สอวช. ร่วมเวที The Concluding Event of the OECD Thailand Country Programme
เผยรายงานโรดแมปอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรีสำหรับประเทศไทย
ดร. กาญจนา วานิชกร รองผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมเป็นวิทยากรผ่านระบบการประชุมทางไกล ในงาน The Concluding Event of the OECD Thailand Country Programme ซึ่งเป็นงานเผยแพร่การดำเนินโครงการภายใต้ Country Programme จัดโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
OECD-Thailand Country Program เป็นโครงการระหว่างรัฐบาลไทยและ Organization for Economic Cooperation and Development (OECD) มีระยะเวลาการดำเนินงาน 3 ปี (พ.ศ. 2561 - พ.ศ. 2564) เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ใน 4 เสาหลัก ได้แก่ 1) ธรรมาภิบาลภาครัฐและความโปร่งใส (Governance & Transparency) 2) สภาพแวดล้อมทางธุรกิจและความสามารถในการแข่งขัน (Business Climate & Competitiveness) 3) ประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) และ 4) การเติบโตอย่างทั่วถึง (Inclusive Growth)
ซึ่ง สอวช. ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการดังกล่าว ในเสาที่ 3 ประเทศไทย 4.0 เพื่อรายงานข้อมูลวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ของประเทศไทย ใน EC-OECD STI Policy Compass และจัดทำการศึกษาสถานภาพและโอกาสในการพัฒนาธุรกิจ Biorefinery ในระดับเล็กของประเทศไทย โดยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นระเบียบวาระแห่งชาติที่รัฐบาลกำลังผลักดันเป็นโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
การประชุมนี้ ประกอบไปด้วย การหารือทวิภาคีระหว่างนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กับ นาย Mathias Cormann เลขาธิการ OECD การนำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ดำเนินโครงการภายใต้ Country Program และการสรุปโครงการและผลการดำเนินงาน
ในช่วงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากโครงการ Country Programme นั้น ดร.กาญจนา ได้กล่าวถึงการรายงานข้อมูล วทน. ของประเทศไทย ใน EC-OECD STI Policy Compass ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ และได้นำเสนอผลจากรายงานเรื่อง Guidance for a biorefining roadmap for Thailand ซึ่งเป็นการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรีขนาดเล็กในระดับชุมชน โดยเกษตรกรสามารถส่งชีวมวลในท้องถิ่นให้เป็นวัตถุดิบที่สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่าการขายพืชผลเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ในรายงานยังได้ระบุมาตรการเชิงนโยบายหลายประการ โดยได้อธิบายถึงมาตรการทั่วไปในอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี และมาตรการที่เฉพาะเจาะจงสำหรับประเทศไทย สำหรับข้อเสนอมาตรการที่เฉพาะเจาะจงสำหรับประเทศไทย ได้แก่ การเพิ่มการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางนโยบายและการแลกเปลี่ยนความรู้ของผู้เชี่ยวชาญในสาขาเทคโนโลยีชีวภาพ ขณะเดียวกัน การปฏิรูปกฎระเบียบต่างๆ ก็เป็นประเด็นสำคัญ เช่น การจัดผังเมือง การจัดสรรส่วนแบ่งกำไรกับเกษตรกร การบริหารการใช้สอยที่ดิน และการสนับสนุนการจัดตั้งโรงงานสาธิตหรือโรงงานต้นแบบในพื้นที่ EEC เป็นต้น
ติดตามรายละเอียด EC-OECD STI Policy Compass ได้ที่ https://stip.oecd.org/stip.html
รายงานเรื่อง Guidance for a biorefining roadmap for Thailand สามารถดาวน์โลดได้ที่
https://www.oecd.org/fr/innovation/guidance-for-a-biorefining-roadmap-for-thailand-60a2b229-en.htm
A9838
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
‘กกพ.’ ประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า มีผู้ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) จำนวนทั้งสิ้น 43 ราย คิดเป็นปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 149.50 เมกะวัตต์ (ค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 3.1831 บาทต่อหน่วย) แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าชุมชนประเภทชีวมวลจำนวน 16 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 75.00 เมกะวัตต์ (ค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 2.7972 บาทต่อหน่วย) และโรงไฟฟ้าชุมชนประเภทก๊าซชีวภาพรวม 27 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 74.50 เมกะวัตต์ (ค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 3.5717 บาทต่อหน่วย) ตามกรอบเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กำหนดเป้าหมายจากเชื้อเพลิงชีวมวล 75 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ 75 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ สามารถแยกเป็นรายภาคได้ดังนี้
โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน (โครงการนำร่อง) |
ผ่านการคัดเลือก |
|
จำนวน (ราย) |
เมกะวัตต์ |
|
ภาคเหนือ |
||
โรงไฟฟ้าประเภทชีวมวล |
2 |
7.75 |
โรงไฟฟ้าประเภทก๊าซชีวภาพ |
9 |
24.00 |
ภาคกลาง |
||
โรงไฟฟ้าประเภทชีวมวล |
2 |
12.00 |
โรงไฟฟ้าประเภทก๊าซชีวภาพ |
5 |
15.00 |
ภาคอีสาน |
||
โรงไฟฟ้าประเภทชีวมวล |
6 |
29.40 |
โรงไฟฟ้าประเภทก๊าซชีวภาพ |
7 |
20.00 |
ภาคตะวันตก |
||
โรงไฟฟ้าประเภทชีวมวล |
1 |
6.00 |
โรงไฟฟ้าประเภทก๊าซชีวภาพ |
2 |
5.00 |
ภาคใต้ |
||
โรงไฟฟ้าประเภทชีวมวล |
5 |
19.85 |
โรงไฟฟ้าประเภทก๊าซชีวภาพ |
4 |
10.50 |
รวม |
43 |
149.50 |
สำหรับรายชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเสนอขายไฟฟ้าตามอัตราส่วนลด (%) FITF ในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) จำนวน 43 ราย มีดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมดจะต้องยอมรับเงื่อนไขการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ภายใน 7 วันและลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ภายใน 120 วัน หลังประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ โดยกําหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ภายใน 36 เดือนนับจากวันลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หรือภายในวันที่ 21 มกราคม 2568 อย่างไรก็ตามหากผู้เสนอราคารายใดมีข้อสงสัยและต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการพิจารณาด้านราคาสามารถติดต่อสำนักงาน กกพ. ได้ที่ 0-2207-3599 ต่อ 855 ในวันทำการ เวลา 09.30 – 15.30 น.
“สำนักงาน กกพ. จะดำเนินการจัดสัมมนาผู้ผ่านการคัดเลือกเพื่อชี้แจงแนวทางในการพัฒนาโครงการตาม พ.ร.บ. การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น การเตรียมเอกสารเพื่อประกอบการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า การจัดเตรียมเอกสาร COP การจัดรับฟังความเห็นเพื่อทำความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่ การขอรับใบอนุญาต และ การจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อให้สามารถพัฒนาโครงการได้อย่างราบรื่น อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ทำให้โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ ประสบความสำเร็จและเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนขึ้นอยู่กับความเข้าใจของชุมชน เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า จึงอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพัฒนาโครงการแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการและเป็นต้นแบบของโรงไฟฟ้าชุมชนในระยะต่อไป” นายคมกฤช กล่าว
A9831
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สนพ.เปิดรับฟังความคิดเห็นกรอบ 'แผนพลังงานชาติ'มุ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 - 2070
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดรับฟังความคิดเห็น 'กรอบแผนพลังงานชาติ' ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน คาดแผนพลังงานแห่งชาติ จะเริ่มใช้ได้จริงปี 2566 ก่อนมอบให้แต่ละหน่วยงานจัดทำ 5 แผนย่อย เพื่อสรุปเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาอีกครั้งช่วงปลายปี 2565
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สำหรับการเปิดฟังความคิดเห็น'กรอบแผนพลังงานชาติ” นี้ เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้พิจารณาเห็นชอบกรอบแผนฯ ดังกล่าวเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งได้กำหนดแนวนโยบาย ภาคพลังงาน โดยมีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาด และลดการปลดปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2065 – 2070
ทั้งนี้ กพช. ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการระยะเร่งด่วน อาทิ 1. จัดทำแผนพลังงานชาติ ภายใต้กรอบนโยบายที่ทำให้ภาคพลังงานขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจให้สามารถรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ Neutral-Carbon Economy ได้ในระยะยาว 2. พิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบต่างๆ และปรับลดสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ภายใต้ PDP2018 rev.1 ในช่วง 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2564-2573) ตามความเหมาะสม
โดยให้นำหลักการวางแผนเชิงความน่าจะเป็นโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (LOLE) มาใช้เป็นเกณฑ์ แทนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) ซึ่งไม่สะท้อนผลจากความไม่แน่นอนของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่สูงขึ้นได้ 3. ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานระบบสายส่งและจำหน่ายไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมพื้นที่ศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่างๆเพื่อรองรับปริมาณกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในอนาคต และสามารถตอบสนองต่อการผลิตไฟฟ้าได้อย่างทันท่วงทีโดยไม่กระทบกับความมั่นคงของประเทศ
โดย สนพ. จะเริ่มเปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน และสื่อมวลชน หลังจากนั้นจะนำมาปรับปรุงแผนฯ และมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานนำแผนฯ ไปจัดทำแผนย่อย ซึ่งมีทั้งหมด 5 แผน ได้แก่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP 2022 และ แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ หรือ Gas Plan โดย สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก หรือ AEDP และแผนอนุรักษ์พลังงาน หรือ EEP กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ Oil Plan ทางกรมธุรกิจพลังงาน เป็นผู้รับผิดชอบ
ผอ.สนพ. กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดว่าแผนพลังงานชาติ เริ่มใช้ได้จริงปี 2566 โดยยืนยันว่าการจัดทำแผนดังกล่าวยังเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่เสนอ กพช. ทั้งนี้ การเปิดรับฟังความเห็นกรอบแผนพลังงานแห่งชาติ จะเป็นกรอบและทิศทางของแผนฯ ที่จะมุ่งสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น และเพื่อแสดงถึงจุดยืนและการเตรียมการในการปรับเปลี่ยนให้รองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจแบบคาร์บอนต่ำ (Neutral-carbon economy) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศที่มีนโยบายมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด โดยเฉพาะภายในช่วงเวลา 1-10 ปี ข้างหน้า
ทั้งนี้ ทั้ง 5 แผน จะถูกรวบรวมและจัดทำให้เป็นแผนพลังงานชาติเพียงฉบับเดียว โดยหลังจากนั้นจะเปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อให้ได้แผนพลังงานชาติที่ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นจัดทำแผนฯ ร่วมกันกำหนดทิศทางให้นโยบายด้านพลังงานของประเทศไทย และจะนำเสนอ กบง. และกพช. ตามลำดับต่อไป
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
'พลังงาน' คาดการณ์สถานการณ์การใช้และราคาพลังงาน แนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
กระทรวงพลังงาน เผย แนวโน้มการใช้และราคาพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น สาเหตุมาจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว รวมทั้งภูมิภาคตะวันตกเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น พร้อมเตรียมใช้กลไกกองทุนน้ำมันรักษาเสถียรภาพหากกรณีราคาผันผวนหนัก เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนผู้บริโภคและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศ
นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ สถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ การคลี่คลายของสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัว กอปรกับประเทศในแถบภูมิภาคตะวันตกกำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานมีการปรับตัวเพิ่มมากขึ้น
โดยทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC)คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 100 ล้านบาร์เรล/วัน ภายในไตรมาส 2 ของปีหน้า ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปี 62 ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ หลังการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะเริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดว่าความต้องการใช้จะเพิ่มขึ้นราว 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือน ตุลาคม 2564 และจะเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้ รวมถึงราคาพลังงานและเชื้อเพลิงในทวีปยุโรปที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณก๊าซคงคลังอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งอุปทานจากรัสเซียที่ลดลงต่ำกว่าปกติ เนื่องจากอุปสงค์ทางฝั่งเอเชีย ที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนไอดาและนิโคลัส ทำให้การผลิตหายไปกว่าราว 26 ล้านบาร์เรล ซึ่งส่งผลให้ราคายืนในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ได้ติดตามสถานการณ์ราคาอย่างใกล้ชิด และมีการเตรียมพร้อมในการใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการบริหารจัดการราคาพลังงานเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ให้การช่วยเหลือราคา LPG
โดยตรึงราคาขายปลีกสำหรับถังขนาด 15 กิโลกรัมอยู่ที่ 318 บาทต่อถัง (ไม่รวมค่าขนส่ง) ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2563 เป็นต้นมา และล่าสุดคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมาให้คงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มข้างต้นออกไปอีก 3 เดือน คือ ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2564 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2564
โฆษกกระทรวงพลังงาน ระบุต่อว่า ในส่วนของสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพโดยเฉพาะไบโอดีเซลราคาน้ำมัน B 100 ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยราคาอ้างอิงเฉลี่ย ระหว่างวันที่ 20 - 26 กันยายน 2564 อยู่ที่ 40.47 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว 0.53 บาทต่อลิตร จากราคาวัตถุดิบในประเทศปรับตัวสูงขึ้น และผลผลิตปาล์มน้ำมันของประเทศไทยเริ่มน้อยลง โดยราคาผลปาล์มน้ำมัน ณ วันที่ 13 - 17 ก.ย. 64 เฉลี่ยอยู่ที่ 6.70 - 8.10 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
“ต้องยอมรับว่าราคาพลังงานอยู่ในช่วงขาขึ้น และยังมีความผันผวน ซึ่ง กระทรวงพลังงาน ได้มีการติดตามเฝ้าระวัง รวมถึงการดูแลสถานการณ์ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเตรียมพร้อมกลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม และในอีกบทบาทหนึ่งของกองทุนน้ำมันฯ คือ การสนับสนุนเชื้อเพลิงชีวภาพ จะช่วยสร้างเสถียรภาพราคาผลผลิตทางการเกษตร สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
นอกจากนั้น การนำเอทานอลและไบโอดีเซลมาผสมในน้ำมันยังช่วยลดการนำเข้า สร้างอุตสาหกรรมต่อเนื่องให้เกิดขึ้นในประเทศ และยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ซึ่งปัจจุบัน ราคาน้ำมันดีเซล (B10) กระทรวงพลังงานก็มีมาตรการสนับสนุนทำให้ราคาถูกกว่าน้ำมัน B7 ถึงลิตรละ 3 บาทอีกด้วย ส่วนสถานการณ์โควิดขณะนี้ กระทรวงพลังงาน โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ยังคงให้การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลสนาม การบริจาคอุปกรณ์หรือเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น รวมทั้งการสนับสนุนหาเตียงและส่งต่อผู้ติดเชื้อ ซึ่งหน่วยงานจะยังคงดำเนินการต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย”โฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าว
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
กบง. สั่งทบทวนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบต่างๆ ภายใต้ PDP2018 rev.1 เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ทั้งยังคงราคา LPG ครัวเรือน ต่ออีก 3 เดือน ถึง 31 ธ.ค. 64
การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้เห็นชอบกรอบแผนพลังงานชาติ โดยมอบหมายให้ กบง. บริหารจัดการและพิจารณาทบทวนปรับปรุงแผนการเพิ่มการผลิตตามหลักการการบริหารจัดการและพิจารณาทบทวนปรับปรุงแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 - 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP 2018 Rev. 1) ในช่วงปี พ.ศ. 2564 – 2573 นั้นวันนี้ (20 กันยายน 2564) ที่ประชุม กบง. จึงได้พิจารณาหลักการเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงทางพลังงานและส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันของประเทศให้สอดรับกับประชาคมโลกที่มุ่งเน้นพลังงานไฟฟ้าสะอาดลดการปล่อยคาร์บอนและรองรับการก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Decarbonization)
ประกอบด้วย 1) ทบทวนปรับพิ่ม/ลดกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่รายปีของโรงไฟฟ้าประเภทฟอสซิล (Coal/Natural Gas) โรงไฟฟ้าจาก RE (รายเชื้อเพลิง) เช่น ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ แสงอาทิตย์ ลม ขยะชุมชน ขยะอุตสาหกรรม เป็นต้น รวมถึงการรับซื้อไฟฟ้าโครงการพลังน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน 2) ทบทวนโครงการรับซื้อไฟฟ้า RE ที่มีการดำเนินการล้าช้ากว่าแผนฯ เพื่อปรับกำหนด SCOD ใหม่ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก โรงไฟฟ้าชีวมวลประชารัฐ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โรงไฟฟ้าขยะชุมชน เป็นต้น 3) รวมทั้งพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจาก RE ที่มีศักยภาพเหมาะสมร่วมกับเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า เช่น Solar + ESS เป็นต้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ร่วมกันดำเนินการทบทวนปรับปรุงแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผน PDP2018 rev.1 ในช่วงปีพ.ศ. 2564 – 2573 ตามมติ กพช. ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพลังงานหมุนเวียน โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ให้การสนับสนุนข้อมูลศักยภาพสายส่ง รวมถึงพิจารณาจัดทำแผนปรับปรุงระบบสายส่ง และจำหน่ายไฟฟ้า ให้สอดคล้องกับการทบทวนแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่จัดทำขึ้น และนำกลับมาเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ กบง. ได้เห็นชอบให้คงราคาขายปลีก LPG ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31ธันวาคม 2564 เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ว่าราคา LPG ตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปลายปีนี้ พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงพลังงานติดตามสถานการณ์ราคา LPG อย่างใกล้ชิด และนำเสนอแนวทางการทบทวนราคา LPG ต่อ กบง. ต่อไป
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด