‘สำนักงาน กสทช.’ ย้ำความสำคัญ PDPA ต่อธรรมาภิบาลอุตสาหกรรมสื่อสารไทย
พร้อมสร้างแอพช่วยดูแลความปลอดภัยและสิทธิด้านข้อมูลของผู้ประกอบการ
ศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวในการเปิดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ต่อผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมว่า การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลและการคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลเป็นดัชนีสำคัญที่สะท้อนถึงธรรมาภิบาลขององค์กรในศตวรรษที่ 21 ซึ่งอุตสาหกรรมด้านการสื่อสารที่อยู่ในการกำกับดูแลของสำนักงาน กสทช. มีการเก็บรวบรวม ประมวลผล และใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการจำนวนมากเกือบเท่าประชากรทั้งหมดของประเทศ และยังเป็นข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตาม PDPA อย่างเคร่งครัด
ศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง กล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงาน กสทช. ไม่ได้นิ่งเฉยต่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชัน e-BCS Mobile เพื่อใช้ประกอบการยื่นเอกสารเกี่ยวกับการอนุญาตประกอบกิจการ รวมถึงตรวจสอบสถานะการดำเนินการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งผู้ประกอบการต้องมีการระบุตัวตน และต้องยืนยันตัวตนซ้ำ เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล โดยสำนักงาน กสทช. ได้คำนึงถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่สอดคล้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 2562 และนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสำนักงาน กสทช. เป็นหลัก
นายปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวว่า ปัจจุบันข้อมูลของประชาชนอยู่กับหน่วยงานภาครัฐจำนวนมาก แต่ขณะนี้หน่วยงานรัฐก็ต้องให้เหตุผลด้วยว่านำไปใช้เพื่อเหตุผลใด เนื่องจากกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะเน้น 3 เรื่องหลัก คือ การเก็บรวบรวม การใช้ และการเปิดเผยข้อมูล แต่ในกฎหมายก็ได้เขียนข้อยกเว้น กรณีบุคคล นิติบุคคล หากเปิดเผยข้อมูลในกิจการสื่อมวลชน งานศิลปกรรม หรืองานวรรณกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะเท่านั้น อย่างไรก็ดีกฏหมายฉบับนี้ก็มีเรื่องการส่งเสริมสนับสนุนให้คำปรึกษาเพื่อให้ความรู้ในเรื่องนี้แก่สาธารณะด้วย
นายปริญญา กล่าวว่า เหตุผลที่ควรมีกฏหมายฉบับนี้ เพราะโลกนี้มีร่องรอยทางดิจิตอลอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ข้อมูลต่างๆ ถูกจัดเก็บอยู่ในแพลตฟอร์มที่แต่ละคนใช้งาน และแพลตฟอร์มเหล่านี้ก็อยู่ในต่างประเทศซึ่งเป็นผู้คิดค้น เท่ากับข้อมูลผู้ใช้งานถูกจัดเก็บอยู่ในต่างประเทศ สำหรับแอปพลิเคชันส่วนใหญ่ที่คนไทยใช้ประมาณ 95% เป็นของต่างประเทศ มีเพียงแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ ที่ทำโดยคนไทย การใช้แอปพลิเคชันเหล่านี้แม้จะไม่เสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแอปพลิเคชันแต่ข้อมูลทั้งหมดที่ถูกจัดเก็บมีมูลค่า และถูกนำไปใช้ในทางการตลาด ฉะนั้นผู้ใช้จึงเสมือนเป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งในแต่ละวันที่ผู้ใช้มีความเคลื่อนไหวข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ก็ช่วยให้เจ้าของแพลตฟอร์มดำเนินธุรกิจต่อได้
ผศ.นคร เสรีรักษ์ ผู้อำนวยการ Privacy Thailand และอาจารย์ประจำวิทยาลัยปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า เชื่อว่าประชาชนยังไม่เข้าใจเรื่อง PDPA จำนวนมาก ขณะที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ควรจัดเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น และยกเลิกเมื่อหมดความจำเป็น ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน โดยแนวทางปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีการแจ้งเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจนว่าใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด และต้องใช้เพื่อวัตถุประสงค์นั้น โดยเจ้าของข้อมูลมีสิทธิเลือกว่าจะยินยอมให้เก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ ซึ่งการเปิดเผยต้องกระทบความเป็นส่วนตัวน้อยที่สุด ถือเป็นการเคารพสิทธิพื้นฐานส่วนบุคคล
ผศ.นุรัตน์ ปวนคำมา อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานจะมีแนวความคิดในการจัดเก็บข้อมูลให้มากที่สุด แต่เมื่อกฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้แนวความคิดนี้อาจต้องเปลี่ยนเป็นการจัดเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ต้องมีการจัดเก็บ และทำลายเมื่อหมดระยะเวลาการใช้งาน เพราะกฎหมายมีบทลงโทษผู้ที่จัดเก็บข้อมูล ซึ่งก็หมายถึงหน่วยงาน กรณีข้อมูลรั่วไหล จะมีบทลงโทษทางแพ่ง จ่ายค่าสินไหมทดแทนไม่เกิน 2 เท่าของค่าสินไหมที่แท้จริง ทางอาญาจำคุกสูงสุด 1 ปี และทางปกครองปรับทางปกครองสูงสุด 5 ล้านบาท
“ตอนนี้หน่วยงาน หรือองค์กรอาจต้องเปลี่ยนแนวความคิดใหม่ อะไรที่เกินความจำเป็นให้ตัดหรือทบทวนได้ไหม เพราะการเก็บข้อมูลตอนนี้จะมีต้นทุนความปลอดภัยหากข้อมูลถูกแฮค หน่วยงานผู้รับผิดชอบจะมีความผิดตามกฎหมาย PDPA แต่ความผิดจะไม่ได้ตกอยู่ที่พนักงานฝ่ายจัดเก็บข้อมูล ซึ่งผู้บริหารองค์กรต้องเข้าใจในเรื่องนี้ด้วย” ผศ.นุรัตน์ กล่าว
A6346
สำนักงาน กสทช. หารือแนวทางถ่ายทำรายการโทรทัศน์ เปลี่ยนผ่าน ‘โควิด-19’ สู่โรคประจำถิ่น
‘เกมโชว์-วาไรตี้’ ขอปลดล็อคถอดหน้ากากอนามัย เตรียมเสนอ ศบค. 17 มิ.ย.นี้
เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2565 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ได้จัดประชุมทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับเพิ่มเติม แก่ผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ และสื่อมวลชน
ศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ได้ร่วมกันปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เป็นอย่างดี ทั้งการดำเนินการภายในกองถ่าย หรือรายการประเภทข่าว ก็ได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนเป็นแบบอย่างให้กับประชาชนมาโดยตลอด ถือเป็นวิชาชีพที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างภาพจดจำให้กับสังคม อย่างไรก็ดีสถานการณ์ปัจจุบันการแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง และอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านเป็นโรคประจำถิ่น
ศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง กล่าวว่า เพื่อให้การดำเนินงานในอุตสาหกรรมโทรทัศน์โดยเฉพาะการถ่ายทำรายการโทรทัศน์สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น และปลอดภัย กสทช. จึงปรับแนวทางในการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกัน และควบคุมโรคตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยมีประเด็นหลักประกอบด้วย ยกเลิกการตรวจ ATK และการตรวจวัดอุณหภูมิ ปรับมาตรการการเว้นระยะห่างส่วนบุคคล ปรับแผนบริหารจัดการความเสี่ยงของกองถ่าย รวมถึงการเพิ่มมาตรการสำหรับผู้ปฏิบัติงานที่เป็นกลุ่มผู้เสี่ยงสูง และการสวมหน้ากากอนามัยของผู้ปฏิบัติงานในกองถ่าย
ทั้งนี้ในการประชุมผู้ประกอบการได้สอบถามเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย โดยมองว่าการถ่ายทำรายการวาไรตี้ และการถ่ายทำละครควรผ่อนปรนให้สามารถถอดหน้ากากอนามัยได้ แต่จะมีการตรวจ ATK เป็นประจำ ส่วนกรณีของผู้ประกาศข่าวก็ขอผ่อนปรนถอดหน้ากากอนามัย แต่ยังคงมีฉากกัน เว้นระยะห่างระหว่างกัน
นายเดียว วรตั้งตระกูล กรรมการและนายทะเบียนและเลขานุการสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) กล่าวว่า อุตสาหกรรมโทรทัศน์เป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานจึงมีความระมัดระวังในเรื่องความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน เพราะหากมีผู้ติดเชื้อจะมีผลกระทบกับคนจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ต้องหยุดงาน ที่ผ่านมาบริษัทได้ใช้มาตรการป้องกัน เช่น การตรวจ ATK อย่างสม่ำเสมอทุก 3 วัน มีการเว้นระยะห่างและเฝ้าระวัง ส่วนการใช้ฉากกั้น หรือเฟซชีลด์ (face shield) ยอมรับว่ามีผลกระทบกับการถ่ายทำในรายการที่ไม่ใช่รายการข่าว
“ส่วนตัวมองว่าถ้าละครถอดหน้ากากอนามัยได้ รายการแบบอื่นก็น่าจะถอดหน้ากากอนามัยได้เช่นกัน” นายเดียว กล่าว
ด้านแพทย์หญิงวรรณา หาญเชาว์วรกุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า โควิด-19 มีลักษณะของการแพร่กระจายผ่านอากาศ ในทางสาธารณะสุขการสวมหน้ากากอนามัยจึงยังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งปัจจุบันศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ยังคงมีข้อบังคับเกี่ยวกับการสวมหน้ากากอนามัยอยู่ และคาดว่าจะผ่อนคลายมาตรการอื่นๆ เช่น การเว้นระยะห่าง ก่อน และหน้ากากอนามัยจะเป็นมาตรการหลังๆ ที่จะปลดล็อค
แพทย์หญิงวรรณา กล่าวว่า เข้าใจธรรมชาติของการรายการโทรทัศน์ที่จำเป็นต้องเปิดหน้าเพื่อทำการแสดง การสวมหน้ากากอนามัยระหว่างปฏิบัติงานอาจเป็นอุปสรรค แต่เพื่อความรอบคอบ และเป็นการผ่อนปรนในส่วนที่จำเป็นจึงเสนอให้สำนักงาน กสทช. พิจารณาในส่วนของมาตรการสำหรับผู้ปฏิบัติงาน และนำเสนอต่อกระทรวงสาธารณะสุขก่อนเสนอต่อที่ประชุม กสทช. และ ศบค. ต่อไป
ทั้งนี้ สำนักงาน กสทช. จะรวบรวมข้อเสนอของผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมกรมควบคุมโรค และที่ประชุม กสทช. เพื่อทำการพิจารณาปรับปรุงมาตรการเพิ่มเติมตามที่ผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์เสนอ ก่อนนำเข้าที่ประชุม ศบค. ในวันที่ 17 มิ.ย.นี้
A6198
โฟกัสกรุ๊ปรอบสาม นักวิชาการพร้อมใจเห็นด้วยการควบรวมทรู ดีแทค พร้อมแย้งผลการศึกษา ของ กสทช 5 ประเด็นที่ ปัดตกโมเดล กสทช ไม่น่าเชื่อถือ นำมาใช้ตัดสินไม่ได้
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. จัดประชุมรับฟังความเห็นสาธารณะ (โฟกัสกรุ๊ป) ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นรอบของนักวิชาการ สำหรับกรณีการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค โดยนำเสนอกรอบแนวคิด (Framework) ในการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ โดยใช้โมเดล Merger Simulation และ Upward Pricing Pressure (UPP) และแบบจำลองดุลยภาพทั่วไป (CGE Model) โดยนักวิชาการ เดินหน้าแย้งผลการศึกษาของกสทช ที่ยกโมเดลมานำเสนอในระหว่างการทำโฟกัสกร๊ปรอบสาม โดยสรุปโมเดลเศรษฐศาสตร์ที่กสทช นำเสนอนั้น ขาด 5 ประเด็นสำคัญ คือ 1) ข้อมูลที่นำมาศึกษา กสทช ออกตัวว่า ข้อมูลไม่เพียงพอ ทำให้บ่างส่วนหามาจากสื่อ Public ทำให้ที่มาข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ 2) ข้อมูลที่นำมาอ้างอิง บ้างส่วนเป็นข้อมูลเก่าย้อนไปหลายปี 3) การทำโมเดลการแข่งขัน ไม่นับ NT เป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ทำให้ผลการศึกษาผิดเพี้ยน 4) การศึกษาครั้งนี้ ไม่ได้แยก Prepaid และ Postpaid ที่มีพฤติกรรมลูกค้าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการเหมารวมโดยอ้างว่าเวลาศึกษาน้อย 5) การศึกษาใช้ตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ โดยตั้งสมมุติฐานว่า ไม่มี กสทช เป็นผู้ควบคุม โดยผลลัพธ์จึงออกไปสุดโต่ง ซึ่งนักวิชาการที่ร่วมโฟกัสกรุ๊ป มองเรื่องนี้ว่า กสทช ปล่อยให้ศึกษา โดยไม่นับว่า ตลาดโทรคมนาคม มีกสทช คอยกำกับได้อย่างไร
นอกจากนี้ การทำโฟกัสกรุ๊ปที่ถูกต้อง ไม่ควรมีการนำโมเดลผลการศึกษา นำมานำเสนอกว่าชั่วโมงครึ่ง และ เป็นการชี้นำ โดยการศึกษาของ กสทช ที่มีช่องโหว่มากมาย ทำให้นักวิชาการต่างออกความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า โมเดลที่นำมาเสนอมีหลายปัจจัยที่ กสทช เลือกที่จะไม่นำมารวม และ ทำให้ชี้นำสังคมในทางสับสนได้ ซึ่งการทำโฟกัสกรุ๊ป ควรรับฟังความเห็นจากนักวิชาการที่มาร่วมประชุม และ บันทึกไปเพื่อความเป็นกลาง ตรงกับหลักการทางวิชาการ เพื่อนำผลการโฟกัสกรุ๊ปไปใช้วิเคราะห์ได้ต่อไป
ทั้งนี้ภายหลังการสรุปผลการศึกษา นักวิชาการจากสถาบันต่าง ๆ ที่เข้ารับฟัง ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นในแง่มุมที่หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เห็นต่างจากผลการศึกษาของกสทช. โดยมองว่า การนำเสนอของกสทช. ยังไม่สมบูรณ์ เพราะยังขาดข้อมูลอีกหลายมิติ ที่แสดงให้เห็นว่า การควบรวมกิจการไม่ได้เป็นผลเสียเพียงด้านเดียว รวมถึงราคาไม่ใช่ปัจจัยหลัก เพราะกสทช. มีหน้าที่ควบคุมดูแลอยู่แล้ว แต่การควบรวมจะทำให้เกิดการปรับตัวของธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ที่จะเกิดขึ้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรภวิษย์ บุญศรีเมือง รองคณบดีวิจัย คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เห็นด้วยกับการควบรวม และให้ข้อเสนอแนะกับโมเดลของกสทช. ว่าควรนำข้อมูลของ NT มาทำวิจัยด้วย เพราะ NT มีใบอนุญาตจำนวนไม่น้อย หากโมเดลแรกสมมุติฐานไม่ครอบคลุม ปัจจัยอื่นๆ ก็จะคลาดเคลื่อนไป
ด้านดร.รุจิระ บุนนาค อาจารย์พิเศษ ABAC และมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย มองว่าการควบรวมมีประโยชน์ โดยต้องมองหลาย ๆ ส่วนประกอบ และไม่มองข้ามตัวแปรสำคัญคือ Digital Disruption ที่มีผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งกสทช. เองเคยคาดการณ์ผิดในเรื่องของทีวีดิจิทัล ที่ไม่ได้มองในเรื่องของ OTT จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจทีวีดิจิทัล
สำหรับธุรกิจโทรคมนาคม OTT ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเป็นบริการทั้งข้อความ เสียง และวีดีโอ จากการวิจัยของ McKinsey พบว่า 5G ทำให้ธุรกิจโทรคมนาคมมีการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 300% ในขณะที่รายได้ของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือลดลง ดังนั้นจึงควรเพิ่มตัวแปรในเรื่องของ Digital Disruption นำมาคำนวณด้วย และควรกำหนดข้อมูลของคำว่า “ตลาด” ให้เหมาะสม นอกจากนี้ การอ้างอิงข้อมูลจากปี 2015 นั้นเป็นข้อมูลเก่า กสทช. ควรเป็นธุระนำข้อมูลที่อัปเดตกับสถานการณ์ให้นักวิชาการช่วยพิจารณาก่อนนำเสนอ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ศราวุธ เกียรติกุศล อาจารย์เกษียณ และอาจารย์พิเศษ ม.กรุงเทพ ต้องการให้พิจารณาสถานะความสามารถในการแข่งขันของบริษัทด้วย เพราะผลประกอบการของ 3 เจ้าใหญ่จะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ถ้าใช้สูตรที่กสทช. นำเสนอนี้ ทำให้เข้าใจว่าตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า สถานะของบริษัทแข็งแกร่งใกล้ ๆ กัน แล้วสุดท้ายก็จะเหลือ 2 เจ้าที่มีสถานการณ์แข่งขันที่ต่างกันมาก
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัชรินทร์ คำสิงห์ จากมหาวิทยาลัยการบิน สถาบันฯ พระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง เสนอว่าควรเพิ่มปัจจัยด้านความต้องการใช้งานของผู้บริโภคเข้าไปด้วย เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น ดังนั้น คุณภาพของเครือข่ายก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ต้องพิจารณา ไม่ใช่แค่เรื่องของราคาอย่างเดียว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยุทธภูมิ สุวรรณเวช รองคณบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เห็นด้วยกับการควบรวม โดยแนะว่าควรมองตัวแปรด้านจิตวิทยาของผู้ประกอบการและของผู้บริโภคประกอบด้วย หากมองแต่ตัวเลข จะทำให้ไม่ครอบคลุมตัวแปรที่จำเป็น ซึ่งภาพรวมของการควบรวมจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันในเชิงธุรกิจ ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคหรือตัวประชาชนที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด และเป็นการสร้างความเข้มแข็งในเชิงธุรกิจ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด ทันสมัย และทัดเทียมกับอารยประเทศชั้นนำทั่วโลก
“กสทช. อาจจะต้องคำนวณในค่าตั้งต้นของการประมูลเครือข่าย อย่าให้สูงมากนัก เพื่อที่จะทำให้คู่แข่งขันทางธุรกิจ ไม่ว่าจะ 2 เจ้า 3 เจ้า หรือ 4 เจ้าในอนาคตก็ตาม จะมีต้นทุนที่ไม่สูงมาก เมื่อต้นทุนไม่สูงก็จะส่งผลให้ดูแลผู้บริโภคในเรื่องของราคาได้ กสทช. มีมาตรการควบคุมราคาที่มองผู้บริโภคหรือประชาชนเป็นสำคัญ หวังว่ากสทช. จะไม่มองข้ามในส่วนนี้” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยุทธภูมิ กล่าว
รศ.พ.ต.ต.ดร.ดนุวสิน เจริญ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะบริหารธุรกิจ NIDA เห็นด้วยกับการควบรวม เพราะมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย แต่อยากให้คณะกรรมการพิจารณาจากข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงว่า ค่า HHI ที่สูงขึ้น จะแปลว่า ราคาสูงขึ้นเสมอไปหรือไม่ ซึ่ง OCCD ศึกษาพบว่า มีงานวิจัย 18 ชิ้นนับตั้งแต่ปี 2015 การควบรวมไม่ได้หมายถึงการขึ้นราคาที่สูงขึ้นเสมอไป รวมไปถึงสิ่งที่เรียกว่า Spillover Effect คือ มีการเกิดขึ้นของธุรกิจหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้วย ส่วนความกังวลเรื่องราคานั้น ควรเป็นหน้าที่ของผู้กำกับดูแล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประพันธ์พงษ์ ขำอ่อน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความเห็นว่า ธุรกิจโทรคมนาคมในปัจจุบันมีรายได้จาก Voice ที่ลดลง ขณะที่การแข่งขัน OTT มีมากขึ้น ทำให้รายได้ลดลง จึงนำไปสู่การควบรวม สำหรับในเรื่องราคาค่าบริการและคุณภาพในการให้บริการนั้น กสทช. มีกฎเข้มข้นในการควบคุมอยู่แล้ว และขยายความถึงการควบรวมในต่างประเทศว่า ผู้กำกับดูแลมักจะอนุญาตให้ควบรวม แต่จะออกมาตรการเฉพาะในการกำกับดูแล เช่น T Mobile + Sprint ให้ขายธุรกิจเติมเงินออกไป หรือ Hutch + Orange ก็ให้แชร์เน็ตเวิร์คให้ MVNO สามารถเข้ามาใช้ได้ เพราะการประมูลคลื่นมีราคาสูง
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการอิสระด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด การพิจารณานี้ต้องมองตัวแปรให้ครบ โอกาสความสัมพันธ์ของคู่แข่งที่จะเข้ามาฮั้วค่อนข้างจะยาก เพราะดูจากโปรโมชั่นที่เกิดขึ้น มันดีขึ้นเรื่อย ๆ ผู้บริโภคได้ประโยชน์ขึ้นเรื่อย ๆ และการร่วมมือกันครั้งนี้ก็จะเกิด Global Competition ส่วนเรื่องราคา กสทช. ทำหน้าที่นี้ดีอยู่แล้ว
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีความเห็นอีกหลากหลายที่ส่วนใหญ่มองว่าการควบรวมน่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจและผู้บริโภคมากกว่าในแง่ของคุณภาพการบริการที่ดีขึ้น และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะเข้ามา รวมถึงยังเชื่อมั่นในการกำกับดูแลของ กสทช. โดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุมราคาและบริการ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
‘กสทช.’ เสนอตั้งคณะทำงานพหุภาคีแก้ปัญหา SCAM ขานรับกฎหมาย PDPA
ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวในงานเสวนา NBTC Public Forum ครั้งที่ 1/2565 เรื่อง “กฎหมาย PDPA กับมิติใหม่ของการจัดการปัญหา SCAM” ว่า การแก้ไขปัญหา SCAM ที่เป็นการหลอกลวงโดยใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องรับผิดชอบและทำงานร่วมกันทั้ง กสทช. ผู้ประกอบการโทรคมนาคม ตำรวจ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในภาครัฐและภาคประชาสังคม เช่น คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และองค์กรเพื่อผู้บริโภคต่างๆ จึงเสนอให้สร้างคณะทำงานร่วมในลักษณะพหุภาคีที่มีองค์ประกอบดังกล่าว
ภารกิจของคณะทำงานต้องพิจารณาตลอดกระบวนการของการเก็บ รักษา ใช้ประโยชน์ และสื่อสารข้อมูลบนแพลตฟอร์มต่างๆ ให้มีความปลอดภัยจากการละเมิด ไม่ควรผลักภาระให้ผู้บริโภคเป็นผู้รู้เท่าทันรูปแบบกลโกงของมิจฉาชีพซึ่งมีแต่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งผู้ประกอบการโทรคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแสวงหาแนวทางเชิงรุกในการป้องกันมากกว่าจะมาเยียวยาแก้ไขปัญหาทีหลัง โดยเป็นไปได้ทั้งแนวทางทางเทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อคุ้มครองสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy by Design) การบริหารจัดการระบบและข้อมูล การดำเนินการทางกฎหมาย และการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ต่อสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ
นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล อนุกรรมการด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรผู้บริโภค กล่าวว่า ปัจจุบันหน่วยงานรัฐและเอกชนขอข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากก่อนได้รับบริการ ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าหากกรอกข้อมูลส่วนบุคคลไม่ครบจะได้รับบริการไม่สะดวก อีกทั้งประชาชนยังเกิดความสับสนว่าช่องทางใดเป็นช่องทางจริงหรือปลอม เพราะโดเมนเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐมีความหลากหลาย มิจฉาชีพจึงทำช่องทางหลอกลวงได้มากขึ้น ทำให้ยากต่อการประชาสัมพันธ์เรื่องการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
ที่ผ่านมามิจฉาชีพใช้โมเดลทางจิตวิทยาจากการรู้ข้อมูลส่วนบุคคล และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ที่จะถูกหลอก ก่อนสร้างความเห็นอกเห็นใจให้เหยื่อติดต่อกลับ รวมถึงการสร้างความกลัวจากการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ต้องติดสินบนเพื่อให้โอนเงินแล้วรอดพ้นจากความผิด ใช้การหลอกจากความเชื่อที่มีมานานของคน
พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน ผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ตอท.) กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย. นี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ยังมีช่องโหว่ทางกฎหมายไม่ได้มีการกำหนดโทษเอาผิดผู้ที่ยินยอมขายข้อมูลตัวเอง แต่เอาผิดกับผู้ที่จัดเก็บข้อมูลหากทำข้อมูลรั่วไหล แม้จะเป็นเรื่องดีที่มีกฎหมายนี้ขึ้น แต่การนำกฎหมายจากต่างประเทศมาใช้ ก็ต้องดูบริบทในประเทศด้วย เพราะในต่างประเทศไม่มีปัญหาการขายข้อมูลตัวเอง ต่างจากไทยที่มีการขายข้อมูลของตัวเอง หรือให้ข้อมูลของตัวเองโดยไม่รู้ว่าจะได้รับความเสียหาย
พล.ต.ต.นิเวศน์ กล่าวว่า เชื่อว่าจากนี้จะมีการร้องเรียนจากประชาชนมากขึ้น ควรมีการจัดทำช่องทางการร้องเรียนออนไลน์ อย่างกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดทำรับแจ้งความออนไลน์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีผู้แจ้งความออนไลน์เฉลี่ยเดือนละ 1 หมื่นราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยเดือนละ 1.5 พันล้านบาท หรือคิดเป็นการถูกหลอกวงเงินวันละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ฉะนั้นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบปัญหาจึงยังมีความสำคัญ หากจะโอนเงินให้บุคคลอื่น ให้เป็นฝ่ายขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ เพราะเบอร์ที่ติดต่อกลับจะไม่สามารถปลอมแปลงได้
“ทุกวันนี้มีคนโดนหลอกทุกวัน โจทย์คือจะทำอย่างไรให้ข้อความสื่อสารไปถึงประชาชน ถ้าข้อความบอกว่าอย่าโอนถ้าไม่รู้จักตัวตนของปลายทาง ทำแบบนี้จะช่วยได้หมด ทั้งปัญหาหลอกให้ลงทุน ซื้อของออนไลน์ไม่ได้ของ หลอกให้กลัวแล้วโอนเงิน และมีอีกกรณีคือมีโทรศัพท์โฆษณาขายของทุกวัน เอาเบอร์มาจากที่ไหน กฎหมายควรเพิ่มหมวดโฆษณาด้วย เพื่อสืบเอาผิดไปถึงผู้ที่นำข้อมูลมาเปิดเผย”
ผศ.ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์ กรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวว่า ขณะนี้ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนมีข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก ข้อมูลที่หลุดและมีความอ่อนไหวมากที่สุดคือข้อมูลจากหน่วยงานรัฐที่ให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ต่างๆ ทั้งที่การเก็บข้อมูล และขอข้อมูลควรทำให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ยังมีประเด็นทางกฎหมายที่อาจต้องพิจารณาเพิ่มว่า ข้อมูลถือเป็นทรัพย์หรือไม่ เหมือนเป็นการรับของโจรหรือไม่ ผู้ที่ได้ข้อมูลไป
ดร.รอม หิรัญพฤกษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ไม่ใช่ปัญหาแค่คอนเซนเตอร์ หรือโทรศัพท์หลอกลวง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ Scam แต่ข้อมูลของคนในโลกถูกผูกอยู่กับผู้ให้บริการแพลทฟอร์มต่างๆ เช่น เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ซึ่งไม่สามารถติดตามข้อมูลได้ เนื่องจากเป็นของต่างชาติ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทุกวันนี้โจรมีวิธีการใหม่ๆ ที่ทำให้ตามไม่ทัน เทคโนโลยีที่โจรใช้เกิดจากการแสวงหาจุดอ่อน หรือช่องโหว่ของซอฟแวร์ในอินเตอร์เน็ต เมื่อ 20 ปีก่อนทุกคนพยายามให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านทางอินเทอร์เน็ต แต่ทุกวันนี้เครื่องมือที่ต้องการพัฒนาในเรื่องที่ดีกลับถูกโจรเอาไปทำในเรื่องร้ายๆ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารกลับมีแต่เฟคนิวส์
นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ประธานอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านกิจการโทรคมนาคม กล่าวว่า กฎหมาย PDPA จะช่วยจัดการข้อมูลรั่วไหลได้ในภาพรวม สามารถสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชน แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ 100% เพราะปัญหาเป็นไปตามกาลเวลา สำคัญที่หน่วยงานรัฐพยายามบอกประชาชนว่าให้ความรู้แล้วทำไมยังถูกหลอก ประชาชนไม่รู้จักดูแลตัวเอง ยิ่งทำให้ผู้ที่ถูกหลอกไม่กล้าเปิดเผยตัวตน และรัฐเข้าไม่ถึงข้อมูลปัญหา ซึ่งผู้ที่ถูกหลอกมีทั้งผู้ที่มีความรู้และหน้าที่การงานที่ดี เนื่องจากการหลอกทำได้แนบเนียน กรณีของสหรัฐอเมริกา ในปี 2563 ประชาชน 1 ใน 3 เคยถูกหลอกและผู้ที่เคยถูกหลอกแล้ว 19% ถูกหลอกซ้ำโดยใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น คือการระบาดของโควิด สร้างความเสียหายกว่า 2.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
กฎหมาย PDPA ถือเป็นโอกาสสำคัญของทุกภาคส่วนในการร่วมขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลของไทย และเป็นความท้าทายของทุกองค์กรและภาคส่วนที่จะฝ่าวิกฤตปัญหานี้ร่วมกันได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งในการตระหนักรู้ถึงคุณค่าและมูลค่าของข้อมูลส่วนบุคคลของทุกภาคส่วนอย่างสมดุล
A51029
กสทช. กำชับโอเปอเรเตอร์และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกรายปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ที่จะเริ่มบังคับใช้ 1 มิ.ย.นี้
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า วันนี้ (27 พ.ค. 2565) สำนักงาน กสทช. ได้ประชุมร่วมกับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เรื่อง ความพร้อมในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในกิจการโทรคมนาคมรองรับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA โดยสำนักงานฯ ได้กำชับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมทุกราย ให้เตรียมพร้อมในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลรองรับ พ.ร.บ.ดังกล่าว ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย. 2565 นี้ นอกจากนั้น ยังได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในกิจการโทรคมนาคมภายใต้กฎระเบียบของ กสทช. และแนวทางการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 จากผู้แทน สคส. ด้วย
นายไตรรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้ร่างประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการโทรคมนาคมเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิในความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยทางโทรคมนาคม อยู่ระหว่างนำการเสนอที่ประชุม กสทช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนจะนำไปรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ก่อนจะนำไปประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ และนำมาใช้ในการกำกับดูแลผู้รับใบอนุญาตกิจการโทรคมนาคมให้ให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าผู้ใช้บริการให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎระเบียบของ กสทช. และปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ในส่วนของผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ ได้รายงานในที่ประชุมว่า ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับ พ.ร.บ.ดังกล่าวในเรื่องสำคัญๆ อย่างเรื่อง การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Officer (DPO)) การจัดทำประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) การจัดทำบันทึกรายการกิจกรรมการประมวลผล (ROPA) การจัดทำความยินยอมในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคล (Consent Form) การจัดทำข้อตกลงการประมวลผลในกรณีที่มีการจ้างผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล การจัดตั้งคณะทำงาน PDPA ภายในองค์กร การจัดทำนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) ประกาศการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้ลูกค้า การจัดทำนโยบายในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล เป็นต้น แล้ว
นายไตรรัตน์ กล่าวว่า ในช่วงเริ่มต้นของการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 สำนักงานฯ จะหารือกับ สคส. ในเรื่องอำนาจที่คาบเกี่ยวกันระหว่างอำนาจของ กสทช. และอำนาจของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อประโยชน์ในการบังคับใช้กฎหมาย การกำกับดูแลผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมและเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนผู้ใช้บริการให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎระเบียบของ กสทช. และปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
“สำนักงาน กสทช. จะกำกับดูแลผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมให้ปฏิบัติตามพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนผู้ใช้บริการ ให้ได้รับการดูแลไม่ให้มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด” นายไตรรัตน์ กล่าว
A5961
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด