PCC สุดยอด!! โชว์กำไร 9 เดือนพุ่ง 70.43% รายได้สวิตช์เกียร์เพิ่ม-ติดตั้งอุปกรณ์ระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟหนุน ตุน Backlog ในมือ 3 พันลบ. มั่นใจรายได้ปีนี้โตเข้าเป้าไม่ต่ำกว่า 15%
บมจ. พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น(PCC) โชว์ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปีนี้แข็งแกร่ง กวาดรายได้รวมอยู่ที่ 3,257.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.99% และมีกำไรสุทธิ 226.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70.43% จากปีก่อน หลังขายสินค้าสวิตช์เกียร์ให้กับลูกค้าเอกชนเพิ่มขึ้น และงานโครงการจัดหาพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ Hardware และ Software ระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ และสัญญาจ้างจัดหาพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ Feeder Device Interface (FDI) และ อุปกรณ์วิทยุสื่อสาร หนุนมาร์จิ้นดี ฟากซีอีโอ ‘กิตติ สัมฤทธิ์’ มั่นใจรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 15% เผยปัจจุบัน Backlog ของงานโครงการก่อสร้างและงานขายสินค้าที่ยังไม่ส่งมอบอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้ปีนี้ ราว 30% พร้อมระบุโรงงานผลิตหม้อแปลง และตู้ควบคุมไฟฟ้า ในประเทศกัมพูชาเดินหน้าตามแผน คาดว่าจะแล้วเสร็จ เริ่มผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ได้ในต้นปี 2566
นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (PCC) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,257.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.99% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2,468.09 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 226.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70.43% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 132.66 ล้านบาท
สาเหตุหลักที่รายได้เติบโตมาจากการขายสินค้าสวิตช์เกียร์ให้กับลูกค้าเอกชนเพิ่มขึ้น และจากงานโครงการจัดหาพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ Hardware และ Software ระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ และสัญญาจ้างจัดหาพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ Feeder Device Interface (FDI) และ อุปกรณ์วิทยุสื่อสาร
“ผลประกอบการของบริษัทฯ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากรายได้รวมที่เพิ่มสูงขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นของรายได้จากการให้บริการและโครงการก่อสร้างที่สูงขึ้น” นายกิตติกล่าว
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,530.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.82% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 969.81 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 91.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.63% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 52.52 ล้านบาท
นายกิตติ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มรายได้ในปี 2565 คาดว่าน่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อนที่ทำได้ 3,639 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ของงานโครงการก่อสร้างและงานขายสินค้าที่ยังไม่ส่งมอบ ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 อยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีการรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 900 ล้านบาท ส่วนที่เหลือก็จะทยอยรับรู้รายได้ในปีถัดไป นอกจากนี้ ยังมีงานที่อยู่ระหว่างการประมูลอีกหลายโครงการ ซึ่งหากได้รับงานเพิ่มเข้ามาก็จะสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวถึงความคืบหน้าโรงงานผลิตหม้อแปลง และตู้ควบคุมไฟฟ้า ในประเทศกัมพูชาว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ได้ในต้นปี 2566 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถเริ่มรับรู้รายได้จากประเทศกัมพูชาเข้ามาตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป โดยตั้งเป้าสร้างรายได้ปีละ 100 ล้านบาท
A11529
GLOCON ตั้งเป้ารายได้รวมปี 2566 ทะลุ 3,200 ลบ. โชว์ 9 เดือนแรกปีนี้ทะยานแตะ 1,829 ลบ.
บมจ.โกลบอล คอนซูเมอร์ โชว์ผลงาน 9 เดือนแรกปี 2565 รายได้รวมเติบโตต่อเนื่องกว่า 33% แตะ 1,829 ล้านบาท ตามการเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจหลัก พร้อมรับรู้รายได้จาก “ลูกชิ้นทิพย์” เติมพอร์ตรวมกว่า 318 ล้านบาท ผู้บริหาร ประกาศเกมรุกปิดร้านขายปลีกลูกชิ้นทิพย์ที่ไม่ทำกำไร ปรับรูปแบบสู่ “แฟรนไชส์” เพิ่มขีดความสามารถทำกำไร พร้อมขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ “น้ำจิ้ม-ซอส-ไส้กรอก” รองรับดีมานส์ตลาด ลุยตลาดต่างประเทศเต็มรูปแบบ หนุนการเติบโต มั่นใจภาพรวมผลงานทั้งปี 2565 พลิกกำไร รายได้รวมเติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าปี 2566 ทะลุ 3,200 ล้านบาท ยืนยัน จ่ายเงินปันผลผู้ถือหุ้นได้ตามแผนภายในไตรมาส 1/2566
นางเพ็ญศรี สืบสุวงษ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOCON ผู้นำการผลิตและจำหน่ายสินค้าอาหารและบรรจุภัณฑ์ เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2565 (มกราคม-กันยายน) ว่า บริษัทฯมีรายได้รวมเติบโตต่อเนื่องกว่า 33% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 1,829 ล้านบาท ตามการเติบโตของยอดขายทุกกลุ่มธุรกิจหลัก โดยกลุ่มธุรกิจอาหารมียอดขายรวมเกือบ 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากหมวดอาหารแปรรูปที่ยังขยายตัวดีต่อเนื่องแตะ 559 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจลูกชิ้นทิพย์เข้ามาเติมพอร์ตรวมกว่า 318 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์เติบโต 32% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 625 ล้านบาท ตามปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งในกลุ่มลูกค้าเก่า และลูกค้าใหม่ หลังได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รองรับความต้องการลูกค้าเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มธุรกิจเครื่องสำอาง และกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักล้าง เป็นต้น
นางเพ็ญศรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากราคาต้นทุนวัตถุดิบ อาทิ เม็ดพลาสติก และวัตถุดิบผลิตลูกชิ้น ที่ขยับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งในช่วงไตรมาส 3 กลุ่มบริษัทได้รับผลกระทบจากการย้ายโรงงาน ซึ่งส่งผลต่อยอดขายของทั้งบริษัท ฟรุตตี้ดราย จำกัด และบริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด เซอร์วิส จำกัด อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่โรงงานใหม่ต้องเข้ารับการตรวจสอบระบบให้เป็นไปตามมาตรฐานการรับรองความปลอดภัยการผลิตอาหารแบบสากลก่อนที่จะทำการผลิต ส่งผลให้ภาพรวม 9 เดือน บริษัทฯมีผลขาดทุนอยู่ราว 2 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดบริษัทฯได้รับการรับรองคุณภาพโรงงานตามมาตรฐานเรียบร้อยแล้วนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา และบริษัทฯได้พิจารณาปรับราคาขายผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มธุรกิจให้สะท้อนต้นทุนแท้จริง ควบคู่ไปกับบริหารจัดการกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพระดับสูง ซึ่งในช่วงโค้งสุดท้ายปี 25655 บริษัทฯเร่งเดินเกมรุกปิดจุดอ่อนร้านขายปลีกลูกชิ้นทิพย์ที่ไม่ทำกำไรทั้งหมด พร้อมปรับรูปแบบจากร้านสาขาเป็นแฟรนไชส์ ส่งผลให้ต้นทุนการขายลดลงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการทำกำไรให้เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังเดินหน้าขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ในทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อเพิ่มความหลากหลายรองรับความต้องการของตลาด อาทิ ไลน์อาหารแช่เย็น (Chilled Food), ผลิตภัณฑ์หมวดซีฟู้ด รวมไปถึงน้ำจิ้ม, ซอสปรุงรส และไส้กรอกหลากหลายรสชาติ พร้อมเดินหน้าลุยตลาดต่างประเทศเต็มรูปแบบ ขับเคลื่อนการเติบโต เบื้องต้นมั่นใจภาพรวมผลงานปี 2565 สามารถพลิกกลับมามีกำไร รายได้รวมเติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าปี 2566 ทะลุ 3,200 ล้านบาท สามารถจ่ายเงินปันผลผู้ถือหุ้นได้ตามแผนภายในไตรมาส 1/2566
ทั้งนี้ บมจ.โกลบอล คอนซูเมอร์ แบ่งธุรกิจเป็น 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1.ธุรกิจอาหาร ประกอบด้วย อาหารแปรรูปแช่แข็ง, อาหารกึ่งสำเร็จรูปพร้อมทาน, ลูกชิ้นทิพย์ และผลไม้อบแห้ง สัดส่วน 73%, 2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทต่างๆ สัดส่วน 24% และ 3.ธุรกิจเทรดดิ้ง สัดส่วน 3% ของรายได้รวม
A11528
‘ออริจิ้น’ เดินหน้าบุก Multiverse ธุรกิจ Healthcare รับเมกะเทรนด์โลก ตั้ง CEO ใหม่ ทยอยเปิด รพ.กายภาพ-Wellness Club-คลินิกทันตกรรม-คลินิกสัตว์เลี้ยงต้นปี 66
“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ติดสปีด Origin Multiverse รุกธุรกิจเฮลท์แคร์ รับเมกะเทรนด์โลก หวังดูแลลูกบ้าน-พนักงานกว่า 37,000 ครอบครัว ยกระดับสุขภาพคนทั่วไป-ผู้สูงอายุด้วยการเน้นบริการสุขภาพเชิงป้องกัน ตั้ง “ผศ.นพ.ชวกิจ ภูมิบุญชู” นั่งแท่น CEO สร้างโอกาสเดินหน้าเติบโตด้วยตัวเอง ควบคู่การร่วมทุนพันธมิตร นำร่องทยอยเปิดตัวหลากธุรกิจ Healthcare อาทิ โรงพยาบาลกายภาพ-Wellness Club-คลินิกทันตกรรม-คลินิกสัตว์เลี้ยง สาขาแรก ต้นปี 66
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า หลังจากได้ประกาศแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล หรือ Origin Multiverse ขยายการเติบโตแบบคู่ขนานในจักรวาลธุรกิจใหม่ๆ นอกเหนือจากการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุด บริษัทกำลังเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด เพื่อให้พร้อมรองรับเมกะเทรนด์โลกที่ผู้คนยุคใหม่ใส่ใจการดูแลสุขภาพมากขึ้น รวมถึงให้พร้อมรองรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society)
ทั้งนี้ บริษัทมุ่งให้บริการด้านสุขภาพแก่ กลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มลูกบ้านและพนักงานออริจิ้น (Origin Family) นำบริการสุขภาพเข้าไปอยู่ภายในโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และศูนย์การค้าในเครือออริจิ้น รองรับการดูแลสุขภาพลูกบ้านและพนักงานที่ปัจจุบันมีมากกว่า 37,000 ครอบครัว 2.กลุ่มคนทั่วไปที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ นำศาสตร์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Care Service) และบริการที่ตอบโจทย์การมีคุณภาพชีวิตที่ดี (Wellness) เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค 3.กลุ่มผู้สูงอายุ รองรับ Aging Society ด้วยหลากบริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของชุมชนวัยเกษียณ (Retirement Community) และ 4.กลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแวดวงสุขภาพ เช่น การจัดจำหน่ายน้ำมัน CBD และผลิตภัณฑ์สุขภาพ จำหน่ายแก่ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานขับเคลื่อนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทได้แต่งตั้ง ผศ.นพ.ชวกิจ ภูมิบุญชู อดีตรองคณบดีฝ่ายศูนย์ความเป็นเลิศและศูนย์กลางบริการสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ผู้มีประสบการณ์คร่ำหวอดในแวดวงบริการสุขภาพทั้งด้านการบริหารและบริการสุขภาพ รวมกว่า 15 ปี มาดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด
ด้าน ผศ.นพ.ชวกิจ ภูมิบุญชู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด กล่าวว่า ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จะขับเคลื่อนการเติบโตไปด้วย 3 แนวทาง ได้แก่ 1.การเติบโตด้วยตัวเอง 2.การจับมือกับพันธมิตรในลักษณะร่วมกันให้บริการ และ 3.การร่วมทุน (Joint Venture) กับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนั้นๆ โดยตรง เพื่อให้สามารถเติบโตไปยังกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการสุขภาพได้อย่างรอบทิศทางและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ โครงสร้างธุรกิจของออริจิ้น เฮลท์แคร์ ประกอบไปด้วย 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มบริการด้านความงาม (Beauty & Smart) เช่น คลินิกด้าน Wellness เวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) 2.กลุ่มศูนย์บริการสุขภาพเฉพาะทาง (Special Healthcare Center) โรงพยาบาลและคลินิกเฉพาะทาง เช่น ศูนย์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด Nursing Care สำหรับผู้สูงอายุ โรงพยาบาลและคลินิกสัตว์เลี้ยง คลินิกทันตกรรม 3.กลุ่มเวชภัณฑ์ (Medical Supply) เช่น ยา เวชสำอาง อุปกรณ์ทางการแพทย์ และ 4.กลุ่มแพลตฟอร์มบริการสุขภาพ (Wellness Service Platform) เช่น เทคโนโลยีสุขภาพ (Health Tech) เบื้องต้น ในช่วงต้นปี 2566 จะเปิดตัวหลากหลายบริการสาขาแรกอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากในช่วง เดือน ก.พ.2566 เปิดตัว Health & Wellness Club สาขาแรกที่โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor) ในเดือน เม.ย.2566 เปิดตัวคลินิกเฉพาะทางทันตกรรม และศูนย์ความงาม สาขาแรกที่โครงการวัน ออริจิ้น 24 สุขุมวิท 24 และเปิด Grand Opening โครงการคิน ออริจิ้น เฮลท์แคร์ เซ็นเตอร์ (Kin Origin Healthcare Center) โรงพยาบาลกายภาพบำบัดและสหคลินิกเวชกรรม แห่งแรก ที่สุขุมวิท 107 (แบริ่ง)
สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 112 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 3/2565) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 172,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร
A11525
ทุนธนชาต (TCAP) กำไร 9 เดือน 4,134 ล้านบาท เติบโตแข็งแกร่ง 17.51% ผลการดำเนินงานบริษัทร่วมและบริษัทย่อยหนุน
บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เปิดเผยผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2565 มีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมจำนวน 5,142 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ จำนวน 4,134 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.51 จากงวดเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากบริษัทร่วมและบริษัทย่อยมีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP กล่าวว่า “ในงวด 9 เดือนปี 2565 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมจำนวน 5,142 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 4,134 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.51 จากงวดเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากบริษัทร่วมและบริษัทย่อยที่ TCAP ถือหุ้นอยู่มีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับบริษัทร่วมที่ TCAP เข้าไปลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ในส่วนของบริษัทย่อยนั้น ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) มีกำไรเพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.55 จากงวด 9 เดือนปีก่อน เป็นผลจากการขยายตัวได้เป็นอย่างดีของสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุก การบริหารจัดการต้นทุนที่ดี และการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ ด้าน ธนชาตประกันภัย (TNI) มีเบี้ยประกันภัยรับในงวด 9 เดือนเติบโตขึ้นร้อยละ 24.92 ซึ่งเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับ ธนชาตพลัส (T-Plus) มีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มียอดสินเชื่อคงค้างมากกว่า 4,000 ล้านบาท และ NPL ยังคงเป็นศูนย์ จากการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ หลักทรัพย์ธนชาต (TNS) มีการเติบโตของรายได้อื่นที่ไม่ใช่รายได้ค่านายหน้าได้เป็นอย่างดี เพื่อมาชดเชยรายได้ค่านายหน้าที่ปรับตัวลดลงเนื่องจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ที่ผ่านมา TCAP ได้ลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มเติมใน ธนชาตประกันภัย (TNI) และ หลักทรัพย์ธนชาต (TNS) ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของ TCAP ในบริษัทย่อยทั้ง 2 เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 50.96 เป็นร้อยละ 89.96 เนื่องจาก TCAP มองเห็นว่าบริษัทย่อยทั้ง 2 เป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของ TCAP และมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ในระดับสูง ซึ่งการลงทุนเพิ่มเติมนี้ TCAP เชื่อมั่นว่าจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นของ TCAP ในอนาคต”
A11515
TQR ฝ่าวิกฤตสำเร็จ 9 เดือนโชว์กำไร 70.73 ลบ. ลุยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่อรูปแบบใหม่เต็มสูบ มั่นใจผลงานปีนี้โตเข้าเป้า
TQR ประเมินผลงานปี 65 ยังมีทิศทางที่ดี จากความต้องทำประกันภัยของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ฟากซีอีโอ ‘ชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์’ เผย เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่อรูปแบบใหม่ๆ ทั้งประกันสุขภาพ-ประกันพืชผลทางการเกษตร-ประกันภัยไซเบอร์-ประกันรถยนต์ EV ขณะที่ธุรกิจให้บริการ (Service) มีลูกค้าสนใจอย่างต่อเนื่อง พร้อมมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ช่วยหนุนผลงานปีนี้เติบโตตามเป้าหมาย ส่วนผลงานงวด 9 เดือนแรกปี 65 สร้างกำไรต่อเนื่องโดยทำได้ 70.73 ล้านบาท
นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 ยังมีทิศทางที่ดี เนื่องจากบริษัทฯ ยังเดินหน้าพัฒนาประกันภัยในรูปแบบใหม่ๆ ร่วมกับบริษัทประกันภัย ทั้ง การประกันสุขภาพ การประกันภัยพืชผลทางการเกษตร การประกันภัยไซเบอร์ การประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่างๆ การประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการประกันที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเลือกรูปแบบใหม่ และการประกันที่เกี่ยวข้องกับกระแสของ Environmental, Social and Governance: ESG
“ผลงานปีนี้ บริษัทฯ ประเมินว่า ธุรกิจประกันภัยและประกันภัยต่อยังมีทิศทางที่ดี เนื่องจากองค์กรต่างๆ และผู้บริโภคให้ความสำคัญในการทำประกันภัยกันมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ TQR จึงได้คิดค้น พัฒนา ผลิตภัณฑ์ ร่วมกับบริษัทประกันภัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เช่น ประกันด้านสุขภาพ ประกันภัยไซเบอร์ ซึ่งปัจจุบันเกิดภัยคุกคามด้านไซเบอร์เพิ่มมากขึ้น และความต้องการในการใช้รถยนต์ EV ที่มีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทประกันภัยต่างๆ ต้องทำประกันภัยต่อเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพื่อกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้ง บริษัทฯ มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ในการพัฒนาระบบ Reinsurance Brokerage Platform ซึ่งเป็นระบบที่รองรับการบริหารจัดการข้อมูลของสัญญาประกันภัยต่ออย่างครบวงจร จึงมั่นใจว่า ปัจจัยเหล่านี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้ผลงานในปีนี้ เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายชนะพันธุ์กล่าว
นางยุพเรศ พิริยะพันธุ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR) กล่าวว่า สำหรับธุรกิจให้บริการ (Service) ของ บริษัท อาร์สแควร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการแล้ว จำนวน 3 ราย และยังมีลูกค้าที่ให้ความสนใจอีกหลายราย ทั้งภาครัฐและเอกชน ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้นได้
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565) บริษัทฯ มีรายได้รวม 174.94 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 70.73 ล้านบาท
A11497
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด