กกพ. เปิดรับซื้อขยะชุมชน
กกพ. เดินหน้าซื้อไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชมอีก 282.98 เมกะวัตต์ กำหนดจ่ายไฟเข้าระบบ ภายในปี 2568 - 2569
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ได้เห็นชอบข้อเสนอหลักการในการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 ต่อมาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 กพช. ได้มีมติเห็นชอบอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) สำหรับผู้ผลิตโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) และผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) จำนวน 34 โครงการ ตามรายชื่อโครงการที่กระทรวงหมาดไทยเสนอกำหนด ปริมาณรับซื้อรวมไม่เกิน 282.98 เมกะวัตต์ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จึงได้ออกระเบียบ กกพ. ว่าด้วยการรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชน พ.ศ. 2565 ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปและผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2565 และประกาศรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชน พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 โดยมีอัตรารับซื้อโรงไฟฟ้าจากขยะชุมชน ดังนี้
1. โครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ FiT สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) สำหรับปี 2565
กำลังผลิต (เมกะวัตต์) |
FiT (บาท/หน่วย) |
ระยะเวลาสนับสนุน (ปี) |
FiT Premium 8 ปีแรก (บาท/หน่วย) |
||
FiTF |
FiTv,2560 |
FiT |
|||
กำลังผลิตติดตั้ง ≤ 10 เมกะวัตต์ |
2.39 |
2.69 |
5.08 |
20 |
0.70 |
2. โครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ FiT สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) สำหรับปี 2565
กำลังผลิต (เมกะวัตต์) |
FiT (บาท/หน่วย) |
ระยะเวลาสนับสนุน (ปี) | ||
FiTF |
FiTv,2560 |
FiT |
||
กำลังผลิตติดตั้ง > 10-50 เมกะวัตต์ |
1.81 |
1.85 |
3.66 |
20 |
หมายเหตุ : อัตรา FiTv จะปรับเปลี่ยนต่อเนื่องทุกปีตามอัตราเงินเฟ้อขั้นพื้นฐาน (Core inflation) โดยประกาศของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
โดยมีกระบวนการและกรอบระยะเวลาการับซื้อไฟฟ้า ดังต่อไปนี้
กระบวนการ |
กรอบระยะเวลา |
|
1. การไฟฟ้าออกประกาศให้ผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้ายื่นคำขอตรวจสอบจุดเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า |
ภายใน 15 วันนับจากวันที่ กกพ. ออกประกาศฉบับนี้ |
|
2. การไฟฟ้าออกประกาศกำหนดรายละเอียด ขั้นตอน สถานที่ |
ภายในเดือนกรกฎาคม 2565 |
|
3. การไฟฟ้าเปิดรับยื่นคำเสนอขอขายไฟฟ้า (1) ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายมากกว่า 10 เมกะวัตต์ ยื่นที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (2) ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ยื่นที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย |
นับตั้งแต่วันที่การไฟฟ้ามีประกาศเปิดรับยื่นคำเสนอขอขายไฟฟ้า ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2566 |
|
4. การไฟฟ้าประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติและความพร้อมในการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า |
ภายใน 60 วันนับจากวันที่เอกสารครบถ้วน |
|
5. ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า |
ในโอกาสแรกที่สามารถทำได้ |
|
6. กำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ตามมติ กพช.ในการประชุมครั้งที่ 3/2565 (ครั้งที่ 158) เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 |
ภายในปี 2568 – 2569 |
ทั้งนี้ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย จะดำเนินการประกาศการยื่นคำเสนอขอขายไฟฟ้า รายละเอียด ขั้นตอน สถานที่ ระยะเวลา รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
A7246
กพช. เคาะนโยบายด้านพลังงานไฟฟ้าไม่ให้กระทบประชาชน พร้อมเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศในระยะยาว
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้รับทราบหลักการร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) โครงการปากลาย และโครงการหลวงพระบาง และมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามใน PPA โครงการปากลาย และโครงการหลวงพระบาง ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการแก้ไข PPA ที่ไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุไว้ในร่าง PPA และเงื่อนไขสำคัญ รวมทั้งการปรับกำหนดเวลาของแผนงาน (Milestones) ที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในช่วงก่อนการลงนาม PPA ให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. ในการแก้ไข
นายสุพัฒนพงษ์ เปิดเผยด้วยว่า ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและประเทศยูเครนที่ยังไม่มีข้อยุติ ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกมีความผันผวนและปรับตัวเพิ่มขึ้น ในระดับสูงจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของหลายประเทศทั่วโลก อีกทั้งปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยพึ่งพาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเป็นหลักจึงส่งผลให้ค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าต้องปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อด้านเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
ที่ประชุม กพช. จึงได้มีมติเห็นชอบการเลื่อนแผน การปลดเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 8 – 11 ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เพื่อเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากสถานการณ์ LNG มีราคาสูง ซึ่งจะสามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าได้
รวมถึงสามารถบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การผลิตก๊าซธรรมชาติของแหล่งเอราวัณ (G1/61) ที่ลดลงในช่วงเปลี่ยนผ่านการให้สัมปทานก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งไม่กระทบต่อเป้าหมายการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของประเทศตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ภายในปี 2573 และมีความสอดคล้องกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โดยที่ประชุมมอบหมายให้ กฟผ. และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ประชุม กพช. ได้รับทราบผลการบริหารอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้า
โดยอัตโนมัติ (Ft) ช่วงปี 2563 – ปัจจุบัน ซึ่งมอบหมายให้ กฟผ. ช่วยรับภาระค่า Ft ที่เพิ่มขึ้น โดยชะลอการนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงที่สูงขึ้นตั้งแต่งวดเดือนกันยายน 2564 – เดือนธันวาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน ที่เรียกเก็บกับประชาชนในระยะนี้ไว้ก่อน เพื่อช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 และวันที่ 29 มีนาคม 2565 และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ ครม. รับทราบผลการดำเนินงานตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 และวันที่ 29 มีนาคม 2565 ต่อไป
นายสุพัฒนพงษ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม กพช. ยังได้มีมติเห็นชอบหลักการการรับซื้อไฟฟ้าและอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 - 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) ในช่วงปี พ.ศ. 2564 - 2573 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) ปริมาณ 100 เมกะวัตต์ ในอัตรา 6.08 บาทต่อหน่วย (ไม่ร่วมอัตรา FiT Premium)
สำหรับ ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) และกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ในปี 2569 โดยที่ประชุมมอบหมายให้ กกพ. ดำเนินการออกระเบียบและประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมในรูปแบบ FiT รวมถึงกำกับดูแลการคัดเลือกให้เป็นไปตามขั้นตอน ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องการมีการปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ (ยกเว้นอัตรารับซื้อ) มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุม กพช. ยังมีมติเห็นชอบโครงการและแผนงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งโดยสอดคล้องกับแผนปฏิรูปพลังงาน ได้รับการยกเว้นเงื่อนไขในการได้รับการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามหลักการแผนบูรณาการการลงทุนและการดำเนินงานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า สำหรับแผนงานและโครงการปี 2565 ซึ่งการยกเว้นเงื่อนไขดังกล่าวสำหรับโครงการและแผนงาน ปี 2565 เพื่อให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง สามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานได้อย่างต่อเนื่อง และให้บริการผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปสถานการณ์การใช้พลังงานไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565
สถานการณ์พลังงานไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นสุดท้าย เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวรวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ของภาครัฐ ซึ่งการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้นในทุกประเภทพลังงาน โดยเฉพาะการใช้ลิกไนต์ในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ขณะที่ความต้องการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้น ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.8 จากการใช้ LNG ที่ลดลงในภาคการผลิตไฟฟ้าเพื่อรักษาระดับต้นทุนราคาไฟฟ้าให้เหมาะสมของรัฐบาล สำหรับสถานการณ์พลังงานรายเชื้อเพลิงไตรมาสแรกของปี 2565 สรุปได้ดังนี้
โดยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบแล้วแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ (Test & Go) ส่วนการใช้ น้ำมันเตา เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.8 โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้ในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรม การใช้ LPG (โพรเพน และบิวเทน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เป็นผลมาจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ภาคครัวเรือนและภาคขนส่ง
สำหรับ แนวโน้มการใช้พลังงานปี 2565 ซึ่ง สนพ. ได้มีการพยากรณ์โดยอ้างอิงสมมุติฐานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวร้อยละ 2.5 - 3.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ แนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออกสินค้าตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก
รวมทั้งการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวภายหลังจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยอนุญาตให้กลุ่มชาวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบแล้วไม่ต้องกักตัว รวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศของประเทศต้นทางนักท่องเที่ยว
ซึ่งความต้องการพลังงานขั้นต้น ปี 2565 นั้น คาดว่าอยู่ที่ระดับ 2,034 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 เมื่อเทียบกับปี 2564 ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มฟื้นตัวและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับนโยบายเปิดประเทศของไทยและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า การใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นเกือบทุกประเภท ยกเว้นก๊าซธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้เกิดความไม่แน่นอนของอุปทานในตลาด อย่างไรก็ตาม สนพ. ยังคงจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ ที่ยังเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาพลังงานในตลาดโลกที่ยังต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด
กระทรวงพลังงานจัดงานใหญ่ผนึก ‘ฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย 2022’ และ ‘ฟิวเจอร์ โมบิลิตี้ เอเชีย 2022’ ขับเคลื่อนพลังงานยุคใหม่ และยานยนต์พลังงานสะอาดในภูมิภาคอาเซียน
กระทรวงพลังงานเร่งขับเคลื่อนพลังงานและยานยนต์ยุคใหม่ร่วมกับบริษัท ดีเอ็มจี ผู้จัดงานนิทรรศการและการประชุมด้านพลังงานรายใหญ่ที่สุดในโลก จัดงานนิทรรศการและการประชุมภายใต้ชื่อ “ฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย” (Future Energy Asia) และ “ฟิวเจอร์ โมบิลิตี้ เอเชีย” (Future Mobility Asia) ในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและหนุนภารกิจด้านยานยนต์พลังงานสะอาดในภูมิภาคอาเซียน โดยทั้งสองงานจะจัดขึ้นพร้อมกันระหว่างวันที่ 20 ถึง 22 กรกฎาคม 2565 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ
จากรายงานของสำนักงานพลังงานทดแทนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency: IRENA) ได้ประมาณการว่าภายในปี 2568 ยานยนต์ 20% ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยยานยนต์ประเภทสองถึงสามล้อประมาณ 59 ล้านคัน และยานยนต์ประเภทสี่ล้อ 8.9 ล้านคัน1 ควบคู่ไปกับความต้องการด้านพลังงานที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น 60% ภายในปี 2583 เนื่องจากการเติบโตที่รวดเร็วทางเศรษฐกิจ2 ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นตลาดที่มีโอกาสด้านการลงทุนคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ และเมื่อพิจารณาถึงตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็พบว่าประเทศไทยมีสถานะที่แข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาคแห่งนี้ จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการจัดงานฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย 2022 (Future Energy Asia 2022) หรือ เอฟอีเอ 2022 และงานฟิวเจอร์ โมบิลิตี้ เอเชีย 2022 (Future Mobility Asia 2022) หรือ เอฟเอ็มเอ 2022 เป็นอย่างยิ่ง
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า “ในนามของกระทรวงพลังงาน ประเทศไทย เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสต้อนรับงานประชุมครั้งสำคัญ ได้แก่ งานเอฟอีเอ 2022 (FEA 2022) ที่กลับมาจัดขึ้นอีกครั้ง ณ กรุงเทพมหานครพร้อมกับงาน เอฟเอ็มเอ 2022 (FMA 2022) โดยเราพร้อมให้การสนับสนุนงานเอฟอีเอ 2022 (FEA 2022) และงานเอฟเอ็มเอ 2022 (FMA 2022) อย่างเต็มที่”
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ ปตท. ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานนิทรรศการและงานประชุมฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย 2022 (Future Energy Asia Exhibition and Summit 2022) และเราขอต้อนรับเพื่อนร่วมอาชีพในอุตสาหกรรมพลังงานที่ได้กลับมาเยือนกรุงเทพมหานครในระหว่างวันที่ 20-22 กรกฎาคมนี้ เพื่อร่วมกันสร้างเครือข่ายและแสวงหาความร่วมมือทางธุรกิจ โดยงานฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย (Future Energy Asia) ถือเป็นจุดนัดพบสำคัญของบรรดาบริษัทและเหล่ามืออาชีพในแวดวงอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งมาพร้อมโอกาสอย่างมากมายที่คุณสามารถมีส่วนร่วมในการเจรจา เสริมสร้างความร่วมมือ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานในภูมิภาคแห่งนี้”
การผนึกสองงานใหญ่เข้าด้วยกันในครั้งนี้ จะทำให้ผู้เข้าร่วมงานได้พบกับการจัดแสดงผลิตภัณฑ์และโซลูชันต่างๆ รวมถึงมีโอกาสในการเจรจาพูดคุยและสร้างเครือข่าย ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนกระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานและยานยนต์เพื่อก้าวสู่เส้นทางของพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ งานฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย (Future Energy Asia) เป็นงานนิทรรศการและการประชุมชั้นนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องระดับสูงในภาคอุตสาหกรรมก๊าซ ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และพลังงานหมุนเวียน ในขณะที่งานฟิวเจอร์ โมบิลิตี้ เอเชีย (Future Mobility Asia) เป็นการจัดแสดงแนวคิด เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านยานยนต์และการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาดอย่างครบวงจร โดยการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและยานยนต์มากกว่า 10,000 คนจากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
งานฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย (Future Energy Asia) และงานฟิวเจอร์ โมบิลิตี้ เอเชีย (Future Mobility Asia) จัดโดยบริษัท ดีเอ็มจี อีเว้นท์ ซึ่งเป็นผู้จัดงาน Abu Dhabi International Petroleum Exhibition & Conference (ADIPEC) และ Gastech ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่ที่สุด ทั้งยังมีความสำคัญและมีอิทธิพลอย่างมากในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ซึ่งมีบรรดารัฐมนตรีและซีอีโอในแวดวงอุตสาหกรรมดังกล่าวมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง สำหรับงานนิทรรศการภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ดีเอ็มจี อีเวนท์ที่ผ่านมานั้น มีจำนวนมากถึง 84 งานต่อปีและมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 425,000 คน
ไฮไลท์ของงาน
- พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการโดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประเทศไทย พร้อมกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท., ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ ที่พร้อมผนึกกำลังขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวสู่พลังงานและยานยนต์สะอาดอย่างแท้จริง
- พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โดยกลุ่มความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์แห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Technology Development Consortium)
- การประชุมเชิงยุทธศาสตร์ การประชุมเชิงเทคนิค และนิทรรศการภายใต้หัวข้อ “ไฮโดรเจน: หัวใจสำคัญในการพลิกโฉมพลังงาน” (Hydrogen at the heart of energy transformation)
- งานสัมมนาระดับประเทศที่เจาะลึกประเทศอินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งและยังแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนมูลค่านับพันล้านด้วย
- งานใหญ่ระดับภูมิภาคซึ่งเป็นเวทีหลักสำหรับผู้กำหนดนโยบายระดับอาวุโสและเหล่าซีอีโอในแวดวงอุตสาหกรรมพลังงานและยานยนต์พลังงานสะอาด ได้แก่:
• คุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.
• คุณเติงกู มูฮัมหมัด เทาฟิค ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ปิโตรนาส (PETRONAS)
• ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน ประเทศไทย
• คุณมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.
• คุณชนินทร์ ขาวจันทร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
• คุณราณี โฆษิตวานิช รองผู้ว่าการเชื้อเพลิงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.
• คุณโจเซฟ แมคโมนิเกิล เลขาธิการสภาพลังงานสากล (International Energy Forum: IEF)
• Ir. Mohd Yusrizal bin Mohd Yusof กรรมการผู้จัดการบริษัท ทีเอ็นบ รีนิวเอเบิล (TNB Renewables)
• คุณเหงียน เฟือง มาย รองหัวหน้าสำนักงานการไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (Electricity and Renewable Energy Authority, Ministry of Industry and Trade: MOIT)
• คุณอนาโตล เฟย์กิน รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ บริษัท เชเนียร์ เอนเนอร์ยี (Cheniere Energy)
• คุณโจเซฟ ที. บัคเลอร์ รองประธานอาวุโสฝ่ายขายและการพัฒนาธุรกิจทั่วโลก บริษัท แบ็บค็อก แอนด์ วิลค็อกซ์ (Babcock & Wilcox)
• คุณอิสซาเบล แชตเตอร์ตัน หัวหน้าส่วนอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรธรรมชาติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท อินเตอร์เนชันแนล ไฟแนนซ์ คอร์ปอเรชัน (International Finance Corporation: IFC)
• คุณวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการบริหาร แกร็บ ประเทศไทย และกรรมการบริหารแกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประเทศไทย
• คุณริชาร์ด ฮอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TÜV SÜD ASEAN
• คุณโกชิก เบอร์แมน หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจระดับโลก บริษัท โกโกโร (Gogoro)
• คุณเครก ไนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฮซอนมอเตอร์ส (Hyzon Motors)
• คุณอัลเฟรด หว่อง กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บัลลาร์ด พาวเวอร์ ซิสเต็มส์ (Ballard Power Systems)
• คุณจูเลียน เปเรซ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์และนโยบายของโครงการริเริ่มด้านสภาพภูมิอากาศในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ (Oil and Gas Climate Initiative: OGCI)
• ดร.อัครินทร์ สุวรรณรัตน์ ผู้ช่วยพิเศษของซีอีโอและอีวีพี บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด
นิทรรศการ
งานฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย (Future Energy Asia) จะจัดแสดงผลิตภัณฑ์ โซลูชั่น และเทคโนโลยีระดับโลกจากผู้เล่นชั้นนำในอุตสาหกรรม ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ “ไฮโดรเจน” (Hydrogen), “ก๊าซ ก๊าซธรรมชาติเหลว LNG และการกักเก็บคาร์บอนในรูปของผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ” (Gas, LNG and Carbon Capture as low carbon solutions), “เทคโนโลยีกริดและการเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้กลายเป็นระบบดิจิทัล” (Grid technologies and digitalisation) และ “พลังงานหมุนเวียน (พลังงานแสงอาทิตย์, ลม, การจัดเก็บพลังงาน)” (Renewables (solar, wind, energy storage))
ภายในงานฟิวเจอร์ โมบิลิตี้ เอเชีย (Future Mobility Asia) ผู้เข้าร่วมงานจะสามารถเข้าถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่าของยานยนต์พลังงานสะอาด ซึ่งประกอบด้วยผู้ผลิตอุปกรณ์ดั้งเดิม (OEM) สำหรับรถยนต์โดยสารและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ซัพพลายเออร์หลังการขาย ผู้ให้บริการแบตเตอรี่ ระบบจัดเก็บพลังงาน โครงสร้างพื้นฐานสำหรับระบบชาร์จ และเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในหลากหลายรูปแบบ
สำหรับบริษัทที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ได้แก่ ปตท. (PTT), ปตท.สผ.(TTEP) , เชเนียร์ (Cheniere),แดสซอลท์ ซิสเต็มส์ (Dassault Systemes), ซี อีเล็คทริก (SEA Electric), แบ็บค็อก แอนด์ วิลค็อกซ์ ( Babcock & Wilcox) , อีวีโลโม (EVLomo), เบเกอร์ ฮิวจ์ (Baker Hughes), เฮกซากอน (Hexagon), ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric), โนกา โฮลดิ้ง (Nogaholding), ไซส์ (Zeiss) และอื่นๆ อีกมากมาย
การประชุมเชิงยุทธศาสตร์และการประชุมทางเทคนิค
การประชุมภายในงานฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย (Future Energy Asia) และงานฟิวเจอร์ โมบิลิตี้ เอเชีย (Future Mobility Asia) จะเป็นการนำเสนอเนื้อหาเชิงเทคนิคและกลยุทธ์ทางการค้าผ่านหลายช่องทางเป็นระยะเวลาสามวัน โดยมีวิทยากรกว่า 200 คนจากทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมพลังงานและยานยนต์
ภายใต้แนวคิด “การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วยการเปลี่ยนผ่านและพลิกโฉมด้านพลังงานของภูมิภาคเอเชีย” (Decarbonising ASEAN’s Energy Transition and Transformation) ของงานฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย (Future Energy Asia) จะขับเคลื่อนให้ภูมิภาคอาเซียนก้าวสู่อนาคตของพลังงานคาร์บอนต่ำที่มีความมั่นคงในราคาที่เอื้อมถึง ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ใน ขณะเดียวกัน งานฟิวเจอร์ โมบิลิตี้ เอเชีย (Future Mobility Asia) ก็พร้อมขับเคลื่อนทุกภาคส่วนให้ก้าวสู่อนาคตของระบบไฟฟ้า ยานยนต์แบบไร้คนขับ การเชื่อมต่อระหว่างกันผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งจะทำให้อาเซียนกลายเป็นศูนย์กลางของการเจรจาเรื่องยานยนต์พลังงานสะอาดระดับโลกและเป็นผู้นำทางความคิดบนเส้นทางสายนี้
และพิเศษสุดสำหรับงานในครั้งนี้ คณะกรรมการบริหารซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญและผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งเป็นตัวแทนของภาคอุตสาหกรรมก๊าซ, ก๊าซ แอลเอ็นจี, พลังงานหมุนเวียน, พลังงานไฟฟ้า และห่วงโซ่คุณค่าของภาคยานยนต์ จะร่วมกันกำหนดแผนการประชุมระดับโลกภายในงานฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย (Future Energy Asia) และงานฟิวเจอร์ โมบิลิตี้ เอเชีย (Future Mobility Asia) ที่มีความเชื่อมโยง นำไปใช้ได้จริง และมีความหมายต่อผู้ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง
“สำหรับประเทศไทยแล้วนั้น กระทรวงพลังงานกำลังมุ่งไปข้างหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายหลักสองประการ ได้แก่ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608 และการตั้งเป้าการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573 วัตถุประสงค์ทั้งสองประการนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก และจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนด้านการลงทุนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครอบคลุมทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าของพลังงานและยานยนต์พลังงานสะอาด ซึ่งสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนต่างก็กำลังเดินตามแนวทางเดียวกันนี้ด้วยเช่นกัน การจัดงานฟิวเจอร์ เอนเนอร์ยี เอเชีย (Future Energy Asia) และงานฟิวเจอร์ โมบิลิตี้ เอเชีย (Future Mobility Asia) เป็นการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวของประเทศไทยและเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ชัดเจนในการเชื่อมโยงผู้มีอำนาจตัดสินใจหลัก นักลงทุน นักพัฒนา เข้ากับเทคโนโลยีทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน พันธมิตรด้านนวัตกรรมและโซลูชันต่างๆ อย่างครบวงจร” นายเมล แลนเวอร์ส-ชาห์ รองประธานประจำภูมิภาคเอเชีย บริษัท ดีเอ็มจี อีเว้นท์ กล่าว
A6981
กพช. เคาะนโยบายด้านพลังงานไฟฟ้าไม่ให้กระทบประชาชน พร้อมเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศในระยะยาว
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้รับทราบหลักการร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) โครงการปากลาย และโครงการหลวงพระบาง และมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามใน PPA โครงการปากลาย และโครงการหลวงพระบาง ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการแก้ไข PPA ที่ไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุไว้ในร่าง PPA และเงื่อนไขสำคัญ รวมทั้งการปรับกำหนดเวลาของแผนงาน (Milestones) ที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในช่วงก่อนการลงนาม PPA ให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. ในการแก้ไข
นายสุพัฒนพงษ์ เปิดเผยด้วยว่า ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและประเทศยูเครนที่ยังไม่มีข้อยุติ ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกมีความผันผวนและปรับตัวเพิ่มขึ้น
ในระดับสูงจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของหลายประเทศทั่วโลก อีกทั้งปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยพึ่งพาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเป็นหลักจึงส่งผลให้ค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าต้องปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อด้านเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ประชุม กพช. จึงได้มีมติเห็นชอบการเลื่อนแผนการปลดเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 8 – 11 ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568
เพื่อเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากสถานการณ์ LNG มีราคาสูง ซึ่งจะสามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าได้ รวมถึงสามารถบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การผลิตก๊าซธรรมชาติของแหล่งเอราวัณ (G1/61) ที่ลดลงในช่วงเปลี่ยนผ่านการให้สัมปทานก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งไม่กระทบต่อเป้าหมายการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของประเทศตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ภายในปี 2573 และมีความสอดคล้องกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โดยที่ประชุมมอบหมายให้ กฟผ. และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ที่ประชุม กพช. ได้รับทราบผลการบริหารอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้า โดยอัตโนมัติ (Ft) ช่วงปี 2563 – ปัจจุบัน ซึ่งมอบหมายให้ กฟผ. ช่วยรับภาระค่า Ft ที่เพิ่มขึ้น โดยชะลอการนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงที่สูงขึ้นตั้งแต่งวดเดือนกันยายน 2564 – เดือนธันวาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน ที่เรียกเก็บกับประชาชนในระยะนี้ไว้ก่อน เพื่อช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 และวันที่ 29 มีนาคม 2565 และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ ครม. รับทราบผลการดำเนินงานตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 และวันที่ 29 มีนาคม 2565 ต่อไป
นายสุพัฒนพงษ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม กพช. ยังได้มีมติเห็นชอบหลักการการรับซื้อไฟฟ้าและอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565 ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 - 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) ในช่วงปี พ.ศ. 2564 - 2573 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) ปริมาณ 100 เมกะวัตต์ ในอัตรา 6.08 บาทต่อหน่วย (ไม่ร่วมอัตรา FiT Premium)
สำหรับ ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) และกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ในปี 2569 โดยที่ประชุมมอบหมายให้ กกพ. ดำเนินการออกระเบียบและประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมในรูปแบบ FiT รวมถึงกำกับดูแลการคัดเลือกให้เป็นไปตามขั้นตอน ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องการมีการปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ (ยกเว้นอัตรารับซื้อ) มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุม กพช. ยังมีมติเห็นชอบโครงการและแผนงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งโดยสอดคล้องกับแผนปฏิรูปพลังงาน ได้รับการยกเว้นเงื่อนไขในการได้รับการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามหลักการแผนบูรณาการการลงทุนและการดำเนินงานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า สำหรับแผนงานและโครงการปี 2565 ซึ่งการยกเว้นเงื่อนไขดังกล่าวสำหรับโครงการและแผนงาน ปี 2565 เพื่อให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง สามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานได้อย่างต่อเนื่อง และให้บริการผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด