HENG โชว์พอร์ตสินเชื่อ 9 เดือนแรกเติบโตตามแผน หนุนกำไรสุทธิ 253 ล้านบาท พร้อมคุมคุณภาพลูกหนี้ได้ดี กด NPLs เหลือ 3% ดีกว่าเป้าหมาย ชูดิจิทัลแพลตฟอร์มขยายฐานลูกค้า มั่นใจทั้งปีพอร์ตสินเชื่อได้ตามเป้า
‘บมจ. เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล’ หรือ HENG หนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายใหญ่ของประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ ‘เฮงลิสซิ่ง’ โชว์ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ ทำรายได้รวม 1,513 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 253 ล้านบาท เติบโต 27% และ 14% ตามลำดับ หลังประสบความสำเร็จขยายพอร์ตสินเชื่อตามแผน ควบคู่กับการบริหารคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ได้ดีกว่าเป้า ส่งผลให้สัดส่วน NPLs ลดเหลือ 3% มั่นใจพอร์ตสินเชื่อในปีนี้เติบโตสู่ 12,600 ล้านบาท
นางสุธารทิพย์ พิสิฐบัณฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ HENG หนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายใหญ่ของประเทศไทยภายใต้แบรนด์ ‘เฮงลิสซิ่ง’ เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการขยายพอร์ตสินเชื่อรวมได้ตามแผนที่ 11,272 ล้านบาท ส่งผลดีต่อรายได้รวมทำได้ 1,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และมีกำไรสุทธิ 253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากศักยภาพการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการแหล่งเงินทุนของประชาชนในท้องถิ่น โดยภายหลังเปิดสาขาครบ 638 แห่งตามเป้าหมายทุกภูมิภาคทั่วประเทศ บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตโดดเด่นยังอยู่ที่สินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถก็ยังขยายตัวได้ดีอีกด้วย
“เราประสบความสำเร็จในการผลักดันพอร์ตสินเชื่อให้ขยายตัวได้ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับการบริหารคุณภาพลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วน NPLs ปรับตัวลดลงจากเดิม 3.9% เหลือเพียง 3% ดีกว่าเป้าหมายที่เราวางไว้” นางสุธารทิพย์ กล่าว
ส่วนเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้ HENG มั่นใจว่าจะขยายพอร์ตสินเชื่อให้เติบโตตามแผนที่ 12,600 ล้านบาท โดยในปีนี้ บริษัทฯ ยังได้มุ่งความสำคัญไปที่การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและการขยายฐานลูกค้ารายใหม่ รวมถึงตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเดิมเพิ่มขึ้น โดยดิจิทัลแพลตฟอร์มจะเป็นการเพิ่มความสะดวกในการตรวจสอบยืนยันตัวตนของลูกค้า รวมถึงการเปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้าใหม่ เข้าถึงการให้บริการได้ง่ายขึ้น ทำให้ HENG ใช้ต้นทุนในการบริหารลดลง สามารถคัดเลือกลูกหนี้ที่มีคุณภาพและจัดการคุณภาพพอร์ตสินเชื่อเพื่อป้องกันการผิดนัดชำระและ NPLs ให้ดีขึ้นต่อเนื่อง
A11474
GPSC เผย Q3/65 กำไรลดลงจากค่าเชื้อเพลิงขยับสูง เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนสู่ Net Zero ปี 2060
GPSC เผยผลประกอบการไตรมาส 3/65 รับรู้รายได้เพิ่ม 22% เมื่อเทียบไตรมาส 2/2565 จากปัจจัยบวกค่า Ft และปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มขึ้น ประกอบกับรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามกำไรลดลง 52% จากราคาเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ผลงาน Synergy เป็นไปตามแผน พร้อมเดินหน้าพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมพลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2060
นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2565 ของบริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 33,866 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบไตรมาส 2/2565 (QoQ) ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการปรับขึ้นของค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ช่วงเดือน ก.ย.จาก 24.77 สตางค์ต่อหน่วยมาสู่ระดับ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ประกอบกับปริมาณการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และปริมาณการขายไอน้ำให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีเพิ่มขึ้นตามปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น
สำหรับกำไรสุทธิ ลดลง 52% จากปัจจัยของราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง แม้ว่า Ft จะมีการปรับขึ้นในเดือน ก.ย. ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำรวมของบริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ในส่วนของแผนงาน Synergy มีการรับรู้มูลค่าจากการควบรวบกิจการสุทธิ หลังภาษีจำนวน 595 ล้านบาท เพิ่มเติมในไตรมาสนี้ ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือทุกฝ่ายเพื่อบริหารจัดการการผลิต และใช้โครงข่ายไอน้ำร่วมกันที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถขยายฐานลูกค้า และลดต้นทุนในส่วนการบริหารเชิงพาณิชย์ การบริหารจัดการหุ้นกู้ ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้
ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แม้จะรับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ และราคาค่าเชื้อเพลิงที่ยังอยู่ในระดับสูงซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาไฟฟ้า แต่ด้วยปัจจัยของการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้น
บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต้นทุนเชื้อเพลิงพลังงาน และสอดรับกับทิศทางการเติบโตอย่างยั่งยืนและการส่งเสริมของภาครัฐ โดยมุ่งเน้นการจัดหาแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น โดย GPSC จะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่า 50% ภายในปี 2030 และเพิ่มประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก นำเทคโนโลยีกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (CO₂) และเทคโนโลยีการนำก๊าซไฮโดรเจนเข้ามาเป็นส่วนผสมในเชื้อเพลิง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ ลดการเกิดคาร์บอนฯ (CCUS & Hydrogen Technology) ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ GPSC สู่องค์กรความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี ค.ศ. 2060 เพื่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัทฯ ชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้านนวัตกรรมพลังงานได้อย่างยั่งยืน
A11472
WFX โชว์กำไร 9 เดือนแรกปี 65 แตะ 189.44 ลบ. โค้งสุดท้ายลุยตลาด End Users แอฟริกาและอเมริกาใต้-เร่งอัพกำลังผลิตเฟสสอง หนุนผลงานปี 65 สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
บมจ. เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) อวดงบ 9 เดือนแรกปี 65 กำไรสุทธิแตะ 189.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อานิสงส์รัฐบาลเปิดประเทศ อุตสาหกรรมสิ่งทอฟื้นตัว ฟากเอ็มดี ‘ณัฐ วงศาสุทธิกุล’ เผยโค้งสุดท้ายปีนี้ เดินหน้าบุกตลาดกลุ่มใหม่ๆ ในกลุ่มทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้ พร้อมเร่งขยายกำลังผลิตเฟสสอง รองรับออเดอร์ล่วงหน้าที่จ่อล้นทะลักถึงต้นปี 66 มั่นใจผลงานปีนี้โต 10-15% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด(มหาชน) (WFX) เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 189.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.64% จากงวดเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 188.24 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 2,819.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 2,583.52 ล้านบาท ขณะที่งวดไตรมาส 3/2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 681.45 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4.29 ล้านบาท
ปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น มาจากการขยายกำลังการผลิตในเฟสแรกที่เสร็จสมบูรณ์ตามแผน มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณการจำหน่ายสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านขนาดและคุณภาพที่แตกต่างกันไป อีกทั้งบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าประเภท End user เพิ่มขึ้นตามลำดับ
“ภาพรวมผลประกอบการรวม 9 เดือนของปีนี้ บริษัทฯ ยังสามารถทำผลงานได้ดี เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้น หลังรัฐบาลประกาศนโยบายเปิดประเทศ ส่งผลให้อุตสาหกรรมสิ่งทอเริ่มฟื้นตัว จากความต้องการยางยืดสำหรับสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ที่มากขึ้น รวมทั้งอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่กลับมาฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการสินค้าที่หลากหลายตอบรับกับแผนขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของเส้นด้ายยางยืดเคลือบแป้ง และเคลือบซิลิโคน ผลักดันยอดขายเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว”
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เดินหน้าตามแผนบุกตลาดกลุ่มใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากประเทศจีน เช่น ประเทศในแถบเอเชีย ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย บังคลาเทศ, ประเทศในแถบยุโรป ได้แก่ รัสเซีย ตุรเคีย อุซเบกิสถาน, ประเทศในแถบอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล เม็กซิโก โคลอมเบีย เปรู และยังมีแผนที่จะเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศแอฟริกา ได้แก่ อียิปต์ โมรอคโค อัลจีเรีย ตูนีเซีย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
เขากล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/65 คาดว่าจะเป็นช่วงที่บริษัทฯ จะกลับมาผลิตสินค้าได้ประสิทธิภาพการผลิต (Efficiency) ในระดับปกติ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย โดยมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโต 10-15% จากปีก่อน สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นโดยในเฟสแรกที่เสร็จสมบูรณ์เป็นไปตามแผน ขณะที่เฟสที่สองจะเร่งให้แล้วเสร็จภายในปี 66 ส่งผลให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นทั้ง 2 เฟส รวมอยู่ที่ประมาณ 20-30% จากปัจจุบันอยู่ 36,000 ตันต่อปี เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก
A11471
BGC กวาดรายได้รวม 9 เดือนแรกปีนี้ 10,394 ล้านบาท เติบโต 16% แซงหน้ารายได้ก่อน COVID-19 รับปัจจัยเปิดประเทศ ผ่อนคลายมาตรการควบคุม หนุนดีมานด์บรรจุภัณฑ์แก้วพุ่ง วางกลยุทธ์เน้นประสิทธิภาพบริหารค่าใช้จ่ายรับมือต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบผันผวน
บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส หรือ BGC ทำรายได้จากการขายรวม 9 เดือนแรก 10,394 ล้านบาท เติบโต 16% สูงกว่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 จากดีมานด์บรรจุภัณฑ์แก้วที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังเปิดประเทศ สถานบันเทิงกลับมาเปิดบริการตามปกติ ด้านบอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/65 ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น มองแนวโน้มการใช้บรรจุภัณฑ์ไตรมาสสุดท้ายฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการเข้าสู่ช่วงเฉลิมฉลอง วางกลยุทธ์มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมต้นทุน ลดการสูญเสีย ปรับสูตรการผลิตและศึกษาการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น
นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วและแพคเกจจิ้งรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2565 (มกราคม-กันยายน) สามารถทำรายได้สูงกว่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 โดยมีรายได้จากการขายรวม 10,394 ล้านบาท เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 421 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง หลังจากที่มีการเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ประกอบกับสถานการณ์แพร่ระบาดที่คลี่คลายทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านและสังสรรค์ตามปกติ
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2565 มีรายได้จากการขายรวม 3,039 ล้านบาท เติบโต 14% และมีกำไรสุทธิ 97 ล้านบาท เนื่องจากดีมานด์บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเบียร์ โซดา น้ำและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ จากการเปิดประเทศ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการเปิดสถานบันเทิงตามปกติ โดยเฉพาะปริมาณการขายบรรจุภัณฑ์แก้วของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2562 แล้ว ประกอบกับบริษัทฯ มุ่งนำเสนอแพคเกจจิ้งเพื่อเพิ่มความหลากหลายในการนำเสนอสินค้า ช่วยหนุนยอดขายต่อรายและส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น การปรับขึ้นราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ทยอยเจรจาในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางราคาวัตถุดิบที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากมีดีมานด์เพิ่มขึ้น ประกอบกับเงินบาทที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบนำเข้า
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2565 ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 69.44 ล้านบาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ธันวาคม 2565
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BGC กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์และแพคเก็จจิ้ง ในไตรมาส 4/2565 คาดว่าฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากประชาชนคลายความกังกวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 โดยไตรมาสสุดท้ายถือเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ รวมถึงจะได้รับปัจจัยหนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาคึกคักและการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศและชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้น จะส่งผลดีต่อการจับจ่ายใช้สอยและความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ไตรมาส 4/2565 มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดการสูญเสียในระหว่างการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการใช้พลังงานและวัตถุดิบ โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาปรับใช้ภายในโรงงานเพื่อควบคุมการผลิตให้มีความเสถียรยิ่งขึ้น การปรับสูตรการผลิตเพื่อควบคุมต้นทุนโดยไม่ส่งผลกับการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพสินค้า การเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมค่าใช้จ่าย รวมถึงได้มีการทยอยเจรจาและปรับขึ้นราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง และมุ่งเน้นการขายบรรจุภัณฑ์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้น
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติที่ผันผวนจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ความต้องการใช้ในตลาดที่เพิ่มขึ้นและเงินบาทที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ โดยบริษัทฯ ได้ศึกษาการใช้พลังงานทางเลือกหรือพลังงานสะอาดอื่นๆ เพื่อทดแทนการใช้ก๊าซธรรมชาติ
A11470
MACO อวดผลงานไตรมาส 2 ปี 2565/66 โตต่อเนื่องทะลุ 38.1% โกยรายได้สู่ 632 ล้านบาท ทำกำไรสุทธิ 35 ล้านบาท
บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO โชว์ผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกฟอร์มดีทำกำไรต่อเนื่อง ผลักดันธุรกิจพลิกฟื้นเต็มตัว โดยไตรมาสที่ 2 ปี 2565/66 โกยรายได้ 632 ล้านบาท เติบโต 38.1% YoY ทำกำไรสุทธิ 35 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 5.6% ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของทุกหน่วยธุรกิจ รวมทั้งได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเริ่มมีแนวโน้มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จึงส่งผลให้ธุรกิจสื่อโฆษณามีรายได้เพิ่มขึ้น 48.6% YoY หรือ 107 ล้านบาท และธุรกิจงานระบบครบวงจร (System Integration) มีรายได้เพิ่มขึ้น 36.0% YoY หรืออยู่ที่ 525 ล้านบาท
คุณธมนวรรณ นรินทวานิช รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565/66 นับเป็นช่วงที่บริษัทฯ ได้โชว์ให้เห็นถึงศักยภาพของการบริหารจัดการและการดำเนินงานภายหลังการปรับโครงสร้างในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ สามารถก้าวผ่านจุดต่ำสุดของการดำเนินงานได้อย่างเต็มตัว ตอกย้ำความสำเร็จด้วยผลประกอบการที่สามารถพลิกกลับมาบันทึกผลทำกำไรได้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และยิ่งไปกว่านั้น MACO ยังประสบความสำเร็จในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท เอ็มวายจีจี จำกัด (“MYGG”) ร่วมกับบริษัท อิ๊ก ดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“YGG”) โดย MYGG จะใช้ประโยชน์ความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมของทั้งกลุ่มบริษัท MACO และ YGG เพื่อพัฒนาคุณภาพในการให้บริการและโปรโมทเกมให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่าการร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้ MYGG สามารถส่งมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมให้กับผู้บริโภคในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย MYGG คาดว่าจะสามารถเปิดตัวเกมใหม่ๆ ได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2566
สำหรับทิศทางในการดำเนินธุรกิจในอนาคต MACO จะยังคงมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจสื่อโฆษณา พร้อมทั้งมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพร่วมกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อตอบรับและปรับตัวให้ทันตามเทรนด์ของโลกยุค Digital Transformation ที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมทั้งคำนึงถึงผลการดำเนินงานที่จะส่งมอบคุณค่าและประโยชน์ให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างเต็มกำลังต่อไป รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเพิ่มเติม
A11469
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด