‘กกพ.’ เปิดรับสมัคร ERC Sandbox เฟส 2
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่าสำนักงาน กกพ. เปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการด้านพลังงาน (ERC Sandbox) เฟส 2
โดยในเฟสที่ 2 จะเป็นการทดสอบนวัตกรรมร่วมกันระหว่าง กกพ. และผู้เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะเน้นรูปแบบธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ ระบบ เครื่องมือ หรือบริการด้านพลังงานที่ยังไม่เคยนำมาใช้งาน หรือถ้าหากมีการใช้งานในท้องตลาดแล้ว ก็จะต้องมีความแตกต่างจากรูปแบบที่เป็นอยู่ ทั้งหมดจะต้องมุ่งเป้าหมายเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการให้บริการทางพลังงาน รองรับธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่ๆ สอดคล้องกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดแนวทางพัฒนาการกำกับดูแลนวัตกรรมพลังงานสะอาด และสอดรับกับหลักเกณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม
“กกพ. เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้ประกาศโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการด้านพลังงาน (ERC Sandbox) ระยะที่ 2 โดยเน้นเรื่องการพัฒนานวัตกรรมในธุรกิจพลังงานสะอาดเป็นหลัก ทั้งนี้เพื่อเตรียมวางโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องมือ และแนวทางการกำกับดูแลในการขับเคลื่อนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย โดยคำนึงถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบกิจการพลังงาน ตลอดจนผู้ใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมการค้า และการลงทุนในระดับสากล ในยุคการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่พลังงานคาร์บอนต่ำ หรือ Energy Transition และลดภาวะโลกร้อน ให้ได้ผลอย่างยั่งยืน” นายคมกฤช กล่าว
สำหรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการจะจำกัดสถานะองค์กร เฉพาะหน่วยงานของรัฐ หรือ นิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย หรือ สถาบันการศึกษา โดยสามารถยื่นสมัครเข้าร่วมโครงการเพียงผู้เดียวหรือเป็นกลุ่มความร่วมมือก็ได้ พร้อมกับได้กำหนดขอบเขตกิจกรรมที่จะมีการพิจารณาภายใต้โครงการดังต่อไปนี้
1. การศึกษาในโครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 1 ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2 ซึ่งผู้ดำเนินโครงการประสงค์จะนำมาปรับปรุงพัฒนาและต่อยอดเพิ่มเติมตามกรอบกำลังการผลิตเพื่อการทดสอบที่ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบ
2. การทดสอบแพลตฟอร์ม ซึ่งหมายถึง เว็บไซต์หรือแอพลิเคชัน โปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ หรือชุดวิธีการคำนวณทางคอมพิวเตอร์ (computer-based algorithm) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการซื้อขายสินค้าหรือบริการ (ตลาดซื้อขายออนไลน์) หรือนวัตกรรมการให้บริการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน/คาร์บอนเครดิต/ใบรับรองสิทธิการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) ซึ่งรวมถึงระบบทดสอบกระบวนตรวจวัด รายงาน และตรวจสอบ (Measurement, Reporting and Verification: MRV) เพื่อการพัฒนากฎเกณฑ์หรือข้อกำหนดเพื่อความโปร่งใสของตลาด ใน 2 รูปแบบ ดังนี้
2.1 การดำเนินการแบบมุ่งเป้า ผ่านแพลตฟอร์มของหน่วยงานภาครัฐหรือสมาคมที่เป็นองค์กรกลางในการพัฒนาระบบดังกล่าว
2.2 การดำเนินการแบบเปิดกว้าง โดยพิจารณาจากข้อเสนอและความพร้อมของผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงรูปแบบของการทดสอบแพลตฟอร์มที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2
3. การทดสอบนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบสมาร์ทกริดหรือการเพิ่มความยืดหยุ่นของโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและรองรับรูปแบบธุรกิจซื้อขายพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ๆ รวมถึงการทดสอบกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้หรือการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าสำหรับบุคคลที่สาม (Third Party Access) และการกำหนดอัตราค่าบริการที่เกี่ยวข้อง (Wheeling Charge)
4. การทดสอบการใช้สัญญารับซื้อไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) รูปแบบใหม่ๆ เช่น Virtual PPA, Sleeved PPA (Utility Green Tariff แบบเจาะจงที่มา) เป็นต้น ในการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่สอดคล้องกับมาตรการที่ประเทศต่างๆ นำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และรองรับการใช้พลังงานหมุนเวียนตามกลไกการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น RE100 เป็นต้น
5. การทดสอบรูปแบบหรือแนวทางที่เป็นประโยชน์ในการกำกับดูแลนวัตกรรมพลังงานในด้าน Green Innovation, Green Regulation ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2
พร้อมกันนี้ได้กำหนดกรอบระยะเวลาแผนงาน และการพิจารณาดังนี้
กิจกรรม |
กำหนดระยะเวลา |
1. การยื่นข้อเสนอโครงการ |
วันที่ 1 – 30 มิถุนายน 2565 |
2. การสัมมนาชี้แจงโครงการและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น |
วันที่ 16 มิถุนายน 2565 |
3. ประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือก |
ภายใน 45 วัน หลังจากปิดรับสมัคร |
4. ลงนามบันทึกข้อตกลงการดำเนินโครงการ |
ภายใน 1 เดือน หลังจากประกาศผลการคัดเลือก |
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.erc.or.th หรือ สอบถาม โทร 02-207-3599 ต่อ 860
A6128
สำนักงาน กกพ. เร่งตรวจสอบกรณีตัดไฟผู้ป่วยติดเตียง
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน กกพ. ยืนยันผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีผู้ป่วยติดเตียงพักอาศัยอยู่มีสิทธิได้รับการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้า
“กกพ. ขอเน้นย้ำผู้ให้บริการไฟฟ้าไม่สามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้ ในกรณีที่ผู้ใช้ไฟฟ้ามีผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องใช้ไฟฟ้า ในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อการรักษาพยาบาล หากไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ระบุหลักเกณฑ์วิธีการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้า ซึ่งเป็นไปตามประกาศ กกพ. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการไฟฟ้า พ.ศ. 2558 เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับความสะดวกและปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง” นายคมกฤช กล่าว
สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินการกรณีที่สื่อมวลชนมีการเผยแพร่ข่าวผู้ใช้ไฟฟ้ารายหนึ่งค้างชำระค่าไฟฟ้า 1 เดือน และถูกงดจ่ายกระแสไฟฟ้าในขณะที่มีผู้ป่วยติดเตียงพักอาศํยอยู่ โดยในเบื้องต้น สำนักงาน กกพ. ประจำเขต 8 (ชลบุรี) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า กรณีดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้ามีผู้ป่วยพักอาศัยอยู่ด้วย แต่ยังไม่ได้ลงทะเบียนใช้สิทธิการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าในฐานะเป็นผู้ป่วยติดเตียงกับ กฟภ. ดังนั้นสำนักงาน กกพ. ประจำเขต 8 ได้ประสานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เมืองพัทยา ให้อำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนเพื่อให้ กฟภ. พิจารณากรณีดังกล่าว ปัจจุบันได้รับการต่อกลับไฟฟ้าคืนให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในวันเดียวกัน อีกทั้งยังได้แจ้งกำชับไปยัง กฟภ. กรณีการงดจ่ายไฟฟ้าขอให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
นายคมกฤช กล่าวว่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีบุคคลอยู่ในความดูแลหรือมีผู้ป่วยที่ต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล หากไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพ จะได้รับการคุ้มครองสิทธิภายใต้มาตรฐานของสัญญาให้บริการไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อย ในการได้รับการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้า โดยให้ผู้ใช้ไฟฟ้ากรณีดังกล่าวต้องดำเนินการลงทะเบียนยื่นขอใช้สิทธิ โดยมีเอกสารประกอบการยื่นขอใช้สิทธิ ดังนี้
1. หลักฐานแสดงสถานที่ใช้ไฟฟ้า เช่น สัญญาซื้อขายไฟฟ้า ใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าสำเนาทะเบียนบ้านของสถานที่ใช้ไฟฟ้า
2. ใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาล มีอายุไม่เกิน 1 เดือน นับแต่วันที่ออกใบรับรองแพทย์ที่ระบุว่าผู้ป่วยที่ต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล
3. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ใช้ไฟฟ้า (ถ้ามี)
4. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ป่วย หรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้ (ถ้ามี)
5. ในกรณีที่มอบอำนาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทน ต้องมีหลักฐานแสดงตัวของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ
ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงาน กกพ.ประจำเขตทุกแห่งทั่วประเทศ รวมทั้งคณะกรรมการผู้ใช้พลังงานประจำเขตในเขตที่พักอาศัยอยู่หรือที่เว็บไซต์ของสำนักงาน กกพ. www.erc.or.th
A51033
‘SYS’ ลงนามในสัญญากับ กฟภ. เพื่อบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งแบบลอยน้ำ Floating Solar ภายใต้แนวคิด ‘พลิกผืนน้ำ สู่พลังงานสะอาด ลดโลกร้อน’ ตอกย้ำผู้ผลิต เหล็กไทย หัวใจกรีน
นายสมปอง ดำรงอ่องตระกูล รองผู้ว่าการธุรกิจและการตลาด การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และนายเจษฎา ปลั่งมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด ร่วมลงนามในสัญญาให้บริการจัดการพลังงานไฟฟ้าจากระบบการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งแบบลอยน้ำ (Floating Solar) โดยมี นายวีระพงศ์ ด้วงพิบูลย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรม ร่วมพิธี ณ ห้องประชุมโรงงานห้วยโป่ง บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ตะวันออก (มาบตาพุด) จังหวัดระยอง
โครงการจัดการพลังงานไฟฟ้าจากระบบการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งแบบลอยน้ำ (Floating Solar) อยู่ภายใต้ความร่วมมือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งเป็นโครงการบริหารจัดการพลังงานในนิคมอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดย กฟภ. จะดำเนินการติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งแบบลอยน้ำ (Floating Solar) ในพื้นที่บริเวณบ่อหน่วงน้ำฝนในนิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ของ กนอ. และได้คัดเลือกให้บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด ซึ่งมีโรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิว เอช เอ ตะวันออก (มาบตาพุด) จ.ระยอง เข้าร่วมเป็นโครงการนำร่องในการนำเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและระบบตรวจวัดการใช้พลังงานมาประยุกต์ใช้งานกับองค์กรธุรกิจในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยให้สามารถบริหารจัดการการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบดังกล่าวไม่เพียงแค่ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุนในการผลิต แต่ยังมุ่งเน้นไปในด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการพลังงานทดแทนอีกด้วย
นายสมปอง ดำรงอ่องตระกูล รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เปิดเผยว่า การลงนามในสัญญาให้บริการดังกล่าว ระหว่าง กฟภ. และ บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด ทาง กฟภ. จะเป็นผู้ดำเนินการสำรวจ ออกแบบ ติดตั้ง และบำรุงรักษาระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งแบบลอยน้ำ (Floating Solar) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งไม่น้อยกว่า 11,984 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) บนผิวน้ำของบ่อหน่วงน้ำฝนในพื้นที่ของ กนอ. รวมทั้งบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าจากระบบการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Floating Solar ตลอดระยะเวลาตามสัญญา ซึ่งโครงการดังกล่าวไม่เพียงแต่จะนำเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนและเทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Digital Platform มาช่วยบริหารจัดการพลังงานในภาคอุตสาหกรรม แต่ยังช่วยให้หน่วยงานสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย อีกทั้ง ยังช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดซึ่งสอดรับกับนโยบายของ กนอ. ในการมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป
นายเจษฎา ปลั่งมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด ผู้ผลิตเหล็กเอชบีม ไวด์แฟลงก์ มานานกว่า 25 ปี เปิดเผยว่า “SYS รู้สึกภูมิใจที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นโรงงานแห่งแรกในนิคมอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งโรงงานของ SYS ใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานหลักในการผลิตสินค้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนที่ได้มาตรฐานทั้งในและต่างประเทศ มีกระบวนการผลิตที่นำเศษเหล็กหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ตามแนวทาง Circular Economy อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะการนำพลังงานทดแทนมาใช้แทนพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากถ่านหินและฟอสซิล ซึ่งการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ (Floating Solar) เป็นโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด ช่วยลดการใช้ทรัพยากรของโลกที่มีอย่างจำกัด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดต้นทุนการผลิต สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรและพลังงานที่ยั่งยืน ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจ SYS เหล็กไทย หัวใจกรีน” นายเจษฎา กล่าว
A5925
‘บ้านปู เน็กซ์’ แนะ 5 เทรนด์ พลิกโฉมสู่ Smart Factory
ใช้เทคโนโลยี-โซลูชันอัจฉริยะ ลดต้นทุนระยะยาว สร้างอีโคซิสเต็มครบวงจร
บ้านปู เน็กซ์ แนะ 5 เทรนด์การใช้เทคโนโลยี-โซลูชันอัจฉริยะที่ผู้ประกอบการภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมยุคใหม่ต้องมี และควรนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ลดต้นทุนในระยะยาว สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน พร้อมทรานส์ฟอร์มธุรกิจให้สมาร์ท ก้าวสู่นิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 4.0 (Smart Eco 4.0) และโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) พาธุรกิจพร้อมรับมือได้ทุกสถานการณ์
นายชนิต สุวรรณพรินทร์ ผู้อำนวยการอาวุโส - บริหารการตลาดและการขาย บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า การดิสรัปชันของเทคโนโลยี (Technology Disruption) ภาวะโลกร้อน วิกฤติโควิด-19 และการขาดแคลนแรงงาน ล้วนเป็นตัวเร่งให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีและโซลูชันอัจฉริยะมาขับเคลื่อนการดำเนินงานให้แข็งแกร่งในทุกมิติ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่คาดการณ์ว่า ในปี 2565 ตลาดโซลูชันโรงงานอัจฉริยะไทย (Smart Factory Solutions: SFS) จะมีแนวโน้มเติบโต 9.4%* ซึ่งเทคโนโลยีและโซลูชันอัจฉริยะจะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยสร้างอีโคซิสเต็มสู่การเป็น Smart Eco 4.0 และ Smart Factory ยกระดับกระบวนการผลิตและบริหารจัดการโรงงานอย่าง ครบวงจร โดยมี 5 เทรนด์ตัวอย่างการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและโซลูชันอัจฉริยะเข้ากับกระบวนการต่างๆ ดังนี้
• เทรนด์การผลิตอัจฉริยะ (Smart Operation) เพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพในการผลิตให้สูงขึ้น โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตอุตสาหกรรมในโรงงาน (Industrial Internet) เช่น หุ่นยนต์ แขนกล ระบบอัตโนมัติ และเซ็นเซอร์ ผสานการทำงานคู่กับ AI, IoT หรือระบบคลาวด์ เพื่อเชื่อมต่อเครื่องจักรในโรงงานเข้ากับฐานข้อมูล และพนักงาน ให้สามารถควบคุม สั่งการ รวมถึงสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกที่ทุกเวลา ทั้งยังสามารถนำ Big Data มาวิเคราะห์กระบวนการผลิต คาดการณ์จำนวนวัตถุดิบ และตรวจสอบประสิทธิภาพเครื่องจักร เป็นต้น
• เทรนด์การจัดการพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) ใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลแพลตฟอร์มมาตรวจติดตาม ประเมิน และวิเคราะห์การใช้พลังงานและเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อปรับแนวทางการใช้พลังงานในโรงงานให้คุ้มค่า รวมถึงนำเทคโนโลยีพลังงานฉลาดมาเสริมประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้า ลดการปล่อย CO2 และลดค่าไฟฟ้าได้มหาศาล เช่น ติดตั้ง “ระบบโซลาร์” เพื่อผลิตไฟฟ้าไว้ใช้เสริมจากพลังงานหลัก ทั้งยังสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมอย่าง “ระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า” เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของไฟฟ้า และกักเก็บไฟฟ้าไว้ใช้ดำเนินงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับโรงงานที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพยิ่งขึ้น เพื่อการดำเนินกิจการได้ต่อเนื่องไม่มีสะดุด “ระบบไมโครกริด” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถผลิต กักเก็บ และจ่ายไฟฟ้าภายในระบบเดียวแบบครบวงจร โดยเทคโนโลยีพลังงานเหล่านี้สามารถมอนิเตอร์การทำงานผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มได้แบบเรียลไทม์
• เทรนด์การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) นำระบบขนส่งแบบครบวงจร (Fleet Management) และยานพาหนะไฟฟ้ามาใช้งานภายในโรงงาน อาทิ การเดินทาง เคลื่อนย้ายสินค้าในโกดัง ขนส่งสินค้าภายนอกโรงงาน เป็นต้น โดยมีดิจิทัลแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน มอนิเตอร์การเดินทาง สมรรถนะเครื่องยนต์ รวมถึงแจ้งเตือนเหตุขัดข้องแบบเรียลไทม์
• เทรนด์ความปลอดภัยอัจฉริยะ (Smart Security) นำสมาร์ทเซฟตี้ แพลตฟอร์ม (Smart Safety Platform) ที่มีระบบ CCTV และ AI เข้ามาดูแลความปลอดภัยรอบด้านให้โรงงาน ซึ่งสามารถค้นหาวัตถุ หรือผู้ต้องสงสัย ตรวจจับควันไฟ คัดกรองโควิด-19 เพื่อการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และสั่งการได้แบบเรียลไทม์
• เทรนด์การจัดการและหมุนเวียนขยะ (Waste Management) เปลี่ยนการทิ้งขยะเป็นการจัดการขยะอย่างมีระบบภายในโรงงาน ด้วยการนำดิจิทัลแพลตฟอร์มมาบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดแยกขยะและวัสดุเหลือใช้ บันทึกและวิเคราะห์ข้อมูล วางแผนส่งต่อไปดำเนินการอย่างเหมาะสม เช่น นำกลับไปใช้ใหม่ สร้างประโยชน์ หรือสร้างรายได้คืนให้ธุรกิจ
การใช้เทรนด์เทคโนโลยีข้างต้น สามารถสร้างประโยชน์ให้ธุรกิจได้หลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น สร้างความคุ้มค่าระยะยาว ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า การใช้แรงงาน และทรัพยากร เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทั้งด้านปริมาณ ความเร็ว ความแม่นยำ คุณภาพในการผลิต และการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ต่อยอดธุรกิจ นำข้อมูลเชิงลึกจากระบบต่างๆ ไปพัฒนาการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มความปลอดภัย ลดโอกาสในการเกิดอุบัติภัยในโรงงาน ลดความเสี่ยงโควิด-19 สร้างความยั่งยืนรอบด้าน ลดการปล่อย CO2 การใช้พลังงานและทรัพยากรเกินจำเป็น สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ทุกคน และ เพิ่มมูลค่าธุรกิจ ส่งเสริมภาพลักษณ์ธุรกิจที่ดำเนินงานยั่งยืนตามหลัก ESG สามารถยกระดับสู่ต้นแบบนิคมฯ และโรงงานอัจฉริยะ
“การเตรียมตัวสู่ Smart Eco 4.0 และ Smart Factory ผู้ประกอบการควรประเมิน Pain point ความต้องการ ต้นทุน และปัจจัยต่างๆ เลือกผู้ให้บริการโซลูชันอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ มีประสบการณ์ มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญและบริการที่ครบวงจร โดยบ้านปู เน็กซ์ มีโซลูชันอัจฉริยะที่หลากหลาย อาทิ โซลูชันฉลาดวิเคราะห์และการจัดการพลังงาน, ระบบโซลาร์, ระบบไมโครกริด, บริการระบบสัญจรทางเลือกแบบครบวงจรของยานพาหนะไฟฟ้า, สมาร์ทเซฟตี้ แพลตฟอร์ม ฯลฯ ซึ่งทุกบริการมีดิจิทัลแพลตฟอร์ม และแอปฯ ที่สามารถควบคุม สั่งการ และมอนิเตอร์การทำงานได้เรียลไทม์ โดยโซลูชันเหล่านี้เป็นเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สามารถเติมเต็ม และพัฒนาโรงงาน และนิคมฯ ให้สมาร์ท เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยั่งยืนยิ่งขึ้น” นายชนิต กล่าวสรุป
ผู้ประกอบการธุรกิจที่สนใจ โซลูชันพลังงานฉลาดเพื่อความยั่งยืน และโซลูชันอัจฉริยะต่างๆ ของบ้านปู เน็กซ์ สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://cutt.ly/BanpuNEXT-SmartFactory หรือสอบถาม call center 02-095-6599
*ข้อมูลจาก https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/Smart-Factory-FB-18-10-21.aspx
A5908
‘กกพ.’ หนุนโซล่าร์รูฟท็อปต่อเนื่อง ลดภาระค่าไฟฟ้า
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า กกพ. มีมติเห็นชอบประกาศการรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) สำหรับภาคประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัย ที่มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ โดยรับซื้อต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 สอดรับกำหนดเป้าหมายปีละ 10 เมกะวัตต์ สำหรับพื้นที่ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) 5 เมกะวัตต์ และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 5 เมกะวัตต์ โดยรับซื้อไฟฟ้าที่ 2.20 บาทต่อหน่วย ระยะเวลารับซื้อไฟฟ้า 10 ปี กำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตามสัญญา (SCOD) ภายใน 270 วัน นับแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
“การประกาศครั้งนี้เป็นการดำเนินการโครงการโซล่าร์รูฟท็อปภาคประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัยในปี 2565 ต่อเนื่องจากการดำเนินการในปี 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 ประกาศครั้งนี้ได้มีการปรับปรุงแก้ไขเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการโดยมีสาระสำคัญของประกาศดังนี้
(1) ไม่จำกัดเวลาการยื่นคำขอขายไฟฟ้า แต่ยังคงเน้นกระบวนการพิจารณาคำขอขายตามเวลา ที่กำหนดและผู้เสนอขายไฟฟ้าส่วนเกินจะต้องดำเนินการติดตั้งและตรวจสอบระบบให้แล้วเสร็จ ภายใน 270 วัน นับจากวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และหากดำเนินการไม่ทันตามกำหนดให้ยื่นหนังสือถึงการไฟฟ้า แจ้งความพร้อมเพื่อขอขยายเวลาได้อีก 90 วันก่อนยกเลิกสัญญา
(2) กรณีคำขอขายไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างพิจารณาในปี 2564 ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายแจ้งผู้ยื่นคำขอขายไฟฟ้าดำเนินการต่อตามขั้นตอนตามประกาศฉบับนี้
(3) กรณีคำขอขายที่ผ่านการพิจารณาแล้วในปี 2564 และยังไม่ถูกยกเลิกให้การไฟฟ้าแจ้งผู้ยื่นคำขอขายไฟฟ้ามาลงนามสัญญาภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้ง
การส่งเสริมให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าใช้เองโดยติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปในบ้านที่อยู่อาศัย เพื่อบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า และสามารถนำส่วนที่เหลือมาขายเข้าระบบได้ โดยเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ผันผวน และมีราคาสูงจากผลของภาวะวิกฤตการณ์ราคาพลังงานโลกที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ด้วย” นายคมกฤช กล่าว
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถยื่นคำขอจำหน่ายไฟฟ้า ณ กฟน. และกฟภ. ได้ทั่วประเทศ ตามพื้นที่รับผิดชอบ ทั้งนี้สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ สำนักงาน กกพ. (www.erc.or.th)
A5754
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด