กบง. เพิ่มมาตรการช่วยเหลือประชาชนอีก 3 เดือน เพื่อลดผลกระทบจากราคาก๊าซ ปรับสูตรน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ให้ขยายดีเซลบี 5 ต่อ และเร่งรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน
การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เปิดเผยว่า เนื่องจากภาวะการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ประกอบกับสถานการณ์สงครามยูเครนและรัสเซีย ส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ที่กระทรวงพลังงานได้ดูแลประชาชน โดยการตรึงราคาก๊าซ LPG ไว้ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2563 เป็นต้นมา กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้จ่ายเงินชดเชยก๊าซ LPG รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 22,614 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันฐานะกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของบัญชีก๊าซ LPG ติดลบสูงถึง 28,093 ล้านบาท ซึ่งหากปัจจุบันไม่มีการอุดหนุน ราคาก๊าซ LPG จะอยู่ที่ 463 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม
ดังนั้น เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในส่วนของบัญชีก๊าซ LPG ที่ประชุม กบง. จึงมีมติเห็นชอบให้ทยอยปรับขึ้นราคา LPG 3 ครั้ง โดยปรับขึ้นเดือนละ 1 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 ทำให้ราคาขายปลีก จะปรับเป็น 333 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัมในเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ของประเทศไทยยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนหลายประเทศแม้ว่าจะมีการปรับราคาขึ้น และเพื่อมิให้ส่งผลต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนมากเกินไปที่ประชุม กบง. ได้เห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านราคาก๊าซ LPG โครงการยกระดับความช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซ LPG แก่ผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
โดยมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) จัดทำคำขอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 200 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านราคาก๊าซ LPG โดยการยกระดับความช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซ LPG แก่ผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 55 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน เป็น 100 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน และให้ ธพ. ขอความร่วมมือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ขยายระยะเวลาช่วยเหลือส่วนลดราคาก๊าซ LPG แก่ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ ปตท. ดำเนินการอยู่ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า กบง. ได้เห็นชอบในหลักการให้แยกชนิดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วพรีเมียม ออกจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วโดยมีแนวทางจะลดการชดเชยจากกองทุนน้ำมันในดีเซลหมุนเร็วพรีเมียม และมอบให้ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ไปดำเนินการในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอ กบน. ต่อไป นอกจากนี้ ได้เห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น กำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันให้เป็นไปตามสัดส่วนการผสมของกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี7 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 7 โดยปริมาตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 10 โดยปริมาตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 20 โดยปริมาตร และยังคงขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันให้คงค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มดีเซลไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม กบง. ยังได้เห็นชอบการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนส่วนเพิ่ม ภายใต้แนวทางการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ ปี 2565 โดยรับซื้อพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และ/หรือผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) จากสัญญาเดิม และนอกเหนือจากกลุ่มสัญญาเดิม โดยรับซื้อพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมจากผู้ผลิตไฟฟ้าประเภทชีวมวลหรืออื่นๆ นอกเหนือจากชีวมวล จากผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว ไม่มีการลงทุนใหม่ และมีความพร้อมในการจำหน่ายไฟฟ้าซึ่งระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง สามารถรองรับได้ โดยเป็นการรับซื้อปีต่อปี ไม่เกิน 2 ปี ในรูปแบบสัญญา Non-Firm โดย กบง. มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
กกพ. สร้างสมดุลภาคพลังงาน ฝ่าวิกฤตราคาพลังงานโลก
“กกพ.” รับมือวิกฤตการณ์ราคาเชื้อเพลิง ทยอยปรับเพิ่มค่าเอฟทีงวด พ.ค.- ส.ค. 2565 ที่ 23.38 สตางค์ต่อหน่วย บริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าลดสัดส่วนการใช้ LNG ในช่วงที่มีความผันผวนและมีราคาสูง อันเนื่องจากวิกฤตราคาพลังงานโลก
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า จากการประชุม กกพ. เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565 ได้มีมติให้ปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2565 โดยให้เรียกเก็บที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 4.00 บาทต่อหน่วย
ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อค่าเอฟทีมาจากผลกระทบสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลต่อวิกฤตราคาพลังงานโลกเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทำให้ กกพ. ต้องปรับสมมุติฐานการประมาณการ ค่าเอฟทีใหม่ให้สะท้อนราคาเชื้อเพลิงในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมจากสถานการณ์ที่ก๊าซธรรมชาติ (LNG) ในอ่าวไทยลดลงในช่วงปลายสัมปทาน
“ประมาณการค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นส่งผลให้ประมาณการค่าเอฟที ในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนสิงหาคม 2565 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 129.91 สตางค์ต่อหน่วย และหากพิจารณาภายใต้หลักการการปรับขึ้นแบบขั้นบันได อาจทำให้ต้องขึ้นค่าเอฟที งวดละ 47.3 สตางค์ต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรการการบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงให้ต่ำที่สุด ได้แก่ การรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป. ลาว โครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทินก่อนวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเติมจากกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีความพร้อมจ่ายไฟฟ้า การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาเพื่อทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าอยู่ในราคาที่เหมาะสมและมาตรการการบริหารการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา ร่วมกับมาตรการการนำ “Energy Pool Price” มาใช้ เพื่อเฉลี่ยต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรมสามารถทำให้ค่าเอฟทีลดลง เป็นผลให้ปรับขึ้นค่าเอฟที ในงวดนี้เพียง 23.38 สตางค์ต่อหน่วย ทั้งนี้ ตามแนวทางจากภาคนโยบาย กฟผ. จะแบกรับค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงในงวดที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดไว้ก่อน และจะทยอยเรียกคืนค่าเอฟทีเมื่อราคาเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง” นายคมกฤช กล่าว
สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือน พ.ค. – ส.ค. 2565 ตามข้อเสนอของ กฟผ. ประกอบด้วย
1. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2565 เท่ากับประมาณ 68,731 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน ม.ค. – เม.ย. 2565) ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 65,325 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.21
2. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2565 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ร้อยละ 55.11 ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวมร้อยละ 19.46 และ ลิกไนต์ของ กฟผ. ร้อยละ 8.32 เชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน ร้อยละ 8.08 พลังน้ำของ กฟผ. ร้อยละ 2.58 น้ำมันเตา (กฟผ. และ IPP) ร้อยละ 0.01% น้ำมันดีเซล (กฟผ. และ IPP) ร้อยละ 0.19% และอื่นๆ อีก ร้อยละ 6.25
3. ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน พ.ค. – ส.ค. 2565 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือน ม.ค.– เม.ย. 2565 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมากจากประมาณในรอบเดือน ม.ค.– เม.ย. 2565 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่ ดังที่แสดงในตาราง
ประเภทเชื้อเพลิง |
หน่วย |
ม.ค. – เม.ย. 65 (ประมาณการ) [1] |
พ.ค. – ส.ค. 65 (ประมาณการ) [2] |
เปลี่ยนแปลง [2]-[1] |
- ราคาก๊าซธรรมชาติ ทุกแหล่ง* |
บาท/ล้านบีทียู |
376.46 |
422.36 |
+45.90 |
- ราคาน้ำมันเตา |
บาท/ลิตร |
18.20 |
19.08 |
+0.88 |
- ราคาน้ำมันดีเซล |
บาท/ลิตร |
22.17 |
25.80 |
+3.63 |
- ราคาลิกไนต์ (กฟผ.) |
บาท/ตัน |
693.00 |
693.00 |
0.00 |
- ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ย (IPPs) |
บาท/ตัน |
2,877.69 |
3,678.74 |
+801.05 |
หมายเหตุ: *ราคาก๊าซฯ รวมค่าผ่านท่อและค่าดำเนินการของโรงไฟฟ้า กฟผ. และโรงไฟฟ้าเอกชน IPPs
4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (1 – 31 มกราคม 2565) เท่ากับ 33.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าเล็กน้อยจากประมาณการในงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2565 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 33.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายคมกฤช กล่าวว่า ในช่วงวิกฤตราคาพลังงานขาขึ้น สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวน พี่น้องประชาชนผู้ใช้ไฟ ร่วมกันประหยัดการใช้พลังงาน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า 4 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ, ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิกใช้งาน, ปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา และ เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 จะสามารถช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงราคาแพง ซึ่งจะเป็นการลดภาระค่าครองชีพสำหรับตัวท่านเอง และยังจะเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันลดภาระโดยรวมให้กับประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2565 ทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 17 – 27 มีนาคม 2565 ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป
A3612
สอวช. ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือนำร่องการพัฒนาทางด้านพลังงานหมุนเวียน และคาร์บอนเครดิต ระหว่าง กฟภ. - ส.อ.ท. ชี้บทบาท สอวช. ร่วมหนุนพัฒนากำลังคน พัฒนาหลักสูตร พร้อมสร้างมาตรฐานด้านระบบ
ดร. กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมเป็นสักขีพยาน และประกาศความร่วมมือ ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการนำร่องการพัฒนาทางด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ณ ห้อง PTT GROUP (1012) ชั้น 10 สำนักงานสภาอุตสาหกรรมฯ และผ่านระบบออนไลน์
ดร. กิติพงค์ กล่าวว่า เรื่องการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ที่ทุกฝ่ายร่วมกันขับเคลื่อนอยู่นี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปสู่การบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ GHG Net Zero ในปี 2065 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ที่สามารถนำเอางานทางด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) เข้ามาสนับสนุนได้ โดยจากการหารือกับสภาอุตสาหกรรมฯ ในเบื้องต้น มีงานสำคัญที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ด้าน ได้แก่ 1. การวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งสภานโยบายฯ มีสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ที่ทำงานร่วมกับ สอวช. ในการดูทิศทางว่าจะสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้อย่างไร โดยเฉพาะทิศทางด้านเทคโนโลยี และการพัฒนาคน 2. ด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี จากที่ สอวช. ได้รับการแต่งตั้งในกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ที่จะเป็นส่วนสำคัญในเรื่องการเชื่อมโยงเรื่องของการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) ระหว่างประเทศต่างๆ กับประเทศไทย 3. คือการพัฒนากำลังคน เพื่อรองรับ และการเข้าไปสนับสนุนเรื่องมาตรฐานทางด้านระบบ Carbon Credit และ Carbon Verification ต่างๆ ซึ่งในส่วนนี้ สอวช. และสภาอุตสาหกรรมฯ ได้หารือเบื้องต้นว่าจะมีการพัฒนาขึ้นเป็นหลักสูตร 6 หลักสูตร ได้แก่ 1) Design Principle: Passive & Active Design, 2) Energy Efficiency, 3) Renewable Energy, 4) 3R + 1W + 1C, 5) Carbon Credit Certificate และ 6) Carbon Credit/RE Platform โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะเริ่มทำงานดังกล่าวภายใน 2-3 เดือนนี้
ด้าน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้าของระบบพลังงานหมุนเวียนที่ลดลง ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามีความต้องการที่จะใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น อีกทั้งธุรกิจพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ยังถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเกิดขึ้นของตลาดคาร์บอนเครดิต และการทําสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบใหม่ ดังนั้นภาครัฐและเอกชนควรเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศให้สอดคล้องกับกติกาโลกใหม่ และบรรลุเป้าหมายการขับเคลื่อนพลังงานทดแทน ให้มีสัดส่วน 30% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งประเทศภายในปี 2030 รวมถึงเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของ ความร่วมมือระหว่าง ส.อ.ท. และ กฟภ. ในการลงนาม “บันทึกข้อตกลงโครงการนําร่องการพัฒนาทางด้านพลังงานหมุนเวียนและคาร์บอนเครดิต” เพื่อจัดทําฐานข้อมูลและการรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและคาร์บอนเครดิตโดยเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของสภาอุตสาหกรรมฯ ผ่านโครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2 โดยการริเริ่มและสนับสนุนจากคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อให้สามารถใช้เป็นต้นแบบตามแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้พลังงานทดแทน ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการร่วมมือในโครงการนําร่องฯ ระหว่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในครั้งนี้ จะส่งผลให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายตามที่ได้กล่าวมา
ด้าน นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการ กฟภ. กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านพลังงานมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การศึกษาพัฒนาโครงการนําร่องด้านพลังงานหมุนเวียน โดยการจัดทําฐานข้อมูล การรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และ Carbon Credit โดยการนําระบบแพลตฟอร์มมาบูรณาการ เพื่อใช้เป็นต้นแบบ ตามแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้พลังงานทดแทน รวมถึงการขยายผลการศึกษาไปสู่โครงการอื่นๆ จะช่วยให้ภาพรวมของประเทศไทย มีศักยภาพ ด้านการผลิต และการให้บริการ ด้านพลังงานสูงขึ้น ทั้งนี้การร่วมมือระหว่าง กฟภ. กับ ส.อ.ท. ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนของภาคอุตสาหกรรมเอกชนของประเทศไทยที่มีบทบาททางด้านการส่งเสริมและพัฒนาการประกอบอุตสาหกรรมชั้นนําของผู้ประกอบการทั้งภายในและต่างประเทศ จึงถือเป็นโอกาสที่ดี ของทั้ง 2 หน่วยงานในการร่วมกันแสวงหาแนวทางในการศึกษาและสร้างนวัตกรรมใหม่ที่จะเป็นประโยชน์ ต่อประเทศชาติในอนาคต
ในส่วนของนายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการกํากับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า โครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เกิดการทดสอบทางเทคโนโลยีด้านพลังงานในสภาพแวดล้อม ของการใช้งานจริงในพื้นที่และขนาดที่จํากัด อีกทั้งเพื่อกําหนดแนวทางการกํากับดูแลการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ทั้งในรูปแบบเปิดกว้างและแบบมุ่งเป้าในด้าน Green Innovation และ Green Regulation ทั้งนี้ จะทําให้เกิดการพัฒนารูปแบบธุรกิจการให้บริการทางด้านพลังงานรูปแบบใหม่ ที่จะนําไปสู่การเพิ่มทางเลือกและช่องทางการเข้าถึงบริการด้านพลังงาน ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมากขึ้นในราคาที่เหมาะสม
A3494
พลังงาน ระดมมาตรการมุ่งเป้าฝ่าวิกฤตราคาพลังงาน เร่งรณรงค์ทุกภาคส่วน'รวมพลังคนไทย ลดใช้พลังงานหาร 2'
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดแถลงข่าวสรุปสถานการณ์พลังงานและมาตรการรองรับผลกระทบด้านพลังงานว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ได้ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานโลกสูงขึ้นทุกชนิด ส่งผลต่อราคาขายปลีกในประเทศไม่ว่าจะเป็น น้ำมันสำเร็จรูปอย่างเบนซินและดีเซล โดยเฉพาะราคาน้ำมันขึ้นที่สุดในรอบ 14 ปี ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก
กระทรวงพลังงาน ได้ติดตามสถานการณ์พลังงานอย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการพลังงานในช่วงของสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน และในช่วงเปลี่ยนผ่านด้านการจัดหาพลังงานเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง และลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อประชาชน นอกจากนี้ ได้เตรียมพร้อมศูนย์กลางสั่งการด้านพลังงานประจำกระทรวงพลังงานเพื่อใช้เป็นศูนย์ติดตามสถานการณ์อีกด้วย โดยเฉพาะการเตรียมการด้านการสำรองพลังงานให้พร้อมรับต่อทุกสถานการณ์
“กระทรวงพลังงาน ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร กระทรวงพลังงาน ก็จะยังคงติดตามสถานการณ์พร้อม แนวทางแก้ไขปัญหาด้านราคาเพื่อแบ่งเบาภาระประชาชนและให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความตึงเครียดวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ตลาดกังวลต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก จากการคว่ำบาตรธุรกรรมทางการเงิน และบริษัทพลังงานหลายแห่งระงับการลงทุนในรัสเซีย ประกอบกับกลุ่มโอเปกพลัสที่ยังคงเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 400,000 บาร์เรล/วัน ในแต่ละเดือน ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงตึงเครียดต่อไปอาจทำให้เดือนเมษายนนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเกิน 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซล 150 – 170 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน-สหรัฐฯ อาจนำไปสู่กำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน รวมถึงการปล่อยน้ำมันสำรองของ IEA ก็สามารถบรรเทาความตึงตัวของตลาดได้บางส่วน
ขณะที่สถานการณ์ราคา LPG ตลาดโลกก็ปรับเพิ่มขึ้นทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน โดยราคาอยู่ที่ 968 เหรียญสหรัฐ/ตัน เช่นเดียวกันกับราคาก๊าซธรรมชาติก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะอุปทานจากรัสเซียที่ไม่แน่นอนจากมาตการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่ครอบคลุมทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และสหภาพยุโรปก็อยู่ระหว่างพิจารณาลดการพึ่งพานำเข้าก๊าซฯ จากรัสเซีย
นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ประเทศไทยได้เริ่มกระจายแหล่งการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางให้มีความหลากหลายตั้งแต่ปี 2557 (จากร้อยละ 70 ลดลงเป็นร้อยละ 57) เพื่อลดความเสี่ยงของการจัดหาน้ำมันดิบ สำหรับ สถานการณ์การจัดหาน้ำมันดิบในขณะนี้ กรมธุรกิจพลังงานได้ประสานงานกับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมอย่างใกล้ชิด ทุกรายได้แจ้งยืนยันว่ายังคงสามารถจัดหาน้ำมันดิบได้ตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 2 เดือน สำหรับ ความต้องการใช้น้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 123.25 ล้านลิตร/วัน และน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยอยู่ที่ 119.88 ล้านลิตร/วัน
ปัจจุบันมีปริมาณน้ำมันดิบคงเหลือ (รวมที่อยู่ระหว่างการขนส่ง) อยู่ที่ 5,686.44 ล้านลิตร และมีปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปคงเหลืออยู่ที่ 1,703.61 ล้านลิตร ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำมันของประเทศได้ถึง 61 วัน นอกจากนี้ บมจ.ปตท. ยังมีมาตรการเตรียมพร้อมจัดหาน้ำมันดิบเพิ่มเติมอีก 635.94 ล้านลิตร (4 ล้านบาร์เรล) จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองเป็น 66 วัน ส่งผลให้ประเทศมีน้ำมันใช้เพียงพอไม่ขาดแคลน
อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนกรณีหากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนมีความยืดเยื้อและมีเหตุฉุกเฉินที่ส่งสัญญาณว่าอาจจะกระทบกับแผนการจัดหาน้ำมันดิบของประเทศ กรมธุรกิจพลังงานได้เตรียมมาตรการรองรับเหตุวิกฤต Supply Disruption ตลอดจนได้รับมอบหมายให้ประสานผู้ค้าน้ำมันเตรียมประกาศเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย น้ำมันดิบเป็นร้อยละ 5 และน้ำมันสำเร็จรูปเป็นร้อยละ 2 ตามลำดับ จากปัจจุบันอัตราสำรองน้ำมันดิบร้อยละ 4 และน้ำมันสำเร็จรูปร้อยละ 1 ซึ่งจะช่วยให้มีปริมาณน้ำมันสำรองเพิ่มขึ้นอีก 7 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่า จะสามารถรักษาเสถียรภาพพลังงานได้โดยไม่กระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน
ปตท.ผุดแคมเปญประหยัด-จูนอัพเครื่องยนต์
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท. ยืนยันความพร้อมปฏิบัติภารกิจด้านการจัดการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรองรับความต้องการใช้ในประเทศอย่างเต็มความสามารถ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน อย่างไรก็ตามเสถียรภาพทางพลังงานของประเทศจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริงอยู่ที่ทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมใจประหยัดและรู้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ปตท.จึงจัดแคมเปญ "ก๊อดจิชวนใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและประหยัด" สื่อสารรณรงค์ประหยัดพลังงานด้วยสื่อหลายรูปแบบในทุกช่องทาง พร้อมทั้งจัดให้มีการตรวจเช็กสภาพเครื่องยนต์ โดย บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เพื่อให้เครื่องยนต์มีความสมบูรณ์ ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิง พร้อมด้วยโปรโมชั่นต่างๆ จนถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ ณ FIT Auto สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ที่ร่วมรายการทั่วประเทศ
ดร.จิราพร ศิริคำ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ. พร้อมรวมพลังชวนคนไทยประหยัดพลังงานของประเทศ ด้วย 2 แคมเปญ คือ แคมเปญ “ล้างแอร์ช่วยชาติ (Clean your air, Clean your life)” มอบ 10,000 สิทธิให้ประชาชนทั่วประเทศล้างแอร์ฟรี โดยสามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ที่เว็บไซต์ www.egat.co.th ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. 2565 เป็นต้นไป และแคมเปญ “ส่วนลด 500 บาท สำหรับซื้อผลิตภัณฑ์เบอร์ 5” มอบอีก 10,000 สิทธิให้กับประชาชนทั่วประเทศที่ซื้อผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 มูลค่า 1,000 บาท ขึ้นไป โดยเริ่มใช้สิทธิได้ที่ห้างสรรพสินค้าและร้านค้า Green Shop ที่เข้าร่วมกิจกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 65
ทั้งนี้ การล้างแอร์สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ถึง 10% ประหยัดพลังงานได้ถึง 1.3 ล้านหน่วย/ปี และทั้ง 2 แคมเปญนี้ยังช่วยลดการปล่อย CO2 รวมประมาณ 804 ตัน/ปี พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากการจ้างงานและการซื้อผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 รวมมูลค่ากว่า 21 ล้านบาทอีกด้วย
นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ง่าย ๆ นอกจากการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แล้ว ด้วยการตรวจเช็คอุปกรณ์ไฟฟ้าก่อนออกจากบ้าน ปิดสวิตซ์และถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทันทีที่เลิกใช้งาน เปิดเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 26 องศา ไม่ใส่ของในตู้เย็นมากเกินไปและลดการเปิดปิดประตูตู้เย็น เป็นต้น
กพช. ผ่านหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติ เพื่อความเป็นธรรมทุกฝ่าย เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าโครงการพลังน้ำจาก สปป. ลาว
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณและการดำเนินการเกี่ยวกับราคาก๊าซธรรมชาติภายใต้การกำกับของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) (Energy Pool Price) ในช่วงสถานการณ์ราคาพลังงานที่มีความผันผวน
โดยมีหลักการนำต้นทุนค่าใช้จ่ายน้ำมันเตา น้ำมันดีเซลและ LNG นำเข้าของกลุ่ม Regulated Market มาเฉลี่ยกับต้นทุนก๊าซธรรมชาติใน Pool Gas เพื่อให้ต้นทุนการผลิตของภาคไฟฟ้าและภาคอุตสาหกรรมในกลุ่ม Regulated Market อยู่ในทิศทางและแนวปฏิบัติเดียวกัน ซึ่งมีการใช้เชื้อเพลิงคิดเป็นหน่วยราคา/ความร้อน (บาท/MMBTU) และช่วยลดภาระค่า Ft ที่ส่งผลถึงผู้ใช้ไฟฟ้าโดยตรง
นอกจากนี้ ที่ประชุม กพช. ยังได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มวงเงินลงทุนโครงการก่อสร้างคลังจัดเก็บและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Terminal) แห่งที่ 2 จังหวัดระยอง [T-2] ในแผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง ที่มอบหมายให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการ จากเดิมวงเงิน 38,500 ล้านบาท เป็นวงเงินไม่เกิน 41,400 ล้านบาท เพื่อเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จเร็วกว่าแผนเดิมจากเดือนพฤศจิกายน 2565 มาเป็นเดือนพฤษภาคม 2565 ทำให้สามารถรองรับการนำเข้า LNG ได้เพิ่มขึ้น 2.5 ล้านตันต่อปี
เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติจากการเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ รวมถึงความเสี่ยงจากสถานการณ์ในประเทศเมียนมาร์ โดยที่ประชุมได้ให้ กกพ. พิจารณาการส่งผ่านภาระการลงทุน โครงการที่เพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราค่าบริการไฟฟ้าและค่าบริการก๊าซธรรมชาติในอนาคต ไปยังผู้ใช้พลังงานได้เท่าที่จำเป็นและสอดคล้องกับเหตุผลของการปรับเพิ่มวงเงินลงทุน
นายกุลิศ กล่าวว่า ที่ประชุม กพช. ได้เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ ปี 2565 ซึ่งได้พิจารณาเพิ่มเติมให้มีการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนนอกเหนือจากกลุ่มสัญญาเดิม จากผู้ผลิตไฟฟ้าประเภทชีวมวลหรืออื่นๆ นอกจากชีวมวลจากผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีโรงไฟฟ้าอยู่แล้วไม่มีการลงทุนใหม่ และมีความพร้อมในการจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) สามารถรองรับได้
โดยเป็นการรับซื้อปีต่อปีไม่เกิน 2 ปี ในรูปแบบสัญญา Non-Firm ที่กรอบราคารับซื้อไฟฟ้าสูงสุด ไม่เกิน Avoided cost และมอบหมายให้ กกพ. รับไปดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้า โดยให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) บริหารให้เป็นไปตามนโยบายต่อไป โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ กกพ. ดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีการผลิตและใช้เองอยู่แล้วในปัจจุบันและมีพลังงานส่วนเหลือที่จะจำหน่ายเข้าสู่ระบบ รวมทั้งกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าและเงื่อนไขอื่นๆ ให้มีความเหมาะสมและเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนมอบหมายให้ กกพ. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ที่ประชุม กพช. พิจารณาเห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าของโครงการหลวงพระบาง 2.8432 บาท/หน่วย กำหนดจ่ายไฟเข้าระบบ (COD) เดือนมกราคม 2573 และโครงการปากแบง 2.9179 บาท/หน่วย กำหนดจ่ายไฟเข้าระบบ (COD) เดือนมกราคม 2576 โดยอัตราค่าไฟฟ้าค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะคงที่ตลอดอายุสัญญาและได้มอบหมายให้ กฟผ. ลงนามในร่าง Tariff MOU โครงการหลวงพระบาง และโครงการปากแบง ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) แล้ว และให้ กฟผ. สามารถปรับปรุงเงื่อนไขในร่าง Tariff MOU ของโครงการหลวงพระบาง และโครงการปากแบง ในขั้นตอนการจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม แต่ทั้งนี้จะต้องไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบอัตราค่า Wheeling Charge ของไทยและหลักการร่างสัญญา Energy Wheeling Agreement (EWA) โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวไปประเทศสิงคโปร์ ผ่านระบบส่งของประเทศไทยและมาเลเซีย (LTMS - PIP) ในอัตราเท่ากับ 3.1584 US Cents/หน่วย ระยะเวลาโครงการ 2 ปี โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ กฟผ. ลงนามในร่างสัญญา EWA โครงการ LTMS - PIP ที่ผ่านการพิจารณาจาก อส. แล้ว ทั้งนี้ หาก อส. และ กพช. มีความเห็นให้แก้ไขร่างสัญญา EWA โครงการ LTMS-PIP ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญของสัญญาเห็นควรให้ กฟผ. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องได้
นายกุลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม กพช. มีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ดังนี้ 1.โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา สำหรับภาคประชาชนประเภท บ้านอยู่อาศัย (โซลาร์ภาคประชาชน) ให้มีการรับซื้อต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป โดยกำหนดเป้าหมาย การรับซื้อปีละ 10 เมกะวัตต์ (MWp) ราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ 2.20 บาทต่อหน่วย และระยะเวลารับซื้อ 10 ปี ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องปรับปรุงเป้าหมายการรับซื้อ มอบให้ กบง. พิจารณากำหนด เป้าหมายดังกล่าวได้ 2.โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา สำหรับกลุ่มโรงเรียน สถานศึกษา โรงพยาบาล และสูบน้ำเพื่อการเกษตร ปี 2565 กำหนดเป้าหมายการรับซื้อ 10 เมกะวัตต์ (MWp) ราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ 1.00 บาทต่อหน่วย และระยะเวลารับซื้อ 10 ปี
นายกุลิศ กล่าวทิ้งท้ายว่า ด้วยสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกยังมีความผันผวนและมีราคาสูง ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศ ประกอบกับสภาพทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ตลอดจนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ประชาชนได้รับความเดือนร้อนในการดำรงชีพ และสอดคล้องกับการดำเนินการขยายกรอบวงเงินกู้ยืมเงิน 20,000 ล้านบาท ตามมาตรา 26 วรรคสอง และปรับกลยุทธ์การถอนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (Exit Strategy) ให้มีความยืดหยุ่นขึ้น ที่ประชุม กพช. ยังมีมติเห็นชอบทบทวนแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563 – 2567 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 เพื่อรองรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีพ เนื่องจากความผันผวนด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ
ขณะนี้โลกของเรากำลังเผชิญหน้ากับ'วิกฤตซ้อนวิกฤต' อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 สภาวะเงินเฟ้อพร้อมกับเงินฝืด และความขัดแย้งยูเครน-รัสเซียที่ส่งผลให้ราคาพลังงานโลกและราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าและค่าขนส่งที่มีน้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตขยับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย กระทบต่อค่าครองชีพของเราชาวไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยที่ผ่านมา รัฐบาลได้พยายามออกมาตรการเร่งด่วน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อน ให้กับพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง เช่น การตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (ค่าน้ำ-ค่าไฟ)
รวมทั้งการอุดหนุนเงินให้แก่ผู้ที่มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผ่านโครงการคนละครึ่ง เป็นต้น ซึ่งก็สามารถกระตุ้นกำลังซื้อและเสริมสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามวิกฤตต่างๆ ยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง และต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะในเรื่องของราคาพลังงานโลก ซึ่งในวันนี้ (9 มี.ค.) จะมีการประชุม ‘วาระเร่งด่วน’ของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อกำหนดมาตรการด้านพลังงาน และเร่งรัดให้มีผลบังคับใช้ เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชนโดยเร็วต่อไป
สำหรับ มาตรการด้านพลังงานในระยะยาว ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) นั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลมุ่งมั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม เช่น
ผมตระหนักดีว่า ปัญหาด้านพลังงานเป็นปัญหาสำคัญและเร่งด่วน ที่มีผลกระทบกับทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะต้นทุนและเศรษฐกิจในการดำเนินชีวิตของพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งผมมีความเป็นห่วงอย่างยิ่ง ในปัจจุบันเรายังต้องอาศัยการนำเข้าเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมีแผนการรองรับไว้เป็นขั้นเป็นตอน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท เพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืนทางพลังงาน ลดการพึ่งพา เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อม เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย ทั้งวันนี้และวันหน้า ซึ่งหากผลการประชุมของ กพช. เป็นอย่างไร จะสามารถช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องเพิ่มเติมได้อย่างไรบ้าง ผมจะได้มารายงานให้ทราบต่อไปครับ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด