กรมธุรกิจพลังงาน ให้เพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลเป็น B7 รองรับผลผลิตปาล์มเพิ่ม คาดประกาศ บังคับใช้ได้ในต้นเดือนพ.ค.นี้
นายสมนึก บำรุงสาลี อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ทางกรมฯ ได้ปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซล(B100) ในน้ำมันดีเซลเป็น 7% จาก 3.5% ในปัจจุบัน เพื่อรองรับผลผลิตปาล์มที่เริ่มเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดยคาดว่าจะประกาศบังคับใช้ได้ในต้นเดือนพ.ค. ซึ่งการปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซล เป็น B7 ในครั้งนี้ จะสามารถดูดซับน้ำมันปาล์มส่วนเกินที่เหลือจากการบริโภคประมาณ 8 หมื่นตัน /เดือน ซึ่งจะช่วยยกระดับราคาปาล์มน้ำมัน และจะส่งผลโดยตรงต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน
"การปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซล เป็น B7 จะต้องใช้เวลาประมาณ 15-20 วัน เพื่อ ให้เวลาผู้ผลิตไบโอดีเซลจัดหาวัตถุดิบในการผลิต ไบโอดีเซล และผู้ค้าน้ำมันได้เตรียมการจัดหา ไบโอดีเซล ซึ่งคาดว่าประมาณต้นเดือนพฤษภาคมจะสามารถบังคับใช้ B7 ได้"นายสมนึก กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อ เดือนก.พ. กรมธุรกิจพลังงานได้บรรเทาปัญหาการขาดแคลน น้ำมันปาล์ม เนื่องมาจากผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดน้อยกว่าปกติ โดยการออกประกาศปรับ ลดไบโอดีเซล ในน้ำมันดีเซลชั่วคราว จากไม่ต่ำกว่า 6% และไม่สูงกว่า 7% เป็นไม่ต่ำกว่า 3.5% และไม่สูงกว่า 7%
โดยการออกประกาศฉบับดังกล่าว กรมธุรกิจพลังงานได้กำหนดอัตราขั้นต่ำ และขั้นสูง ไว้เป็นช่วงกว้าง เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการรองรับปริมาณปาล์มน้ำมัน โดยกรณีผลผลิต ออกสู่ตลาดน้อย ก็เติม 3.5% กรณีผลผลิตมากก็สามารถเติมได้ถึง 7%
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผลผลิตปาล์มได้เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลแล้ว จึงทำให้มีผลผลิตทยอย ออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งสำนักเศรษฐกิจการเกษตร ได้คาดการณ์ว่าเดือนเม.ย.จะมีผลผลิตออกมา มากกว่า 1 ล้านตัน และผลผลิตออกมาสูงสุดประมาณเดือนพ.ค.-มิ.ย. ซึ่งจะทำให้มีปริมาณ ปาล์มน้ำมันเหลือเกินความต้องการใช้ในประเทศ ขณะที่สต็อกคงเหลือในประเทศจะมีปริมาณสูง กว่า 3 แสนตัน/เดือน ส่งผลให้ราคาปาล์มตกต่ำ ดังนั้น จึงควรต้องเพิ่มปริมาณการใช้น้ำมัน ปาล์มในภาคขนส่งมากขึ้นดังกล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
กฟผ.-กฟภ.เร่งหาทางรับมือสลับดับไฟภาคใต้ช่วงพีคยังขาดอีก 250 เมกฯ
แนวหน้า : นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ.ได้เตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้จาก กรณีการหยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ของแหล่งขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในพื้นพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย(เจดีเอ) ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน-10กรกฎาคม2557 รวม 28 วัน ซึ่งทำให้ก๊าซฯหายไป420 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน กระทบโรงไฟฟ้าจะนะ 710 เมกะวัตต์หยุดผลิต จากปกติกำลังผลิตไฟฟ?รวมในพื้นที่อยู่ที่ 2,300 เมกะ วัตต์ ส่งผลให้กำลังผลิตไฟฟ้าของภาคใต้ลดลงเหลือ 1,600 เมกะวัตต์ เท่านั้น
ทั้งนี้ ล่าสุดกกพ.ได้เชิญการไฟฟาฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)และการ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเข้าชี้แจงสถานการณ์ โดยกฟผ.รายงานว่าจะดึงไฟฟ้าจาก ภาคกลาง ลงไปช่วยมากขึ้นให้เพียงพอกับความต้องการใช้สูงสุด (พีค) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2,543 เมกะวัตต์ โดยจากปกติดึงภาคกลาง ประมาณ 500 เมกะวัตต์ จะเพิ่มเป็นประมาณ700 เมกะวัตต์ แต่ไม่ เกิน 950 เมกะวัตต์ เพราะกระทบต่อความสามารถของสายส่ง ดังนั้นจึงเหลือ ไฟฟ้าสำรองที่ต้องหาเพิ่มเติมอีกประมาณ250เมกะวัตต์
"การหยุดจ่ายก๊าซฯจะมีความเสี่ยงในช่วงเวลาใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พี ค) เวลา18.30-22.30 กรณีความต้องการอยู่ที่ 2,400 เมกะวัตต์ แต่หากมี การใช้ไฟฟ้าขึ้นไปถึง 2,543 เมกะวัตต์จะทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มอีกช่วงคือ 13.30-15.30น. กกพ.จึงมอบหมายให้กฟผ.และกฟภ.ทำแนวทางเตรียม ความพรัอมรับมือช่วงเวลาดังกล่าว"นายดิเรกกล่าว
นายดิเรก กล่าว่า จากการหารือร่วมกับกฟผ. กฟภ.และสภาอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทย(ส.อ.ท.) ได้เตรียมแนวทางทางรองรับป?ญหาไฟฟ้าขาด 3 แนวทาง ประกอบด้วย1.ขอความร่วมมือภาคเอกชนจาก11กลุ่มอุตสาหกรรม ลดใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาเสี่ยงไม่ต่ำกว่า 250 เมกะวัตต์ 2.รับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจาก โรงไฟฟ?ขนาดเล็กมาก 10 เมกะวัตต์ และ 3.ในกรณีที่สถานการณ์เลวร้าย กฟผ.จะประสานกฟภ.ปลดโหลดหรือตัดไฟใน19ระดับใน 19 จุด สลับกันไป จุดละ 50 เมกะวัตต์ต่อ 1 ชั่วโมง รวมไฟฟ้าที่สามารถประหยัด 992 เมกะวัตต์ ซึ่ง พื้นที่ปลดโหลดจะไม่ใช่พื้นที่เศรษฐกิจ พื้นที่มั่นคง อาทิ โรงพยาบาล โรงพัก แน่นอน
นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการกฟผ.กล่าวว่า การเตรียมสำรองน้ำมันเพื่อ ผลิตไฟฟ้าทดแทนก๊าซฯในพื้นที่ภาคใต้ กฟผ.เตรียมน้ำมันเตาจำนวน 39 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซล 9 ล้านลิตร หากคิดเป็นต้นทุนเพิ่มขึ้นจะกระทบต่อค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ประมาณ 1.8 สตางค์ต่อหน่วย
นายนำชัย หล่อวัฒนตระกูล ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวว่า ในกรณีที่เกิดไฟฟ้าไม่เพียงพอได้เตรียมแผนการดับไฟฟ้าไว้ โดย แบ่งเป็น 19 กลุ่ม ซึ่งจะดับไฟฟ้ากลุ่มละ 1 ชั่วโมง เริ่มจากพื้นที่รอบนอกก่อน ยกเว้นพื้นที่ความมั่นคง เช่น โรงพยาบาล โดยการปลดโหลดแต่ละครั้ง ทาง กฟผ. จะเป็นผู้แจ้งมายัง กฟภ. โดยต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
นายเจน นำชัยศิริ รองประธานส.อ.ท.กล่าวว่า ไม่อยากเห็นการปลดโหลด เพราะการไม่มีไฟฟ้าใช้ในการผลิตแม้จะแค่ 5 นาทีก็เสียหาย ดังนั้นจะเร่ง ประสานกับกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นสมาชิกส.อ.ท.และอุตสาหกรรมอื่น อาทิ โรงน้ำแข็ง โรงแรมเพื่อให้เกิดความร่วมมือและเตรียมเครื่องปั่นไฟในช่วง เวลาที่เป็นความเสี่ยง
กฟผ.-กฟภ.เตรียมแผนรับมือแหล่ง JDA หยุดซ่อมใหญ่ ป้องกันเหตุไฟดับภาคใต้ซ้ำรอย-เอกชนร่วมลดใช้ไฟช่วงพีค
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ.ได้เชิญการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) เข้าชี้แจงถึงสถานการณ์ของระบบไฟฟ้าในช่วงแหล่ง JDA-A18 จะปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ โดยจะหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติระหว่างวันที่ 13 มิ.ย.-10 ก.ค.นี้ รวม 28 วัน โดย กฟผ.รายงานว่า การหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA-A18 จะส่งผลให้กำลังผลิตไฟฟ้ารวมของภาคใต้อยู่ที่ 2,306 เมกกะวัตต์ จากการประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว ค่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2,400 เมกกะวัตต์ ระบบไฟฟ้าภาคใต้จะมีความเสี่ยงในช่วง Peak Time เวลา 18.30 - 22.30 น. และกรณีวันที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่ 2,543 เมกกะวัตต์ ระบบไฟฟ้าภาคใต้จะมีความเสี่ยงเพิ่มเติมในช่วงบ่ายเวลา 13.30 - 15.30 น.
"ตามที่ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย แหล่ง JDA-A18 จะปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ โดยจะหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติระหว่างวันที่ 13 มิ.ย.-10 ก.ค.นี้ รวม 28 วันนั้น จะทำให้มีปริมาณก๊าซธรรมชาติหายไปประมาณ 420 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และส่งผลให้โรงไฟฟ้าจะนะ จังหวัดสงขลา ที่มีกำลังผลิตรวม 710 เมกกะวัตต์ และใช้ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตดังกล่าวเป็นเชื้อเพลิงหลักจะต้องหยุดเดินเครื่อง ซึ่งกระทบต่อกำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ยังสูงกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่" นายดิเรก กล่าว
กกพ.จึงได้มอบหมายให้ กฟผ.และ กฟภ.จัดทำแนวทางเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน-วันที่ 10 กรกฎาคม 2557 เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในพื้นที่ภาคใต้
"การปิดซ่อมท่อก๊าซแหล่ง JDA-A18 ครั้งนี้ ถือว่าส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาคใต้อย่างมาก เนื่องจากปริมาณของก๊าซที่หายไปค่อนข้างเยอะ ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ยังสูงกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ขาดแคลนไฟฟ้าอย่างรอบด้าน ทั้งในด้านการผลิตไฟฟ้า และการลดใช้ไฟฟ้า ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้ตามแผนงานที่วางไว้ ก็มั่นใจภาคใต้ว่าจะมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ และไม่เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับซ้ำรอยเหมือนเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 อย่างแน่นอน" นายดิเรก กล่าว
ด้านนายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงแผนการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้ของ กฟผ.ว่า จากการประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าและกำลังการผลิต จะเห็นว่าขาดกำลังผลิตประมาณ 100-250 เมกกะวัตต์ โดยมีปัจจัยที่จะสามารถช่วยลดผลกระทบดังกล่าวได้ คือ การใช้ไฟฟ้าต่ำกว่าคาดการณ์ และการรณรงค์ให้มีการลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงการทำงานแหล่งก๊าซฯ JDA-A18
ทั้งนี้ หากการรณรงค์ดังกล่าวยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าจะต้องมีการส่งพลังไฟฟ้าผ่านสายส่งเชื่อมโยงภาคกลาง-ภาคใต้ เกินมาตรฐานรองรับความมั่นคง ซึ่งจะส่งผ่านพลังไฟฟ้าเกิน 700 เมกกะวัตต์ แต่ไม่เกิน 950 เมกกะวัตต์ แต่หากมีแนวโน้มมากกว่านี้ ทาง กฟผ.จะดำเนินการประสานไปยัง กฟภ.เพื่อหมุนเวียนดับไฟฟ้าบางส่วนตามแผนที่จัดเตรียมไว้
นอกจากนี้ กฟผ.ยังได้เตรียมความพร้อมรองรับในด้านต่างๆ ไว้ดังนี้ 1.ระบบผลิต ปรับแผนบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าภาคใต้ โดยไม่ให้มีการบำรุงรักษาในช่วงที่แหล่ง JDA-A18 หยุดจ่ายก๊าซฯ 2.ระบบส่งและระบบป้องกัน จะทำการตรวจสอบอุปกรณ์ระบบส่งที่สำคัญ และระบบป้องกันต่างๆ ให้มีความพร้อมใช้งาน และ 3.เชื้อเพลิง กฟผ.จะจัดเตรียมปริมาณกักเก็บสำรอง และแผนการจัดส่งให้เพียงพอต่อการใช้งาน
ด้านนายนำชัย หล่อวัฒนตระกูล ผู้ว่าการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) เปิดเผยว่า กฟภ.ได้เน้นย้ำการไฟฟ้าเขตภาคใต้ให้ตรวจสอบบำรุงรักษาระบบจำหน่ายสายส่ง สถานีไฟฟ้า และอุปกรณ์ควบคุมป้องกันต่างๆ ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และเตรียมแผนการปลดโหลด กรณีกำลังสำรองผลิตต่ำด้วยการตรวจสอบฟีดเดอร์(วงจรจ่ายไฟ) ปริมาณโหลด(กำลังไฟฟ้าที่จ่าย) ให้เป็นไปตามแผนที่พิจารณาร่วมกับ กฟผ.และแจ้งแผนการปลดโหลดให้สำนักงาน กกพ.ทราบ
นอกจากนี้ จะเตรียมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง น้ำมันเชื้อเพลิง และพนักงานควบคุมเครื่องให้พร้อมปฏิบัติการช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา โดยจะมีการประสานงานกับกฟผ.อย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์และปฏิบัติการในกรณีต่างๆอย่างเหมาะสม พร้อมกันนี้จะทำการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ประชาชนและผู้ประกอบการร่วมกันประหยัดไฟฟ้า หรือหลีกเลี่ยงการใช้ไฟในช่วงโหลดสูงสุดควบคู่กันไปด้วย
ขณะเดียวกัน กกพ.ได้ดำเนินการประสานขอความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ในการเตรียมแผนรองรับกรณีกำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ไม่เพียงพอ ซึ่งนายเจน นำชัยศิริ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ส.อ.ท.จะประสานความร่วมมือไปยังสภาอุตสาหกรรมภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด รวมถึงจะมีการเผยแพร่ข้อมูลไปยังสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมฯ ทั้งหมด โดยเฉพาะสมาชิกในเขตภาคใต้ เพื่อขอความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาต่างๆ ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีความต้องการพลังงานสูงสุด 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงเวลา 13.30-15.30 น. และช่วงเวลา 18.30-22.30 น. ของวันจันทร์-วันเสาร์ ตลอดช่วงเวลาการหยุดจ่ายก๊าซ
โดยส.อ.ท.ได้ตั้งเป้าที่จะขอความร่วมมือจากกลุ่มอุตสาหกรรม 11 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโรงแรม การประมงในมหาสมุทรและการประมงชายฝั่งทะเล การผลิตน้ำแข็ง ห้างสรรพสินค้า การทำอาหารกระป๋อง โรงเลื่อยและไม้ยาง ผลิตภัณฑ์ยางแผ่นเครป และยางอื่นๆ มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาที่คล้ายคลึงกัน อาหารสัตว์สำเร็จรูป เหมืองหิน และปูนซีเมนต์
ทั้งนี้ ส.อ.ท.มีความยินดีให้ความร่วมมือ โดยจะดำเนินการจัดเวทีทำความเข้าใจกับกลุ่มอุตสาหกรรมภาคใต้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าการขอความร่วมมือจากกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวจะสามารถช่วยลดกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 200-300 เมกกะวัตต์
อินโฟเควสท์
น้ำมันดิบปรับขึ้นจากความกังวลต่อสถานการณ์ยูเครน
+ การซื้อขายยังเบาบางจากวันหยุดเทศกาลอีสเตอร์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนเป็นที่จับตามอง โดยที่ผ่านมาสหรัฐฯ พยายามใช้มาตรการคว่ำบาตรต่างๆในรัสเซีย แต่อย่างไรก็ตามรัสเซียเตือนว่าเหตุการณ์ในยูเครนอาจเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว หากรัสเซียถูกคว่ำบาตรเพิ่มเติม ส่งผลให้ตลาดกังวลว่าจะมีผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบในอนาคต
+ ประกอบกับล่าสุดสหรัฐฯได้เห็นสัญญาณการใช้อาวุธทางเคมีในประเทศซีเรียในเดือนนี้ ซึ่งสหรัฐฯ จะตรวจสอบเพื่อยืนยันว่ารัฐบาลซีเรียจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้หรือไม่ โดยเบื้องต้นคาดว่าเป็นการปล่อยสารพิษคลอรีนจากเฮลิคอปเตอร์ลงมาที่ Kfar Zeita ในวันที่ 11 และ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา
+ WTI ปรับขึ้นหลังการประชุมคอนเฟอเรนซ์บอร์ด ซึ่งรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นดีขึ้นในเดือน มี.ค. อยู่ที่ 100.9 โดยปรับเพิ่มที่ 0.8% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% โดยเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ
+ ตลาดล่วงหน้าน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังมีรายงานว่าจะมีโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สุดที่มีกำลังการกลั่นที่ 600,000 บาร์เรลต่อวัน จะปิดซ่อมบำรุงในรัฐเท็กซัสไปถึงเกือบสิ้นเดือนนี้
ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากคาดว่าความต้องการน้ำมันเบนซินจะปรับเพิ่มขึ้นก่อนเข้าสู่ช่วงถือศีลอด ซึ่งจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือน มิ.ย. ประกอบกับตลาดยังคงกังวลว่าอุปทานยังปรับลดลง เนื่องจากผู้ผลิตในประเทศอินเดียมีการหยุดหน่วยกลั่นเบนซิน
ราคาน้ำมันดีเซล ปรับลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากอุปทานตึงตัวในฤดูการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น นอกจากนี้คาดว่าความต้องการน้ำมันดีเซลจากตะวันออกกลางจะปรับเพิ่มขึ้นก่อนเข้าสู่ช่วงถือศีลอด
ทิศทางราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้
ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 98 - 106 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 105-111 เหรียญฯ
ปัจจัยที่น่าจับตามองสัปดาห์นี้
เหตุการณ์รุนแรงในยูเครนตะวันออกที่คาดว่าจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย หลังล่าสุดสหรัฐฯ ยุโรป รัสเซียและยูเครน มีมติให้แต่ละฝ่ายยุติความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ยังไม่น่าวางใจหลังกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ฝักใฝ่รัสเซียยังคงเดินหน้าบุกยึดสถานที่ราชการต่อไป
ตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ล่าสุดปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี หลังมีการนำเข้ามากขึ้น อย่างไรก็ดี ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่คุชชิ่งยังคงลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี หลังมีการส่งน้ำมันไปขายยังโรงกลั่นในแถบอ่าวเม็กซิโกเพิ่มขึ้น
จับตาว่าลิเบียจะกลับมาเปิดใช้ท่าเรือขนส่งน้ำมันดิบอีก 3 ท่าหลักทางตะวันออกได้อีกครั้งเมื่อไร หลังล่าสุดเปิดใช้ท่าเรือ Hariga ได้แล้ว โดยรัฐบาลกำลังตรียมหารือกับกลุ่มกบฎอีกครั้งเพื่อขอคืนท่าเรือส่งออกทั้งหมด โดยตลาดคาดว่าลิเบียจะกลับมาส่งออกน้ำมันดิบได้ราว 600,000 บาร์เรลต่อวัน หากท่าเรือทั้งหมดเปิดใช้งานจริง
ลินเด้ประเทศไทย ตั้งเป้ารายได้โตกว่า 10%ชูศักยภาพโรงงานใหม่ ผลิตก๊าซเหลวได้ถึง 800 ตันต่อวัน
บ้านเมือง : บริษัท ลินเด้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำในตลาดก๊าซอุตสาหกรรมของประเทศไทย เผยเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจในปี 2557 กว่า 10% ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลักคือโรงงานใหม่ 2 แห่งที่จะเริ่มเดินเครื่องการผลิตอย่างสมบูรณ์ในปีนี้และเพิ่มกำลังการผลิตของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ มั่นใจสามารถซัพพลายก๊าซอุตสาหกรรมให้ทุกกลุ่มธุรกิจในวงกว้างยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการเติบโตทางธุรกิจ ลินเด้จะสานต่อนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมอันเป็นส่วนหนึ่งในแผนธุรกิจปี 2557 ด้วยการดำเนินโครงการที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนชุมชนแวดล้อมรอบๆ โรงงานอย่างต่อเนื่อง
นายคีรินทร์ ชูธรรมสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลินเด้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โรงแยกอากาศแห่งใหม่ของลินเด้ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อปลายปี 2556 ที่ผ่านมาและจะดำเนินการผลิตได้อย่างเต็มกำลังได้ในปีนี้ โรงงานนี้ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก จังหวัดระยอง โดยมีกำลังการผลิตก๊าซเหลวได้ถึง 800 ตันต่อวัน
"โรงแยกอากาศแห่งใหม่นี้ใช้เงินลงทุนสูงถึง 3,500 ล้านบาท และนับเป็นมูลค่าการลงทุนจำนวนสูงที่สุดของกลุ่มลินเด้ในประเทศไทยนับตั้งแต่เราเริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในปี 2513"
ในขณะเดียวกันเรากำลังจะเปิดโรงผลิตคาร์บอนไดออกไซด์เหลวแห่งใหม่ที่มีกำลังการผลิต 300 ตันต่อวัน ซึ่งจะพร้อมเดินเครื่อง"โรงงานใหม่ทั้งสองแห่งนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตของเราอย่างมีนัยสำคัญ และเพิ่มความแข็งแกร่งของพันธสัญญาของเราในการที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและการบริการที่เป็นเลิศ ดังนั้น เราจึงตั้งเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจในปี 2557 ไว้กว่า 10 เปอร์เซ็นต์ จากความต้องการการใช้ก๊าซอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นของตลาดกลุ่มปิโตรเคมีคอล กลุ่มพลังงาน กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะเป็นส่วนสนับสนุนให้เราบรรลุเป้าหมายที่วางไว้"
เทคโนโลยีการประยุกต์ใช้ก๊าซของบริษัทฯ จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความต้องการการใช้ผลิตภัณฑ์ก๊าซอุตสาหกรรมและการบริการของเรา ทีมผู้เชี่ยวชาญพิเศษของลินเด้จะช่วยสนับสนุนลูกค้าในการออกแบบเทคนิคการประยุกต์ใช้ก๊าซ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
นายคีรินทร์ กล่าวถึงเทคโนโลยีการประยุกต์ใช้ก๊าซว่าเป็นเทคโนโลยีที่ครอบคลุมในกระบวนการต่างๆ ที่หลากหลาย ได้แก่ การประยุกต์ใช้ก๊าซในการรักษาอุณหภูมิ การแช่แข็ง การบรรจุหีบห่อ การเก็บรักษาและบรรจุเครื่องดื่ม การหลอมและการปรับปรุงคุณภาพโลหะ การขึ้นรูปโลหะด้วยการตัดและเชื่อม การบำบัดน้ำและปกป้องสิ่งแวดล้อม การสอบเทียบและการทดสอบในห้องทดลอง และการผลิตเคมีภัณฑ์และการผลิตยา เป็นต้น
ตลาดก๊าซอุตสาหกรรมในประเทศไทยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 18,000 ล้านบาทต่อปี โดยลินเด้ประเทศไทยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ และเป็นผู้นำของตลาดก๊าซอุตสาหกรรมในประเทศไทย
ในปี 2556 ลินเด้ประเทศไทยมีรายได้รวม 7,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากรายได้รวมในปี 2555 ที่ 7,755 บาท เล็กน้อย จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปี 2556 ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกค้าหลักของลินเด้มีการเติบโตที่ไม่โดดเด่นมากนัก
กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เป็นลูกค้าของ ลินเด้ ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมีคอล กลุ่มพลังงานและกลุ่มโรงพยาบาล โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลกว่าร้อยละ 60 ในประเทศไทยที่ใช้ก๊าซทางการแพทย์จาก ลินเด้ นายคีรินทร์ กล่าวถึงนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมว่าลินเด้จะยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมการดูแลสุขภาพ (Healthcare) การศึกษา (Education) การพัฒนาชุมชนท้องถิ่น (Local community development) และการรักษาสิ่งแวดล้อม (Environmental protection) หรือที่เราเรียกนโยบายดังกล่าวโดยย่อว่า HELP
ในปี 2556 เราได้จัดทำแคมเปญภายใต้สโลแกน "We want to HELP in leading efforts to bring about better tomorrow" โดยได้ดำเนินกิจกรรมมากมายภายใต้สโลแกน ดังกล่าว ได้แก่ การจัดการแข่งขันกอล์ฟการกุศลเพื่อนำรายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก
เรายังได้จัดโครงการเพื่อพัฒนาทักษะและการศึกษา อาทิ จัดโครงการค่ายภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา และยังได้สนับสนุนให้สาขาต่างๆ ของลินเด้ทั่วประเทศจัดกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม เราได้เข้าร่วมในการทำความสะอาดชายหาด และสนับสนุนการปฏิบัติการการขจัดคราบน้ำมันในเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่เกาะเสม็ด จ.ระยอง
ในปี 2556 ลินเด้ได้รับเกียรติบัตร CSR-DIW Network Award อันทรงเกียรติจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นเกียรติบัตรสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นสมาชิกเครือข่าย CSR-DIW ที่ได้ร่วมกันดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาชุมชน นอกเหนือจากเกียรติบัตรดังกล่าวแล้ว โรงงานหลักของลินเด้อีก 3 แห่งยังได้รับเกียรติบัตรรับรองการเป็นสถานประกอบการที่มีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์และข้อกำหนดด้านมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่อสังคมที่เข้มงวดของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
อีกหนึ่งรางวัลในปีที่ผ่านมาได้แก่ รางวัล Prime Minister's Road Safety Award 2013 ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับหน่วยงานที่ดำเนินงานด้านความปลอดภัยบนถนน โดยมอบให้กับองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไรเป็นหลัก นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ลินเด้ประเทศไทย เป็นหนึ่งในสามองค์กรเอกชนเท่านั้นที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้
ลินเด้ประเทศไทย ยังได้ร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีไทย-เยอรมัน ในการก่อตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีการตัดเชื่อม ซึ่งจะตั้งอยู่ภายในอาคารของสถาบันฯ และกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนปี 2557 โดยลินเด้จะให้การสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์อันทันสมัยพร้อมด้วยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
บริษัท ลินเด้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายก๊าซอุตสาหกรรมชั้นนำในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2513 ดำเนินกิจการผลิตและจัดจำหน่ายก๊าซพิเศษ ก๊าซอุตสาหกรรมและก๊าซทางการแพทย์ รวมถึงให้บริการครบวงจรเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซ ท่อส่งก๊าซ เครื่องผลิตก๊าซและบริการด้านวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับงานเชื่อมและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย ลินเด้ ประเทศไทย มีโรงงานและเครื่องจักรกระจายติดตั้งอยู่มากกว่า 20 แห่งในประเทศไทย และมีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอทางเลือกที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า
กลุ่มบริษัทลินเด้เป็นผู้ผลิตก๊าซและบริษัทวิศวกรรมชั้นนำของโลกที่มีพนักงาน 63,500 คนในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ในปี 2554 ลินเด้มียอดขายทั่วโลกประมาณ 16,655 ล้านยูโร กลยุทธ์ของกลุ่มลินเด้ คือการมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและมุ่งเน้นการขยายตัวของธุรกิจระหว่างประเทศ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ล้ำสมัย ลินเด้ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น คู่ค้าทางธุรกิจ พนักงาน สังคมและสิ่งแวดล้อม ในทุกพื้นที่ที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ และมุ่งมั่นที่จะใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด