กกพ. สานต่อพลังแห่งความยั่งยืน จัดโครงการประกวดกองทุนพัฒนาไฟฟ้า อวอร์ด 2565
สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิด “โครงการประกวดกองทุนพัฒนาไฟฟ้า อวอร์ด 2565” เฟ้นหาสุดยอดผลงานที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ในการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน อย่างไม่สิ้นสุด เป็นครั้งที่ 3 ภายใต้แนวคิด “WE ARE CREATED INFINITY SUSTAINABLE” เราคือผู้สร้างความยั่งยืนอย่างไม่หยุดยั้ง โดยชิงถ้วยรางวัล พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ และเงินรางวัลรวมมูลค่า 710,000 บาท โดยเปิดรับสมัครการประกวดแล้วตั้งแต่ 4 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม 2565
นายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา กรรมการกำกับกิจการพลังงาน เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 10 ปี ที่กองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อกิจการตามมาตรา 97(3) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าให้ดียิ่งขึ้น โดยการกำกับดูแลและบริหารจัดการของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือสำนักงาน กกพ. ได้ประกาศจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในพื้นที่ประกาศทั่วประเทศ รวมกว่า 625 กองทุน เพื่อเป็นกลไลการดำเนินงาน และได้อนุมัติงบประมาณกว่า 23,600 ล้านบาท ผ่านการดำเนินโครงการชุมชนจำนวน 62,900 โครงการ เพื่อใช้พัฒนาชุมชน และสนับสนุนให้เกิดพลังของความร่วมมือร่วมใจในการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน และมีประสิทธิภาพ
โดยสำนักงาน กกพ. ได้เริ่มจัดการประกวดกองทุนพัฒนาไฟฟ้าขึ้นครั้งแรกในปี 2559 และในครั้งที่สองในปี 2562 ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี และได้การตอบรับ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
“จากความสำเร็จของ 2 โครงการที่ผ่านมา สำนักงาน กกพ. ยังคงมุ่งมั่นในการบริหารและพัฒนากองทุนพัฒนาไฟฟ้าในพื้นที่ประกาศ พร้อมส่งเสริมการพัฒนาโครงการชุมชนที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ดำเนินการสานต่อจัดกิจกรรม โครงการประกวดกองทุนพัฒนาไฟฟ้า อวอร์ด 2565 ครั้งที่ 3 ภายใต้แนวคิด “WE ARE CREATED INFINITY SUSTAINABLE” เราคือผู้สร้างความยั่งยืนอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมุ่งหวังสร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้เกี่ยวข้องได้พัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพที่ต่อเนื่อง สู่การพัฒนาชุมชน และการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในพื้นที่ประกาศให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างตัวอย่างกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในพื้นที่ประกาศ โครงการชุมชนที่ดี และหมู่บ้านต้นแบบสำหรับการนำไปใช้ขยายผลและแลกเปลี่ยนความรู้การดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” นายวรวิทย์ กล่าว
นายวรวิทย์ กล่าวต่อว่า โครงการประกวดกองทุนพัฒนาไฟฟ้า อวอร์ด 2565 ได้จัดพิธีเปิดโครงการ พร้อมเริ่มเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ณ ห้อง The Mitr-ting Room สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 โดยภายในงาน ได้มีการเชิญแขกพิเศษ โดยเป็นตัวแทนจากโครงการที่ได้รับรางวัลในปี 2562 จากระดับโครงการชุมชนดีเด่นภาคเหนือ ในการดำเนินโครงการคลินิกทันตกรรมเคลื่อนที่ (บนรถบัส) กองทุนพัฒนาไฟฟ้าโรงไฟฟ้าเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก มาร่วมแชร์ประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรม พร้อมพูดคุยถึงแนวทางการพัฒนาต่อยอดโครงการเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับสังคมที่ยั่งยืน
ในส่วนของรายละเอียดการจัดกิจกรรม โครงการประกวดกองทุนพัฒนาไฟฟ้า อวอร์ด 2565 แบ่งการแข่งขันเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. การประกวดระดับกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในพื้นที่ประกาศ 2 ขนาด ได้แก่ กองทุนขนาดใหญ่ดีเด่น และกองทุนขนาดกลางดีเด่น (จำนวน 6 รางวัล)
2. การประกวดระดับโครงการชุมชนในพื้นที่ประกาศ แบ่งเป็น 6 ด้าน ได้แก่ โครงการชุมชนดีเด่นด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจชุมชน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสาธารณูปโภค และด้านพลังงานชุมชน (จำนวน 18 รางวัล)
3. การประกวดระดับหมู่บ้านต้นแบบกองทุนพัฒนาไฟฟ้า (จำนวน 3 รางวัล)
นอกจากนี้ สำนักงาน กกพ. ได้มีการจัดกิจกรรมลงพื้นที่ทั่วประเทศ รวม 13 ครั้ง ได้แก่ ชลบุรี อยุธยา นครราชสีมา นครสวรรค์ ขอนแก่น อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ ลำปาง สุราษฎร์ธานี ราชบุรี สงขลา กาญจนบุรี และกรุงเทพมหานคร เพื่อประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์การประกวดและรับสมัครผู้เข้าร่วมประกวดโครงการฯ โดยจะมีการเปิดรับสมัครไปตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2565 และจะประกาศผลมอบรางวัลได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565
เป้าหมายหนึ่งเดียวกัน คือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนและสังคม ดังนั้น การส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในโครงการฯ ครั้งนี้ จะเป็นเสมือนการประกาศเกียรติคุณ และเป็นรางวัลที่แสดงให้เห็นถึงพลังความร่วมแรงร่วมใจของชุมชนที่พร้อมจะสร้างโครงการดีๆ เพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ไม่หยุดยั้ง สำนักงาน กกพ.
จึงขอเชิญส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดในโครงการประกวดกองทุนพัฒนาไฟฟ้า อวอร์ด 2565 เพื่อร่วมมือกันในการสร้างประโยชน์ให้ประชาชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ตลอดจนพัฒนาในสังคม ชุมชนที่ยั่งยืน อย่างไม่สิ้นสุด สำหรับท่านใดสนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดกิจกรรมได้ที่เว็บไซต์ www.Facebook.com/PDFAwards2565 หรือโทรศัพท์สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1204 นายวรวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย
A2133
'หลงรักพลังงาน'ประกวดวาดภาพ กระทรวง พลังงาน ปีที่ 8 มีผลงานเข้าร่วมกว่า 600 ผลงาน มอบรางวัล 1,120,000 ล้านบาท
นางเปรมฤทัย วินัยแพทย์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลกิจกรรมประกวดวาดภาพ โครงการรณรงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ปีที่ 8 โดยมีผู้ได้รับคัดเลือกรวมจำนวน 64 รางวัล ในประเภทมัธยมศึกษาตอนต้น ประเภทมัธยมศึกษาตอนปลายและ ปวช. ประเภทอุดมศึกษาและ ปวส. และประเภทประชาชนทั่วไป ณ เดอะคริสตัล (เอกมัย-รามอินทรา) บริเวณวีรันดา ฮอลล์ กรุงเทพฯ
“กระทรวงพลังงาน ได้จัดโครงการรณรงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนขึ้น ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 8 แล้ว กระทรวงพลังงานยังคงต้องการให้ประชาชนได้เห็นถึงความสำคัญของพลังงานจากการถ่ายทอดผ่านงานศิลปะ โดยในปีนี้ ได้กำหนดหัวข้อว่า ‘หลงรักพลังงาน’ ซึ่งเปิดกว้างให้ผู้เข้าร่วมประกวดได้ใช้จินตนาการ ในการสื่อสารข้อมูลด้านพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น การอนุรักษ์พลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือการใช้พลังงานที่ ตัวผู้ประกวดเองได้เห็นหรือได้เข้าถึงการใช้พลังงานในรูปแบบต่างๆ และก็เป็นที่น่าภาคภูมิใจว่า ในปีนี้ มีผลงานเข้าร่วมประกวดมากกว่าปีที่แล้ว
โดยในปีนี้มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดถึง 619 ผลงาน แสดงให้เห็นว่า ประชาชนได้ให้ความสนใจด้านพลังงานมากขึ้น ซึ่งนอกจากกระทรวงพลังงานจะยังคงมีการสื่อสารข้อมูลด้านพลังงานผ่านสื่อรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจรูปแบบการใช้พลังงานที่จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในอนาคตอันใกล้ อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของกระทรวงพลังงานที่จะยังคงเน้นย้ำ คือ การส่งเสริม จัดหา พัฒนา ทางเลือกของพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งการจัดประกวด ในครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ได้ให้ทั้งนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านพลังงาน และจะดำเนินกิจกรรมนี้ต่อไปในปีหน้าอีกด้วย” นางเปรมฤทัย กล่าว
สำหรับ คณะกรรมการในการตัดสินประกอบด้วย ผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงพลังงาน ศิลปินผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมี นางเปรมฤทัย วินัยแพทย์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานคณะกรรมการตัดสิน ศาสตรเมธี ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ดร.สังคม ทองมี ผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร นายสมภพ บุตรราช ศิลปินอิสระ
นายประทีป คชบัว ศิลปินอิสระ นางพัทธ์ธีรา สายประทุมทิพย์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน และนายประครอง สุวงทา หัวหน้ากลุ่มสื่อโสตทัศนูปกรณ์ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน
โครงการประกวดวาดภาพในครั้งนี้ ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์กิจกรรมและเปิดรับผลงานเป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมีนาคม ถึงวันที่ 31 เดือนสิงหาคม 2564 มีประชาชนจากทุกภาคส่วนให้ความสนใจส่งผลงานเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 619 ผลงาน โดยแบ่งเป็น ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 201 ผลงาน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและปวช. 242 ผลงาน ระดับอุดมศึกษาและปวส. 69 ผลงาน และระดับประชาชนทั่วไป 107 ผลงาน โดยผลการประกวด มีดังนี้
รางวัลชนะเลิศ รับเงินรางวัล 25,000 บาท ได้แก่ ด.ช.ภัทรายุทธ ภาคุณ โรงเรียนบางแคเหนือ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รับเงินรางวัล 20,000 บาท ได้แก่ ด.ช.ธนโชติ นันทเศรษฐ์ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 รับเงินรางวัล 15,000 บาท ได้แก่ นายวัชระ ทองสงคราม โรงเรียนสมคิดจิตต์วิทยา
รางวัลชนะเลิศ รับเงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่ น.ส.ฉัพพรรณรังสี สุวรรณชาติ โรงเรียนสตรีศึกษาร้อยเอ็ด
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รับเงินรางวัล 25,000 บาท ได้แก่ น.ส.ชฎากรณ์ ภูมิดอนใส โรงเรียนศรีสงครามวิทยา
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 รับเงินรางวัล 20,000 บาท ได้แก่ นายมงคงชัย ไชยบุตร โรงเรียนพะเยาพิทยาคม
รางวัลชนะเลิศ รับเงินรางวัล 35,000 บาท ได้แก่ น.ส.วันวิสา หมายเขา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รับเงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่ น.ส.จุฑามาศ รัตนะพิบูลย์กุล มหาวิทยาลัยศิลปากร
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 รับเงินรางวัล 25,000 บาท ได้แก่ น.ส.ปิยนัน ศรีธรรมมา มหาวิทยาลัยศิลปากร
รางวัลชนะเลิศ รับเงินรางวัล 50,000 บาท ได้แก่ นายบรรหาร ประมาณ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รับเงินรางวัล 45,000 บาท ได้แก่ นายณัฐวุฒิ ชุ่มพรมราช
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 รับเงินรางวัล 40,000 บาท ได้แก่ นายชรินทร์ ภูผาบาง
นอกจากนั้นแล้วแต่ละประเภท ยังมีรางวัลชมเชย ประเภทละ 10 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท และ วมแสดงผลงานอีก 3 รางวัล รางวัลละ 5,000 บาท ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมชมนิทรรศการภาพวาด ‘หลงรักพลังงาน’ สามารถเข้าชมได้ที่ บริเวณวีรันดา ฮอลล์ เดอะคริสตัล เอกมัย-รามอินทรา กรุงเทพฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในการเข้าชมตั้งแต่วันที่ 17 -21 มกราคม 2565 เวลา 10.00 – 22.00 น.
พพ.เดินหน้าจัดเสวนาเสริมความรู้พืชพลังงานป้อนโรงไฟฟ้าชุมชนเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มรายได้ยั่งยืนให้ประชาชนในพื้นที่
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) จัดกิจกรรมเสวนา และนิทรรศการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสมาชิกวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าชุมชนฯ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับพืชพลังงานถือเป็นหนึ่งในนโยบายพลังงานเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ที่จะช่วยให้ชุมชนมีรายได้จากการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า และลดภาระค่าใช้จ่าย มีรายได้จากการจำหน่ายวัสดุทางการเกษตรเป็นเชื้อเพลิง เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างความเข้มแข็งในชุมชน ลดการย้ายถิ่นฐานของแรงงาน กระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจในชุมชน
โดยมี ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสิรฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน นายอดิศักดิ์ ชูสุข ผู้อำนวยการกองวิจัย ค้นคว้า พลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน นายนพพร ทรัพย์เห็นสว่าง ผู้ช่วยเลขาธิการสายบริหารกองทุนพัฒนาไฟฟ้าและภูมิภาค สำนักงานกำกับกิจการพลังงาน นายสันติ เล้งรักษา และนายประสิทธ์ ทองแท่งไทย ตัวแทนโรงไฟฟ้าชุมชน บริษัท ยูเอซี แอนด์ ทีพีพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ ร่วมงาน ณ โรงแรมพูลแมน ราชาออร์คิด
ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กล่าวว่า โรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ถือเป็นหนึ่งในนโยบายด้านพลังงาน เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรมีรายได้จากการร่วมเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า และการจำหน่ายวัสดุทางการเกษตรเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้า รวมไปถึงชุมชนในพื้นที่ได้รับผลตอบแทนในรูปของการพัฒนาและบริการให้กับชุมชน เช่น ด้านการรักษาพยาบาล ด้านสาธารณูปโภค ด้านการศึกษา ส่งผลให้ชุมชนมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการนำร่อง โรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก มีเป้าหมายในการรับซื้อไฟฟ้ารวม 150 เมกะวัตต์
โดยใช้เชื้อเพลิงชีวมวลที่ได้จากการปลูกไม้โตเร็ว และก๊าซชีวภาพจาก พืชพลังงาน โดยมีการลงทุนโดยภาคเอกชน และจะเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน ร้อยละ 90 และให้วิสาหกิจชุมชน ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 10 โดยเป็นหุ้นบุริมสิทธิ โดยโรงไฟฟ้าชุมชนฯ จะมีการทำสัญญารับซื้อเชื้อเพลิงในรูปแบบ Contract Farming กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเป็นข้อตกลงในปริมาณ และราคารับซื้อเชื้อเพลิงอย่างยุติธรรม โรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากจะเป็นมิติหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในชุมชน
ทั้งการส่งเสริมพลังงานทดแทนตามความเหมาะสมของพื้นที่ ซึ่งจะเป็นการต่อยอดการทำเกษตรรูปแบบใหม่ที่เกษตรกรเองสามารถเป็นส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้าระดับชุมชน เป้าหมายสำคัญของโครงการ คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชนให้มีรายได้มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้ประกาศผลการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก(โครงการนำร่อง)แล้ว จำนวนทั้งสิ้น 43 โครงการ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล 16 โครงการ และโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ 27 โครงการ โครงการ ปริมาณเสนอขายไฟฟ้ารวม 149.50 เมกะวัตต์ กระจายทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมีค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 3.1831 บาทต่อหน่วย
สำหรับ กิจกรรมเสวนาสร้างความรู้ความเข้าใจในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายอดิศักดิ์ ชูสุข ผู้อำนวยการกองวิจัย ค้นคว้าพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน นายนพพร ทรัพย์เห็นสว่าง ผู้ช่วยเลขาธิการสายบริหารกองทุนพัฒนาไฟฟ้าและภูมิภาค สำนักงานกำกับกิจการพลังงาน นายสันติ เล้งรักษา และนายประสิทธ์ ทองแท่งไทย ตัวแทนโรงไฟฟ้าชุมชน บริษัท ยูเอซี แอนด์ ทีพีพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด เรื่อง’โรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อเศรษฐกิจฐานราก’ เรื่องน่ารู้ ‘พลังงานทางเลือก พลังงานสะอาด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและอาชีพของชุมชน’ โดย ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ และเทคนิคการปลูกพืชพลังงาน เพื่อผลิตไฟฟ้า โดยคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
พพ.เดินหน้ากฏหมาย BEC ออกประกาศกระทรวงพลังงานกำหนดค่าเกณฑ์มาตรฐานอาคาร BEC วิธีการคำนวณ และการรับรองผลการตรวจประเมินในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ออกประกาศกระทรวงพลังงาน 2 ฉบับ ได้แก่ ประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง กำหนดค่ามาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๖๔ และประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณและการรับรองผลการตรวจประเมินในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานแต่ละระบบ การใช้พลังงานโดยรวมของอาคาร และการใช้พลังงานหมุนเวียนในระบบต่าง ๆ ของอาคาร พ.ศ. ๒๕๖๔ ในราชกิจนาบุเบกษาแล้ว
สาระสำคัญของประกาศกระทรวง เรื่อง กำหนดค่ามาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๖๔ นั้นจะเกี่ยวข้องกับค่าเกณฑ์มาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ในระบบต่าง ๆ ประกอบได้ด้วย ระบบเปลือกอาคาร ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ อุปกรณ์ผลิตน้ำร้อน ซึ่งอาคารก่อสร้างใหม่ใน 9 ประเภทอาคารที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป จะต้องมีการออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงานให้มีค่ามาตรฐานเป็นไปตามประกาศกระทรวงนี้
สาระสำคัญของประกาศกระทรวง เรื่อง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณ และการรับรองผลการตรวจประเมินในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานแต่ละระบบ การใช้พลังงานโดยรวมของอาคาร และการใช้พลังงานหมุนเวียนในระบบต่าง ๆ ของอาคาร พ.ศ. ๒๕๖๔ นั้นจะเกี่ยวข้องกับวิธีการคำนวณของค่ามาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานของแบบอาคารที่ออกแบบในระบบต่าง ๆ นประกอบไปด้วย ระบบเปลือกอาคาร ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ อุปกรณ์ผลิตน้ำร้อน การใช้พลังงานหมุนเวียน
และการใช้พลังงานโดยรวมในอาคาร และมีสาระสำคัญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับรองผลการตรวจประเมินฯ ว่าเจ้าของอาคารมีหน้าที่จัดทำรายงานผลการตรวจประเมินฯ ตามแบบ ออพ.01 และแบบ ออพ.02 และให้ผู้ที่มีคุณสมบัติในการตรวจประเมินฯ เป็นผู้รับรองเพื่อประกอบในการขอรับใบอนุญาตหรือแจ้งก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
ทั้งนี้ ประกาศกระทรวงฯ ทั้ง 2 ฉบับ มีผลบังคับใช้แล้วกับการก่อสร้างอาคารใหม่ ใน 9 ประเภทอาคาร ได้แก่ สถานศึกษา สำนักงานหรือที่ทำการ ห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้า สถานบริหาร โรงมหรสพ อาคารชุมนุมคน สถานพยาบาล โรงแรม และอาคารชุด ที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป
กระทรวงพลังงาน ขอบคุณคนไทยร่วมใจก้าวผ่านปี 2564 มั่นใจปี 2565 พลังงานก้าวสู่ยุค 'C4C' มุ่งปรับตัวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ร่วมมือพันธมิตรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเข้มแข็งต่อเนื่อง
กระทรวงพลังงานประกาศทิศทางขับเคลื่อนแผนด้านพลังงานภายใต้มิติ ‘Collaboration for Change: C4C ก้าวสู่ยุคพลังงานสะอาด จับมือพันธมิตรเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย’ เน้นการพัฒนาด้านพลังงานใน 3 ด้าน มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เสริมสร้างเศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อรองรับยุค Energy Transition ปลดล็อคกฎระเบียบ และจับมือทุกภาคส่วนขับเคลื่อนด้านพลังงานไปด้วยกัน
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ทั่วโลกตระหนักถึงสภาวะโลกร้อนส่งผลให้ภัยธรรมชาติเริ่มทวีความรุนแรงและส่งกระทบมากยิ่งขึ้น กอปรกับความสำคัญต่อเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ตามแผนที่ประกาศในเวทีการประชุม COP26 นั้น ทำให้ภาคพลังงานถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันของภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมในเวทีโลก
ดังนั้น ในปี 2565 กระทรวงพลังงานจึงมุ่งมั่นกำหนดทิศทางแผนการดำเนินงานภายใต้มิติ ‘Collaboration for Change: C4C ก้าวสู่ยุคพลังงานสะอาด จับมือพันธมิตรเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย’ โดยจะมุ่งเน้นการปรับบทบาทองค์กรเพื่อก้าวสู่ยุค Energy Transition ปลดล็อค กฎระเบียบ และจับมือทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่สำคัญ 3 ด้าน
คือ 1) ด้านพลังงานสร้างความมั่นคงสู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำ อาทิ การจัดทำแผนพลังงานแห่งชาติที่คำนึงถึงพลังงานสะอาดและการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเช่น การขับเคลื่อน Grid Modernization สมาร์ทกริด ปลดล็อคกฎระเบียบการซื้อขายไฟฟ้าสะอาด และบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ
2) ด้านพลังงานเสริมสร้างเศรษฐกิจ อาทิ ขับเคลื่อนการลงทุนโครงการประกอบกิจการปิโตรเลียม ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้ประเทศมูลค่ากว่า 44,300 ล้านบาท กำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันและสัดส่วนการผสมเชื้อเพลิงชีวภาพให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายในระดับที่เหมาะสม ส่งเสริมการลงทุนปิโตรเคมี ระยะ 4 ใน EEC กำหนดทิศทางการขยายการลงทุนปิโตรเคมีกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด เพื่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในปี 2565-2569 กว่า 2-3 แสนล้านบาท ส่งเสริมลงทุนต่อเนื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานมูลค่ากว่า 143,000 ล้านบาท
ส่งเสริมการลงทุน EV Charging Station และยานยนต์ไฟฟ้า และเร่งพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการขยายตัวการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ขยายผลการลงทุนพลังงานสะอาดทุกรูปแบบ ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนผ่านกองทุนอนุรักษ์ฯปี 2565 วงเงินกว่า 1,800 ล้านบาท
และ 3) ด้านพลังงานลดความเหลื่อมล้ำและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เดินหน้ากระจายเม็ดเงินลงทุนสู่ชุมชน 76 จังหวัด ทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงานลดต้นทุนการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ชุมชน พัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชน พร้อมขับเคลื่อนโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อระยะที่ 1 พร้อมเตรียมการขยายผลโรงไฟฟ้าชุมชนระยะที่ 2
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังได้กล่าวถึง ผลการดำเนินงานของกระทรวงพลังงานในรอบปี 2564 ว่า “ตลอดปี 2564 ที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณคนไทยทุกภาคส่วนที่ร่วมมือร่วมใจจับมือกันก้าวข้ามปีที่ยากลำบากไปด้วยกัน ในส่วนของกระทรวงพลังงานนั้น ได้เดินหน้าสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คู่ขนานกับการช่วยเหลือสังคม บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานในสังกัดรัฐวิสาหกิจและบริษัทในเครือ
โดยในด้านบทบาทภารกิจหลัก อาทิ จัดทำ'แผนพลังงานแห่งชาติ' มุ่งสู่เป้าหมายลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 ปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทย ภายในปี 2564 – 2568 ให้สะท้อนต้นทุนในการให้บริการของกิจการไฟฟ้าอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งผู้รับใบอนุญาตและผู้ใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่ม ส่วนด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้ผลักดันให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในระบบเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 205,000 ล้านบาท
อาทิ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลและบริษัทในเครือมูลค่ากว่า 169,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานตามนโยบายรัฐบาลจำนวน 25,777 อัตรา รวมถึงสร้างรายได้จากการประกอบกิจการปิโตรเลียม รวมมูลค่า 34,200 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานช่วงสถานการณ์โควิด-19 ครอบคลุมทั้งประชาชนและภาคธุรกิจ รวมมูลค่า 97,113 ล้านบาท ภายใต้มาตรการที่สำคัญๆ อาทิ การลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนและกิจการขนาดเล็กกว่า 62 ล้านราย การตรึงค่า Ft ตลอดปี 2564 การตรึงราคาขายปลีก LPG สำหรับผู้มีรายได้น้อย กลุ่มร้านค้าหาบเร่แผงลอยอาหาร
รวมถึงได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือด้วยการรักษาระดับราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการซึ่งอาจจะส่งผลต่อราคาสินค้าในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกผันผวนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 จนถึงเดือนมีนาคม 2565 รวมทั้งตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV เพื่อช่วยเหลือผลกระทบต่อรถสาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV อีกด้วย”
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด