ไทย - สหรัฐฯ ถกความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด มุ่งเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์
ไทย - สหรัฐฯ หารือสร้างความร่วมมือด้านพลังงาน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยสหรัฐฯ พร้อมหนุนถ่ายทอดองค์ความรู้ การศึกษาวิจัย เทคโนโลยี และเงินทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงาน รวมถึงการจัดตั้งโครงการนำร่องด้านพลังงานสะอาดในไทย หวังส่งเสริมไทยเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้ราบรื่น
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้มีการประชุมหารือทวิภาคีร่วมกับกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกา นำโดย นาย David Turk Deputy Secretary, U.S. Department of Energy เกี่ยวกับความร่วมมือด้านพลังงานไทย - สหรัฐฯ ภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีอยู่ อาทิ เวทีหารือเชิงนโยบายด้านพลังงานระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทย (United States-Thailand Energy Policy Dialogue: UTEPD) ข้อริเริ่มความต้องการใช้พลังงานสะอาด ระหว่างรัฐบาลไทยและภาคเอกชนของสหรัฐฯ (Clean Energy Demand Initiative: CEDI) และความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือหุ้นส่วนด้านพลังงานแม่น้ำโขงระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐฯ (Japan-U.S. Mekong Power Partnership: JUMPP) เป็นต้น
ฝ่ายไทยได้นำเสนอนโยบายด้านพลังงานที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ อาทิ การพัฒนาพลังงานสะอาด การอนุรักษ์พลังงาน เชื้อเพลิงไฮโดรเจน เทคโนโลยีการดักจับ กักเก็บและใช้ประโยชน์คาร์บอน และยินดีที่จะร่วมมือกับฝ่ายสหรัฐฯ ภายใต้ข้อเสนอข้อริเริ่ม “Net Zero World Initiative” ที่สหรัฐฯ ได้เสนอในระหว่างการประชุม ซึ่งเป็นข้อเสนอความร่วมมือที่จะให้การสนับสนุนไทยในด้านการถ่ายทอดองค์ความรู้และสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาวิจัย เทคโนโลยี และเงินทุนสำหรับพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงาน รวมถึงการจัดตั้งโครงการนำร่องด้านพลังงานสะอาดในประเทศไทย เพื่อช่วยส่งเสริมให้ไทยสามารถเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานได้อย่างราบรื่น
โดยทั้งสองประเทศมุ่งส่งเสริมประเด็นความร่วมมือด้านพลังงานที่สำคัญร่วมกัน ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในภาคไฟฟ้า น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ LNG การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ระบบกักเก็บพลังงาน ไฮโดรเจน ยานยนต์ไฟฟ้า และการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันว่า การร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศ (Public Private Partnership: PPP) รวมถึงบทบาทของสถาบันทางการเงินเพื่อการพัฒนาของสหรัฐอเมริกา จะเป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่โอกาส ทางการค้าและการลงทุนร่วมกันต่อไปในอนาคต ซึ่งทั้งสองประเทศจะมีการหารือและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดต่อไป
ประกาศความพร้อมการจัดงานด้านพลังงานที่ยิ่งใหญ่แห่งปี 2022 ในประเทศไทย ‘SETA 2022, Solar+Storage Asia 2022 และ Enlit Asia 2022’ ระหว่างวันที่ 20-22 ก.ย.นี้ ณ ศูนย์ประชุมและนิทรรศการไบเทค กรุงเทพฯ
บริษัท แกท อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท แคริออน อีเวนท์ จำกัด ประเทศสิงคโปร์ แถลงข่าวนับถอยหลังประกาศความพร้อมในการจัดงานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีทางด้านพลังงานและงานประชุมระดับผู้นำแห่งเอเชีย “Enlit Asia 2022, Sustainable Energy Technology Asia (SETA 2022) และ Solar+Storage Asia (SSA 2022)” ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
ภายในงานยังมีการจัดเวทีเสวนาพิเศษหัวข้อ “แผนพลังงานไทยเพื่อมุ่งสู่คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์กับการขับเคลื่อนระบบการผลิตไฟฟ้าและการใช้กระแสไฟฟ้าของไทย” โดยคุณประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน รองผู้ว่าการการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คุณพงศกร ยุทธโกวิท ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) คุณอำพล สงวนวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจพลังไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) คุณวีระเดช เตชะไพบูลย์ นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียน (อาร์อี100) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คุณภูวดล สุนทรวิภาต นายกสมาคมอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ไทย (TPVA)
มร.ริชาร์ด ไอร์แลนด์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคริออน อีเวนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ภายใต้ความร่วมมือกับ GAT International ซึ่งได้ร่วมกันจัดงานประชุมแสดงสินค้าและนิทรรศการด้านไฟฟ้าและพลังงงานที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ทั้ง 3 งาน ได้แก่งาน Enlit Asia 2022 (งานระบบการผลิตกระแสไฟฟ้าและระบบกริดแห่งเอเชีย 2022) งาน SETA 2022 (งานพลังงานและเทคโนโลยีแห่งเอเชียประจำปี 2565) และงาน Solar+Storage Asia 2022 (งานพลังงานโซลาร์และระบบกักเก็บพลังงานแห่งเอเชียประจำปี 2565) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 ก.ย. นี้ ณ ศูนย์ประชุมและนิทรรศการไบเทค บางนา Hall 100-104 บนพื้นที่กว่า 30,000 ตรม. งานนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานทั้ง 3 งานกว่า 15,000 คน และมีผู้ร่วมแสดงนิทรรศการมากกว่า 350 บริษัท จาก 70 กว่าประเทศทั่วโลก ซึ่งได้รับการสนับสนุนการจัดงานจากกระทรวงพลังงาน สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง รวมถึงกลุ่มบริษัท ปตท. และปตท สผ.
คุณวุฒยา หนุนภักดี กรรมการผู้จัดการบริษัท แกท อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยยืนอยู่แถวหน้าในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในภูมิภาค และมีนโยบายเชิงรุกรวมถึงการกำกับดูแลด้านพลังงานที่ส่งเสริมและก่อให้เกิดแรงดึงดูดการลงทุนมหาศาล นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2065-70 ซึ่งเป็นคำมั่นที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายพลังงานสะอาดในอนาคต โดยจะมีการอภิปรายบนเวที SETA 2022, Enlit Asia 2022 และ Solar+Storage Asia 2022 ตลอดระยะเวลาการจัดงานทั้ง 3 วัน จะเป็นประเด็นสอดคล้องกับแผน PDP ฉบับใหม่ ทั้งสิ้น โดยมีเนื้อหาสำคัญ 6 ประเด็น ประกอบด้วย (1) การผลิตไฟฟ้าแบบปลอดคาร์บอน (Decarbonised Power Generation) (2) การเสริมความแข็งแกร่งและสร้างโครงข่ายระบบไฟฟ้าในอนาคต (Fortifying and Creating a Next-Gen Power Grid) (3) การพัฒนาระบบไฟฟ้าในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (The Electrification of The ASEAN Economy) (4) ความผันผวนของราคาไฟฟ้าจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด (Electricity Prices Surging due to unexpected Circumstances) (5) การผลักดันพลังงานหมุนเวียนให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Enabling Renewable Energy to meet RE Targets) และ (6) แผนกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (The Roadmap to Net-Zero)
สำหรับงานประชุมและนิทรรศการทั้ง 3 งานนี้ นับเป็นเวทีด้านพลังงานที่สำคัญที่ผู้นำด้านพลังงานในภูมิภาคจะได้มาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้โซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมด้านพลังงานที่แท้จริง รวมถึงยังเป็นเวทีที่เปิดกว้างให้มีการอภิปรายและถกกันในประเด็นต่างๆ ที่มีความสำคัญตลอดห่วงโซ่คุณค่าทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และเชิงพาณิชย์ของธุรกิจไฟฟ้าและพลังงาน อีกทั้งจะมีการนำเสนอข้อมูล และรายงานต่างๆ รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและพลังงานต้องเผชิญ
ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังมีโอกาสในการขยายเครือข่ายและการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกด้านพลังงานจากวิทยากรที่มาจากองค์กรอุตสาหกรรมพลังงานชั้นนำกว่า 200 แห่ง ที่จะหยิบยกประเด็นด้านพลังงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในยุคปัจจุบันที่อุตสาหกรรมพลังงานโลกกำลังวิวัฒนาการอย่างไม่หยุดนิ่ง วิทยากรที่เข้าร่วมจะบรรยายและอภิปรายในประเด็นที่ท้าทายเหล่านี้ อาทิ ผู้บริหารจาก ปตท. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้ามาเลเซีย (TNB) การไฟฟ้าแห่งเวียดนาม (EVN) การฟ้าแห่งอินโดนีเซีย (PLN) และตัวแทนจากภาคเอกชน เช่น Indonesia Power, Trilliant, Wartsila, Shell, Mitsubishi, Siemens, ABB, JERA, Toyota และ Saudi Aramco และ อีกหลายองค์กร
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://www.enlit-asia.com/, https://setaasia.com/ และ https://solarstorageasia.com/
A81076
ประกาศความพร้อม นับถอยหลังสู่การจัดงานพลังงานที่ยิ่งใหญ่แห่งปี 2022 ในประเทศไทย ”SETA 2022, Solar+Storage Asia 2022 และ Enlit Asia 2022 ”
กบง. ขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาผลกระทบราคาก๊าซหุงต้ม ชงแนวทางช่วยเหลือค่าไฟฟ้าผู้มีรายได้น้อย
การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน โดย
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า ที่ประชุม ได้มีการพิจารณา การขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาผลกระทบด้านราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตามที่รัฐบาลได้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านราคา LPG โดยมีโครงการยกระดับความช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) จาก 45 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน เพิ่มขึ้นอีก 55 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน เป็น 100 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน ซึ่งเดิมมีกำหนดสิ้นสุดโครงการฯ วันที่ 30 กันยายน 2565 นั้น
ที่ประชุม กบง. ได้มีการติดตามความคืบหน้าของโครงการฯ พบว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม – 14 สิงหาคม 2565 มีผู้ใช้สิทธิ์จำนวน 3,741,994 ราย อย่างไรก็ดีเนื่องจากราคา LPG ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ที่ประชุม กบง. จึงมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการยกระดับความช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อีกประมาณ 3 เดือนโดยจะเริ่มประมาณกลางเดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม 2565 โดยมอบหมายให้
กรมธุรกิจพลังงานนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาโครงการฯ และจัดทำคำขอรับงบประมาณเพื่อใช้สำหรับดำเนินโครงการฯ เสนอสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
นายกุลิศ เปิดเผยด้วยว่า จากสถานการณ์ราคาพลังงานโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยได้รับผลกระทบ กระทรวงพลังงานเล็งเห็นถึงความสำคัญที่จะต้องช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนอย่างเร่งด่วน ควบคู่ไปกับการจูงใจให้ภาคประชาชนมีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด ที่ประชุม กบง. จึงได้มีการพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน และมีมติเห็นชอบแนวทางช่วยเหลือ
ดังนี้ (1) กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาไฟฟ้าซึ่งเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยการให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าจำนวน 92.04 สตางค์ต่อหน่วย เป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 – ธันวาคม 2565 (ประกอบด้วยส่วนลดจากการเพิ่มขึ้นของค่า Ft เดือนพฤษภาคม 2565 – สิงหาคม 2565 จำนวน 23.38 สตางค์ต่อหน่วย และส่วนลดจากการเพิ่มขึ้นของค่า Ft เดือนกันยายน 2565 – ธันวาคม 2565 จำนวน 68.66 สตางค์ต่อหน่วย) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยลดภาระค่าครองชีพของผู้ใช้ไฟฟ้า
ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากนโยบายของรัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 วันที่ 19 เมษายน 2565 และวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 (2) กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้าระหว่าง 301-500 หน่วยต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาไฟฟ้าซึ่งเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานเช่นกัน โดยการให้ส่วนลดจากการเพิ่มขึ้นของค่า Ft เดือนกันยายน 2565 – ธันวาคม 2565 แบบขั้นบันได ในอัตราร้อยละ 15 -75
ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการตามแนวทางช่วยเหลือกลุ่ม (1) และ (2) ซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ของ กฟน. และ กฟภ. จะครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้าประมาณร้อยละ 80 ของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ หรือคิดเป็นร้อยละ 89 ของผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย นอกจากนี้จะดำเนินการให้ครอบคลุมบ้านที่อยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของ กฟผ. และผู้ใช้ไฟฟ้าของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ
ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณรวม 2,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือประมาณ 8,000 ล้านบาทสำหรับ 4 เดือน พร้อมมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับสนับสนุนแหล่งงบประมาณในการดำเนินมาตรการดังกล่าวตามความเหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุม กบง. ได้มีการพิจารณาปรับปรุงกรอบหลักเกณฑ์การคัดเลือกโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) (กลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม) สำหรับปี 2565 – 2573 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบปรับปรุงเงื่อนไข คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามให้ด้านการเป็นโครงการใหม่และการมีสัญญาผูกพันกับภาครัฐ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติและเห็นควรยกเลิกเงื่อนไขในส่วนของเงื่อนไขการเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนในรูปแบบอื่นแล้ว
และการมีปัญหาจากการรับซื้อไฟฟ้ารอบที่ผ่านๆ มา เนื่องจากอาจขัดกับหลักการของกฎหมาย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ดุลพินิจและอาจมีปัญหาในทางปฏิบัติได้ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบให้ กกพ.สามารถพิจารณาปรับเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้ารายปีของแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ในช่วงปี พ.ศ. 2564 – 2573 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) เฉพาะกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง ได้ตามความเหมาะสม ให้สอดคล้องกับผลคะแนนความพร้อมด้านเทคนิค ข้อเสนอขายไฟฟ้า กำหนด SCOD และศักยภาพระบบไฟฟ้า ทั้งนี้ ไม่ให้เกินกรอบเป้าหมายรวมของแต่ละประเภทเชื้อเพลิงตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้า
คลังยัน! สกนช. ต้องเป็นผู้รับภาระการชำระหนี้เอง
ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.ก.ฯ) วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ว่าคณะรัฐมนตรีออกกฎหมาย โยกหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาเป็นหนี้สาธารณะ และให้ประชาชนเป็นผู้แบกรับ นั้น
นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล โฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ให้ข้อมูลว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่กู้เงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน มีสถานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ประเภทหน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ ตามบทนิยามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทำให้การกู้เงินของ สกนช. จะนับเป็นหนี้สาธารณะ
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน สกนช. ยังไม่ได้ดำเนินการกู้เงินแต่อย่างใด นอกจากนี้ แม้ว่าร่าง พ.ร.ก. ฯ ดังกล่าวจะกำหนดให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้แก่ สกนช. แต่การชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว สกนช. จะต้องเป็นผู้รับภาระการชำระหนี้ โดยใช้รายได้ของตนเอง และกระทรวงการคลังไม่สามารถตั้งงบประมาณเพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้กับ สกนช. ได้ ดังนั้น จึงไม่เป็นภาระต่องบประมาณและไม่ได้เป็นการผลักภาระให้กับประชาชนแต่อย่างใด
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด