พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ชวนคนไทยหันมาพูดคุยเรื่องสุขภาพ และตรวจเช็กร่างกายสม่ำเสมอ เปิดตัวแคมเปญ ‘Year-End Health Review’
พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำแผนประกันรวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่างๆ ด้านสุขภาพอีกมากมาย
(จากซ้ายไปขวา) ซูซาน แฟนนิง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจสุขภาพ, โรบิน สเปนเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ, ดอน จรรย์ศุภรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการพาณิชย์ บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ส่งเสริมให้คนไทยใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีแบบองค์รวมทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งพรูเด็นเชียล ประเทศไทย พร้อมสนับสนุนให้ทุกครอบครัวได้ใช้ชีวิตอย่างมั่นใจไปพร้อมๆ กับการมีสุขภาพที่ดี ดังนั้นจึงได้เปิดตัวแบรนด์เคมเปญ “Year-End Health Review Campaign เช็กสุขภาพส่งท้ายปี เฮลธ์ตี้กันยกบ้าน” ส่งเสริมให้คนไทยหมั่นตรวจร่างกาย และถามไถ่สุขภาพของสมาชิกในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ โดยจับมือกับพันธมิตรโรงพยาบาลชั้นนำ และบริการด้านสุขภาพต่างๆ มอบข้อเสนอพิเศษมากมายให้แก่ลูกค้า พร้อมแนะนำแผนประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ทุกช่วงวัยของชีวิต
นายโรบิน สเปนเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดเผยว่า “เราอยากให้แคมเปญ Year-End Health Review มีส่วนส่งเสริมให้คนไทยหมั่นเช็กร่างกาย และถามไถ่สุขภาพของคนใกล้ชิดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้คุณอุ่นใจและคลายกังวลจากปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยร่วมกับบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ในโลกโซเชียลสร้างเทรนด์การสนทนาเรื่องสุขภาพ จากผลการสำรวจพบว่า หลังสถานการณ์โควิด 19 คนไทยส่วนใหญ่หันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น และปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตเพื่อป้องกัน และชะลอการเจ็บป่วย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในระยะยาว เพราะการมีสุขภาพดีนั้นทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ และสามารถกลับไปดูแลสุขภาพคนในครอบครัวที่เรารักได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้คนไทยทุกคนไปสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดในชีวิต ด้วยการนำเสนอแผนประกันด้านต่างๆ ที่เข้าถึงทุกคนอย่างครอบคลุม ในราคาที่เหมาะสม”
“สำหรับแคมเปญนี้ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ได้จับมือกับพันธมิตรโรงพยาบาลชั้นนํา อาทิ รพ.พญาไท 1 และ รพ.บำรุงราษฎร์ มอบข้อเสนอพิเศษให้แก่ลูกค้าของเรา เช่น ส่วนลดพิเศษการตรวจ คัดกรองมะเร็ง โปรแกรมตรวจสุขภาพ และ แพ็กเกจวัคซีนราคาพิเศษ เพราะเราอยากช่วยลูกค้าให้สามารถป้องกันและ/หรือชะลอการเจ็บป่วยในอนาคต นอกจากนี้ เรายังได้ร่วมกับร้านอาหาร บริการสุขภาพ ฟิตเนส และสปา มอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมายให้แก่ลูกค้าที่มีแผนประกันสุขภาพอีกด้วย เพื่อตอกย้ำว่า พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ได้ก้าวไปไกลกว่าเพียงการให้ความคุ้มครอง แต่มุ่งมั่นสร้างบริการที่สามารถดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวม” นายโรบิน กล่าวเสริม
ในแคมเปญฯ นี้ พรูเด็นเชียลได้เปิดตัวแผนประกันสุขภาพ “พรู เบาหวาน เบาใจ” (PRUNo Worries Diabetes) ที่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานโดยเฉพาะ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพยายามออกแบบแผนประกันต่างๆ ที่เข้าถึงคนหลากหลายกลุ่ม หลังพบว่า สถิติของผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทยมีจำนวนมากกว่า 4 ล้านคน แต่ได้รับการดูแลรักษาเพียง 2.6 ล้านคน ดังนั้น แผนประกันสุขภาพ “พรู เบาหวาน เบาใจ” จึงออกแบบมาเพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ด้วยผลประโยชน์ความคุ้มครองการรักษาพยาบาลที่มีผลสืบเนื่องมาจากโรคเบาหวาน รวมไปถึงผลประโยชน์ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต และตรวจพบโรคร้ายแรง รวมถึงโรคมะเร็งอีกด้วย ซึ่งให้ความคุ้มครองจนถึงอายุ 70 ปี
นอกจากนั้น พรูเด็นเชียลยังได้ส่ง 2 แผนประกันเพื่อสุขภาพ คือ PRUHealthy Plus (พรูเฮลธี พลัส) ประกันสุขภาพที่มอบการคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลนานถึงอายุ 80 ปี ค่าเบี้ยประกันสุขภาพไม่ปรับเพิ่มตามอายุ โดยสามารถจ่ายค่าเบี้ยฯ คงที่ทุกปี จนอายุครบ 60 ปี และ PRUHealthcare Plus (พรูเฮลท์แคร์ พลัส) ที่สามารถออกแบบความคุ้มครองด้านสุขภาพในแบบที่ลูกค้าต้องการ ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งชีวิต และค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน และผู้ป่วยนอกในกรณีอุบัติเหตุ พร้อมความคุ้มครองโรคมะเร็งแบบ เจอ จ่าย จบ โดยแผนประกันสุขภาพทั้ง 2 แผนนี้ไม่ต้องตรวจสุขภาพ และสามารถซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้อีกด้วย (ข้อมูลเพิ่มเติม: https://cutt.ly/e-HCP_PressRelease)
พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ยังพร้อมเป็นผู้ช่วยด้านสุขภาพ ผ่านแอปพลิเคชัน “Pulse By Prudential” ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถประเมินสุขภาพตัวเองได้ดียิ่งขึ้นจากเทคโนโลยี AI โดยผู้ใช้งานสามารถทราบอาการของตัวเองผ่านการทำแบบประเมินสุขภาพออนไลน์ ที่เข้ามาช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงการเกิดโรคในอนาคต ดัชนีมวลกาย สุขภาพจิต ผ่านฟีเจอร์ต่างๆ เช่น ‘FemHealth Cycle Tracker’ ที่คอยติดตามวงจรของคุณผู้หญิงเพื่อช่วยวางแผนการมีบุตร หรือ ‘Mood Tracker’ ช่วยตรวจเช็กสภาวะอารมณ์ และ ‘Teleconsultation’ บริการให้คำปรึกษาทางการแพทย์แบบออนไลน์ เพื่อให้ทุกคนสามารถรับคำแนะนำด้านสุขภาพได้ทันทีทุกที่ทุกเวลา พร้อมอัปเดตข่าวสารด้านสุขภาพจากทั่วโลก
พรูเด็นเชียล ประเทศไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า แคมเปญ “Year-End Health Review เช็กสุขภาพส่งท้ายปี เฮลธ์ตี้กันยกบ้าน” จะเปิดมุมมองให้ทุกคนได้เห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพร่างกาย และจิตใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทั้งเพื่อตัวเอง และเพื่อครอบครัวอันเป็นที่รัก ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.prudential.co.th
A11326
2,213 สุดยอดตัวแทนประกันชีวิตพิชิตรางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2565
สมาคมประกันชีวิตไทย จัดมอบรางวัล “ตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 39 ประจำปี 2565” หรือ 39th THAILAND NATIONAL QUALITY AWARDS (39th TNQA) เพื่อเชิดชูเกียรติตัวแทนประกันชีวิตที่มีคุณภาพดีเด่น สามารถผลิตผลงานได้ตามเกณฑ์ จำนวน 2,213 ราย ณ ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565
นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ อุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย ในฐานะประธานการจัดงานพิธีมอบรางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 39 ประจำปี 2565 (THAILAND NATIONAL QUALITY AWARDS (39th TNQA) เปิดเผยว่า สมาคมประกันชีวิตไทยได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาเป็นประธานมอบรางวัลโล่ตัวแทนคุณภาพดีเด่นกิตติคุณ 20 ปี และ 15 ปี พร้อมด้วย ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมเป็นเกียรติในการมอบรางวัลโล่ตัวแทนคุณภาพดีเด่นกิตติคุณ 10 ปี พร้อมด้วยรางวัลโล่เกียรติคุณ โดยมีนายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ร่วมกล่าวแสดงความยินดีต่อผู้ได้รับรางวัลจำนวน 2,213 ราย ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าวมีมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 39 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพและพัฒนาขีดความสามารถในการทำงานของตัวแทนประกันชีวิตเพื่อให้ผู้เอาประกันชีวิตได้รับการบริการที่ดี
สำหรับตัวแทนประกันชีวิตที่ได้รับรางวัลจะต้องผ่านเกณฑ์การพิจารณาของสมาคมประกันชีวิตไทย ซึ่งประกอบด้วย จะต้องขายประกันชีวิตแบบรายบุคคลรายใหม่ เป็นประเภทสามัญหรือประเภทอุตสาหกรรมไม่ต่ำกว่าปีละ 30 ราย จำนวนเงินเอาประกันภัยไม่ต่ำกว่าปีละสี่ล้านห้าแสนบาท 2 ปีต่อเนื่องกัน และจะต้องมีระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันชีวิตมีผลบังคับ 14 เดือนหรือเกินกว่า โดยกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ขายได้ในปีที่ 1 นั้นจะต้องมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิตไว้ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ทั้งด้านจำนวนรายและจำนวนเงินเอาประกันภัย ตลอดจนมีความภักดีต่อองค์กรต้นสังกัด ซึ่งปีนี้มีผู้ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 2,213 ราย จาก 15 บริษัทสมาชิก โดยรางวัลเกียรติยศสูงสุดคือ รางวัลโล่ตัวแทนคุณภาพดีเด่นกิตติคุณ 20 ปี พร้อมเกียรติบัตร ซึ่งปีนี้มีผู้พิชิตรางวัลนี้ได้ถึง 3 ราย ได้แก่ คุณณัฐชานันท์ นันทพงศ์โภคิน บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), คุณพัณณ์นิภา อัครพันธวงศ์ และ คุณโอภาส เคนวัน บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รางวัลโล่ตัวแทนคุณภาพดีเด่นกิตติคุณ 15 ปี พร้อมเกียรติบัตร จำนวน 16 ราย รางวัลโล่ตัวแทนคุณภาพดีเด่นกิตติคุณ 10 ปี พร้อมเกียรติบัตร จำนวน 28 ราย รางวัลโล่เกียรติคุณพร้อมเกียรติบัตร จำนวน 69 ราย และรางวัลเกียรติบัตรจำนวน 281 ราย โดยมีตัวแทนประกันชีวิตที่มีผลงานผ่านเกณฑ์ แยกรายบริษัทประกันชีวิต ดังนี้
1. บริษัท เอไอเอ จำกัด จำนวน 1,197 ราย
2. บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 196 ราย
3. บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 185 ราย
4. บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 146 ราย
5. บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 129 ราย
6. บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 81 ราย
7. บริษัท ชับบ์ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 62 ราย
8. บริษัท โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จำนวน 62 ราย
9. บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 61 ราย
10. บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 40 ราย
11. บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 30 ราย
12. บริษัท ซัมซุง ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 14 ราย
13. บริษัท ฟิลลิปประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 6 ราย
14. บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จำนวน 3 ราย
15. บริษัท เจนเนอราลี่ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 ราย
นางนุสรา กล่าวเพิ่มเติมว่า “ตัวแทนประกันชีวิตนับเป็นฟันเฟืองสำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของภาพรวมธุรกิจประกันชีวิต โดยเมื่อสิ้นปี 2564 ช่องทางตัวแทนประกันชีวิตยังคงเป็นช่องทางอันดับหนึ่งที่สามารถผลิตเบี้ยประกันภัยรับรวมได้ถึง 320,629 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดที่สูงถึงร้อยละ 52.21 ซึ่งเบี้ยประกันภัยที่ปรากฏนั้นล้วนเกิดจากการทำงานที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและความเป็นมืออาชีพ ที่นอกจากจะต้องมีทักษะประสบการณ์และความรู้ความสามารถในการทำงานตามภาระหน้าที่แล้ว ยังรวมถึงความสามารถในการทำให้ประชาชนเกิดความตระหนักและเข้าใจถึงความสำคัญของการมีประกันชีวิตและหันมาวางแผนทางการเงินโดยใช้การประกันชีวิตเพื่อปกป้องความเสี่ยงในทุกจังหวะของชีวิต แม้ว่าในปัจจุบันระบบดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทกับธุรกิจประกันชีวิตมากเพียงใด แต่ธุรกิจประกันชีวิตยังจำเป็นต้องอาศัยคนกลางที่จะมาเป็นผู้อธิบายเงื่อนไขและเอกสิทธิ์ตามกรมธรรม์ให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่ายขึ้น พร้อมคอยอำนวยความสะดวก ส่งมอบการบริการที่เป็นเลิศเมื่อลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจประกันชีวิตที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจ”
A11325
คปภ. ปรับปรุงพรบ.แม่บทด้านการประกันภัย สร้างความเชื่อมั่นธุรกิจประกันภัยแข็งแกร่ง
คปภ. ขับเคลื่อนการปรับปรุงกฎหมายแม่บทด้านการประกันภัย ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย โดยร่าง พ.ร.บ. กลุ่มที่ 2 เสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจประกันภัยให้มีความยืดหยุ่น สามารถตอบสนองต่อสภาวการณ์ต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที โดยกำหนดในแผนดำเนินการในปี 2566 ดำเนินควบคู่กันไปกับการพัฒนา AI และ Data analytics มาใช้
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. เผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการขับเคลื่อนการปรับปรุงกฎหมายแม่บทด้านการประกันภัย ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย โดยร่าง พ.ร.บ. กลุ่มที่ 2 ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเสริมสร้างเสถียรภาพ และความมั่นคงของบริษัท ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งผ่านการรับฟังความคิดเห็นเป็นการทั่วไปของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงาน คปภ. และได้ผ่านการพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2565
โดยมีการประชุมร่วมกับคณะอนุกรรมการกลั่นกรองร่างกฎหมายในกระบวนการนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 และจะมีการเสนอร่างกฎหมายทั้งสองฉบับต่อที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป สำหรับร่าง พ.ร.บ.กลุ่มที่ 3 ซึ่งเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการ และร่าง พ.ร.บ. ประกันภัยทางทะเล อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งมีความคืบหน้าค่อนข้างมาก
ด้านการส่งเสริมงานวิจัยด้านการประกันภัย เผยแพร่องค์ความรู้ ตลอดจนพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้ตอบโจทย์ความต้องการของประกันภัยในยุค New Normal โดยปรับปรุงหลักสูตรสุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง (Super วปส.) หลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) และหลักสูตรการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย และจะพัฒนาหลักสูตรเพิ่มเติมให้มีความเข้มข้นขึ้น ครอบคลุมทุกองค์ความรู้ที่จำเป็น พร้อมกับการขยายพื้นที่ของสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูงให้สามารถรองรับการจัดอบรมและกิจกรรมการต่างๆ ได้เต็มศักยภาพยิ่งขึ้น
ด้านการบูรณาการความร่วมมือด้านการสื่อสาร เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมประกันภัยให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยการสร้างความร่วมมือกับสมาคมที่เกี่ยวข้องด้านการประกันภัย บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันวินาศภัย บริษัทนายหน้าประกันภัยนิติบุคคล และที่สำคัญที่สุด คือ สื่อมวลชนทุกท่าน เพื่อสื่อสารข้อมูล ข่าวสาร แนวทางการดำเนินงาน และกิจกรรมต่างๆ ของสำนักงาน คปภ. ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสื่อสารให้ประชาชนทราบข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว รวมทั้งร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมประกันภัย เช่น กิจกรรมเพื่อสังคม CSR 'ขยายการสื่อสาร ขยายกลุ่มเป้าหมาย เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมประกันภัย'
นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการและกำหนดแผนการรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย (IFRS17) เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาการเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในประเทศไทยสำหรับงวดบัญชีที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งแผนดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัยและได้สื่อสารให้บริษัทประกันภัยทราบเป็นที่เรียบร้อย
สำหรับ การเตรียมความพร้อมการจัดทำร่างประกาศเกี่ยวกับแบบงบการเงินเพื่อรองรับมาตรฐาน IFRS17 คณะกรรมการ คปภ. ได้เห็นชอบร่างประกาศ คปภ. ที่กำหนดหลักเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน IFRS17 จำนวน 6 ฉบับ แล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์ โดยในปี 2566 สำนักงาน คปภ. มีแผนที่จะพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เพื่อรองรับการยื่นงบการเงิน รวมทั้งรายงานฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทประกันภัย (รายงาน XML) รูปแบบใหม่อีกด้วย
ด้านการดำเนินงาน มีปัจจัยสนับสนุนที่อาจส่งผลต่อธุรกิจประกันภัย ได้แก่ การนำเทคโนโลยี เช่น AI และ Data analytics มาใช้ในการเสนอขาย และการให้บริการส่งผลดีต่อการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น
ไทยประกันชีวิตจับมือพันธมิตรเอไซฯ ผู้นำในอุตสาหกรรมยาด้านการรักษาโรคอัลไซเมอร์จากญี่ปุ่น ขานรับประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ มุ่งพัฒนานวัตกรรมดูแลรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์และสมองเสื่อม โดยเฉพาะผู้ป่วยในระยะเริ่มต้น เพื่อลดส่งผลกระทบระยะยาวต่อผู้ป่วยและครอบครัว ตอกย้ำแนวคิดการเป็น Life Solutions Provider ส่งมอบสุขภาพที่ดี ชีวิตที่มั่งคั่ง และชีวิตที่ดีมีสุขให้กับลูกค้าและคนไทย
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งสู่การเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และการวางแผนการเงินส่วนบุคคล หรือ Life Solutions Provider ผ่านการส่งมอบสุขภาพที่ดี ชีวิตที่มั่งคั่ง และชีวิตที่ดีมีสุขให้กับผู้เอาประกันภัย และคนในสังคม โดยเฉพาะการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีอย่างครบรอบด้าน หรือ Eco-Health System ซึ่งจะเป็นการดูแลสุขภาพทั้งในเชิงป้องกัน (Preventive) และการรักษา (Curative)
ปัจจุบันสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) อย่างสมบูรณ์ ซึ่งปัญหาที่สำคัญด้านหนึ่งสำหรับผู้สูงอายุคือ การเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) หรือ “AD” กลายเป็นภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ป่วยและครอบครัวไทย โดยเมื่อพิจารณาจากประชากรสูงอายุในไทย คาดว่าจำนวนผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 ล้านคนภายในปี 2573 จากจำนวนประมาณ 600,000 คนในปัจจุบัน
“ผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกรณีเจ็บป่วยเรื้อรัง แม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์และการพัฒนายาในปัจจุบัน จะช่วยให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง หรือกลุ่มผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ตั้งแต่ในระยะแรกก็ตาม แต่การเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยรวมถึงค่าดูแลรักษาที่สูงขึ้นในปัจจุบันอาจทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ สิ่งนี้อาจเพิ่มภาระทางการเงินแก่ผู้ป่วยและครอบครัว ขณะเดียวกันผู้ป่วยอัลไซเมอร์มีความต้องการการดูแลระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อครอบครัว และคนใกล้ชิดได้”
ดังนั้น เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้เอาประกันภัยและคนไทย บริษัทฯ จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตร บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด พัฒนานวัตกรรมด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์ โดยเฉพาะผู้ป่วยอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น (Early Stage) รวมถึงส่งเสริมความเข้าใจและการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อมในประเทศไทย โดยการดำเนินงานในระยะแรกจะเป็นการสร้างความตระหนัก การรับรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ ภาวะสมองเสื่อม และสุขภาพสมองให้กับผู้เอาประกัน หรือผู้สนใจ รวมถึงการพัฒนา และสร้างระบบ Ecosystem เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ที่แข็งแกร่ง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้บริษัทฯ จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพและบริการ ที่ครอบคลุมการรักษาโรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อมโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงทางเลือกการรักษาที่ดีที่สุด และลดภาระครอบครัวในระยะยาว รวมถึงการขยายความคุ้มครองจากผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของบริษัทฯ เช่น ผลิตภัณฑ์ประกันโรคร้ายแรง ให้ครอบคลุมโรคอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้น จากเดิมที่ประกันสุขภาพจะคุ้มครองกรณีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์แล้ว
ด้านนายคานาซาว่า โชเฮ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอไซฯ ประจำภูมิภาคเอเชียและลาตินอเมริกา กล่าวว่า บริษัทเอไซฯ ให้ความสำคัญในการใช้เวลาเพื่อทำความเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของกับผู้ป่วยและครอบครัวเสมอ โดยเฉพาะการนำหลักการ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy) ตามปรัชญาของทางบริษัทฯ มาใช้ นำมาซึ่งการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ของบริษัทฯ ในด้านการรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์ และผลักดันให้บริษัทฯ ก้าวไปสู่การเป็นบริษัทชั้นนำในระดับแนวหน้าโดยเฉพาะเรื่องการวิจัยและพัฒนาการรักษาโรคอัลไซเมอร์มานานกว่า 35 ปี
บริษัท เอไซฯ ผู้นำและผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับการรักษาโรคอัลไซเมอร์ มีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว รวมถึงผู้ดูแลผู้ป่วย ผ่านการขับเคลื่อนความตระหนักรู้ของคนในสังคมในการดูแลผู้สูงวัยและผู้ที่กำลังเผชิญกับโรคนี้ ด้วยโปรแกรมการรับรู้ในช่องทางต่างๆ รวมถึงพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับการดูแลผู้ป่วยและครอบครัว และโปรแกรมตรวจวัดและติดตามสุขภาพสมองสำหรับประชาชนทั่วไปในประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการวิจัยทางการแพทย์และการพัฒนาเภสัชภัณฑ์ที่ช่วยให้กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง หรือกลุ่มผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียม
โรคอัลไซเมอร์เป็นภัยคุกคามทางสุขภาพที่ผลมากขึ้นต่อผู้ป่วยและครอบครัวในประเทศไทย ทั้งจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทางการแพทย์ที่สูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายจากความต้องการในด้านต่างๆ เพื่อการดูแลผู้ป่วยในระยะยาวที่เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการค้นหาและวินิจฉัยผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ในขณะเดียวกันทางบริษัทเอไซฯ กำลังปรับเปลี่ยนตนเองจากบริษัทวิจัยและพัฒนาผลิตเภสัชภัณฑ์ มาเป็นบริษัทที่สร้างระบบนิเวศทางสุขภาพที่เอื้อให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี มุ่งเน้นการดูแลผู้ป่วยและครอบครัว รวมถึงประชาชนอย่างครบวงจร โดยเฉพาะในเรื่องของโรคอัลไซเมอร์ ดังนั้นการร่วมมือกันระหว่างบริษัทเอไซฯ กับพันธมิตรคือ บริษัทไทยประกันชีวิต ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่จะดำเนินการตามความความมุ่งหวังอย่างสูงที่จะมอบทางเลือกในการดูแลสุขภาพ และนวัตกรรมที่ดีให้กับประชาชนไทย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามหลักการ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy) และหลักปรัชญา “hhc (human health care)” ของทางบริษัทฯ
เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดย นายเคียน ฮิน ลิม ผู้จัดการใหญ่ ร่วมกับ บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้นำในอุตสาหกรรมยาด้านการรักษาโรคอัลไซเมอร์ โดย เภสัชกรณัฐพันธุ์ นิมมานพัชรินทร์ กรรมการผู้จัดการ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อส่งเสริมความเข้าใจในการป้องกันโรค และการเข้าถึงการรักษาโรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อมในประเทศไทย
A11321
รถจักรยานยนต์ปลอดภัย มี พ.ร.บ. ขับขี่ใกล้ไกล สวมหมวกนิรภัยและมีใบขับขี่
ทราบหรือไม่ว่าแต่ละปี มีเด็กขี่รถจักรยานยนต์แล้วประสบอุบัติเหตุ เป็นจำนวนมาก และจากข้อมูลการใช้สิทธิเบิกประกันภัย พ.ร.บ.ของบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง เดือนกันยายน พบว่าผู้ประสบภัยจากรถที่เป็นเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งเป็น “ผู้ขับขี่” เสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์มากถึง 940 ราย บาดเจ็บ 91,280 คน และสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพอีก 95 ราย รวมกันแล้วเกือนแสนคน
เพราะผู้ขับขี่อายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ไม่มีใบขับขี่ นอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังไม่รู้กฎจราจร ขาดความชำนาญในการขับขี่และยังขาดประสบการณ์ เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นก็จะมีผลต่อการตัดสินใจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
เพราะในการใช้รถทุกประเภท ผู้ขับขี่จะต้องผ่านการอบรมและสอบเพื่อรู้กฎจราจรก่อนขับขี่ และต้องสอบเพื่อได้รับใบอนุญาติขับขี่ก่อน ที่สำคัญการขับขี่ยังต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ถึงร้อยละ 80
ดังนั้นเมื่อจะต้องขับขี่หรือซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ สิ่งที่สำคัญที่ต้องปฏิบัติก็คือ ต้องสวมใส่หมวกนิรภัยทุกครั้ง และปฏิบัติตามกฎจราจร นอกจากนี้ผู้ขับขี่ก็ต้องมีใบขับขี่และรถต้องมีประกันภัย พ.ร.บ.ด้วย เพื่อเป็นหลักประกันว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสารหรือคนเดินเท้า จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายทุกคน
สามารถสอบถามการทำประกันภัย พ.ร.บ.และตรวจสอบการใช้สิทธิตามประกันภัย พ.ร.บ.ได้ที่ www.rvp.co.th หรือติดต่อ Call Center บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด โทร.1791 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ไลน์ @iRVP
“เกิดอุบัติเหตุจากรถ ผู้ประสบภัยแจ้งเหตุทันที ที่บริษัทกลางฯ โทร 1791 ตลอด 24 ชั่วโมง”
A11320
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด