FPT โชว์ผลประกอบการปีงบ 65 แกร่
เกี่ยวกับ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย” ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบี
เกี่ยวกับบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด (“เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” หรือ “กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้”) เป็นบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบี
อินโดรามา เวนเจอร์ส รายงานรายได้สะสมตั้งแต่ต้นปี ทีมผู้บริหารยกระดับรูปแบบการดำเนินธุรกิจระดับโลกที่เป็นเอกลักษณ์ ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจมหภาค
สรุปผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ปี 2565
- Core EBITDA 12 เดือนล่าสุดเท่ากับ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 เมื่อเทียบปีต่อปี
- Core EBITDA ต่อตันเท่ากับ 163 เหรียญสหรัฐในช่วง 12 เดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ปี 2565 และ 159 เหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3 ปี 2565
- กระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงานเท่ากับ 1,952 เหรียญสหรัฐในช่วง 12 เดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เมื่อเทียบปีต่อปี
- กำไรหลักสุทธิในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เท่ากับ 10.34 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 8.14 พันล้านบาท
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือไอวีแอล ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รายงานผลการดำเนินงานสะสมตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากทีมผู้บริหารได้ยกระดับรูปแบบการดำเนินธุรกิจระดับโลกที่เป็นเอกลักษณ์ของบริษัทฯ ให้สามารถผลักดันรายได้ในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคที่มีความท้าทาย
ไอวีแอลรายงาน Core EBITDA ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เท่ากับ 606 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39 เมื่อเทียบปีต่อปี และลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เนื่องด้วยข้อจำกัดต่างๆ ที่ส่งผลให้รายได้ที่สูงเป็นประวัติการณ์เมื่อต้นปี 2565 เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา โดยทีมผู้บริหารได้เพิ่มสรรพกำลังตลอดช่วงที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาผลกระทบจากศรษฐกิจโลกที่ผันผวนอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทั้งยังได้รับผลจากสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงในยุโรปและการล็อกดาวน์ในประเทศจีน
การเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์อย่าง Oxiteno กำลังหนุนการนำเสนอสินค้าและการดำเนินงานเชิงภูมิศาสตร์ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมรายได้ภายใต้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจผันผวน ทั้งนี้ รายได้ในไตรมาสที่ 3 ลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจาก Combined PET กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ มีปริมาณขายที่มั่นคงตลอดทั้งปี และการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ ก็ส่งผลดีอย่างมาก อาทิ สารลดแรงตึงผิวในกลุ่มธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives (IOD) โดยกว่าร้อยละ 70 ของธุรกิจไอวีแอลใช้สำหรับผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นซึ่งมีความต้องการที่มั่นคง
นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า “เราพอใจกับผลการดำเนินงานของเราตลอดทั้งวงจรธุรกิจ ทีมผู้บริหารกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อดึงศักยภาพที่เรามีในแง่ความเป็นผู้นำเชิงภูมิศาสตร์ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และฐานลูกค้าที่ไม่มีที่เปรียบ ซึ่งได้แก่แบรนด์สินค้าในครัวเรือนระดับโลก เมื่อผนวกกับมุมมองความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการต้นทุน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เรารับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจและสามารถมุ่งเน้นศักยภาพของเราในระยะยาวต่อไปได้”
กลุ่มธุรกิจ Combined PET (CPET) มี Core EBITDA สะสมตั้งแต่ต้นปีเท่ากับ 1,192 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบปีต่อปี Core EBITDA ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เท่ากับ 327 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบปีต่อปี และลดลงร้อยละ 24 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส โดยธุรกิจยังมีความมั่นคงในเกือบทุกๆ พื้นที่ ยกเว้นยุโรปซึ่งราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นยังคงสร้างแรงกดดันต่อความต้องการและกำไร
กลุ่มธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives (IOD) รายงาน Core EBITDA สะสมตั้งแต่ต้นปีเท่ากับ 604 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 137 เมื่อเทียบปีต่อปี จากผลดีของการบูรณาการกิจการ Oxiteno ที่เข้าซื้อเมื่อเดือนเมษายนและความต้องการที่แข็งแกร่งต่อผลิตภัณฑ์สารลดแรงตึงผิว กลุ่มธุรกิจมี Core EBITDA ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เท่ากับ 219 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 82 เมื่อเทียบปีต่อปี และลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เนื่องจากกำไรที่อ่อนตัวลงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Integrated Intermediates ท่ามกลางสถานการณ์ล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่องและกำลังการผลิตส่วนเกินในประเทศจีน
กลุ่มธุรกิจ Fibers รายงาน Core EBITDA สะสมตั้งแต่ต้นปีเท่ากับ 189 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบปีต่อปี และ Core EBITDA ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ลดลงร้อนละ 11 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เท่ากับ 49 ล้านเหรียญสหรัฐ กลุ่มผลิตภัณฑ์ Lifestyle ยังคงได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในประเทศจีน ขณะเดียวกันทีมผู้บริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์ Hygiene และ Mobility ในยุโรปก็กำลังบริหารต้นทุนพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
A11599
UREKA สุดเจ๋ง! เสิร์ฟงบ 9 เดือน กำไรพุ่งแรง 758% โค้งสุดท้ายสัญญาณดี ออเดอร์เม็ดพลาสติกรีไซเคิลแน่น! เดินหน้าขยายโครงการผลิตน้ำประปาเฟส 2 หนุนอนาคตโตก้าวกระโดด
บมจ.ยูเรกา ดีไซน์ (UREKA) ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวัง เปิดผลงาน 9 เดือนปี 65 กำไรสุทธิ 62.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 758% ขณะที่รายได้พุ่งแตะ 199.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 138% สะท้อนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ฟากซีอีโอ ‘สุนิสา จิระวุฒิกุล’ ประเมินผลงานปีนี้เติบโตตามเป้าหมาย โค้งสุดท้ายสัญญาณดี โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ มียอดสั่งซื้อเม็ดพลาสติกรีไซเคิลตุนไว้เพียบ พร้อมเดินหน้ารุกขยายโครงการผลิตน้ำประปา เฟส 2 เผยอยู่ระหว่างขั้นตอนศึกษาและเตรียมพัฒนาโครงการ ช่วยสนับสนุนอนาคตโตก้าวกระโดด
นางสาวสุนิสา จิระวุฒิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) UREKA เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 สำหรับงวด 9 เดือนของปี 2565 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 758% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิเท่ากับ 9.57 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 199.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115.79 ล้านบาท หรือ 138% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 84.10 ล้านบาท
“ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง และการปรับโครงสร้างบริษัท โดยมีการแตกไลน์ธุรกิจ และนโยบายการเปิดประเทศ ทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้นสนับสนุนยอดขายทั้งในและต่างประเทศขยายตัวได้ดี ขณะเดียวกันบริษัทฯได้รับรู้รายได้ประจำของธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำประปา โดยหลังจากได้รับสัมปทานประกอบกิจการประปา และได้รับอนุญาตให้จำหน่ายน้ำประปา ระยะเวลาสูงสุดถึง 20 ปี สร้างรายได้จะเพิ่มขึ้นกว่า 80 ล้านบาทต่อปี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้รายได้และกำไรมีทิศทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่ พร้อมเดินหน้าต่อยอดธุรกิจโดยเฉพาะโครงการผลิตน้ำประปา เฟส 2 หลังจากเฟสแรกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำให้สามารถสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯในระยะยาว
ขณะที่แนวโน้มการดำเนินธุรกิจช่วงไตรมาส 4/2565 ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาจากคำสั่งซื้อเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่ทยอยเข้ามามากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯอยู่ระหว่างการมองหาการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ที่จะสร้างการเติบโต และความมั่นคงให้กับบริษัทฯในอนาคต ซึ่งจะเห็นว่าจากผลงานในช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมายังเติบโตได้ดี ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 2565 แนวโน้มผลดำเนินงานจะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน
A11597
‘AAI’ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โชว์ผลงานไตรมาส 3/65 ทำกำไรพุ่ง 49.9% ชี้ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตโดดเด่นตามเมกะเทรนด์โลก มั่นใจผลงานปี 65 รายได้โต 40%
‘บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล’ หรือ AAI ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานชั้นนำของประเทศ โชว์งบไตรมาส 3/2565 ทำรายได้รวม 1,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.4% และมีกำไรสุทธิ 195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ดันผลงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้รวมอยู่ที่ 5,423 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 559 ล้านบาท รับผลดีจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตโดดเด่นตามเมกะเทรนด์โลก มั่นใจผลงานปี 65 รายได้โต 40% พร้อมเดินหน้าขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 7,500 ตัน คาดเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชน์ได้ในปีหน้า
นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานชั้นนำของประเทศ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,228 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยมาจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มธุรกิจทูน่าที่เติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยมีปริมาณขาย 11,492 ตัน เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 9,341 ตัน ซึ่งปริมาณขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของอุตสาหกรรม ขณะที่ปริมาณการขายสินค้าในกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานในภาชนะปิดผนึกเพิ่มขึ้นมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ทูน่า ด้านกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2565 ทำได้ 195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 130 ล้านบาท เป็นการเติบโตตามยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่ามีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนของเงินทุนสูงขึ้นก็ตาม
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 3,644 ล้านบาท โดยมีปริมาณขายรวม 34,355 ตัน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ทำได้ 28,219 ตัน ซึ่งปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ตามอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้รายได้จากอาหารสัตว์เลี้ยงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 86% สำหรับกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 ทำได้ 559 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 438 ล้านบาท แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะมีแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ AAI ยังสามารถบริหารจัดการและควบคุมราคาวัตถุดิบได้ดี และยังได้รับผลดีจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงถือเป็นธุรกิจสำคัญที่ช่วยผลักดันความสำเร็จของกลุ่มบริษัทฯ เนื่องจากมีอัตรากำไรที่โดดเด่น และมีอัตราการเติบโตที่ดีตามเมกะเทรนด์โลก รายได้ส่วนใหญ่ในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังเป็นรายได้จากการรับจ้างผลิตภายใต้แบรนด์ของลูกค้า (OEM) ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำในระดับสากล ทำให้รายได้จากการรับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 เติบโตขึ้น 51% จากการที่อุปสงค์ในอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารแมว ซึ่งตลาดสำคัญยังคงเป็นตลาดสหรัฐอเมริกา โดยมีสัดส่วนถึง 69% และตลาดยุโรปมีสัดส่วน 20% ขณะที่รายได้จากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ในงวด 9 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้นกว่า 80% มาอยู่ที่ 115 ล้านบาท โดยได้รับผลดีหลังจากที่ AAI ได้ทำแผนการตลาดที่เข้มข้นขึ้นในประเทศไทย มีการเปิดตัวพรีเซนต์เตอร์เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) ทำให้ยอดขายภายในประเทศของทั้งแบรนด์ “มองชู” และ “ฮาจิโกะ” ดีขึ้น
ด้านธุรกิจอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ทูน่า มีปริมาณการขายในงวด 9 เดือนปี 2565 จำนวน 4,947 ตัน เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดที่สำคัญยังคงเป็นตลาดตะวันออกกลาง ได้แก่ ประเทศซาอุดิอาระเบียและประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจทูน่า
กรรมการผู้จัดการ AAI กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานในปี 2565 คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่รายได้จากการขายจะยังมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น จากเดิมที่มีการเติบโตเฉลี่ย 18% ต่อปี แต่คาดว่าในปีนี้รายได้จะเติบโตมากกว่า 40% ตามการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะยอดขายกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก จากการที่อุปสงค์ทั่วโลกอยู่ในระดับสูง จึงคาดว่าจะเติบโตได้ 47-48% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 6,200 ล้านบาท ส่วนรายได้จากธุรกิจทูน่าคาดว่าจะเติบโตได้มากกว่า 20% ตามความต้องการจากประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง แม้ต้นทุนราคาปลาทูน่ายังคงทรงตัวในระดับสูง แต่บริษัทฯ สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 19 –20% ของรายได้จาการขายได้อย่างแน่นอน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบมีทิศทางที่มีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ว่าต้นทุนค่าแรงจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี และต้นทุนค่าพลังงานยังคงผันผวน
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายกำลังการผลิตในไตรมาส 4/2565 ราว 7,500 ตัน โดยคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องจักรเพื่อเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปีหน้า รวมถึงไลน์การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบบรรจุถุงเพาซ์ (Pouch) ได้เริ่มเดินสายการผลิตตามแผน ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตของยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ AAI วางแผนเพิ่มช่องทางการการจัดจำหน่ายเพื่อผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยในปัจจุบัน การเติบโตของยอดขายภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ในประเทศไทยยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อแผนการเพิ่มของยอดขายของแบรนด์ ซึ่งตั้งเป้าให้มีสัดส่วนเป็น 10% ตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ
A11592
กรุงเทพประกันชีวิตเผยผลการดำเนินการไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทเพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เผยผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2565 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกจำนวน 2,086 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 51 จากไตรมาส 3 ปี 2564 เป็นผลจากผลิตภัณฑ์ในช่องทางธนาคารที่ได้รับผลตอบรับที่ดี ทำให้บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมจำนวน 10,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาส 3 ปีของก่อนหน้า
นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 จำนวน 344,517 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2564 ที่ร้อยละ 0.8 จากการลดลงของมูลค่าตลาดของสินทรัพย์ลงทุน โดยสินทรัพย์ลงทุนมีสัดส่วนสูงที่สุดคือร้อยละ 94 ในไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 942 ล้านบาท ทางด้านความมั่นคงของฐานะทางการเงิน บริษัทมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio – CAR ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2565 ที่ระดับร้อยละ 363 ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าที่ร้อยละ 364
บริษัทยังคงดำเนินการตามทิศทางการดำเนินธุรกิจที่กำหนดไว้ใน 3 ปี คือ ปี 2565-2567 ในการเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทเพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่าน 5 มิติหลัก ได้แก่ มิติด้านสุขภาพ ที่เน้นการให้บริการด้านสุขภาพที่เป็นเลิศ มิติด้านความมั่งคั่ง ที่เน้นตอบความต้องการของประชาชนทุกกลุ่มโดยเฉพาะแบบประกันประเภทสะสมทรัพย์และประกันควบการลงทุน มิติด้านดิจิทัลที่รองรับการก้าวสู่สังคมดิจิทัลในอนาคต ด้านช่องทางการขาย ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพของช่องทางและเน้นการขยายช่องทางเพื่อให้ครอบคลุมโอกาสทางการตลาด และมิติด้านความรับผิดต่อสังคมสิ่งแวดล้อม
บริษัทมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจให้เจริญเติบโตบนรากฐานที่มั่นคงทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม (Environment –Social –Governance: ESG) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ในด้านเศรษฐกิจ (E : Economy) บริษัทมุ่งมั่นในการสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อการวางแผนการเงินและสุขภาพอย่างรอบด้าน ด้านสิ่งแวดล้อม (E : Environment) บริษัทสนับสนุนการทำ Carbon Footprint of Organization (CFO) และ ด้านสังคม (S : Social) บริษัทให้ความสำคัญในการให้ความรู้ด้านการวางแผนทางการเงิน เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและเห็นถึงความจำเป็นในเรื่องการวางแผนการเงิน ด้านการกำกับกิจการ (G : Governance) บริษัทส่งเสริมให้บุคลากรเห็นความสำคัญในการปฏิบัติตามหลักจรรยาบรรณของบริษัทอย่างเคร่งครัด
ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 บริษัทเริ่มแคมเปญสื่อสารโฆษณา “ประกันสุขภาพที่ใส่ใจคุณ” เพื่อสร้างการรับรู้ถึงการให้บริการที่เป็นเลิศสำหรับผู้เอาประกันทุกคน ด้วยความใส่ใจทุ่มเทของบุคคลากรที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เริ่มต้นทำประกัน จนสิ้นสุดกระบวนการรักษาพยาบาลการเจ็บป่วยต่างๆ ในช่องทางธนาคาร บริษัททำการตลาดผ่านแบบประกันสะสมทรัพย์ เกนเฟิสต์ ซิมเพิล (Gain1st Simple) และ เกนเฟิสต์ เกนเฟิสต์ 424 (มีเงินปันผล) และในส่วนของช่องตัวแทน บริษัทผลักดันการสร้างและพัฒนาตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน ผ่านโครงการรับรองรายได้ผู้บริหารตัวแทนมืออาชีพ (Smart Leader) เพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพทีมงานขายอย่างมั่นคงและยั่งยืน นอกจากนี้บริษัทยังคงเดินพัฒนาช่องทางการขายผ่านพันธมิตรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 0 2777 8672, Email: [email protected]
A11583
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด