กกพ. จัดกิจกรรม WASTE TO U WASTE TO ENERGY ขยะเพื่อคุณภาพชีวิต
หนุนคนรุ่นใหม่ สนใจเรื่องของการจัดการขยะสู่การผลิตไฟฟ้า
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้การสนับสนุน บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด ผ่านกองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อดำเนินโครงการ “คนบันดาลไฟ ปี 2” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และสามารถนำไปใช้ได้จริง ซึ่งมีกิจกรรมภายใต้โครงการประกอบด้วย สารคดีคนบันดาลไฟปี 2 กิจกรรมอบรมช่างบันดาลไฟเพื่อการติดตั้งโซลาร์เซลล์ กิจกรรมกบจูเนียร์เพื่อการสื่อสาร Bio Energy สู่เด็กและเยาวชน กิจกรรมสื่อสารเรื่องราวความร่วมมือการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโรงพยาบาลชุมชน และกิจกรรม Energy Talk “WASTE TO U WASTE TO ENERGY ขยะเพื่อคุณภาพชีวิต”
นางฤดี ภริงคาร รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เปิดเผยว่า กิจกรรม WASTE TO U WASTE TO ENERGY ขยะเพื่อคุณภาพชีวิต เป็นการประกวดระดับมหาวิทยาลัย ในหัวข้อ U-ZERO WASTE CREATOR CONTEST เพื่อค้นหานักสื่อสารจัดการขยะ ที่มีไอเดียดีๆ สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ เพื่อร่วมกันจัดการขยะนำไปสู่การผลิตไฟฟ้า ผ่านกระบวนการผลิตสื่อสร้างสรรค์ไม่จำกัดรูปแบบ ชิงทุนการศึกษากว่า 200,000 บาท มีวัตถุประสงค์สำคัญที่มุ่งเน้นสนับสนุนให้เยาวชนคนรุ่นใหม่หันมาสนใจเรื่องของการจัดการขยะ กระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม สร้างความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักรู้ในคุณค่าของการจัดการขยะที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง จนนำไปสู่แนวคิดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
โดยโจทย์และเนื้อหาการประกวด U-ZERO WASTE CREATOR CONTEST จะมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับกระบวนการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์แนวคิดในการจัดการขยะโดยเริ่มที่ตนเองจากการจัดการในครัวเรือนไปจนถึงการจัดการในระดับชุมชน ผ่านหลัก 7R คือ Refuse (ปฏิเสธการใช้) Refill (การใช้สินค้าที่เติมได้) Return (การหมุนเวียนมาใช้ใหม่) Repair (การซ่อมแซม) Reuse (การใช้ซ้ำ) Recycle (การนำกลับมาใช้ใหม่) และ Reduce (การลดการใช้) ทั้งนี้จะทำอย่างไรกับขยะที่มี ไปจนกระทั่งจะทำอย่างไรให้ขยะเกิดน้อยที่สุด คือแนวทางในการปฎิบัติเพื่อสร้างจิตสำนึกในการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อ “พลังงานสะอาดเพื่อคุณภาพชีวิต” จากผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายภาคส่วน อาทิ นายธรณพงศ์ เล็กสกุลดิลก ผู้อำนวยการฝ่ายกองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน, ตัวแทนจาก โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ หนองแขม, ผศ.ดร.กูสกานา กูบาฮา คณบดีคณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, คุณวิรัตน์ มนัสสนิทวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม, ตัวแทนจากชุมชน และ ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต
ทั้งนี้กิจกรรมการประกวด U-Zero waste creator contest ระดับภูมิภาค ภาคกลาง มีนักศึกษาที่ผ่านการเข้ารอบ 7 ทีม ซึ่งประกอบด้วย 1. ทีมเซเว่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 2. พาขวัญ อมรไชย มหาวิทยาลัยรังสิต 3. ทีม THE ภาร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 4. ทีมริมระเบียง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 5. ทีม อาร์ตเฉย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 6. ทีม BIO TECH BOX มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด) 7. ทีมหมู่บ้านรัตนะ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งแต่ละทีมได้นำเสนอผลงานตามระเบียบ ข้อบังคับตามที่ คณะกรรมการกำหนด ซึ่งทุกทีมได้นำเสนอผลงานที่โดดเด่นและเกี่ยวกับกับปัญหาขยะ ตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทางผ่านการสื่อสารผลงานที่สร้างสรรค์เพื่อร่วมกันจัดการขยะสู่การผลิตไฟฟ้าผ่านกระบวนการผลิตสื่อสร้างสรรค์ไม่จำกัดรูปแบบ โดยทีม และมหาวิทยาลัย ผู้ชนะรางวัลกิจกรรม มีดังนี้
รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 จากทีม : เซเว่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ชื่อผลงาน : ไม่ใช่ม้าง, รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 จากทีม : THE ภาร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ชื่อผลงาน : ความขยะ และรางวัลชนะเลิศ จากทีม : หมู่บ้านรัตนะ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ชื่อผลงาน : ถก
นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมในโครงการ “คนบันดาลไฟ ปี 2” ที่มุ่งต่อยอดจากความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจากโครงการ “คนบันดาลไฟ” ในปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด พลังสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไปสู่กลยุทธ์การสื่อสารอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2563 โดยมุ่งเน้นการสร้างแรงบันดาลใจจนก่อเกิดเป็นรูปธรรม รวมถึงการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และสร้างเครือข่ายใหม่จากพลังงานหมุนเวียน เพื่อความยั่งยืนด้านพลังงานในประเทศอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “CLEAN ENERGY FOR LIFE” ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน”
A111098
1 ธ.ค. 64 'พลังงาน' ปรับสูตรน้ำมันดีเซลชนิดเดียว นาน 4 เดือน
กระทรวงพลังงาน เดินหน้าออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนลดผลกระทบช่วงราคาน้ำมันผันผวน ปรับสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลเป็นร้อยละ 7 เป็นระยะเวลา 4 เดือน เริ่ม 1 ธ.ค. นี้เป็นต้นไป ชี้ จะทำให้ราคาช่วงนี้ลดลงเหลือประมาณ 28 บาทต่อลิตร ย้ำ ยังคงมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร พร้อมจับตาสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกอย่างใกล้ชิด หากยังมีการปรับตัวสูงขึ้นพร้อมเตรียมแผนรองรับทันที
นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงาน ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด ล่าสุดแม้แนวโน้มราคาเริ่มปรับตัวลดลง แต่ยังคงมีความผันผวนและทรงตัวในระดับสูง ดังนั้น เพื่อเป็นการลดผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชน และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง. เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ได้มีมติให้ปรับลดสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ B20 B10 และ B7 ให้มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 7 เป็นระยะเวลา 4 เดือน (ส่วนดีเซลพรีเมียมยังคงมีจำหน่ายเช่นเดิม)
โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 64 เป็นต้นไป ซึ่งในการปรับลดสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลดังกล่าว จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลสามารถปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 28 บาทต่อลิตร
“ขอย้ำเรื่องการเติมน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 ประชาชนสามารถใช้บริการที่ตู้หัวจ่ายได้ทั้งดีเซล B7 ดีเซลธรรมดา หรือ B10 และดีเซล B20 ซึ่งกระทรวงพลังงาน ได้พยายามอย่างต่อเนื่องที่จะทำให้ราคาอยู่ในระดับต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนในภาพรวม และพยุงเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าอย่าง ไม่สะดุด ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเติมน้ำมันดีเซลที่สถานีบริการสามารถสอบถามได้ที่กรมธุรกิจพลังงาน โทร 08 6609 8154”นายสมภพ กล่าว
‘กกพ.’ ปรับขึ้นค่าเอฟทีครั้งแรกในรอบ 2 ปี
กกพ. เคาะ ปรับขึ้นค่าเอฟทีปี 2565 แบบขั้นบันได ทยอยเพิ่มค่าเอฟทีประจำงวด ม.ค. - เม.ย. 65 ที่ 16.71 สตางค์ รับภาวะราคาพลังงานขาขึ้น หลังตรึงค่าเอฟทีรับมือโควิด-19 นานกว่า 2 ปี ยืนยันยังมุ่งดูแลเสถียรภาพราคาพลังงาน หนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 กกพ. มีมติให้ปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนมกราคม – เมษายน 2565 โดยให้เรียกเก็บที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.78 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.63 จากงวดปัจจุบัน ทั้งนี้เป็นผลจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง การนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศในส่วนของพลังน้ำลดลงตามฤดูกาลและการผลิตไฟฟ้าจากถ่านลิกไนต์ลดลงตามแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ส่งผลให้สามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนราคาถูกลดลง นอกจากนั้นราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากตามภาวะราคาน้ำมันขาขึ้นในตลาดโลก และปริมาณนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มากขึ้น เพื่อทดแทนปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ลดลงเนื่องจากเป็นช่วงปลายสัมปทาน
“หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กกพ. ได้ดำเนินนโยบายบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพให้กับประชาชนผู้ใช้พลังงานมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการการลดค่าไฟฟ้า และตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรหรือเอฟทีอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เบาบางลง ทำให้เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับสถานการณ์วิกฤตพลังงานในต่างประเทศ ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวส่งผลให้เกิดภาวะพลังงานตึงตัว (Energy Crisis) เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้พลังงานทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงนี้ จึงเป็นเหตุทำให้ค่าเอฟทีในงวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 2565 (ที่ใช้ค่าจริงเดือนกันยายน 2564 ในการประมาณการ) เพิ่มสูงขึ้นเป็น 48.01 สตางค์” นายคมกฤช กล่าว
สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือน ม.ค. – เม.ย. 2565 ประกอบด้วย
1. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2565 เท่ากับประมาณ 65,325 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน ก.ย. – ธ.ค. 2564) ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 64,510 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.26
2. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2565 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ร้อยละ 60.27 ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวมร้อยละ 13.92 และค่าเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน ร้อยละ 7.68 ลิกไนต์ของ กฟผ. ร้อยละ 7.55 และอื่นๆ อีก ร้อยละ 6.92
3. ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน ม.ค. – เม.ย. 2565 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2564 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมากจากประมาณในรอบเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2564 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่ ดังที่แสดงในตาราง
ประเภทเชื้อเพลิง |
หน่วย |
ก.ย. – ธ.ค. 64 (ประมาณการ) [1] |
ม.ค. – เม.ย. 65 (ประมาณการ) [2] |
เปลี่ยนแปลง [2]-[1] |
- ราคาก๊าซธรรมชาติ ทุกแหล่ง* |
บาท/ล้านบีทียู |
270.80 |
376.46 |
+105.66 |
- ราคาน้ำมันเตา |
บาท/ลิตร |
0.00 |
18.20 |
+18.20 |
- ราคาน้ำมันดีเซล |
บาท/ลิตร |
20.14 |
22.17 |
+2.03 |
- ราคาลิกไนต์ (กฟผ.) |
บาท/ตัน |
693.00 |
693.00 |
0.00 |
- ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ย (IPPs) |
บาท/ตัน |
2,386.00 |
2,877.69 |
+491.66 |
หมายเหตุ: *ราคาก๊าซฯ รวมค่าผ่านท่อและค่าดำเนินการของโรงไฟฟ้า กฟผ. และโรงไฟฟ้าเอกชน
4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (1 – 30 กันยายน 2564) เท่ากับ 33.0 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าจากประมาณการในงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 31.3 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายคมกฤช กล่าวว่า จากการประชุม กกพ. ล่าสุด กกพ. ห่วงใยสถานการณ์ราคาพลังงานที่แพงขึ้นอย่างมาก และเป็นห่วงถึงผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้พลังงานเป็นวงกว้าง และได้พิจารณานำเงินบริหารจัดการค่า Ft และเงินเรียกคืนฐานะการเงินจากการไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมดมาลดผลกระทบของการปรับค่าเอฟทีครั้งนี้กว่า 5,129 ล้านบาท และนำเงินผลประโยชน์ของบัญชีเงินที่จ่ายค่าก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าตามปริมาณก๊าซตามสัญญาไปก่อน (Take or Pay) ของแหล่งก๊าซธรรมชาติเมียนมา จำนวนเงิน 13,511 ล้านบาท รวมเป็นเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบการปรับขึ้นค่า Ft ทั้งหมด 18,640 ล้านบาท ตลอดจน ได้พิจารณาค่าแนวโน้มปี 2565 ซึ่งคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ 32.1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ราคาน้ำมันตลาดโลกคาดการณ์เฉลี่ยลดลงมาเป็นประมาณ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล และให้มีการบริหารจัดการผลิตไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันทดแทน Spot LNG ซึ่งมีราคาสูงเพื่อลดผลกระทบต่อราคาไฟฟ้าในภาพรวมด้วยแล้ว ยังคงทำให้ค่าเอฟทีต้องปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7.18 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 22.50 สตางค์ ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในระยะสั้นเป็นอย่างมาก ดังนั้น กกพ. จึงได้พิจารณาแนวทางในการลดผลกระทบต่อประชาชนโดยเฉลี่ยค่าใช้จ่ายตลอดทั้งปีโดยทยอยปรับเพิ่มค่าเอฟทีแบบขั้นบันได โดยในงวดเดือน ม.ค.- เม.ย. 2565 จะเพิ่มขึ้น 16.71 สตางค์ จากปัจจุบัน -15.32 สตางค์ในงวดก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยปรับปรุงตามค่าจริงในรอบต่อๆ ไป
กกพ. ยังคงติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยยังคาดหวังว่าสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน และราคาเชื้อเพลิงยังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้บ้าง หลังจากผ่านพ้นฤดูหนาวซึ่งมีปริมาณความต้องการการใช้ก๊าซธรรมชาติสูง และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันจะสามารถบริหารจัดการความสมดุลของอุปสงค์ และอุปทานน้ำมันในตลาดให้ดีขึ้นได้
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ราคาพลังงานระยะต่อไปยังคงมีความผันผวนและเป็นแนวโน้มขาขึ้น ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายสัมปทาน จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว รวมทั้งการประหยัดใช้พลังงาน กกพ. จะดูแลค่าไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพเพื่อหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ได้อย่างราบรื่นและมีความสมดุล
ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือนมกราคม – เมษายน 2565 ทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 19 – 25 พฤศจิกายน 2564 ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป
A11802
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
กพช. เห็นชอบลดเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 0.005 บาทต่อลิตร พร้อมทบทวนแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ปี 63 – 67 และขยายกรอบการรับซื้อไฟฟ้าจากสปป.ลาว
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนั้น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณามาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนโดยปรับลดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันดีเซลหมุนช้า
และน้ำมันเตา ในอัตรา 0.005 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี และอัตรา 0.05 บาทต่อลิตร ระยะเวลา 2 ปี มีผลทันทีหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา อีกทั้งยังเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2567 ปีละ 4,000 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนและกลุ่มงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวม 12,000 ล้านบาท
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุม กพช. ยังเห็นชอบให้ทบทวนแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563 – 2567 เพื่อรับรองกรณีมีการเปลี่ยนแปลงวงเงินกู้ โดยให้การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีจำนวนเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินกู้ต้องไม่เกิน จำนวน 40,000 ล้านบาท ตามมาตรา 26 แห่ง พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 การใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้จ่ายได้เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ หรือการบริหารกองทุนน้ำมันฯ และกิจการอื่นที่เกี่ยวกับ หรือเกี่ยวเนื่องกับการจัดการกิจการของกองทุนน้ำมันฯ การทบทวนแผนรองรับวิกฤตฯ ครั้งนี้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ที่ประชุม กพช. ยังได้เห็นชอบให้ ทบทวนราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Price Review) จากสัญญาซื้อขาย LNG ระยะยาว บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท PETRONAS LNG LTD., เนื่องจากสถานการณ์ตลาด LNG ในปัจจุบันมีแนวโน้มตึงตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับเงื่อนไขสัญญาระหว่าง บริษัท ปตท. และ PETRONAS นั้นก็ให้คู่สัญญาเปิดเจรจา Price Review ได้ในระหว่างปีที่ 5 ของสัญญา ปตท. จึงขอเจรจาในปี 2564 เพื่อปรับลดราคา LNG
โดยได้ข้อสรุปผลการเจรจา LNG Price Review สามารถปรับลดสูตรราคา LNG SPA ลงเฉลี่ย -7% ซึ่งสามารถลดต้นทุนการจัดหา LNG ลงประมาณ 900 - 1,000 ล้านบาทต่อปี หรือรวมประมาณ 4,500 - 5,000 ล้านบาทในปี 2565 - 2569 หรือลดต้นทุนค่า Ft ประมาณ 0.42 สตางค์ ต่อหน่วย และกพช.มอบหมายให้บริษัท ปตท.ฯ เสนอสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาต่อไป
ที่ประชุม กพช. ยังเห็นชอบให้บรรจุโครงการ LNG Terminal พื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 [T-3] ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จ.ระยอง ซึ่งมีกำลังการแปรสภาพ LNG เป็นก๊าซ 10.8 ล้านตัน ต่อปี (ขยายได้ถึง 16 ล้านตันต่อปี) ไว้ในแผนโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคงของประเทศ
โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการฯ ตามแผนดำเนินงานของ EEC และสัญญาร่วมลงทุน เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ตลอดจนดำเนินการกำกับดูแลและบริหารจัดการ LNG Terminal ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับการจัดหา LNG ของประเทศให้มีการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความมั่นคง เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ และผู้ใช้พลังงาน ทั้งรายเก่าและรายใหม่ รวมถึงการสร้างระบบเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส ทันสถานการณ์ และสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่าที่ประชุม กพช. ได้เห็นชอบอัตรา ค่าไฟฟ้าและการขยายกรอบความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับ สปป. ลาว ดังนี้ โครงการน้ำงึม 3 ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.8934 บาทต่อหน่วย โครงการปากแบง ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.7935 บาทต่อหน่วย โครงการปากลาย ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.9426 บาทต่อหน่วย โดยอัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะคงที่ตลอดสัญญาและมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามในร่าง Tariff MOU โครงการน้ำงึม 3 โครงการปากแบง และโครงการปากลาย ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด แล้ว เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม
แต่ทั้งนี้ จะต้องไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบขยายกรอบปริมาณรับซื้อไฟฟ้าภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและ สปป. ลาว เรื่องความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้า ใน สปป. ลาว จาก 9,000 เมกะวัตต์ เป็น 10,500 เมกะวัตต์ ทั้งนี้การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังน้ำจาก สปป. ลาว นั้น สอดคล้องตามกรอบ ‘แผนพลังงานชาติ’ ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายการมุ่งสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบต่างๆ และสอดคล้องทิศทางพลังงานโลก ที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาด ลดการปล่อย CO2 อีกด้วย
นอกจากนี้ กพช. ได้เห็นชอบหลักการในการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 เห็นชอบอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ FiT ปี 2565 สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) กำลังผลิตติดตั้งไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 5.08 บาทต่อหน่วย (FiT Premium 8 ปี 0.70 บาท/หน่วย) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) กำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 10 – 50 เมกะวัตต์ ภายใต้กรอบอัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 3.66 บาทต่อหน่วย และระยะเวลาการสนับสนุน 20 ปี
โดยมอบหมายให้ กกพ. พิจารณากำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงต้นทุนการดำเนินการแต่ละโครงการต้นทุนการประกอบกิจการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ เพื่อใช้เป็นอัตราในการประกาศรับซื้อไฟฟ้าต่อไป
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กพช. ยังได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 5 ฉบับ (5 ผลิตภัณฑ์) ดังนี้ 1. ร่างกฎกระทรวงความร้อนแบบดึงความร้อนจากอากาศถ่ายเทให้แก่น้ำที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. ... 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดฟิล์มติดกระจกเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ... 3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดฉนวนอุตสาหกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ..... 4. ร่างกฎกระทรวงกำหนดเตารังสีอินฟราเรดที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. ... และ 5. ร่างกฎกระทรวงกำหนดพัดลมอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. ... และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานนำร่างกฎกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป.
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
อีโวลท์ เทคโนโลยี จับมือ บ้านปู เน็กซ์ ปิดดีลลงทุนขยายแพลตฟอร์มสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ตั้งเป้าปี’68 เพิ่มบริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า 5,000 จุด เติมเต็มระบบ Mobility As a Service (MaaS) ครบวงจร
(ซ้าย) พูนพัฒน์ โลหารชุน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด
(ขวา) กนกวรรณ จิตต์ชอบธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส-กลุ่มธุรกิจยานพาหนะไฟฟ้า บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด
บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี หรือ Evolt Technology เทคสตาร์ทอัพสัญชาติไทย จัดระดมทุนใหญ่ (Series A Raising Funds) ปิดดีลกับพันธมิตรผู้นำด้านบริการโซลูชันพลังงานฉลาด บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด (BanpuNEXT) รุกขยายแพลตฟอร์มสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบครบวงจร พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัล และแอปพลิเคชันเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตั้งเป้าให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า 5,000 จุด ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ภายในปี 2568 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการให้บริการยานพาหนะไฟฟ้า ภายใต้แนวคิด Mobility As a Service (MaaS) ของบ้านปู เน็กซ์
พูนพัฒน์ โลหารชุน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า “การระดมทุนครั้งนี้นับเป็นการเชื่อมต่อทางธุรกิจของ บ้านปู เน็กซ์ กับ อีโวลท์ เทคโนโลยี เสริมศักยภาพทางธุรกิจร่วมกันโดยใช้ความแข็งแกร่งของบ้านปู เน็กซ์ ผู้นำบริการโซลูชันพลังงานฉลาดชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อขยายโซลูชันธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคตที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือที่เรียกว่า New S-Curve ให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น รวมถึงพัฒนาโครงการความร่วมมือระหว่างกัน นอกจากนี้ยังช่วยให้ อีโวลท์ เทคโนโลยี ขยายขีดความสามารถในการแข่งขันทางการตลาดในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้นอีกด้วย โดยดึงจุดเด่นของ อีโวลท์ เทคโนโลยี ที่มีความชำนาญด้านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม บวกกับจุดแข็งด้านทีมวิศวกรและพัฒนา (Engineering & Development Team) มาเสริมกำลังการพัฒนาธุรกิจ บ้านปู เน็กซ์ ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น
ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง จากการเติบโตในปีนี้ อีโวลท์ นอกจากการเป็นผู้นำบริการระบบประจุยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจรที่สุดในประเทศไทยแล้ว วันนี้เราพร้อมจะก้าวสู่ผู้ให้บริการ E-Mobility โซลูชันขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรม ยานยนต์และอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกของเมืองไทย
โดยการให้บริการของเราเรียกได้ว่าเป็น โทเทิล โซลูชัน (Total Solution) ที่ให้บริการแบบครบวงจร ทั้งจัดหาเครื่องชาร์จ แพลตฟอร์ม และการบริหารจัดการรอบด้าน (Platform & Soft Management) การติดตั้งเครื่องชาร์จโดยทีมวิศวกรและช่างเทคนิคที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาแก่ลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ปัจจุบันเรามีจุดให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า 300 จุด อาทิ ในสถานีบริการน้ำมัน อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม ร้านอาหาร ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ชั้นนำ ฯลฯ
“เราเชื่อว่าการผนึกกำลังของพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งนี้ จะเป็นรากฐานที่ดีให้ อีโวลท์ เทคโนโลยี เป็นเทคสตาร์ทอัพที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน และร่วมผลักดันแนวคิดการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพื่ออนาคต E-Mobility to drive the future ในที่สุด ด้วย โทเทิล โซลูชัน (Total Solution) ที่ครบวงจรและพร้อมด้วยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญสูง” พูนพัฒน์ กล่าว
กนกวรรณ จิตต์ชอบธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส-กลุ่มธุรกิจยานพาหนะไฟฟ้า บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด เผยว่า “บ้านปู เน็กซ์ ในฐานะผู้ให้บริการระบบสัญจรทางเลือกแบบครบวงจรรายแรกของไทยในรูปแบบ Mobility As a Service (MaaS) เรามุ่งสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพชั้นนำของไทยที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) ซึ่งอีโวลท์ เทคโนโลยี มีความเชี่ยวชาญด้านแพลตฟอร์มบริหารสถานีอัดประจุไฟฟ้า จะมาช่วยเติมเต็มและเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ สร้างระบบนิเวศของธุรกิจยานพาหนะไฟฟ้าของบ้านปู เน็กซ์ ให้แข็งแกร่งและครบวงจรยิ่งขึ้น การร่วมมือครั้งนี้จะเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภค และองค์กรธุรกิจเข้าถึงการใช้ยานพาหนะไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น ครอบคลุมระบบสัญจรทุกรูปแบบ และรองรับทุกความต้องการใช้งาน พร้อมตอบรับเทรนด์แนวคิดเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน หรือ Sharing Economy ทั้งการบริการ Ride Sharing และ Mobility Sharing การบริหารจัดการยานพาหนะไฟฟ้าและสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Fleet & Charger Management) รวมถึงบริการหลังการขาย”
ในปัจจุบัน บริษัทเทคสตาร์ทอัพชั้นนำของโลกต่างตระหนักดีว่า เทรนด์ของพลังงานแห่งอนาคต เทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่ฉลาดกำลังเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การเลือกใช้พลังงานฉลาด (Smart Energy) จะเข้าไปเติมเต็มแนวคิด Ecosystem ให้มีความสมบูรณ์เร็วขึ้น ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพลวัตรทางสังคม ให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป เป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะต้นแบบของเมืองไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง การจับมือเป็นพันธมิตรระหว่าง อีโวลท์ เทคโนโลยี และบ้านปู เน็กซ์ ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสร้างเทคโซลูชันที่สมบูรณ์แบบและตอบโจทย์ทุกความต้องการของธุรกิจการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า หรือ E-Mobility ที่ครบวงจร
A11215
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด