SVT โชว์ Q3/65 ฟันกำไร 27.57 ล้านบาท โตกระฉูด 106.03%
SVT ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2565 สุดแข็งแกร่ง! ฟันรายได้รวม 594.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.08% ดันกำไรสุทธิ 27.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106.03% รับผลบวก โควิด-19 ผ่อนคลาย รายได้จากการขายสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเพิ่มขึ้น พร้อมลุยติดตั้งเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเพิ่มเป็น 15,900 เครื่อง ภายในสิ้นปี และขยายพื้นที่จังหวัดการให้บริการอย่างต่อเนื่อง คงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 13-15% จากปีก่อน
นายพิศณุ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SVT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 594.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ มีรายได้รวม 482.68 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 27.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,679.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.44% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 1,455.30 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 72.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.73% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการขายสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเป็นหลัก ที่บริษัทฯ ได้ขยายพื้นที่การติดตั้งเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติให้บริการตามสถานที่บริการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ SVT ได้มีการขยายสาขาบริการเพิ่ม 3 สาขา ประกอบด้วย สาขาลำพูน สาขาอุบลราชธานี และสาขาชลบุรี 2 ทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีศูนย์กระจายสินค้า 14 แห่ง แบ่งเป็นสาขา 12 แห่ง และสาขาย่อย 2 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการกว่า 30 จังหวัด ซึ่งเมื่อสิ้นสุดไตรมาส 3 บริษัทได้ติดตั้งเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติกระจายอยู่ในสถานที่ต่างๆ รวม 15,400 เครื่อง เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2564 ได้ติดตั้งเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเพิ่มขึ้น จำนวน 772 เครื่อง เพิ่มขึ้น 5.28% และเมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นไตรมาส 3 ปี 2564 ได้ติดตั้งเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเพิ่มขึ้น จำนวน 1,179 เครื่อง เพิ่มขึ้น 8.29%
ปัจจุบัน SVT ให้บริการเครื่องจำหน่ายสินค้นอัตโนมัติ 4 รูปแบบหลัก ประกอบด้วย เครื่องขายสินค้าเครื่องดื่ม (Can & Botle), เครื่องขายสินค้าเครื่องดื่มและขนม (Glass front), เครื่องถ้วยแบบร้อนเย็น (Cup Hot and Cold), และเครื่องสำหรับขายอาหารกึ่งสำเร็จรูป (Noodle) ซึ่งสินค้าที่จำหน่ายผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่ เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและสินค้าอื่นๆ เช่น หน้ากากอนามัย ขนมปังเบเกอรี่ เป็นต้น รวมแล้วมีสินค้ากว่า 700 รายการ (SKU) ซึ่งเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติของบริษัทรองรับการชำระเงินทั้งแบบเงินสด (Cash) และไร้เงินสด (Cashless)
ทั้งนี้ ในปี 2565 SVT มีนโยบายขยายพื้นที่ให้บริการในการติดตั้งเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติใน Segment ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ปั๊มน้ำมัน สถานีรถไฟฟ้า เช่น MRT BTS และแอร์พอร์ตลิ้งค์ คอนโดมิเนียม เป็นต้น เพื่อให้สอดรับกับ Life Stye ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุค New Normal เช่น คนทำงานพักอาศัยในคอนโดมีเนียมในเมือง การเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะเพื่อความรวดเร็ว การขยายธุรกิจร้านค้าปลีกในปั๊มน้ำมัน เป็นต้น
“ในโค้งสุดท้ายของปี บริษัทฯ จะเร่งดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ ในการขยายเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติให้ได้ตามเป้า พร้อมคงเป้าหมายรายได้เติบโต 13-15% จากปี 2564” นายพิศณุ กล่าว
A11560
TPS สุดยอด! โชว์กำไร Q3/65 พุ่ง 211.26% โค้งสุดท้ายลุยประมูลงานใหม่ - รุกธุรกิจบริการไซเบอร์ซีเคียวริตี้ หนุนผลงานปีนี้โตทะลุเป้า 50%
TPS เปิดผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/65 กำไรสุทธิ 30.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 211.26% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลจากทยอยรับรู้รายได้จากการส่งมอบงานภาครัฐ-เอกชนได้ตามกำหนด มีรายได้จากการให้บริการดูแลฯเพิ่มขึ้น ฟากซีอีโอ ‘บุญสม กิจเกษตรสถาพร’ ระบุโค้งสุดท้ายปีนี้ เดินหน้าประมูลงานใหม่เต็มพิกัด พร้อมรุกธุรกิจบริการไซเบอร์ซีเคียวริตี้ สนับสนุนผลงานปี 65 โตเกิน 50%
นายบุญสม กิจเกษตรสถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) (TPS) ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหา ติดตั้ง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565) มีกำไรสุทธิ 30.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.65 ล้านบาท หรือ 211.26% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 9.77 ล้านบาท และมีรายได้รวม 271.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127.01 ล้านบาท หรือ 87.96% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 144.41 ล้านบาท
ขณะที่ ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 มีกำไรสุทธิ 57.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.45 ล้านบาท หรือ 141.66% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 23.61 ล้านบาท และมีรายได้รวม 655.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 263.95 ล้านบาท หรือ 67.34% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 392.00 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุนให้รายได้และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรับรู้รายได้จากธุรกิจจำหน่าย และวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งรายได้จากการให้บริการดูแลและบำรุงรักษาระบบภายหลังการขายและรายได้จากงานให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น
“สำหรับไตรมาส 3/2565 บริษัทฯ ยังสามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากการที่สามารถส่งมอบงานให้ภาครัฐและเอกชนได้ตามกำหนด พร้อมกับงานให้บริการดูแลและบำรุงรักษาระบบภายหลังการขายที่มีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และบริษัทฯ ยังเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชนกลับมาเปิดประมูลงานได้ตามปกติ และจะทำให้มูลค่า Backlog ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 1,442 ล้านบาท ดังนั้น มั่นใจว่าปัจจัยดังกล่าว มีส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ผลงานในปีนี้เติบโตเกิน 50% ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TPS กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินงานที่เหลือของปีนี้ TPS จะเดินหน้าเข้าประมูลงานขนาดใหญ่ทั้งโครงการภาครัฐและเอกชน โดยมีการเข้าประมูลงานในส่วนของ TPS เอง เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ และในส่วนของบริษัท เดอะวิน เทเลคอม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างเข้าร่วมประมูลงานโดยเฉพาะงานภาครัฐ อีกหลายโครงการ ซึ่งจะทยอยเห็นความชัดเจนในไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน TPS ยังได้มีการขยายธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ จากธุรกิจเดิม โดยเป็นการให้บริการดูแลและบำรุงรักษาระบบภายหลังการขาย เพื่อยกระดับธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ให้ครบวงจร สามารถให้บริการ ดูแลลูกค้า คู่ค้า หลังการขาย เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีเพิ่มมากขึ้นอยู่ในขณะนี้ และ เพื่อรองรับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA ที่มีผลบังคับใช้แล้ว และเพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ประจำให้กับบริษัทฯ อีกด้วย
ส่วนธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ภายใต้บริษัท เอ็กซ์-ซีเคียว จำกัด (X-Secure Co.,Ltd) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ปัจจุบันมีลูกค้าให้ความสนใจหลายราย โดยเฉพาะลูกค้าจากภาคเอกชน และคาดว่า จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังมองหาโอกาสการลงทุนในโครงการใหม่ๆ รวมทั้ง การขยายธุรกิจ โดยเน้นการทำ M&A กับบริษัทที่มีผลงานการดำเนินธุรกิจที่ดี เพื่อสร้างการเติบโตของ TPS ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต พร้อมสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
A11559
JR สตรอง! เปิดกำไรงวด 9 เดือนแตะ 135.27 ลบ. ส่งซิกโค้งสุดท้ายปีนี้ลุยประมูลงานใหม่เพียบ ร่วมมือพันธมิตรรุกโครงการใหญ่ หนุนรายได้เพิ่ม ดันอนาคตเติบโตมั่นคง
JR เผยผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2565 กำไรสุทธิแตะ 135.27 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 1,530.41 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้งานในมือ และควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟากซีอีโอ ‘จรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ’ ส่งซิกโค้งสุดท้ายปีนี้เดินหน้าประมูลงานใหม่ถี่ยิบทั้งงานภาครัฐและเอกชน หนุน Backlog ทะลุ 10,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้ยาว 3 ปี เดินหน้าร่วมมือพันธมิตรรุกประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ประเภทงานระบบโครงสร้างพื้นที่มีความปลอดภัยขั้นสูง หวังสร้างรายได้เพิ่ม ผลักดันอนาคตโตอย่างมั่นคง
นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) (JR) เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 135.27 ล้านบาท และมีรายได้รวมเท่ากับ 1,530.41 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทฯทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ ซึ่งปัจจุบันมี backlog อยู่ที่ประมาณ 3,386 ล้านบาท
“ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ต่อเนื่อง โดยทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือที่มีอยู่ และเน้นกลยุทธ์การควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันได้เข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง” นายจรัญกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565 คาดว่ายังอยู่ในทิศทางที่ดี ซึ่งบริษัทฯยังมีงานที่รอส่งมอบ รวมทั้งมีแผนจะมีเข้าประมูลงานใหม่อีกจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งงานในส่วนของภาครัฐและเอกชน เนื่องจากสถานการณ์โดยรวมของประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติ เริ่มมีโครงการใหม่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
โดยคาดว่าจะมีงานโครงการใหม่เปิดประมูลกว่า 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู เฟสที่ 2 มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท โครงการรื้อย้ายและสร้างใหม่ระบบโทรคมนาคมของรถไฟฟ้าสายอื่นๆ รวมทั้งงานวางระบบไฟฟ้า อีกราว 400 ล้านบาท หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน backlog ในปีนี้จะทะลุ 10,000 ล้านบาท รองรับการเติบโตระยะยาวถึงปี 2568
นอกจากนี้ JR บริษัทฯยังคงมองหาการขยายการลงทุนใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจ เพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ ล่าสุด บริษัทมีแนวทางขยายฐานการรับงานไปรับงานใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะโปรเจคระบบโครงสร้างพื้นที่มีความปลอดภัยขั้นสูงในกลุ่ม “แพลนต์เบส”ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการสร้างโรงงานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานออยล์แอนด์แก๊ส ที่มีการแข่งขันน้อย โดยบริษัทจะร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ขนาดใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ ซึ่งจะสนับสนุนให้อนาคตมีช่องทางสร้างรายได้เพิ่มผลักดันการเติบโตได้อย่างมั่นคง
A11558
WP สุดแซ่บ! กำไร Q3 ทะยาน 286% YOY จับตาโค้งสุดท้ายผลงานบวกต่อ-ดันธุรกิจโตตามแผน
บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP) โชว์ศักยภาพยังแกร่งผลงานไตรมาส 3/2565 สุดล้ำกำไรสุทธิเท่ากับ 45.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 33.42 ล้านบาท หรือคิดเป็น 285.83% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนรายได้รวมแตะ 4,091.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,253.80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 44.18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ฟาก ‘ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง’ ส่งสัญญาณโค้งสุดท้ายภาพรวมธุรกิจยังมีศักยภาพ รันธุรกิจได้ตามแผน พร้อมการันตีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งเพียงพอต่อการขยายธุรกิจในอนาคต
นางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (WP) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2565 ของกลุ่มบริษัทฯ เชื่อว่าจะเติบโตได้อย่างโดดเด่นจากไตรมาส 3/2565 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565) ที่มีกำไรสุทธิ 45.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.42 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรา 285.83% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.69 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 4,091.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,253.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44.18% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,838.11 ล้านบาท และมี EBITDA อยู่ที่ 177.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.96 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 122.61 ล้านบาท
สาเหตุที่ผลประกอบการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจ ตามแผนที่ได้วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้รายได้จากการขายและบริการปรับเพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายรวมของก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศเพิ่มขึ้นจากจำนวน 166,158 ตัน เป็น 193,882 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 27,724 ตัน หรือคิดเป็น 16.69% และปริมาณการขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากจำนวน 6,397 ตันเป็น 6,881 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 7.57%
สำหรับการขายในประเทศ ยอดขายส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มยานยนต์ โดยปรับตัวขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ก๊าซ LPG กลับมาเป็นที่นิยมมากขึ้น รองลงมาคือ กลุ่มลูกค้าพาณิชยกรรมและกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น 34% และ 18% ตามลำดับ นอกจากนี้ราคาขายเฉลี่ยมีการปรับเพิ่มขึ้น จากการประกาศขึ้นราคาของภาครัฐตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายนที่ผ่านมา ในอัตราเฉลี่ยเดือนละ 0.9346 บาทต่อกิโลกรัม โดยปัจจุบันส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์ เวิลด์แก๊สอยู่ที่อันดับ 2 หรือคิดเป็น Market Share 19.02%
“ฐานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทฯ ถือว่ายังมีความแข็งแกร่งเห็นได้จากกระแสเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 889.39 ล้านบาท ซึ่งแต่ละปีกลุ่มบริษัทฯ มี EBITDA เฉลี่ยประมาณ 500-600 ล้านบาท ถือว่าเพียงพอต่อการดำเนินงานและขยายงานในอนาคต โดยบริษัทฯ จะดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงมองหาโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจเพื่อขยายความหลากหลายและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างฐานกำไรให้เติบโตอย่างมีศักยภาพในระยะยาว” นางสาวชมกมล กล่าวในที่สุด
A11555
‘แม็คกรุ๊ป’ กำไรไตรมาส 1 ปีบัญชี 2566 พุ่งทะยานแตะ 116 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดรอบ 5 ปี
“แม็คกรุ๊ป” กำไรไตรมาส 1 ปีบัญชี 2566 พุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดรอบ 5 ปี กว่า 116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 390% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ 15% มาร์จิ้นกว่า 64% รับกำลังซื้อฟื้น รัฐอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องหลังเปิดประเทศ คาดการณ์ไตรมาส 2 ดีต่อเนื่อง ท่องเที่ยวฟื้นดันยอดช้อปเพิ่ม
นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปีบัญชี 2566 (1 กรกฎาคม 2565-30 กันยายน 2565) กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 390% หรือ 92 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไร 24 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 15% เพิ่มขึ้น 9.7% จากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 5.3%
ทั้งนี้ในไตรมาสแรกของปีบัญชี 2566 บริษัทมีรายได้การขายสินค้ารวม 759 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 321 ล้านบาท หรือ 73.3% เกิดจากกำลังซื้อที่กลับมาในช่องทางออฟไลน์ ได้แก่ ร้านค้าปลีกตัวเองและห้างสรรพสินค้า ที่เป็นช่องทางหลักของบริษัทฯ โดยมีสัดส่วนรายได้จากช่องทางร้านค้าปลีกตัวเอง (Free-standing Shop 65%, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) 23%, ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) 9% และช่องทางอื่นๆ คิดเป็น 4%
“รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตและกลับไปอยู่ในระดับ ก่อนวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 กำไรที่ทำได้ในไตรมาสแรกของปี อยู่ที่ 116 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นกำไรที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี และสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อยู่ที่ระดับ 46.4 ในเดือนกันยายนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 44.3 ในเดือนมิถุนายน เป็นผลมาจากมาตรการผ่อนคลายของภาครัฐทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รวมไปถึงมาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการคนละครึ่ง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ส่งผลให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น และส่งผลดีต่อผู้ประกอบการรายย่อย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แม็คกรุ๊ป กล่าว
นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์หลัก ที่มุ่งเน้นคุมเข้มต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย รวมไปถึงกลยุทธ์ทางการตลาดมุ่งเน้นทำ Product Mix การส่งเสริมการขายและการบริหารช่องทางการขายสินค้า ส่งผลให้ในไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรขั้นต้น ที่ 490 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.4% หรือ 222 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากยอดขาย ที่เพิ่มสูงขึ้นและมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 64.6% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 61.4%
นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 2 (ตุลาคม-ธันวาคม 2565) สดใสต่อเนื่องเพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น และหลังเปิดประเทศหนุนให้ให้จีดีพีประเทศขยายตัว รวมถึงบริษัทเร่งปรับโฉมและขยาย Mc Outlet เพิ่มตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าในปีบัญชี 2566 ที่จะเปิด 15 สาขา โดยในไตรมาสแรกของปีเปิดไปแล้ว 4 สาขา และมีโอกาสที่จะเปิดครบ 100 สาขา รวมไปถึงการจัดทำโปรโมชั่นและแคมเปญต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับฐานะการเงินของบริษัท ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 กลุ่มบริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 5,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% หรือ 263 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ที่มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 5,062 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้น 116 ล้านบาท จากเดิม 1,995 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 เป็น 2,111 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2565
A11554
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด