อีอีซี เดินหน้าพัฒนากำลังคนตรงความต้องการครบทุกมิติ ร่วมประสานกระทรวง อว. ศึกษาธิการ แรงงาน สถาบันขงจื้อ สร้างต้นแบบ (Sandbox) เชื่อมความร่วมมือไทย - จีน ยกระดับผลิตบุคลากรทักษะสูง ดึงดูดนักลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมขยายสู่พื้นที่ทั่วประเทศ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี จัดการประชุมผู้บริหารระดับสูง (High-Level Meeting) การศึกษาและการพัฒนาทักษะบุคลากรในพื้นที่อีอีซี โดยมี สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (สมเด็จธงชัยฯ) กล่าวให้โอวาท และมี ฯพณฯ หาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและและนวัตกรรม นายสุทธิชัย จรูญเนตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) นายพิริยะ เข็มพล ที่ปรึกษาพิเศษ เข้าร่วมการประชุมฯ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันหารือและรับฟัง ณ ห้องประชุม วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร
ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ สกพอ. กล่าวในที่ประชุมฯ ว่า เพื่อเป็นการเร่งสนับสนุนพัฒนาทักษะบุคลากรรองรับการลงทุนของ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่อีอีซี ที่คาดว่าจะมีความต้องการสูงถึง 564,176 คน ในระยะ 5 ปีข้างหน้า สกพอ. จึงได้พัฒนาแนวทางการศึกษาและพัฒนาทักษะบุคลากรภายใต้แนวคิด อีอีซีโมเดล เพื่อมาใช้พัฒนาทักษะบุคลากรในพื้นที่ โดยได้นำประสบการณ์การพัฒนาบุคลากรของสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านสถาบันขงจื่อฯ มาปรับใช้เพื่อให้เกิดการจัดการเรียนการสอนให้ตรงกับตำแหน่งงาน (Demand-Driven Education) ที่เน้นตอบสนองความต้องการกำลังคน โดยดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม จัดการศึกษา ตั้งแต่การออกแบบหลักสูตรไปจนถึงการฝึกงานจริงในโรงงาน เพื่อให้ผู้เรียนจบสามารถปฏิบัติงานได้ทันที ยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ แนวทางอีอีซี โมเดล ดังกล่าว ได้เป็นต้นแบบ (Sandbox) ในพื้นที่แล้ว ซึ่งเกิดผลสัมฤทธิ์และปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างเป็นระบบในหลายมิติ ได้แก่ ด้านการฝึกอบรม โดย EEC HDC ได้ดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 15,267 คน แบ่งเป็นรูปแบบเอกชนร่วมจ่าย 100% (Type A) จำนวน 5,002 คน และการฝึกอบรมระยะสั้น รัฐและเอกชนร่วมจ่าย 50% (Type B) จำนวน 10,265 คน ขณะที่ในปี 2565 ตั้งเป้าหมายอบรมคนเพิ่มสูงถึง 56,595 คน ด้านการรับรองหลักสูตร สนับสนุนให้สถานศึกษา ได้รับองค์ความรู้ใหม่จากเอกชน โดยได้ร่วมกันเสนอหลักสูตร (Co-Endorsement) ที่ผ่านการพิจารณาอนุมัติแล้วกว่า 150 หลักสูตร และด้านศูนย์ข่ายการพัฒนากำลังคนในอีอีซี ได้ร่วมกับภาคเอกชนจัดตั้งศูนย์ Automation Training Center 4 แห่งแล้ว อาทิ อีอีซี ออโตเมชั่นพาร์ค ARAI Academy & Univertory โดย SNC Former ระยอง และร่วมกับ 5 มหาวิทยาลัย อาทิ ศูนย์ระบบราง มทร.ธัญบุรี ศูนย์โลจิสติกส์ มทร.ตะวันออก และอีก 8 วิทยาลัยอาชีวศึกษา อาทิ วท.บ้านค่าย วท.สัตหีบ เป็นต้น
ด้านความร่วมมือเพื่อยกระดับบุคลากรร่วมกับประเทศจีน เป็นไปตามยุทธศาสตร์ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง หรือ Belt and Road Initiative (BRI) ร่วมกับยุทธศาสตร์ “ก้าวออกไป” ที่จะเน้นความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เโดยเฉพาะทวิภาคีเชี่อมโยงกับประเทศจีน ที่จะเน้นพัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานสากล ส่งเสริมการศึกษาวิจัยเพื่อรองรับการลงทุนนวัตกรรมใหม่ ยกระดับการค้าการลงทุน พัฒนาสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจให้เติบโตและเข้มแข็งร่วมกันต่อเนื่อง
สำหรับข้อตกลงความร่วมมือเพื่อขยายผล อีอีซีโมเดล เช่น กระทรวงศึกษาฯ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (CVM) ร่วมในโครงการ Type B เตรียมคนสายอาชีพที่มีสมรรถนะสูง และมีคุณภาพในพื้นที่ จำนวน 5 แห่ง อาทิ สาขาเมคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ สาขาปิโตรเคมี วิทยาลัยมาบตาพุด เป็นต้น กระทรวง อว. เร่งรัดโครงการบัดดี้ภาษามหาวิทยาลัยไทย-จีน จัดตั้งสาขาวิชาภาษาจีนผ่านความร่วมมือมหาวิทยาลัยไทยและจีนรวม 13 แห่ง และขยายเพิ่มเติมในพื้นที่อีอีซี และสถานเอกอัครราชทูตจีน ส่งเสริมความร่วมมือตามยุทธศาสตร์ BRI และ “ก้าวออกไป” เน้นชักชวนภาคอุตสาหกรรมจากจีนมาร่วมพัฒนาการการเรียนการสอนแบบ “ภาษาจีน + ทักษะวิชาชีพ” โดยจะขยายผลโครงการบัดดี้มหาวิทยาลัยไทย-จีน และส่งเสริมการเรียนภาษาจีนทั้งครูและนักเรียนในอาชีวศึกษาเพื่อพัฒนาภาษาจีนและทักษะวิชาชีพ และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาษาจีน (CLEC) เพิ่มเติมในพื้นที่อีอีซี ซึ่งจะเป็นต้นแบบความร่วมมือ (Sandbox) พัฒนากำลังคนในอีอีซี ที่สามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุนสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งในระยะยาวอย่างมั่นคง
A3463
สกพอ. จับมือกรมโยธาธิการฯ เดินหน้าสร้างการมีส่วนร่วมประชาชน ขับเคลื่อน อีอีซี จัดรับฟังความเห็นต่อแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน อีอีซี แก้ไขเพิ่มเติม พบประชาชนในพื้นที่ให้การยอมรับ ต้องการให้เกิดการพัฒนา รวมถึงการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจ เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่ยังมีข้อห่วงใยเรื่องสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรน้ำ
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเรื่อง แผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดินและแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2562 หรือแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน อีอีซี (แก้ไขเพิ่มเติม) ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ระหว่างวันที่ 1 ถึง 7 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง แบ่งเป็นระดับจังหวัด 3 ครั้ง และระดับอำเภอ 4 ครั้ง ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน อีอีซี ประมาณ 1,100 คน
นางสาวทัศนีย์ เกียรติภัทราภรณ์ ที่ปรึกษาพิเศษด้านพื้นที่และชุมชน สกพอ. เปิดเผยว่า การจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น เรื่อง แผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดินฯ ในครั้งนี้ เป็นขั้นตอนสำคัญในการรับฟังข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะจากประชาชนในพื้นที่ หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้สนใจทั่วไป ได้มีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นและข้อมูลเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาพื้นที่ อีอีซี และแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดินฯ จากการรวบรวมข้อมูลที่ได้รับจากการประชุมครั้งนี้ พบว่า ประชาชนในพื้นที่ยอมรับและต้องการให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ รวมถึงการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจ เนื่องจากจะทำให้เกิดการลงทุนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นอุตสาหกรรมใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย สะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดการจ้างงานและเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่มากขึ้น แต่ยังมีข้อห่วงใยด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ความเพียงพอของน้ำ ด้านพลังงาน ต้องการให้ใช้พลังงานสะอาด การบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาและสิ่งแวดล้อม และการเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุขรองรับการขยายตัวของเมือง รวมถึงด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน นอกจากนี้ ขอให้หน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่นจัดระเบียบเมือง ชุมชน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ให้ดีเป็นเมืองน่าอยู่
สำหรับโครงการถนนในแผนผัง อีอีซี มีการเสนอให้ปรับการวางระบบคมนาคมขนส่งประเภทถนนใน อีอีซี ใหม่ เพื่อรองรับโครงการสำคัญที่จะเกิดอนาคต เช่น การพัฒนาพื้นที่บริเวณรอบสถานีรถไฟความเร็วสูงฯ (TOD) การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เนื่องจากบริบทการพัฒนาพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ให้กำหนดกรอบระยะเวลาการก่อสร้างถนนแต่ละสายให้ชัดเจน รวมถึงประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมบางส่วน ยังสะท้อนปัญหาที่สะสมมาในอดีต เช่น ปัญหาที่ดินบริเวณตำบลสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง ที่ขอให้ภาครัฐเร่งรัดเรื่องการออกเอกสารสิทธิให้ประชาชนที่อยู่อาศัยทำกินมานาน และขอให้มีมาตรการกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม หรือเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ อย่างจริงจังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน เป็นต้น
ทั้งนี้ สกพอ. และกรมโยธาธิการและผังเมือง จะรวบรวมความเห็นทั้งที่ได้จากการประชุมรับฟังความเห็นในครั้งนี้ รวมถึงความเห็นที่ส่งเพิ่มเติมผ่านมาทางช่องทางต่างๆ เสนอต่อคณะอนุกรรมการจัดทำแผนผังการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งมีอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นประธาน พิจารณาประกอบการจัดทำประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง แผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดินและแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2562 (แก้ไขเพิ่มเติม) ก่อนนำเสนอ กบอ. กพอ. และคณะรัฐมนตรี คาดว่าจะเสนอ ครม. ได้ประมาณเดือนมิถุนายน 2565
อนึ่ง การจัดประชุมรับฟังความเห็นในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากในปี 2564 ที่ผ่านมาคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เห็นชอบการตั้งและเปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ในอีอีซี เพิ่มเติม 7 แห่ง โดยตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษแห่งใหม่ 6 แห่ง ประกอบด้วยจังหวัดชลบุรี 3 แห่ง ได้แก่ 1) เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย คลีน จังหวัดชลบุรี 2) เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่ 3) เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ แหลมฉบัง และจังหวัดระยอง 3 แห่ง ได้แก่ 1) เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท จังหวัดระยอง 2) เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ นิคมอุตสาหกรรมเอ็กโก ระยอง 3) เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีชั้นสูงบ้านฉาง นอกจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงโดยขยายพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) จังหวัดชลบุรี หรือ EECmd เพื่อเตรียมพร้อมด้านพื้นที่รองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเพียงพอ ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมและการประกอบกิจการเพิ่มขึ้นกว่า 5,919 ไร่ เป้าหมายการลงทุนเพิ่มขึ้น 308,772.23 ล้านบาท ภายใน 10 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2573) และสืบเนื่องจากมติการประชุม กบอ. ครั้งที่ 4/2564 วันที่ 21 มิถุนายน 2564 มีมติให้มีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดการบังคับใช้โครงการถนนในแผนผังระบบคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีข้อกำหนดการบังคับใช้ที่เข้มงวด ส่งผลให้ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน อีอีซี ที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2562 ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง ในครั้งนี้
A3379
ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 2/2565 วันที่ 9 มีนาคม 2565
การประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2565 วันพุธที่ 9 มกราคม 2565 โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธาน ประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้รับทราบ และพิจารณาความก้าวหน้า การดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
1. ยกระดับสินค้าโอทอป นำนวัตกรรมพัฒนาสินค้า ขายตรงความต้องการตลาด เพิ่มรายได้ชุมชนในพื้นที่ อีอีซี
ที่ประชุม กพอ. รับทราบ โครงการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนและผู้ค้ารายย่อยในอีอีซี นำเทคโนโลยีมาส่งเสริมสินค้าโอทอป (OTOP) เพิ่มศักยภาพการขยายช่องทางจำหน่ายให้ตรงตามความต้องการของตลาด อีกทั้งช่วยหาแหล่งเงินทุนให้ผู้ค้ารายย่อย ชุมชน พร้อมตั้งกลุ่มเป้าหมายและสินค้าที่นิยมในพื้นที่นำร่อง อย่างน้อย 10 ชุมชน ได้แก่ จังหวัดระยอง เช่น ทุเรียนทอดกรอบ เครื่องเงิน จังหวัดชลบุรี เช่น พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน ข้าวกล้อง สบู่เปลือกมังคุดจังหวัดฉะเชิงเทรา เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ หมูแท่งอบกรอบ เป็นต้น โดยมีแนวทางดำเนินการ 2 รูปแบบ ได้แก่ตั้งบรรษัทวิสาหกิจชุมชน (EEC EnterPrise) เช่น การลงทุนร่วมระหว่าง สกพอ. สำนักงานกองทุนหมู่บ้าน เอกชน ทำหน้าที่ วางแผนการผลิต การตลาดส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง และศูนย์พัฒนาธุรกิจชุมชน (EEC Incubation Center) ทำหน้าที่ ศึกษาวิจัย พัฒนาสินค้าชุมชนให้มีคุณภาพ ในระดับมาตรฐานมีรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่น่าสนใจ รวมทั้งฝึกอบรมบุคลากรให้ทำงานร่วมกับนวัตกรรมใหม่ โดยคาดว่าโครงการฯ จะเริ่มดำเนินการได้ภายในตุลาคม 2565 นี้
ประโยชน์ที่ได้รับ สามารถเพิ่มยอดขายสินค้าชุมชนไม่ต่ำกว่า 30% รายได้รวม (GDP) ระดับชุมชนประมาณ 20% และเศรษฐกิจชุมชนเพิ่มขึ้นประมาณ 20% นอกจากนี้ ทำให้ผู้ซื้อสินค้า ผู้บริโภค และนักท่องเที่ยว ได้ใช้สินค้าและบริการที่ดี มีคุณภาพ เกิดแรงจูงใจกลับมาเที่ยวซ้ำ ทำให้ชุมชนคนพื้นที่ อีอีซี เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ มีรายได้ดีมั่นคง
2. สิทธิประโยชน์อีอีซี ในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ก้าวสำคัญดึงลงทุนสู่พื้นที่ อีอีซี
ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการอีอีซี โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 ครม. มีมติเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ ซึ่งเป็นการกำหนดสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมพิเศษ รวม 7 เขต ได้แก่ เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันอออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) เขตส่งเสริมรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (EECh) ศูนย์นวัตกรรมการแพทยครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) การแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) และศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีชั้นสูงบ้านฉาง
โดยเริ่มนำร่องที่เขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เป็นพื้นที่ต้นแบบ (Sandbox) ให้สิทธิประโยชน์อีอีซี แก่นักลงทุน ก่อนขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ เพื่อสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่ อีอีซี โดยร่างประกาศสิทธิประโยชน์ฯ มีหลักการที่สำคัญคือ การสร้างนวัตกรรมการให้บริการสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ เน้นการออกแบบสิทธิประโยชน์ตรงตามความต้องการของนักลงทุน โดยการเจรจาให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนแต่ละราย ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่ใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีศักยภาพ ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ หุ่นยนต์ โลจิสติกส์ การแพทย์สมัยใหม่ ดิจิทัลและอุตสาหกรรมกลุ่ม BCG ที่ลงทุนใน 7 เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษฯ ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์อีอีซี เน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้เกิดการลงทุนที่คล่องตัว เพื่อจูงใจนักลงทุนรายใหญ่เข้าสู่พื้นที่ อีอีซี ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเงินลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า ได้ตามเป้าหมายของอีอีซี
3. เตรียมงานระดับโลก International Air Show โชว์ศักยภาพอุตสาหกรรมการบิน จูงใจการลงทุนสู่พื้นที่ อีอีซี
ที่ประชุม กพอ. พิจารณาให้ สกพอ. ร่วมกับ กองทัพเรือ และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์กรมหาชน) หรือ สสปน. จัดงานแสดงสินค้านานาชาติด้านอุตสาหกรรมการบินในประเทศไทย (Thailand International Air Show) ในพื้นที่สนามบินอู่ตะเภา เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมธุรกิจการให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยานและจะส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาค อีกทั้งทำให้เกิดแรงจูงใจกับนักลงทุนและเชื่อมโยงนักธุรกิจในอุตสาหกรรมการบินระดับโลกเข้ามาลงทุนในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก เกิดการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจร่วมกันจุดนี้ถือเป็นกำลังสำคัญ เสริมแกร่งการลงทุนเข้าสู่ในพื้นที่ อีอีซี ตามเป้าหมายเม็ดเงินลงทุน2.2 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี
การจัดงานฯ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2568 สอดคล้องกับระยะเวลาเปิดบริการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา คาดว่าจะมีผู้ร่วมงานรวมประมาณ 5,425 คน และการจัดงานอย่างเต็มรูปแบบในปี 2570 จะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 36,300 คน มีผู้เข้าแสดงงานประมาณ 1,240 ราย ทั้งนี้ การดำเนินงานภายใต้โครงการฯ จะมีการจัดงานที่เกี่ยวข้องทั้งงานใหม่และงานที่จัดต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ปี 2566 - 2570 จำนวน 28 งานในพื้นที่ อีอีซี ซึ่งเมื่อรวมมูลค่าทางเศรษฐกิจของงาน Thailand International Air Show ทั้งหมด จะสามารถสร้างรายได้รวมให้แก่ประเทศ มากถึงประมาณ 8,200 ล้านบาท
A3361
รัฐบาลเตรียมจัดงาน 'Thailand International Air Show' ณ สนามบินอู่ตะเภา สร้างแรงจูงใจดึงนักลงทุนในพื้นที่อีอีซี
นายกรัฐมนตรีร่วมประชุมกับคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2565 ผ่านระบบ Video Conference ณ ทำเนียบรัฐบาล เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานดำเนินการขับเคลื่อนงานอีอีซี ด้วยความรอบคอบ ถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งภายในประเทศและโลก พร้อมเร่งขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่อีอีซี
.
มติที่ประชุมที่สำคัญ เช่น
1.เตรียมจัดงานแสดงสินค้านานาชาติด้านอุตสาหกรรมการบินในประเทศไทย (Thailand International Air Show) ในพื้นที่สนามบินอู่ตะเภา โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 68 สอดคล้องกับระยะเวลาเปิดบริการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา
2.รับทราบโครงการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนและผู้ค้ารายย่อยในอีอีซี นำเทคโนโลยีมาส่งเสริมสินค้าโอทอป (OTOP) เพิ่มศักยภาพการขยายช่องทางจำหน่ายให้ตรงตามความต้องการของตลาด อีกทั้งช่วยหาแหล่งเงินทุนให้ผู้ค้ารายย่อย ชุมชน พร้อมตั้งกลุ่มเป้าหมายและสินค้าที่นิยมในพื้นที่นำร่องอย่างน้อย 10 ชุมชน
3.รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการอีอีซี โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 65 ครม. มีมติเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ ซึ่งเป็นการกำหนดสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมพิเศษ รวม 7 เขต
4.รับทราบความก้าวหน้าโครงการธีมพาร์คและสวนน้ำ 'โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส' ซึ่งถือว่าเป็นแห่งแรกในโลก ‘Aquaverse: The amazing chapter of global immersive entertainment in EEC Thailand’ เป็นเมืองสวนสนุกขนาด 200 ไร่ มีเครื่องเล่นอัจฉริยะระดับโลกเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว
กำหนดเปิด 'โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส' ระยะที่ 1 ณ เทศบาลบางเสร่ อ.อสัตหีบ จ.ชลบุรี ในวันที่ 8 เม.ย. 65 และในระยะต่อไปจะเปิดตัวโครงการ ระยะที่ 2 ด้วยสวนสนุกในพื้นที่ติดกันในชื่อ ‘วันเดอะเวิร์ส (Wonderverse)’ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวได้ในปี 67
อ่านเพิ่มเติม คลิก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52357
การประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2565 วันพุธที่ 9 มกราคม 2565
โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธาน ประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้รับทราบ และพิจารณาความก้าวหน้า การดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
ที่ประชุม กพอ. รับทราบ โครงการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชนและผู้ค้ารายย่อยในอีอีซี นำเทคโนโลยีมาส่งเสริมสินค้าโอทอป (OTOP) เพิ่มศักยภาพการขยายช่องทางจำหน่ายให้ตรงตามความต้องการของตลาด อีกทั้งช่วยหาแหล่งเงินทุนให้ผู้ค้ารายย่อย ชุมชน พร้อมตั้งกลุ่มเป้าหมายและสินค้าที่นิยมในพื้นที่นำร่อง อย่างน้อย 10 ชุมชน ได้แก่ จังหวัดระยอง เช่น ทุเรียนทอดกรอบ เครื่องเงิน จังหวัดชลบุรี เช่น พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน ข้าวกล้อง สบู่เปลือกมังคุด จังหวัดฉะเชิงเทรา เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ หมูแท่งอบกรอบ เป็นต้น โดยมีแนวทางดำเนินการ 2 รูปแบบ
ได้แก่ ตั้งบรรษัทวิสาหกิจชุมชน (EEC EnterPrise) เช่น การลงทุนร่วมระหว่าง สกพอ. สำนักงานกองทุนหมู่บ้าน เอกชน ทำหน้าที่ วางแผนการผลิต การตลาดส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง และศูนย์พัฒนาธุรกิจชุมชน (EEC Incubation Center) ทำหน้าที่ ศึกษาวิจัย พัฒนาสินค้าชุมชนให้มีคุณภาพ ในระดับมาตรฐานมีรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่น่าสนใจ รวมทั้งฝึกอบรมบุคลากรให้ทำงานร่วมกับนวัตกรรมใหม่ โดยคาดว่าโครงการฯ จะเริ่มดำเนินการได้ภายในตุลาคม 2565 นี้
ประโยชน์ที่ได้รับ สามารถเพิ่มยอดขายสินค้าชุมชนไม่ต่ำกว่า 30% รายได้รวม (GDP)ระดับชุมชนประมาณ 20% และเศรษฐกิจชุมชนเพิ่มขึ้นประมาณ 20% นอกจากนี้ ทำให้ผู้ซื้อสินค้า ผู้บริโภค และนักท่องเที่ยว ได้ใช้สินค้าและบริการที่ดีมีคุณภาพ เกิดแรงจูงใจกลับมาเที่ยวซ้ำ ทำให้ชุมชนคนพื้นที่ อีอีซี เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ มีรายได้ดีมั่นคง
ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการอีอีซี โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 ครม. มีมติเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการพิเศษ ซึ่งเป็นการกำหนดสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมพิเศษ รวม 7 เขต ได้แก่ เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันอออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) เขตส่งเสริมรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (EECh) ศูนย์นวัตกรรมการแพทยครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) การแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) และศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีชั้นสูงบ้านฉาง
โดยเริ่มนำร่องที่เขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เป็นพื้นที่ต้นแบบ (Sandbox) ให้สิทธิประโยชน์ อีอีซี แก่นักลงทุน ก่อนขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ เพื่อสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่ อีอีซี โดยร่างประกาศสิทธิประโยชน์ฯ มีหลักการที่สำคัญคือ การสร้างนวัตกรรมการให้บริการสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ เน้นการออกแบบสิทธิประโยชน์ตรงตามความต้องการของนักลงทุน โดยการเจรจาให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนแต่ละราย ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่ใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีศักยภาพ ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
และมีความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ หุ่นยนต์ โลจิสติกส์ การแพทย์สมัยใหม่ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมกลุ่ม BCG ที่ลงทุนใน 7 เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษฯ ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์อีอีซี เน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้เกิดการลงทุนที่คล่องตัว เพื่อจูงใจนักลงทุนรายใหญ่เข้าสู่พื้นที่ อีอีซี ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเงินลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า ได้ตามเป้าหมายของอีอีซี
ที่ประชุม กพอ. พิจารณาให้ สกพอ. ร่วมกับ กองทัพเรือ และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์กรมหาชน) หรือ สสปน. จัดงานแสดงสินค้านานาชาติด้านอุตสาหกรรมการบินในประเทศไทย (Thailand International Air Show) ในพื้นที่สนามบินอู่ตะเภา เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมธุรกิจการให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยาน และจะส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาค อีกทั้งทำให้เกิดแรงจูงใจกับนักลงทุน และเชื่อมโยงนักธุรกิจในอุตสาหกรรมการบินระดับโลกเข้ามาลงทุนในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก เกิดการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจร่วมกันจุดนี้ถือเป็นกำลังสำคัญ เสริมแกร่งการลงทุนเข้าสู่ในพื้นที่ อีอีซี ตามเป้าหมายเม็ดเงินลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี
การจัดงานฯ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2568 สอดคล้องกับระยะเวลาเปิดบริการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา คาดว่าจะมีผู้ร่วมงานรวมประมาณ 5,425 คน และการจัดงานอย่างเต็มรูปแบบในปี 2570 จะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 36,300 คน มีผู้เข้าแสดงงานประมาณ 1,240 ราย ทั้งนี้ การดำเนินงานภายใต้โครงการฯ จะมีการจัดงานที่เกี่ยวข้องทั้งงานใหม่และงานที่จัดต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ปี 2566 - 2570 จำนวน 28 งานในพื้นที่ อีอีซี ซึ่งเมื่อรวมมูลค่าทางเศรษฐกิจของงาน Thailand International Air Show ทั้งหมด จะสามารถสร้างรายได้รวมให้แก่ประเทศ มากถึงประมาณ 8,200 ล้านบาท
นายกฯ กำชับทุกภาคส่วนลุยเพิ่มศักยภาพพื้นที่อีอีซี มุ่งสู่ศูนย์กลางลงทุนในภูมิภาค ‘สุริยะ’ รับลูก ย้ำความพร้อมรับการขยายตัวอุตฯ ปิโตรเคมี ด้าน’วีริศ’ ชี้ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศ สอดรับนโยบายของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี กำชับทุกภาคส่วนเร่งผลักดันให้ประเทศไทย โดยเฉพาะ EEC เป็นจุดหมายสำหรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้าน ‘สุริยะ’ ย้ำความพร้อมรองรับการขยายตัวอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เชื่อหากโครงการฯ แล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถรองรับการขนถ่ายกลุ่มสินค้าเหลวและสินค้ากลุ่มพลังงาน ขณะที่ ‘วีริศ’ ชี้ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดระยอง สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกล่าวเปิด “โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1)” ผ่านระบบออนไลน์ จากห้อง PMOC ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลว่า โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) เป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักที่สำคัญ 1 ใน 5 ของโครงการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้รองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและวัตถุดิบเหลวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ตลอดจนรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมเหล็กครบวงจร และอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมี
การดำเนินโครงการดังกล่าว ยังเป็นการยืนยันเจตจำนงของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนในด้านต่าง ๆ ที่ครอบคลุมทุกมิติ ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้ง S-Curve และ New S- Curve สู่พื้นที่ EEC ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนไทยทุกคน ทั้งนี้ หากโครงการดังกล่าวสำเร็จลุล่วงจะก่อให้เกิดประโยชน์ในพื้นที่ ในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ทางน้ำ และเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนสู่เศรษฐกิจนานาชาติ ตลอดจนมีส่วนในการพัฒนาพื้นที่และท้องถิ่นให้เกิดการจ้างงาน สร้างเศรษฐกิจชุมชน เพิ่มรายได้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่
“ผมขอเน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อมและใช้โอกาสในการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย ผลักดันและส่งเสริมผลประโยชน์ต่อภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และประชาชนคนไทยในทุกด้าน ทำให้ EEC และประเทศไทยเป็นจุดหมายสำหรับนักลงทุน และนักท่องเที่ยวทั่วโลก เป็นฟันเฟืองสำคัญสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการต่าง ๆ รวมทั้งโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ต้องคำนึงถึงความเชื่อมโยงในทุกมิติ สร้างสมดุลในทุกด้าน ทั้งการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม และสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Economy ทั้งนี้ ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการพัฒนาประเทศให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนต่อไป”นายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จัดตั้งขึ้นตามนโยบายภายใต้โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ Eastern Seaboard Development Program (ESB) ในปี 2525 ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529) เพื่อให้เป็นเขตอุตสาหกรรมที่ทันสมัยในระดับนานาชาติ ที่ผ่านมา กนอ.ได้พัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดมาแล้วรวม 2 ระยะ ในปี 2535 และปี 2542 ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นท่าเรือที่ใหญ่และทันสมัย นับเป็นปัจจัยพื้นฐานที่อำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 บนพื้นที่ 1,000 ไร่ มีมูลค่าการลงทุน ประมาณ 55,400 ล้านบาท ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน งานถมทะเลและขุดลอกร่องน้ำ ประมาณ 12,900 ล้านบาท และการลงทุนท่าเรือก๊าซ ประมาณ 35,000 ล้านบาท ส่วนช่วงที่ 2 การลงทุนท่าเทียบเรือสินค้าเหลว ประมาณ 4,300 ล้านบาท และ 4.คลังสินค้าหรือกิจการที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 3,200 ล้านบาท
ขณะที่ นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวเสริมว่า หากโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) เสร็จสมบูรณ์ จะรองรับการเติบโตของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในอนาคต เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับและขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและสินค้าเหลว รวมถึงเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ ที่มีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ คาดว่าโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2567 และสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2569 ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและการลงทุนในพื้นที่
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด