สำนักงาน กสทช. เร่งดำเนินการรื้อถอนสายสื่อสารซอยทองหล่อ ระยะทาง 5 กม. ตามแผนการจัดระเบียบสายสื่อสาร ปี 2565
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2565 สำนักงาน กสทช. ร่วมกับกรุงเทพมหานคร การไฟฟ้านครหลวง ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารบริเวณซอยทองหล่อ (ซอยสุขุมวิท 55) ตั้งแต่ถนนสุขุมวิท – ถนนเพชรบุรี ระยะทาง 5 กิโลเมตร
ศาสตราจารย์ ดร. พิรงรอง รามสูต กสทช. เปิดเผยว่า กสทช. ร่วมกับรองศาสตราจารย์. ดร. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร การไฟฟ้านครหลวง ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินการรื้อถอนสายสื่อสารบริเวณหน้าสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแผนการจัดระเบียบสายสื่อสารบริเวณซอยทองหล่อ (ซอยสุขุมวิท 55) ตั้งแต่ถนนสุขุมวิท – ถนนเพชรบุรี ระยะทาง 5 กิโลเมตร ตามแผนการจัดระเบียบสายสื่อสาร พ.ศ. 2565
ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 สำนักงาน กสทช. ได้รับมอบหมายให้จัดทำแผนบูรณาการการจัดระเบียบสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าในเส้นทางหลักทั่วประเทศ และทำหน้าที่ประสานงาน และสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสาร (ค่ารื้อถอนสายสื่อสาร ค่ากำจัดซากสายสื่อสาร) โดยใช้เงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)
ศาสตราจารย์ ดร. พิรงรอง กล่าวว่า การจัดระเบียบสายสื่อสารจะสำเร็จได้ จะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นเจ้าของเสาไฟฟ้าที่อนุญาตให้ผู้ประกอบการดำเนินการพาดสายสื่อสาร ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเจ้าของสาย กรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย จังหวัด องค์กรส่วนท้องถิ่น ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
“กสทช. พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสาร ส่วนการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน หากเจ้าของพื้นที่ เช่น กรุงเทพมหานคร พร้อมให้บริการท่อร้อยสาย กสทช. พร้อมกำกับดูแลอัตราค่าบริการใช้ท่อให้เป็นธรรม เพื่อให้สามารถจัดระเบียบสายสื่อสารได้เป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชน และสร้างทัศนียภาพของบ้านเมืองให้สวยงาม” ศาสตราจารย์ ดร. พิรงรอง กล่าว
การจัดระเบียบสายสื่อสารในวันนี้ เป็นไปตามแผนการจัดระเบียบสายสื่อสารในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2565 ระยะทางรวมประมาณ 800 กม. ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มพื้นที่เร่งด่วนที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและเป็นพื้นที่ที่มีผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก มีความต้องการใช้เครือข่ายโทรคมนาคมสูง และมีการพาดสายหนาแน่น กับกลุ่มพื้นที่นอกเหนือจากกลุ่มเร่งด่วน ทั้งนี้ ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือน ม.ค. 2565 จนถึงขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จในพื้นที่กลุ่มเร่งด่วน จำนวน 10 เส้นทาง ระยะทาง 25.4 กิโลเมตร และในพื้นที่นอกเหนือกลุ่มเร่งด่วน จำนวน 8 เส้นทาง ระยะทาง 54.22 กิโลเมตร และอยู่ระหว่างการจัดหา และติดตั้งคอนสื่อสารในอีก 169 เส้นทาง ระยะทางประมาณ 306.46 กิโลเมตร ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
การดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารบริเวณซอยทองหล่อ (ซอยสุขุมวิท 55) ตั้งแต่ถนนสุขุมวิท – ถนนเพชรบุรี ได้รับความร่วมมือจากกรุงเทพมหานคร ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ทางเท้าในเขต กทม. ให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวก ให้พื้นที่สำหรับพักซากสายสื่อสารที่รอการกำจัด และจัดการจราจร รวมถึงอนุญาตให้ใช้พื้นที่ทางเท้าสำหรับจัดระเบียบสายสื่อสาร
A81019
กสทช. เปิด 5 Facts กรณีควบรวมทรู-ดีแทค
กสทช.เปิด 5 ข้อมูลสำคัญให้สาธารณะรับรู้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความชัดเจน โปร่งใส และนโยบายภาครัฐที่เปิดกว้าง ในกรณีการขอควบรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ทรูและดีแทค’ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตาของประชาชนในทุกภาคส่วนในปัจจุบัน
กรณี การขอควบรวมธุรกิจดังกล่าวถือเป็นดีลใหญ่ในประวัติศาสตร์กิจการสื่อสารของประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาก่อให้เกิดคำถามขึ้นในสังคมมากมาย ว่าจะส่งผลกระทบกับผู้บริโภคอย่างไร จะทำให้เกิดการผูกขาดธุรกิจหรือไม่ และเป็นผลดีอย่างไรต่อเศรษฐกิจและประเทศ ตลอดจน กสทช. มีอำนาจในการพิจารณาอนุญาต/ไม่อนุญาตหรือไม่ นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังปรากฏว่ามีข่าวกุ ข้อมูลเท็จ (fake news)ในกรณีดังกล่าวจำนวนมาก ทำให้ประชาชนสับสน และเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้
ทั้งนี้ เพื่อคลายข้อสงสัยและสื่อสารกับสาธารณะบนหลักฐานและข้อเท็จจริง สำนักงาน กสทช. จึงได้จัดทำข้อมูลในรูปแบบ Infographics ภายใต้หัวเรื่อง “5 Facts กรณีควบรวมทรู-ดีแทค” และเผยแพร่ผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ โดยมีรายละเอียดโดยสังเขปดังต่อไปนี้
Fact ที่ 1 – ดีลนี้เป็นครั้งแรกที่มูลค่าทรัพย์สินและรายได้ตกกับบริษัทควบรวมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การควบรวมกิจการด้านการสื่อสารของประเทศ อาจส่งผลให้ผู้รายใหม่เข้ามาแข่งขันในตลาดได้ยากขึ้น และอาจส่งผลกระทบทำให้การแข่งขันด้านราคาค่าบริการลดลง ที่สำคัญกรณีนี้แตกต่างอย่างชัดเจนจากการขอรวมธุรกิจในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการรวมธุรกิจระหว่างผู้รับใบอนุญาตที่เป็นบริษัทในกลุ่มหรือเครือเดียวกัน หรือเป็นการรวมที่มีสินทรัพย์ไม่เกินวงเงินที่กฎหมายกำหนด รวมถึงกรณีที่เป็นการควบรวมของรัฐวิสาหกิจ CAT กับ TOT เป็น NT ตามมติ ครม.
Fact ที่ 2 – ประสบการณ์การควบรวมกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในต่างประเทศปรากฏผลทั้งที่อนุญาตแบบมีเงื่อนไขเข้มข้นมากและไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการขอควบรวมจาก 4 ราย เหลือ 3 รายใหญ่ และพบว่าแทบไม่มีประเทศใดเลยที่เป็นการควบรวมจาก 3 ราย เหลือ 2 รายใหญ่อย่างประเทศไทย เว้นแต่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่ควบรวมเหลือ 2 รายแล้ว ผ่านไป 10 ปี จึงมีรายที่ 3 เข้าตลาดมาใหม่ ส่วนประเทศนอร์เวย์นั้น ปรากฏว่ามีรายใหม่เข้าสู่ตลาดพอดีในช่วงที่มีการขอควบรวม หน่วยงานกำกับดูแลจึงบังคับผู้ขอควบรวมให้ขายโครงสร้างพื้นฐานและขายฐานลูกค้าให้กับผู้ประกอบการรายใหม่ ในประเทศนอร์เวย์จึงยังคงมีผู้ให้บริการในตลาดที่ 3 รายเหมือนเดิม
Fact ที่ 3 – กรอบระยะเวลาในการพิจารณาการควบรวมกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในต่างประเทศที่ผ่านมา มีตั้งแต่ใช้เวลา 3 เดือน จนถึงไม่กำหนดกรอบระยะเวลา ซึ่งประเทศเหล่านั้นเป็นการขอรวมธุรกิจภายใต้บริบทจากผู้ประกอบกิจการ 4 ราย เหลือ 3 ราย ส่วนของประเทศไทยนั้นเป็นการขอรวมธุรกิจจาก 3 ราย เหลือ 2 ราย จึงอาจจำเป็นต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างสำนักงาน กสทช. ขอขยายระยะเวลาในการปรับปรุงแก้ไขรายงานฯ ตามข้อสั่งการของที่ประชุมที่ให้หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ กสทช. พิจารณาในขั้นสุดท้าย
Fact ที่ 4 – ผลการศึกษาของคณะอนุกรรมการด้านต่างๆที่กสทช. ชุดปัจจุบัน (ได้รับการโปรดเกล้าฯเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 18 เมษายน) แต่งตั้งขึ้นภายใต้Roadmap เพื่อพิจารณาดีลการควบรวมนี้ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2565
Fact ที่ 5 – สำนักงาน กสทช.ได้ดำเนินการจัดจ้างศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบด้านต่างๆ จากการรวมธุรกิจระหว่างทรู-ดีแทค โดยขอบเขตอำนาจทางกฎหมายเห็นว่า กสทช.มีอำนาจกำหนดเงื่อนไข และมาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดการแข่งขัน
ในส่วนมาตรการเชิงโครงสร้างและพฤติกรรม เห็นว่า กสทช.ควรมีการเรียกคืนคลื่นความถี่การถือครองที่มากเกินความจำเป็น และควรมีการกำกับดูแลอัตราค่าบริการ กำหนดสัดส่วนการลงทุนของผู้ประกอบการด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่อรายได้ รวมทั้ง กำหนดความครอบคลุมของพื้นที่การให้บริการ (Coverage)
AIS แจงมีขบวนการปล่อยข่าวเท็จ เตือนสื่อ อย่าถูกใช้เป็นเครื่องมือ พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้อยู่เบื้องหลังและสื่อที่ร่วมเผยแพร่อย่างถึงที่สุด
เอไอเอสชี้แจง กรณีมีข่าวเผยแพร่ในสื่อบนออนไลน์ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2565 พาดหัวข่าว ‘กสทช.’ชี้ ‘เอไอเอส’ ไม่มีหน้าที่กำหนดเงื่อนไขควบรวมทรูดีแทค’ เป็นข่าวเท็จ โดยในข่าวระบุว่า “นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส ได้เข้าพบ กสทช. และเสนอให้ กสทช. สั่งห้ามไม่ให้บริษัทใหม่ที่เกิดจากการรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทครวมคลื่นความถี่ของทรูและดีแทคไว้ใช้งานร่วมกัน...’เป็นความเท็จ นายสมชัย CEO เอไอเอส ไม่เคยไปพบ กสทช
ในเรื่องนี้ ที่ผ่านมา เอไอเอส ได้มีการแสดงความเห็นในกรณีนี้อย่างเปิดเผย ต่อ กสทช และ หน่วยงานของรัฐ เช่น กรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา การแสดงความเห็นในการอภิปรายสาธารณะที่จัดโดยหน่วยงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคต่างๆ และ กสทช ไม่เคยมีการแจ้งตอบกลับความเห็นของเอไอเอส อีกทั้ง รายงานข่าวนี้ยังไม่มีแหล่งที่มาของผู้ให้ข้อมูลอย่างชัดเจน เพียงแค่ใช้คำว่า กระแสข่าว และ แหล่งข่าวจาก กสทช. เท่านั้น ซึ่งได้สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชนและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทอย่างมาก
นอกจากนี้ ในข่าวยังมีความพยายามบิดเบือนข้อมูล โดยไม่มีแหล่งที่มาของผู้ให้ข้อมูลอย่างชัดเจน เพียงแค่ใช้คำว่า ‘วงการนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ มองว่า กรณีที่เอไอเอสกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็น Conflict of Interest หรือมีการขัดกันของผลประโยชน์..’ อันเป็นความเท็จ และเป็นการกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด ทำให้เอไอเอสเสื่อมเสียชื่อเสียง
เอไอเอสยืนยันพร้อมดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ที่ปล่อยข่าว รวมถึงสื่อที่เจตนาร่วมมือปล่อยข่าวนี้อย่างถึงที่สุด วอน สื่อมวลชนปฏิบัติหน้าที่สื่ออย่างมีจรรยาบรรณ ไม่ถูกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใช้เป็นเครื่องมือ เพราะขณะนี้มีความพยายามสร้างข่าวเท็จ บิดเบือนข้อมูลเพื่อโจมตีบริษัท ทั้งนี้ เอไอเอสย้ำ ขอให้เชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล ที่คำนึงถึงประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม (Stake Holder) รวมถึงประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ
ด้านนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า “จากข่าวที่เผยแพร่นี้ ไม่เป็นความจริง ทาง CEO เอไอเอสไม่ได้มาเข้าพบกับ กสทช.เพื่อคุยเรื่องนี้ และเอไอเอส ไม่เคยชี้นำหรือก้าวล่วงในการพิจารณาของ กสทช. อีกทั้ง กสทช ก็มิได้มีความเห็นใดๆตามที่ข่าวระบุไว้แต่อย่างใด ทั้งนี้ กสทช ยินดีรับฟังความคิดเห็นในกรณีนี้จากทุกภาคส่วน เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างครบถ้วนในการประกอบการตัดสินใจต่อไป"
สำนักงาน กสทช. ร่วมกับ สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) เปิดตัวระบบวัดเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์มที่แรกในอาเซียน
ศาสตราจารย์ ดร. พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า วันนี้ (11 สิงหาคม 2565) สำนักงาน กสทช. ร่วมกับ สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) เปิดตัวระบบวัดเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์ม (Cross-Platform Ratings) ที่แรกในอาเซียน และจะเปิดให้ใช้ระบบการวัดเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์มแบบเต็มรูปแบบในไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ. 2566 เพื่อให้มีมาตรวัดผู้ชมทั้งที่รับชมรายการผ่านหน้าจอโทรทัศน์และผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
สืบเนื่องจากสำนักงาน กสทช. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของความอยู่รอดทางธุรกิจ รวมถึงการยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรทัศน์ของประเทศไทย และเพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล ทางสำนักงาน กสทช.จึงได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินการสำรวจความนิยมช่องรายการโทรทัศน์แก่สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการการวัดเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์ม โดยทางสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) ได้เลือกบริษัท เอจีบี นีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดทำการสำรวจแบบข้ามแพลตฟอร์ม (Cross-Platform Ratings) เพื่อให้ได้ข้อมูลเรตติ้งทั้งจากการรับชมแบบเดิมผ่านหน้าจอทีวีและการรับชมแบบดิจิทัล ในกรอบระยะเวลา 4 ปี
ข้อมูลเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้จะสามารถตัดตัวเลขผู้ชมซ้ำทั้งการดูรายการสดและดิจิทัลสตรีมมิ่ง โดยไม่จำกัดว่าจะใช้แพลตฟอร์มหรืออุปกรณ์ใด ทำให้สถานีโทรทัศน์สามารถวางแผนกลยุทธ์ในการดึงดูดและเพิ่มการมีส่วนร่วมกับผู้ชมได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้จะทำให้นักการตลาดมีความเข้าใจพฤติกรรมผู้ชมในทุกแพลตฟอร์มและวางแผนการตลาดได้อย่างเหมาะสม ตรงเป้าหมายกลุ่มลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ในปัจจุบันผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ได้นำเสนอเนื้อหาผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่หลากหลาย โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ ไม่ใช่เพียงการออกอากาศในภาคพื้นดินเท่านั้นอีกต่อไป และผู้ชมก็มีความนิยมรับชมผ่านทางช่องทางดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น การสำรวจความนิยมรายการที่จะต้องมีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ จึงควรจะครอบคลุมช่องทางในการรับชมที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับชมของผู้บริโภคด้วย" ศ.ดร.พิรงรอง กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท เอจีบี นีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด จะส่งมอบข้อมูลเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์มให้กับสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) สำนักงาน กสทช. และอุตสาหกรรมตามช่วงเวลา ดังนี้
1. ชุดข้อมูลแยกเป็นข้อมูลจากการรับชมผ่านทีวี (รายการสดผ่านทีวีทั่วไปและสตรีมมิ่ง) และการรับชมผ่านดิจิทัล (คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต, สมาร์ทโฟน) ส่งมอบ สิงหาคม 2565
2. ชุดข้อมูลข้ามสื่อจากการรับชมผ่านทีวี + ดิจิทัล (คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต, สมาร์ทโฟน) เป็นรายการสด ผ่านทีวีทั่วไปและสตรีมมิ่ง ส่งมอบ กันยายน 2565
3. ชุดข้อมูลข้ามสื่อจากการรับชมผ่านทีวี + ดิจิทัล (คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต, สมาร์ทโฟน) การรับชมรายการโทรทัศน์ย้อนหลัง ส่งมอบ ไตรมาสที่ 4 ของปี 2565
และ 4. ข้อมูลแบบเต็มรูปแบบ (Cross-Platform Ratings) ส่งมอบ กุมภาพันธ์ 2566
“กสทช. และ สำนักงาน กสทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าระบบที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่นี้จะทำให้ได้ข้อมูลที่มีความถูกต้อง เป็นกลาง สะท้อนความนิยมของผู้ชมรายการ และได้รับความเชื่อถือจากผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์และมีเดียเอเจนซี่ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านโสตทัศน์ของประเทศต่อไปในอนาคต อันจะช่วยยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมโทรทัศน์ อีกทั้งรองรับสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของสื่อดิจิทัลของไทยให้ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นทั้งในและต่างประเทศ” ศ.ดร.พิรงรอง กล่าว
นายสุภาพ คลี่ขจาย นายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การวัดเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์มเป็นโครงการที่สมาคมฯ ผลักดันมายาวนาน และตอนนี้กำลังได้จะเห็นการใช้งานแบบเต็มรูปแบบ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับนีลเส็น เพื่อส่งมอบการวัดที่มีมาตรฐาน ระบบการวัดเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์มจะครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัลเพื่อยกระดับคุณภาพของอุตสาหกรรม”
นายอารอน ริกบี้ (Mr. Aaron Rigby) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอจีบี นีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของสื่อกำลังพัฒนาขึ้น และเราตื่นเต้นที่ได้เป็นหัวใจสำคัญในการวัดผลผู้ชมข้ามแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพแก่อุตสาหกรรม เพื่อนำข้อมูลใปใช้ทำการตัดสินใจและวางกลยุทธ์ด้านเนื้อหาและโฆษณาได้ดีขึ้น เป็นโอกาสสำหรับนักการตลาดในการใช้ประโยชน์จากวิธีการใหม่ๆ ในการมีส่วนร่วมกับผู้ชม
A8466
สำนักงาน กสทช. กำชับกองทัพบกเพิ่มแนวทางป้องกันการให้บริการ MUX ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน
ศาสตราจารย์ ดร. พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2565 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ได้ตรวจสอบพบว่า โครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล (MUX) ที่ 2 และ MUX ที่ 5 ซึ่งอยู่ภายใต้การให้บริการของกองทัพบก เกิดเหตุขัดข้องซึ่งส่งผลให้โทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลจำนวน 11 ช่อง ไม่สามารถรับชมได้ทั่วประเทศในช่วงเวลาประมาณ 13.10-13.30 น. สำนักงาน กสทช. จึงได้เชิญเจ้าหน้าที่จากกองทัพบกเข้าชี้แจงกรณีดังกล่าว เนื่องจากเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง
ศาสตราจารย์ ดร. พิรงรอง เปิดเผยว่า กองทัพบกได้ชี้แจงว่า อุปกรณ์เบรคเกอร์ (Breaker) เกิดข้อขัดข้อง ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ในส่วนของระบบต้นทางของโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล (Head-End) ที่ตั้งอยู่ในอาคารของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ส่งผลให้ MUX ของกองทัพบกทั้ง 2 MUXหยุดให้บริการในทุกสถานีทั่วประเทศ ซึ่งทางกองทัพบกได้ดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาดังกล่าว และให้บริการได้ตามปกติ โดยใช้ระยะเวลาในการดำเนินการประมาณ 20 นาที
“ปัญหาครั้งนี้สำนักงาน กสทช. ตรวจสอบพบเอง ซึ่งได้กำชับให้กองทัพบกดำเนินการทบทวนแผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance Plan) อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ และกำหนดแนวทางป้องกันปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเนื่องจากการรับชมโทรทัศน์เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมาก ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ให้บริการต้องระมัดระวังและมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง” ศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง กล่าว
สำหรับโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลที่อยู่ภายใต้ MUX 2 ของกองทัพบก มีทั้งหมด 6 ช่อง ได้แก่ ช่อง 5 (สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5) ช่อง 16 (TNN) ช่อง 23 (เวิร์คพอยท์ทีวี)ช่อง 24 (ทรูโฟร์ยู) ช่อง 31 (ONE) และช่อง 35(7HD)
MUX 5 ของกองทัพบก มีทั้งหมด 5 ช่อง ได้แก่ ช่อง 22 (เนชั่นทีวี) ช่อง 25 (GMM25) ช่อง 29 (MONO) ช่อง 34 (อมรินทร์ ทีวี เอชดี) และช่อง 36 (พีพีทีวี เอชดี)
A8302
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด