้น (GDP) 5% ต่อปี มูลค่า
การส่งออกสินค้าและบริการของไทยมีมูลค่าสูงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ จะเกิดการพลิกโฉมการศึกษาพัฒนาทักษะบุคลากรโดยเฉพาะด้านดิจิทัล ที่จะสร้างตำแหน่งงานใหม่ รายได้มั่นคง
โดยปี 2572 อีอีซี ตั้งเป้าหมายสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงจากฐานราก ให้ประเทศไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง
ก้าวสู่ประเทศพัฒนา รวมทั้งยกระดับคุณภาพชุมชนในมิติต่างๆ ต่อเนื่อง สร้างรายได้ที่มั่นคง สร้างชุมชนที่มั่งคั่ง ให้กับคนไทย
ทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งเป็นองค์กรต้นแบบการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษทั่วประเทศในอนาคตต่อไป
ที่ประชุม กพอ.รับทราบ ความก้าวหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลัก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จสำคัญของอีอีซี ที่ได้ผลักดันการลงทุนร่วมรัฐ-เอกชน (PPP) จนสำเร็จครบ และต่อจากไตรมาส 1 ปี 2565 นี้ ทุกโครงการ (รถไฟความเร็วสูง สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด และแหลมฉบัง) จะสามารถเดินหน้าก่อสร้างได้ตามแผนทั้งหมด นับเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ไม่ต้องพึ่งพิงเงินกู้ต่างประเทศเช่นในอดีต รัฐได้ประหยัดงบประมาณ ร่วมมือกับเอกชนไทยใช้เงินไทย ใช้บริษัทไทย ใช้คนไทย ร่วมสร้างประเทศไทยที่แข็งแกร่งเป็นแกนหลักนำพันธมิตรต่างชาติมาร่วมลงทุน สร้างงาน สร้างเงินให้คนไทย มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 654,921 ล้้านบาท และรัฐได้ผลตอบแทนสูงถึง 210,352 ล้้านบาท
ที่ประชุม กพอ.รับทราบ ความก้าวหน้าโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่ อีอีซี ยกระดับให้ชุมชนเข้าถึงบริการสาธารณสุข และแผนการขับเคลื่อนการรักษาแบบการแพทย์แม่นยำ โดยเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ศูนย์บริการจีโนมิกส์ในอีอีซี และบริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ สกพอ. ได้ลงนามในสัญญาจ้าง และสัญญาเช่าที่บริการถอดรหัสพันธุกรรม กับกิจการร่วมค้าไทยโอมิกส์ เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมประชาชน 50,000 ราย ในระยะเวลา 5 ปี และจัดเก็บเป็นข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยและเลือกการรักษาโรคที่ถูกต้อง เป็นต้นแบบในพื้นที่ อีอีซี เพื่อให้คนไทยทุกคน ได้รับการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ รักษาได้ตรงอาการ และมีสุขภาพดี
นายกฯ ประชุมบอร์ด EEC รับทราบภาพรวมการดำเนินงานปีที่ 4 อีอีซีดึงเงินลงทุนแล้ว 1.7 ล้านล้านบาท ย้ำทุกหน่วยงานเร่งดำเนินงานปี 2565 ขับเคลื่อนไทยสู่ประเทศรายได้สูง
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ประชุมบอร์ด EEC รับทราบภาพรวมการดำเนินงานปีที่ 4 อีอีซีดึงเงินลงทุนแล้ว 1.7 ล้านล้านบาท ย้ำทุกหน่วยงานเร่งดำเนินงานปี 2565 ขับเคลื่อนไทยสู่ประเทศรายได้สูง ยกระดับชีวิตประชาชนดีขึ้น
ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) (บอรด์ EEC) ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบ Video Conference โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เข้าร่วมด้วย นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกำหนดเป้าหมายปี พ.ศ. 2565 เป็นปีแห่งความสำเร็จ ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งแก้ไขปัญหาและทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ เพื่อไม่ให้ค้างคาหรือล่าช้า ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ในครั้งหน้า ด้วยการร่วมมือกันปลดล็อกอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ เพื่อสร้างผลงานให้ปรากฏชัดเจนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ พร้อมขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้ทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินการของ EEC ภายใต้นโยบายของรัฐบาล ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้ออกจากกับดักรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ของประเทศให้ GDP เพิ่มสูงขึ้น และให้รัฐมีรายได้ที่สามารถจะดูแลประชาชนทุกกลุ่มตลอดจนผู้มีรายได้น้อย
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลแก้ปัญหาความยากจนแบบมุ่งเป้า สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มที่มีความพร้อมแต่ขาดเงินทุน 2) กลุ่มที่ยังไม่พร้อมต้องเพิ่มการเรียนรู้ก่อนสนับสนุนทุนให้ และ3) กลุ่มที่ยังไม่มีความพร้อมอะไรเลย ดังนั้น ต้องหาแนวทางทำให้เข้าไปอยู่ในห่วงโซ่ในกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 ด้วย เพื่อให้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปพร้อมกันให้ได้ นอกจากนี้ ใช้ศักยภาพความหลากหลายทางชีวภาพมาดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ เช่น พืชสมุนไพร หรือความหลากหลายทางชีวภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับประชาชน
และให้ประสานความร่วมมือบูรณาการทำงานกับบีโอไอด้วย รวมไปถึงการดำเนินการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบายรัฐบาลและทั่วโลกในแก้ไขปัญหาลดโลกร้อนตามที่ได้ประกาศต่อที่ประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับการที่ไทยประกาศให้ความสำคัญคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนในการประกอบการธุรกิจเคารพ คุ้มครอง และเยียวยา เพื่อให้เกิดการลงทุนที่ปลอดภัย คำนึงต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ให้ต้องกลับมาแก้ปัญหาภายหลังอีก
นายกรัฐมนตรีย้ำถึงแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566 – 2570 ซึ่งรัฐบาลเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบโลกจิสติกส์ของประเทศให้เกิดการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบทั้งประเทศ ทั้งทางบก ทางน้ำ และระบบราง เชื่อมโยงกับต่างประเทศด้วย โดยมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม สกพอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกันดำเนินการให้สำเร็จตามแผนที่ได้วางไว้ และเป็นไปตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศ ประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่าในที่ประชุมวันนี้ นายกรัฐมนตรียังให้ศึกษาแนวทางแก้ปัญหาเรื่องของตู้คอนเทนเนอร์สำหรับการขนส่งสินค้า การเกษตรและผลไม้ต่าง ๆ ขณะที่การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล และคณะกรรมการบริหารสัญญาโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F โดยกำชับให้พิจารณาแต่งตั้งบุคคลที่สุจริต ไม่มีผลประโยชน์ และไม่มีคดีความต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
สำหรับมติ กพอ. ที่สำคัญ มีดังนี้
1) รับทราบภาพรวมการดำเนินงาน ประโยชน์ประเทศและประชาชนได้รับจาก อีอีซี โดยก้าวสู่ปีที่ 4 อีอีซี ดึงเงินลงทุนแล้ว 1.7 ล้านล้านบาท (การลงทุนภาคเอกชน 80% และภาครัฐ 20%) เกิดจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 654,921 ล้านบาท ลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายประมาณ 924,734 ล้านบาท และบูรณาการเชิงพื้นที่ประมาณ 82,000 ล้านบาท และในปี 2565 อีอีซี เร่งสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง ขับเคลื่อนแผนลงทุนระยะ 2 อีอีซี (ปี 2565-2569) ตั้งเป้าเกิดการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท จากการต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน 2 แสนล้านบาท ดึงดูดการลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ต่อยอดจากฐานปกติ และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ปีละ 4 แสนล้านบาท
เพื่อให้เกิดการลงทุนนวัตกรรมใหม่เคียงคู่สิ่งแวดล้อม รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตขึ้น (GDP) 5% ต่อปี มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการของไทยมีมูลค่าสูงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ จะเกิดการพลิกโฉมการศึกษาพัฒนาทักษะบุคลากรโดยเฉพาะด้านดิจิทัล ที่จะสร้างตำแหน่งงานใหม่ รายได้มั่นคง โดยปี 2572 อีอีซี ตั้งเป้าหมายสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงจากฐานราก ให้ประเทศไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางก้าวสู่ประเทศพัฒนา รวมทั้งยกระดับคุณภาพชุมชนในมิติต่างๆ ต่อเนื่อง สร้างรายได้ที่มั่นคง สร้างชุมชนที่มั่งคั่ง ให้กับคนไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งเป็นองค์กรต้นแบบการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษทั่วประเทศในอนาคตต่อไป
2) รับทราบความก้าวหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลัก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จสำคัญของอีอีซี ที่ได้ผลักดันการลงทุนร่วมรัฐ-เอกชน (PPP) จนสำเร็จครบ และต่อจากไตรมาส 1 ปี 2565 นี้ ทุกโครงการ (รถไฟความเร็วสูง สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด และแหลมฉบัง) จะสามารถเดินหน้าก่อสร้างได้ตามแผนทั้งหมด โดยถือเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ไม่ต้องพึ่งพิงเงินกู้ต่างประเทศเช่นในอดีต รัฐได้ประหยัดงบประมาณร่วมมือกับเอกชนไทย ใช้เงินไทย ใช้บริษัทไทย ใช้คนไทย ร่วมสร้างประเทศไทยที่แข็งแกร่งเป็นแกนหลักนำพันธมิตรต่างชาติมาร่วมลงทุน สร้างงาน สร้างเงินให้คนไทย มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 654,921 ล้านบาท และรัฐได้ผลตอบแทนสูงถึง 210,352 ล้านบาท
3) รับทราบความก้าวหน้าโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่ อีอีซี ยกระดับให้ชุมชนเข้าถึงบริการสาธารณสุข และแผนการขับเคลื่อนการรักษาแบบการแพทย์แม่นยำ โดยเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ศูนย์บริการจีโนมิกส์ในอีอีซี และบริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ สกพอ. ได้ลงนามในสัญญาจ้าง
และสัญญาเช่าที่บริการถอดรหัสพันธุกรรม กับกิจการร่วมค้าไทยโอมิกส์ เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมประชาชน 50,000 ราย ในระยะเวลา 5 ปี และจัดเก็บเป็นข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยและเลือกการรักษาโรคที่ถูกต้อง เป็นต้นแบบในพื้นที่ อีอีซี เพื่อให้คนไทยทุกคน ได้รับการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ รักษาได้ตรงอาการ และมีสุขภาพดี
12 S-Curve ในการรองรับการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่ EEC
ส.ส.ท. TED Talk (TPA Forum Special) 12 S-Curve to Re-start Thailand โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ชิต เหล่าวัฒนา
ในฐานะที่ปรึกษาพิเศษด้านพัฒนาการศึกษา บุคลากร และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะมาเป็นองค์ปาฐกให้กับ ส.ส.ท. ในรูปแบบ TED Talk ภายใต้โครงการ TPA Forum Special เพื่ออธิบายแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในยุค COVID-19 และการเกิดขึ้นของ 12 S-Curve ในการรองรับการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่ EEC
วัตถุประสงค์
- เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบาย Thailand 4.0 และการเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมใหม่ 12 S-Curve ให้แก่สมาชิก ส.ส.ท. และประชาชนทั่วไป
- เพื่อสร้างความตระหนักถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ของแวดวงอุตสาหกรรมโลก และวงการโรงงานไทย
- เพื่อนำเสนอแนวคิดการขับเคลื่อน EEC
เป้าหมาย
- สมาชิก ส.ส.ท. และประชาชนทั่วไป ได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับ 12 S-
Curve
- นำเสนอความเชื่อมโยงระหว่าง 12 S-Curve กับความจำเป็นในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทย และในพื้นที่ EEC
- อธิบายความร่วมมือระหว่าง EEC HDC กับสถาบันฝึกอบรมที่เข้าร่วมโครงการ
----------------------
ลงทะเบียนคลิก : https://zhort.link/rEA
สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ 02 717 3000 ต่อ 81
Dr.Jakkrit Siririn <[email protected]>;;
'สุพัฒนพงษ์' มั่นใจ 'อีอีซี ออโตเมชั่น พาร์ค'เสริมแกร่งการลงทุนนวัตกรรมขั้นสูง พัฒนาอุตสาหกรรม ก้าวสู่โรงงานอัจฉริยะ ตอบโจทย์การผลิตลดต้นทุน เพิ่มมูลค่า สร้างทักษะแรงงาน คาดเกิดการลงทุนหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติรวมไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท พร้อมสร้างบุคลากรรองรับ 15,000 คนใน 5 ปี
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เยี่ยมชม อีอีซี ออโตเมชั่น พาร์ค (EEC Automation Park) ศูนย์การเรียนรู้และพัฒนากำลังคนด้านออโตเมชั่นและหุ่นยนต์
พร้อมร่วมหารือ และติดตามความคืบหน้าการถ่ายทอดเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม ที่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรภาคอุตสาหกรรม ยกระดับภาคการผลิตของประเทศไทย โดยมี นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่จาก สกพอ. และออโตเมชั่น พาร์ค เข้าร่วม ณ มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี
ทั้งนี้ อีอีซี ออโตเมชั่น พาร์ค ถือเป็นการขับเคลื่อนร่วมกันระหว่าง อีอีซี และบริษัท มิตซูบิชิ อิเลคทริก เป็นศูนย์เครือข่ายความร่วมมือระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และดิจิทัล ที่จะเป็นฐานสำคัญ ขับเคลื่อนพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ อีอีซี ก้าวสู่โรงงานอัจฉริยะ ตอบโจทย์การพัฒนากระบวนการผลิตที่ลดต้นทุน เพิ่มมูลค่า สร้างทักษะแรงงาน อย่างเหมาะสมและคุ้มค่าต่อการลงทุน สร้างนวัตกรรมขั้นสูงแบบครบวงจร ตั้งแต่การสั่งสินค้า ผลิต และจัดเก็บสินค้าด้วยระบบอัตโนมัติ
ร่วมไปกับการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร เสริมทักษะด้านดิจิทัลเพื่อให้สามารถทำงานกับระบบหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติได้จริง รวมทั้งยังครอบคลุมถึงการให้คำปรึกษาโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตที่ทำได้จริง การหาแหล่งเงิน เพื่อลงทุนจากภาครัฐ และการเป็นพื้นที่ทดสอบต้นแบบและนวัตกรรม (Sandbox) ของอีอีซี เพื่อต่อยอดในเชิงพาณิชย์ต่อไป
นอกจากนี้ อีอีซี ออโตเมชั่น พาร์ค จะยกระดับไปสู่ ศูนย์เครือข่ายความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากร หรือ EEC-NET ด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสู่โรงงานอัจฉริยะ ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ อีอีซี จะได้รับความรู้ และเกิดการใช้ระบบสายการผลิตอัตโนมัติแบบดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยี 5G ที่ครอบคลุมในพื้นที่ อีอีซี 100% แล้วเพิ่มขึ้น เกิดบริการข้อมูลฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ในรูปแบบการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) โดยใช้ผลิตภัณฑ์จากบริษัทในกลุ่มพันธมิตรเพื่อให้เกิดการนำไปใช้ได้จริง
โดย อีอีซี ออโตเมชั่น พาร์ค จะสามารถฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะความชำนาญให้แก่บุคลากรที่จะเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะทักษะด้านหุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ ได้มากกว่า 25 หลักสูตร โดยตั้งเป้าหมายจะพัฒนาให้ได้ประมาณ 2,000 คน/ปี และภายใน 5 ปี จะเกิดบุคลากรที่ชำนาญ ได้สูงถึง 15,000 คน ยกระดับให้ไทยก้าวสู่ยุคใช้นวัตกรรมขั้นสูง และเกิดโรงงานอัจฉริยะ 4.0 อย่างต่อเนื่อง
สำหรับ การขับเคลื่อน อีอีซี ออโตเมชั่นพาร์ค จะสร้างความเชื่อมโยง Ecosystem เอื้อให้ภาคอุตสาหกรรมพัฒนาและปรับตัวไปสู่โรงงานอัจฉริยะใช้นวัตกรรมนำการผลิต ดึงดูดเงินลงทุนนวัตกรรมขั้นสูงจากนักลงทุนทั่วโลก โดยคาดว่า การลงทุนด้านหุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ เป็นเครื่องมือสำคัญให้ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต ซึ่งคาดว่าใน 3 ปีข้างหน้า จะเกิดลงทุนสูงถึง 500,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนในพื้นที่ อีอีซี ไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท/ปี
โดยปี 2565 ตั้งเป้าหมายให้โรงงานในอีอีซี เริ่มประยุกต์ใช้เตรียมความพร้อมสำรวจการออกแบบระบบและเชื่อมหาแหล่งทุนได้ไม่น้อยกว่า 200 แห่ง และตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะสามารถปรับสู่โรงงานอัจฉริยะใช้เทคโนโลยีขั้นสูง Digital Manufacturing 4.0 ไม่น้อยกว่า 10,000 โรงงาน ยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก ยกระดับแรงงานไทยให้ชำนาญด้านนวัตกรรมขั้นสูง เกิดการจ้างงาน เงินเดือนและรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง
สกพอ. เร่งเครื่องเชื่อมความร่วมมือ 4 สถาบันการเงิน เสริมสภาพคล่องทางการเงิน ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เกษตรกร ผู้ค้ารายย่อย ชุมชนพื้นที่อีอีซี คลายผลกระทบโควิด 19 เข้าถึงแหล่งเงินทุน ต่อยอดขยายกิจการ เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ เสริมเศรษฐกิจฐานรากให้แข็งแกร่ง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การส่งเสริมการลงทุนและบริการทางการเงินเพื่อพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) และ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
โดยมี นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ สกพอ. นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน ผู้จัดการ ธ.ก.ส. นายเจษฎา ช.เจริญยิ่ง รองกรรมการผู้จัดการทำการแทนกรรมการผู้จัดการ เอสเอ็มอีแบงก์ และนายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทิพยประกันภัย เป็นผู้ลงนาม พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงาน สกพอ. และ 4 สถาบันทางการเงินดังกล่าว ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
ความร่วมมือที่เกิดขึ้น ระหว่าง สกพอ. และ 4 สถาบันการเงินครั้งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญเพื่อเร่งบรรเทาผลกระทบสถานการณ์โควิด 19 ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการธุรกรรมทางการเงินประเภทต่างๆ การพัฒนานวัตกรรมใหม่ด้านการเงิน ที่พร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกระดับในพื้นที่อีอีซี ทั้งในเรื่องสินเชื่อรูปแบบพิเศษที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในแต่ละกลุ่มสินเชื่อเพื่อยกระดับเกษตรกรไปสู่การทำธุรกิจการเกษตร และเข้าถึงบริการประกันภัยในรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงผู้ประกอบการ รวมทั้งเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กลุ่มเกษตรกร และชุมชนในพื้นที่ อีอีซี เกิดความเข้มแข็งยกระดับรายได้ต่อเนื่อง เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง ซึ่งจะเป็นต้นแบบเพื่อนำไปใช้พัฒนาพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ความร่วมมือของ 4 สถาบันการเงินดังกล่าว ได้ผลักดันให้เกิดธุรกรรมทางการเงิน ที่จะเป็นเครื่องมือส่งเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในพื้นที่ อีอีซี ที่สำคัญๆ ได้แก่
ธนาคารกรุงไทย ให้บริการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ อีอีซี อาทิ 1) สินเชื่อ SME EEC 4.0 ให้วงเงินกู้สูงสุด 3 เท่าของหลักประกัน หรือสำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท สามารถกู้ได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน 2) สินเชื่อ SME Robotics and Automation เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ วงเงินสูงสุด 80% ของเงินลงทุน ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี
อีกทั้ง ยังได้สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการให้บริการทางการเงินด้านการนำเข้าส่งออก และช่วยการบริหารจัดการทางการเงินให้สะดวก ด้วยบริการต่างๆ อาทิ e-Tax Invoice / e-Receipt นำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น รวมทั้งการลงทุนโดยใช้เทคโนโลยี การให้บริการทางการเงินที่เหมาะสมรองรับความต้องการของผู้ประกอบการได้ทุกกลุ่ม รวมถึงลูกค้าทั่วไปในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พร้อมการให้คำปรึกษา แนะนำ พิจารณาร่วมลงทุนหรือเข้าบริหารกองทุนรวม เพื่อการลงทุนในพื้นที่อีอีซี
ธ.ก.ส. มาตรการสินเชื่อพิเศษ เพื่อช่วยยกระดับเกษตรกรไปสู่การทำธุรกิจด้านการเกษตร และการแปรรูปเบื้องต้น รวมทั้งสินเชื่อเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพเกษตรกรไปสู่การทำการเกษตรแบบสมาร์ทฟาร์มเมอร์ และการเกษตรแม่นยำ เพื่อผลิตสินค้าการเกษตรมูลค่าสูง และวัตถุดิบเกษตร สมุนไพรคุณภาพสูง เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมยา อาหารเสริม และเทคโนโลยีชีวภาพ อาทิ 1) สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย วงเงินตามความจำเป็นในการดำเนินงาน อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 0.01 ต่อปีเป็นระยะเวลา 3 ปี
และปีที่ 4 เป็นต้นไปอัตราดอกเบี้ยปกติ ระยะเวลาชำระคืน 15 – 20 ปี เพื่อเป็นเงินหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ 2) สินเชื่อเสริมแกร่ง SME เกษตร กรณีใช้หลักทรัพย์ไม่เกิน 100 ล้านบาท กรณีใช้บุคคลค้ำประกันไม่เกิน 300,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลา 10 ปี เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทางการเกษตรนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ และ 3) สินเชื่อนวัตกรรมดีมีทุน วงเงินไม่เกิน 300,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลาชำระคืน 10 ปี เพื่อส่งเสริมเกษตรกร และประชาชนทั่วไปนํานวัตกรรม เทคโนโลยีและภูมิปัญญา มาใช้ในกระบวนการผลิตในรูปแบบ Smart Farmer รวมทั้งการให้คำปรึกษาแนะนำแก่นักลงทุน ผู้ประกอบการ และเกษตรกร ให้การสนับสนุนและความร่วมมือในด้านการรวบรวมและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เชื่อมโยงช่องทางการตลาด พร้อมทั้งส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ เพื่อสร้างรายได้ให้กับ ประชาชนและชุมชนอย่างเหมาะสม
เอสเอ็มอีแบงก์ ให้บริการออกสินเชื่อพิเศษแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และธุรกิจรายย่อยอื่นๆ ทั้งภาคการผลิต และบริการ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และบ่มเพาะให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเหล่านี้ได้เติบโตไปสู่การเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ 1) สินเชื่อฟื้นฟู เพื่อฟื้นฟูกิจการหลังโควิค-19 วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ใน 2 ปีแรก โดย 6 เดือนแรกรัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยแทน มีระยะเวลาชำระคืน 10 ปี 2) สินเชื่อ SME เพื่อรีไฟแนนท์ ลงทุนปรับปรุง ขยายธุรกิจ และเสริมสภาพคล่อง วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.5-6 ต่อปี ระยะเวลาชำระคืน 10 ปี ปลอดชำระเงินต้น 18 เดือน
ทิพยประกันภัย สนับสนุนให้คำปรึกษาแนะนำผู้ประกอบการและนักลงทุนในพื้นที่ อีอีซี ให้มีความรู้และ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการประกันวินาศภัยและเงื่อนไขความคุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัย รวมถึงเรื่องของความเสี่ยงภัยที่เกี่ยวข้องกับแต่ละภาคธุรกิจ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและลดความเสี่ยงภัย เสริมสร้างความมั่นคงทางธุรกิจ แก่ผู้ประกอบการและนักลงทุน บริษัท ฯ ได้สร้างผลิตภัณฑ์ประกันภัย “TIP EEC 4.0” ได้แก่ 1) การประกันสำหรับพ่อค้าแม่ค้า ร้านค้า ธุรกิจเอสเอ็มอี
สำหรับ ความเสียหายอุบัติภัยสำหรับรถเข็นขายสินค้า ร้านค้า และทรัพย์สินต่างๆ ตัวอย่างเช่น การประกันภัยสำหรับพ่อค้าแม่ค้า คุ้มครองทรัพย์สินวงเงิน 10,000-30,000 บาท และได้ขยายความคุ้มครองเงินชดเชยการสูญเสียรายได้ไม่เกิน 4,500 บาทจากอุบัติภัยดังกล่าว รวมทั้งการถูกโจรกรรมเงินทางไซเบอร์ ในวงเงินไม่เกิน 3,000 บาท ในราคาเริ่มต้น 365 บาท 2) Insurance Protection for Smart Factory 4.0 คุ้มครองโรงงานที่มีการปรับ line การผลิต จากแบบเก่าเป็นระบบ Automation และ IoT เพื่อใช้ประโยชน์จาก 5G ซึ่งทำงานร่วมกับระบบ Cloud โดยคุ้มครองการสูญเสียรายได้จากการถูกแฮกข้อมูล จนทำให้ดำเนินการผลิตไม่ได้ ในวงเงินสูงสุด 10 ล้านบาท
สำหรับ ทุกสถาบันการเงินที่ร่วมลงนามฯ ครั้งนี้ จะร่วมมือกันประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นักลงทุนและผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความสนใจในการลงทุน หรือประกอบธุรกิจในพื้นที่ อีอีซี และให้การสนับสนุนรวมทั้งคำปรึกษาแนะนำแก่เอสเอ็มอี และนักลงทุน สนับสนุนให้เกิดความเชื่อมโยงของกิจกรรมทางธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกันอย่างครบวงจรในพื้นที่อีอีซี เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงทางธุรกิจแก่นักลงทุนและผู้ประกอบการอย่างยั่งยืน
สนข.จัดสัมมนารับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ครั้งที่ 1 โครงการศึกษาการจัดทำแผนโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงฐานการผลิตในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับประตูการค้าในพื้นที่ภาคใต้ (SEC)
สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดสัมมนารับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ครั้งที่ 1 โครงการศึกษาการจัดทำแผนโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงฐานการผลิตในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับประตูการค้าในพื้นที่ภาคใต้(พื้นที่ SEC) ในวันพฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม 2564 ณ ห้องราชาวดี เฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น จังหวัดระนอง
โดยมีนายสมเกียรติ ศรีษะเนตร ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานเปิดการสัมมนา มีนางวิไลรัตน์ ศิริโสภณศิลป์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กล่าวรายงานพร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภาคใต้เข้าร่วมการสัมมนาฯ ดังกล่าว
สนข.ได้จัดทำโครงการศึกษาการจัดทำแผนโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงฐานการผลิตในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับประตูการค้าในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดระนองโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพตอบสนองต่อการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงฐานการผลิตในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับประตูการค้าในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคใต้ที่เชื่อมโยงสองฝั่งทะเล (อ่าวไทย-อันดามัน)
โดยได้นำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะในเรื่องของสภาพการขนส่งและปัญหาในการขนส่งสินค้า ข้อจำกัดและโอกาสในการพัฒนาท่าเรือฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน มาประกอบการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและสภาพข้อเท็จจริง และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงฐานการผลิต ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับประตูการค้าในพื้นที่ภาคใต้ให้เกิดการขนส่งเชื่อมโยงระหว่างฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยและฝั่งทะเลด้านอันดามัน
รองรับปริมาณการขนส่งสินค้าจากการพัฒนาพื้นที่ EEC ในการส่งออกและนำเข้าสินค้า เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC และพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคใต้ SEC ของประเทศไทยต่อไป
การสัมมนารับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นนี้เป็นการรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนนำเสนอข้อมูลผลการศึกษา และแนวคิดในการจัดทำแผนโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงฐานการผลิตในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับประตูการค้าในพื้นที่ภาคใต้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงฐานการผลิตในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กับประตูการค้าในพื้นที่ภาคใต้ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งทางรางและท่าเรือชายฝั่ง
เพื่อการเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ ลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งสินค้าจากพื้นที่ EEC ไปยังประเทศในกลุ่ม BIMSTEC กลุ่มตะวันออกกลางและยุโรปรวมทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของประชาชน
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด