ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง’ ที่ ‘BBB-‘แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความมั่นคงของกระแสเงินสดของบริษัทจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับหน่วยงานการไฟฟ้าภาครัฐ
ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากความเสี่ยงในด้านความไม่แน่นอนของปริมาณและความผันผวนของราคาวัตถุดิบเชื้อเพลิง รวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและสถานะทางการเงินของบริษัทที่ถดถอยลง
อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทยังพิจารณาถึงสถานะของบริษัทในฐานะที่เป็นบริษัทย่อยหลักของ ของ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ ‘BBB-/Stable’ด้วย ส่งผลให้อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทนั้นเท่ากับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทไทยโพลีคอนส์ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประเมินอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Stand-alone Credit Profile) ไว้ที่ระดับ ‘bbb’ ซึ่งสะท้อนสถานะทางเครดิตของบริษัทที่แข็งแรงกว่าของบริษัทไทยโพลีคอนส์
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทไทยโพลีคอนส์
ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า บริษัทจะยังคงเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทไทยโพลีคอนส์ ต่อไป โดยบริษัทไทยโพลีคอนส์ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 43.3% ในบริษัทและมีอำนาจควบคุมนโยบายทางธุรกิจและการเงินของบริษัทโดยตรง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างบริษัททั้งสอง
นอกจากนี้ ผลกำไรเกือบทั้งหมดของบริษัทไทยโพลีคอนส์ก็ยังมาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทอีกด้วย โดยกระแสเงินสดที่มั่นคงของบริษัทนั้นช่วยลดความผันผวนและความอ่อนไหวของธุรกิจก่อสร้างของบริษัทไทยโพลีคอนส์ได้เป็นอย่างมาก
ความมั่นคงของกระแสเงินสด
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงความมั่นคงของกระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าของบริษัทอันเนื่องมาจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ปัจจุบันบริษัทมีโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะที่ดำเนินการแล้วจำนวน 11 แห่ง โดยมีกำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอยู่ที่ 106.5 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าทุกแห่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ผลิตและผู้จ่ายกระแสไฟฟ้าที่เป็นหน่วยงานภาครัฐ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ซึ่งต่างก็ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ ‘AAA’ จากทริสเรทติ้ง ดังนั้น ความเสี่ยงของบริษัทในด้านคู่สัญญาจึงอยู่ในระดับต่ำ
ความเสี่ยงจากปริมาณและความผันผวนของราคาวัตถุดิบเชื้อเพลิง
อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากความเสี่ยงในด้านวัตถุดิบเชื้อเพลิงซึ่งได้มาจากเศษวัสดุทางการเกษตรที่เหลือทิ้ง โดยโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทใช้ไม้สับ แกลบ กะลามะพร้าว และพืชเติบโตเร็วอื่นๆ ในการผลิตไฟฟ้า ความเพียงพอของปริมาณวัตถุดิบเชื้อเพลิงนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ ฤดูกาล การใช้ชีวมวลในอุตสาหกรรมอื่น และจำนวนโรงไฟฟ้าชีวมวล ทั้งนี้ ผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลที่ไม่มีวัสดุเหลือทิ้งจากไร่นาเป็นของตนเองจำเป็นจะต้องแย่งชิงวัตถุดิบเชื้อเพลิงกับผู้ประกอบการรายอื่น
ดังนั้น เพื่อให้มีวัตถุดิบเชื้อเพลิงที่เพียงพอ บริษัทได้ทำสัญญาซื้อขายวัตถุดิบระยะยาวกับผู้จำหน่ายท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญายังถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ ผลการดำเนินงานของบริษัทยังขึ้นกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบเชื้อเพลิงอีกด้วย โดยราคาของวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวมวลนั้นสามารถแกว่งตัวขึ้นและลงได้อย่างมากอีกทั้งยังแปรเปลี่ยนไปตามความชื้นและค่าความร้อนอีกด้วย
ในส่วนของพลังงานจากขยะ ชนิดของขยะที่ต่างกันให้ค่าความร้อนที่แตกต่างกันในขณะที่สิ่งเจือปนก็อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในการดำเนินงานได้ โดยผู้ผลิตไฟฟ้าจากขยะจำเป็นต้องบริหารจัดการวัตถุดิบเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าขยะแห่งแรกของบริษัทยังจำเป็นต้องรอการพิสูจน์ต่อไปเนื่องจากเพิ่งเริ่มดำเนินการในช่วงปลายปี 2564
การแข่งขันในธุรกิจผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น
ทริสเรทติ้ง มองเห็นถึงโอกาสการเติบโตสำหรับพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทยจากการที่ภาครัฐมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนภายใต้เป้าหมายระยะยาวในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Greenhouse Gas Emission)
โดยทริสเรทติ้ง คาดหวังถึงการเปิดโควต้ารับซื้อพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าการแข่งขันในธุรกิจผลิตไฟฟ้าภายในประเทศนั้นเพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศที่อยู่ในระดับสูงก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ได้
โรงไฟฟ้าชีวมวลใหม่ๆ ของบริษัท (TPCH 1 TPCH 2 และ TPCH 5) นั้นมีราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่ลดต่ำลงจากการประมูลแข่งขันที่รุนแรง บริษัทจึงจำเป็นจะต้องเพิ่มความรัดกุมในการควบคุมต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
ในขณะที่การลงทุนใหม่ๆ ทั้งในโครงการที่เริ่มใหม่ (Greenfield Projects) หรือโครงการที่มีอยู่แล้ว (Brownfield Projects) ก็อาจให้ผลตอบแทนลดต่ำลงอันเนื่องมาจากราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่ต่ำหรือต้นทุนในการซื้อโครงการที่สูง ซึ่งน่าจะส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทลดลงในระยะยาว
ทั้งนี้ ในอนาคต ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะเมื่อพิจารณาจากราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่น่าสนใจกว่าโรงไฟฟ้าชีวมวล นอกจากนี้ บริษัทอาจขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโต อย่างไรก็ตาม โครงการภายในประเทศน่าจะยังคงเป็นสินทรัพย์และผลการดำเนินงานหลักของบริษัทต่อไป
ผลการดำเนินงานโรงไฟฟ้าอ่อนแอกว่าที่คาด
บริษัทรายงานผลการดำเนินงานอ่อนแอลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เนื่องจากโรงไฟฟ้าบางแห่งของบริษัทผลิตไฟฟ้าได้ต่ำกว่าที่คาดหมายไว้ โดยโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ของบริษัทมีผลการดำเนินงานไม่ดีนักและต้องใช้เวลาในการปรับปรุงที่ยาวนานขึ้น
ในขณะที่โรงไฟฟ้าเดิม 2 แห่งของบริษัทก็ประสบปัญหาเครื่องจักรชำรุด ส่งผลให้โรงไฟฟ้าของบริษัทผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้ 315 กิกะวัตต์-ชั่วโมงในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 หรือคิดเป็นอัตราความสามารถในการผลิตไฟฟ้าที่ประมาณ 70%
ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากในอดีตที่ประมาณ 90% ทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทลดลง 15.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 364 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ขณะที่ อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ของบริษัทก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 27.8% จากระดับที่สูงกว่า 30% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
การคงอันดับเครดิตที่ระดับเดิมสะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถแก้ไขปัญหาด้านเทคนิคและฟื้นฟูประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าในภาพรวมให้กลับไปสู่ระดับเดิมได้ โดยประมาณการกรณีฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.8 พันล้านบาท ในปี 2565 เป็นระดับ 3.4-3.5 พันล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2566-2567 ซึ่งจะส่งผลทำให้ EBITDA เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.2 พันล้านบาทต่อปีได้ในช่วงปี 2566-2567 ทั้งนี้ EBITDA Margin ของบริษัทน่าจะฟื้นตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 29% ในปี 2565 เป็นระดับ 33%-34% ในช่วงปี 2566-2567
ระดับการก่อหนี้จะลดลง
บริษัทให้การค้ำประกันหนี้ของกิจการร่วมค้าตามสัดส่วนการถือหุ้นในกิจการร่วมค้านั้นๆ ดังนั้น ในการพิจารณาสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท ทริสเรทติ้งจึงรวมเอาสินทรัพย์ หนี้สิน และผลการดำเนินงานของกิจการร่วมค้าเข้ามารวมกับงบการเงินรวมของบริษัทตามสัดส่วนที่บริษัทถือหุ้นในกิจการร่วมค้าแต่ละแห่งด้วย
ระดับการก่อหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจากความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญของงานก่อสร้างโครงการใหม่ๆ รวมถึงผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของโรงไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของ EBITDA น่าจะช่วยลดระดับการก่อหนี้ลง
โดยทริสเรทติ้ง คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะลดลงเป็นประมาณ 4 เท่าในช่วงปี 2566-2567 จากระดับสูงสุดที่ 6.9 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนน่าจะอยู่ในช่วง 50%-60% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ในช่วง 10%-20% ในช่วงปี 2565-2567
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้งบลงทุนปีละ 0.3-0.8 พันล้านบาทตลอดระยะเวลาประมาณการ และ บริษัท สยาม พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 50% จะมีโครงการโรงไฟฟ้าขยะแห่งใหม่กำลังการผลิตรวม 30 เมกะวัตต์ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
โครงสร้างหนี้
ในการวิเคราะห์ระดับหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) นั้น ทริสเรทติ้งจะไม่ได้รวมหนี้ของกิจการร่วมค้าที่บริษัทให้การค้ำประกันเข้าไว้ด้วย ซึ่ง ณ เดือนมิถุนายน 2565 หนี้เงินกู้รวมของบริษัทมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 5 พันล้านบาท โดยจำนวน 3.4 พันล้านบาทถือเป็นหนี้ที่มีลำดับ
ในการได้รับชำระคืนก่อนซึ่งประกอบด้วยหนี้ทั้งหมดของบริษัทย่อย ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 68% ส่งผลให้เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมีความด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท
สภาพคล่องสามารถจัดการได้
ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าทั้งสิ้น 694 ล้านบาท โดยทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมทั้งเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดรวมกันอีกจำนวน 380 ล้านบาท สำหรับใช้เป็นแหล่งเงินสด ทำให้ทริสเรทติ้งเชื่อว่าสภาพคล่องของบริษัทน่าจะยังคงบริหารจัดการได้
บริษัทไม่มีข้อกำหนดทางการเงินสำหรับวงเงินกู้ที่มีกับธนาคาร อย่างไรก็ตาม หุ้นกู้ของบริษัทมีข้อกำหนดในการดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุนไม่เกิน 2.5 เท่า นอกจากนี้ บริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าของบริษัทยังต้องดำรงอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ไว้ที่ระดับไม่น้อยกว่า 1.1 เท่าหรือ 1.2 เท่าและต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1.2 เท่า 1.5 เท่า หรือ 2.5 เท่าอีกด้วย ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทรวมทั้งบริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวตลอดช่วง 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้าได้
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
แนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’หรือ ‘คงที่’สะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานโดยรวมของโรงไฟฟ้าของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นซึ่งจะช่วยลดระดับการก่อหนี้และเพิ่มกระแสเงินสดให้กับบริษัท อีกทั้งระดับการก่อหนี้และกระแสเงินสดเมื่อเทียบภาระหนี้จะอยู่ในระดับเดียวกับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์
ทั้งนี้ เนื่องจากทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทไทยโพลีคอนส์ เช่นเดิม แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทจึงจะยังคงได้รับอิทธิพลจากแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทไทยโพลีคอนส์
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
จากสถานะความเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทไทยโพลีคอนส์ การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของอันดับเครดิตของบริษัทไทยโพลีคอนส์ จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทเช่นเดียวกันด้วย ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าด้อยกว่าที่ทริสเรทติ้ง คาดไว้ อย่างมีนัยสำคัญ
หรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุนด้วยการก่อหนี้จำนวนมาก ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากผลการดำเนินงานและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและดีกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 |
บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.ไทยโพลีคอนส์’ ที่’BBB-‘แนวโน้ม’Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความมั่นคงของกระแสเงินสดที่บริษัทได้รับจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความเป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจก่อสร้างลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ลดทอนลงจากความไม่แน่นอนของปริมาณและความผันผวนของราคาวัตถุดิบเชื้อเพลิงที่ใช้ป้อนโรงไฟฟ้า ตลอดจนการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังได้รับแรงกดดันจากความสามารถในการแข่งขันที่ไม่สูงนักของบริษัทรวมถึงอัตรากำไรที่เบาบางในธุรกิจก่อสร้างอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
กระแสเงินสดที่มั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า
อันดับเครดิตของบริษัทมีพื้นฐานหลักมาจากกระแสเงินสดที่มั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นสำคัญ โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้นสร้างกำไรในสัดส่วนมากกว่า 90% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัท ธุรกิจผลิตไฟฟ้าบริหารงานโดย บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)
ซึ่งเป็นบริษัทย่อยหลักที่สร้างกำไรให้แก่บริษัท ณ ปัจจุบันบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง มีโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ดำเนินการแล้วจำนวน 10 แห่งและมีโรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่ดำเนินการแล้วอีก 1 แห่ง โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมกัน 106.5 เมกะวัตต์
ความมั่นคงของกระแสเงินสดในธุรกิจผลิตไฟฟ้าเกิดจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ผลิตและผู้จ่ายกระแสไฟฟ้าที่เป็นหน่วยงานภาครัฐที่น่าเชื่อถือ โดยผลกำไรจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทริสเรทติ้งในการพิจารณาสถานะเครดิตของบริษัทซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความผันผวนของผลกำไรที่มาจากธุรกิจก่อสร้าง
ความเสี่ยงจากปริมาณและความผันผวนของราคาวัตถุดิบเชื้อเพลิง
ธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทเผชิญกับความเสี่ยงในด้านการจัดหาวัตถุดิบเชื้อเพลิง โดยโรงไฟฟ้าชีวมวลใช้ไม้สับ แกลบ กะลามะพร้าว และพืชโตเร็วอื่นๆ ในการผลิตไฟฟ้า ในขณะที่ความเพียงพอของวัตถุดิบเชื้อเพลิงนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ ฤดูกาล การใช้ชีวมวลในอุตสาหกรรมอื่นๆ และจำนวนของโรงไฟฟ้าชีวมวล เป็นต้น
เพื่อให้มีวัตถุดิบเชื้อเพลิงที่เพียงพอ บริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จึงได้ทำสัญญาจัดหาวัตถุดิบระยะยาวกับผู้จำหน่ายท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญายังถือว่าเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ผลกำไรของโรงไฟฟ้าของบริษัทยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบเชื้อเพลิงอีกด้วย โดยราคาของวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวมวลนั้นอาจแกว่งตัวขึ้น และลงเป็นอย่างมากอีกทั้งยังแปรเปลี่ยนไปตามความชื้นและค่าความร้อนอีกด้วย
ในส่วนของพลังงานจากขยะนั้น ชนิดของขยะที่ต่างกันก็ให้ค่าความร้อนที่แตกต่างกันในขณะที่สิ่งเจือปนก็อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในการดำเนินงานได้ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานขยะแห่งแรกของบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้งนั้นยังจำเป็นต้องรอการพิสูจน์ต่อไปเนื่องจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวเพิ่งเริ่มเปิดดำเนินการในช่วงปลายปี 2564
ผลการดำเนินงานของธุรกิจผลิตไฟฟ้าอ่อนแอลง
ธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เนื่องจากโรงไฟฟ้าบางแห่งผลิตไฟฟ้าได้ต่ำกว่าที่คาดหมายไว้ โดยโรงไฟฟ้าใหม่ๆ มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าเกณฑ์และต้องใช้เวลาในการปรับปรุงที่ยาวนานขึ้น
ในขณะที่โรงไฟฟ้าเดิมอีก 2 แห่งก็มีปัญหาเครื่องจักรชำรุด ส่งผลให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 อัตราความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของบริษัทลดต่ำลงมาอยู่ที่ประมาณ 70% ซึ่งต่ำกว่าในอดีตที่ประมาณ 90% อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถแก้ไขปัญหาด้านเทคนิคและค่อยๆ ฟื้นฟูประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าในภาพรวมให้กลับสู่ระดับปกติได้
การแข่งขันในธุรกิจผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น
ทริสเรทติ้ง มองเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทยเนื่องจากรัฐบาลจะเพิ่มสัดส่วนของไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้นโดยคาดว่าจะมีการเปิดโควต้าการรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ในไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าการแข่งขันในธุรกิจผลิตไฟฟ้าภายในประเทศนั้นเพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศที่อยู่ในระดับสูงก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ได้
โรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งใหม่ๆ ของบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้งนั้นมีราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่ลดต่ำลงจากการประมูลแข่งขันที่รุนแรง ทำให้จำเป็นจะต้องเพิ่มความรัดกุมในการควบคุมต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ในขณะที่การลงทุนใหม่ๆ
ทั้งในโครงการที่เริ่มใหม่ (Greenfield Projects) หรือโครงการที่มีอยู่แล้ว (Brownfield Projects) ก็อาจให้ผลตอบแทนที่ลดต่ำลงอันเนื่องมาจากราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่ต่ำหรือต้นทุนในการซื้อโครงการที่สูง ซึ่งน่าจะส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้งลดต่ำลงในระยะยาว
โดยในอนาคต ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทดังกล่าว จะหันไปมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะแทนเมื่อพิจารณาถึงราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่น่าสนใจกว่าโรงไฟฟ้าชีวมวล นอกจากนี้ บริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง ก็อาจจะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม โครงการภายในประเทศ น่าจะยังคงเป็นสินทรัพย์และผลการดำเนินงานหลักของบริษัทต่อไป
ธุรกิจก่อสร้างมีความสามารถในการแข่งขันไม่สูงนัก
ทริสเรทติ้ง เห็นว่า บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจก่อสร้างที่ไม่สูงนักเมื่อพิจารณาจากขนาดของธุรกิจและผลงานในอดีตของบริษัท โดยมูลค่าสัญญาก่อสร้างของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในระดับไม่เกิน 1 พันล้านบาทต่อสัญญา ซึ่งทำให้ฐานรายได้จากการก่อสร้างมีขนาดค่อนข้างเล็กที่ประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทยังมีขอบเขตงานก่อสร้างที่ค่อนข้างแคบโดยเน้นเฉพาะงานก่อสร้างอาคาร เช่น โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย โรงแรม และศูนย์การค้า
ความพยายามอย่างต่อเนื่องของภาครัฐในการเร่งพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทำให้ทริสเรทติ้งมีมุมมองในด้านบวกต่อธุรกิจก่อสร้างภายในประเทศในระยะปานกลาง โดยการก่อสร้างภาครัฐน่าจะมีแนวโน้มที่สดใสกว่าการก่อสร้างภาคเอกชน
อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าของการเปิดประมูลโครงการภาครัฐและการแข่งขันที่เข้มข้นก็เป็นปัจจัยที่จำกัดอัตรากำไรของผู้รับเหมาและสร้างอุปสรรคในการเข้ามาแข่งขันโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รับเหมารายเล็กๆ ซึ่งทำให้บริษัทยังคงมุ่งเน้นงานก่อสร้างในภาคเอกชนต่อไปในระยะ 3 ปีข้างหน้า
ขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ
บริษัทมีความพยายามในการสร้างความหลากหลายทางธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยล่าสุดบริษัทได้เข้าซื้อหุ้นของ บริษัท วาย. เอส. เอส. พี. แอกกริเกต จำกัด ในสัดส่วน 20% ซึ่งบริษัทดังกล่าวถือสัมปทานจัดจำหน่ายน้ำดิบระยะยาวเพื่อให้บริการแก่โรงงานอุตสาหกรรรมในพื้นที่จังหวัดระยอง
นอกจากนั้น บริษัทยังเพิ่งขยายไปสู่ธุรกิจระบบจอดรถอัตโนมัติและธุรกิจกำจัดมลภาวะทางอากาศอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งไม่ได้คาดหวังว่าธุรกิจใหม่ดังกล่าวจะสร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญให้แก่บริษัทเนื่องจากยังอยู๋ในช่วงเริ่มต้น
อัตรากำไรที่ค่อนข้างต่ำของธุรกิจก่อสร้าง
เนื่องจากธุรกิจก่อสร้างมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้รวมของบริษัท ธุรกิจดังกล่าวจึงจะยังมีส่วนสำคัญต่อผลการดำเนินงานในภาพรวมของบริษัทอยู่ ทั้งนี้ ธุรกิจดังกล่าวมีผลการดำเนินงานอ่อนแอลงจากการเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)
โดยต้นทุนค่าก่อสร้างโครงการที่เพิ่มขึ้นส่งผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในธุรกิจก่อสร้างลดต่ำลงจนติดลบ 9.1% ในปี 2564 และติดลบ 3.5% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะสามารถฟื้นฟูอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจก่อสร้างได้สำเร็จตามแผนการที่วางไว้ โดยบริษัทได้ขยายไปสู่งานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นและทำระบบจัดซื้อวัสดุแบบรวมศูนย์เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองกับผู้ค้าวัสดุ
อย่างไรก็ตาม งานก่อสร้างในมือจำนวนประมาณ 3.5 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำนั้นน่าจะยังทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจก่อสร้างทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 6% และเมื่อรวมธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่มีกำไรสูงเข้ามาด้วยแล้ว อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทก็น่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 11%-17% ในช่วงปี 2565-2567
คาดหมายว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้น
การคงอันดับเครดิตในครั้งนี้สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นทั้งในธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจก่อสร้าง ทั้งนี้ ประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับ 5.2-6.3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 โดยรายได้จากธุรกิจก่อสร้างและธุรกิจใหม่ของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับ 2.3-2.7 พันล้านบาทต่อปี
ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าจะอยู่ที่ระดับ 2.8-3.5 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่าบริษัทจะได้รับงานก่อสร้างมูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาทในปี 2565 และ 2 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567 โดยที่บริษัทยังไม่มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ในช่วงดังกล่าว
ทริสเรทติ้ง คาดว่า อัตรากำไรของธุรกิจก่อสร้างและธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทจะฟื้นตัวซึ่งจะทำให้ EBITDA เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.1 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567 จาก 0.6 พันล้านบาทในปี 2565 ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567 จาก 0.3 พันล้านบาทในปี 2565
ทั้งนี้ อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 11% ในปี 2565 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 17% ในช่วงปี 2566-2567
ระดับการก่อหนี้น่าจะลดต่ำลง
บริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้งให้การค้ำประกันหนี้ของกิจการร่วมค้าตามสัดส่วนที่บริษัทถือหุ้นในกิจการร่วมค้านั้น ๆ ดังนั้น ในการพิจารณาสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทไทยโพลีคอนส์ ทริสเรทติ้ง จึงได้รวมเอาสินทรัพย์ หนี้สิน และผลการดำเนินงานของกิจการร่วมค้าเข้ามารวมกับงบการเงินรวมของบริษัทไทยโพลีคอนส์ตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้งในกิจการร่วมค้าแต่ละแห่งด้วย
สถานะทางการเงินของบริษัทไทยโพลีคอนส์อ่อนแอลงในช่วงที่ผ่านมา โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 13.6 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าการฟื้นตัวของกำไรจะช่วยลดอัตราส่วนดังกล่าวให้ลงมาอยู่ที่ประมาณ 6 เท่าได้ในช่วงปี 2566-2567
ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 12% ในช่วงปี 2566-2567 จากประมาณ 5% ในปี 2565 โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทน่าจะอยู่ในช่วง 60%-65% ในช่วงเวลาประมาณการ ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินลงทุนต่อปีของบริษัทน่าจะอยู่ที่ 0.3-0.9 พันล้านบาท
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า และบริษัทน่าจะบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มขึ้นของระดับการก่อหนี้
โครงสร้างหนี้
ในการวิเคราะห์ระดับหนี้ ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ของบริษัทไทยโพลีคอนส์นั้น ทริสเรทติ้งไม่ได้รวมหนี้ของกิจการร่วมค้าที่บริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้งให้การค้ำประกันเข้ามาด้วย ดังนั้น หนี้เงินกู้รวมของบริษัทไทยโพลีคอนส์จึงมีจำนวนทั้งสิ้น 6.3 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งจำนวน 5.5 พันล้านบาท ถือเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน
ซึ่งประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทเองและหนี้ทั้งหมดของบริษัทย่อย ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 87% ซึ่งส่งผลให้เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมีความด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท
สภาพคล่องสามารถจัดการได้
บริษัทมีหนี้ระยะสั้นและหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้ารวมกันทั้งสิ้นจำนวนประมาณ 1.5 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2565 โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการหนี้ระยะสั้นซึ่งใช้สำหรับกิจกรรมก่อสร้างเป็นหลักได้
นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมทั้งเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดรวมกันที่จำนวน 1.2 พันล้านบาทอีกด้วย ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ 530 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทจึงมีแหล่งสภาพคล่องจำนวนรวมกันประมาณ 1.7 พันล้านบาทซึ่งน่าจะเพียงพอ สำหรับใช้ชำระหนี้ที่จะครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้าได้ทั้งจำนวน
หุ้นกู้ของบริษัทมีข้อกำหนดในการดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุนไม่เกิน 2.5 เท่า ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.7 เท่า ณ เดือนมิถุนายน 2565 นอกจากนี้ บริษัทย่อยของบริษัทซึ่งประกอบด้วยบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้งและบริษัทย่อยรวมถึงกิจการร่วมค้าของบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง
ยังมีข้อกำหนดในการดำรงอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ไว้ไม่น้อยกว่า 1.1 เท่า และ 1.2 เท่าและต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ไม่เกิน 1.2 เท่า 1.5 เท่า และ 2.5 เท่าอีกด้วย ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าแต่ละบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงเวลา 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้า
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทต่อไป นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของทั้งธุรกิจก่อสร้างและธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาและทำให้ระดับการก่อหนี้รวมถึงกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของธุรกิจก่อสร้างและ/หรือธุรกิจผลิตไฟฟ้าต่ำกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งอย่างมีนัยสำคัญ หรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมากจากการลงทุนด้วยการก่อหนี้ในระดับสูง ในขณะที่การปรับเพิ่มอันดับเครดิตนั้นมีค่อนข้างจำกัด แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 |
บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) (TPOLY)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร’บ.ลานนารีซอร์สเซส’ ที่ ‘A-‘แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘A-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำ ตลอดจนสถานะทางการเงินที่มีหนี้สินในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย และแนวโน้มของความต้องการถ่านหินทั่วโลกที่จะลดลงในระยะยาวจากกระแสการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ประวัติการทำเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียที่ยาวนาน และต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำ
บริษัทเป็นผู้ผลิตถ่านหินขนาดกลางในประเทศไทย โดยมีเหมืองถ่านหิน 2 แห่งในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งดำเนินการภายใต้บริษัทย่อย 2 แห่งของบริษัท ได้แก่ PT Lanna Harita Indonesia (LHI) และ PT Singlurus Pratama (SGP) ทั้งนี้ ธุรกิจเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียของบริษัทสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70%-80% ของ EBITDA รวม นอกจากนี้ บริษัทยังประกอบธุรกิจผลิตเอทานอลซึ่งสร้าง EBITDA ในสัดส่วนที่เหลืออีกด้วย
สถานะด้านเครดิตของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากประสบการณ์ในธุรกิจเหมืองถ่านหินที่ยาวนานกว่า 30 ปีและการดำเนินงานที่มั่นคงในประเทศอินโดนีเซีย บริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2541 โดยผ่านการร่วมทุนกับพันธมิตรชาวอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทยังมาจากต้นทุนในการทำเหมืองที่ต่ำซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากลักษณะการทำเหมืองแบบเปิด (Open-pit Mining) รวมถึงระยะทางระหว่างเหมืองกับท่าเรือที่ไม่ไกลกัน และการบริหารจัดการด้านขนส่งที่มีประสิทธิภาพของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทมีต้นทุนการผลิตที่เป็นเงินสดอยู่ที่ 19-22 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยต้นทุนที่ต่ำนั้นถือเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้บริษัทสามารถผ่านช่วงที่อุตสาหกรรมตกต่ำอย่างรุนแรงไปได้
ปริมาณถ่านหินสำรองที่ยังมีอายุประมาณ 7-10 ปี
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 ปริมาณสำรองถ่านหินของบริษัทมีจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 71.1 ล้านตันซึ่งบ่งบอกว่าบริษัทยังสามารถผลิตถ่านหินได้อีกประมาณ 9 ปี เมื่อเทียบกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ 7.5-8.0 ล้านตันต่อปี ด้วยราคาถ่านหินที่สูงในปัจจุบัน บริษัทได้วางแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 9.0-9.5 ล้านตันต่อปีในระหว่างปี 2566-2568 โดยปริมาณการผลิตของ SGP ตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 5.5-6.5 ล้านตันต่อปี ในขณะที่ ปริมาณการผลิตของ LHI จะอยู่ที่ประมาณ 3.5 ล้านตันต่อปี
ปริมาณสำรองถ่านหินที่มีอยู่ส่วนใหญ่นั้นมีค่าความร้อนต่ำ ซึ่งราคาขายจะมีส่วนลดค่อนข้างมากเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีมาตรฐานที่ใช้แพร่หลายทั่วโลก เช่น ดัชนีราคาถ่านหินของนิวคาสเซิล โดยค่าความร้อนของบริษัทนั้นอยู่ในช่วง 3,200-5,000 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม
ความเสี่ยงจากกฎระเบียบในการทำเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย
บริษัทมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเรื่อง Domestic Market Obligation (DMO) ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งกฎระเบียบดังกล่าวกำหนดให้บริษัทจะต้องจำหน่ายถ่านหินในสัดส่วนประมาณ 25% ของปริมาณการผลิตถ่านหินในแต่ละปีให้กับตลาดในประเทศอินโดนีเซีย โดย ณ ปัจจุบัน อัตรากำไรจากการจำหน่ายถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียนั้นต่ำกว่าการส่งออกอย่างมาก เนื่องจากราคาจำหน่ายในประเทศนั้นถูกจำกัดไว้ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันตามดัชนี HBA นอกจากนี้ บทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเข้มงวดมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะรักษาอุปทานของถ่านหินในประเทศ
โดยบทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม DMO ประกอบด้วยการปรับลดปริมาณการผลิตที่อนุญาตให้ผลิตได้ในปีถัดไป หรือการสั่งระงับการส่งออกจนกว่าจะสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดใน DMO ได้ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบดังกล่าว แต่ทริสเรทติ้ง ก็เชื่อว่า บริษัทจะปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษเหล่านั้นได้
นอกจากนี้ ยังมีกฎระเบียบที่กำหนดให้บริษัทจะต้องจำหน่ายหุ้นที่ถือครองอยู่ใน LHI และ SGP ให้แก่หน่วยงานภาครัฐของประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากบริษัทต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้ถือหุ้นสูงสุดได้เพียง 49% ทั้งนี้ กระบวนการจำหน่ายหุ้นดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จเนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐแสดงความสนใจที่จะซื้อหุ้นของทั้งสองบริษัท อย่างไรก็ดี การลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในอนาคตจะมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจถ่านหินของบริษัทไม่มากนัก เนื่องจากทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดและมีอำนาจควบคุมบริษัททั้งสองเช่นเดิม
ผลกำไรสูงเป็นพิเศษในปี 2565
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564-2565 ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากราคาถ่านหินที่สูงกว่าปกติ อันเป็นผลจากวิกฤตพลังงานซึ่งเกิดจากการคว่ำบาตรของทวีปยุโรปต่อประเทศรัสเซีย ราคาถ่านหินนิวคาสเซิลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากราคาเฉลี่ยที่ 220 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในเดือนมกราคม 2565 มาอยู่ที่ประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565
โดยความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดจากธุรกิจถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากนั้น สามารถชดเชยผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นรวมถึงผลขาดทุนจากการดำเนินงานของธุรกิจเอทานอลได้ทั้งหมด
ในช่วงที่ราคาถ่านหินมีราคาแพง บริษัทได้เร่งการผลิตถ่านหิน โดยเพิ่มปริมาณการจำหน่ายถ่านหินทั้งหมดเป็น 4.16 ล้านตันในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 18.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 93% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 5.07 พันล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 165% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเมื่อเทียบกับรายได้ (EBITDA Margin) อยู่ที่ 40.2% เทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 17%-18% ในปีปกติ
ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า ความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานของถ่านหินจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากราคาถ่านหินที่สูงจะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเหมืองถ่านหินต่างๆ เพิ่มกำลังการผลิต ในขณะเดียวกัน ก็คาดว่าวิกฤตพลังงานในทวีปยุโรปนั้นน่าจะค่อยๆ คลี่คลายจากการลดการพึ่งพาพลังงานจากประเทศรัสเซีย รวมไปถึงนโยบายการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความต้องการถ่านหินในระยะยาวยังคงอยู่ในทิศทางขาลง อันเป็นผลจากการที่หลายๆ ประเทศได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต
ในสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่า ราคาถ่านหินทั่วโลกจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงตลอดปี 2565 ก่อนที่จะอ่อนตัวลงในปี 2566 และ 2567 แต่ทั้งนี้ ก็ยังคาดว่าราคาถ่านหินทั่วโลกจะยังคงอยู่ที่ระดับสูงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน โดย EBITDA ของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ก่อนที่จะลดลงสู่ระดับปกติที่ 4 พันล้านบาทในปี 2567 โดย EBITDA Margin จะอยู่ที่ประมาณ 40% ในปี 2565 และจะอยู่ที่ประมาณ 25% ในปี 2567
หนี้สินยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า ความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากการดำเนินนโยบายด้านการเงินอย่างระมัดระวังของบริษัท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่บริษัทจะมีการลงทุนหรือซื้อกิจการใหม่ๆ เนื่องจากบริษัทกำลังมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืน เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน หรือการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า กระแสเงินสดจำนวนมากที่บริษัทจะได้รับ และงบดุลที่แข็งแรงน่าจะเพียงพอที่จะรองรับการลงทุนเหล่านั้นได้ จากสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทต่อ EBITDA จะยังคงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2 เท่า และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะสูงกว่า 60% ในช่วงปี 2565-2567
สภาพคล่องของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยประเมินจากเงินสดคงเหลือ 4.17 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 เทียบกับภาระในการชำระหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวรวม 1.17 พันล้านบาท
โครงสร้างหนี้
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้สินตามที่รายงานซึ่งไม่รวมหนี้จากสัญญาเช่าการเงินอยู่ที่จำนวน 1.73 พันล้านบาทซึ่งทั้งหมดเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน ซึ่งหมายความว่า อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 100% ซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงจากการด้อยสิทธิของเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการด้อยสิทธินั้นลดทอนลงด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’หรือ’คงที่’ สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าสถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแรง และธุรกิจเหมืองถ่านหินของบริษัทในประเทศอินโดนีเซียจะยังคงดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่น
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตนั้นมีจำกัดเนื่องจากอุปสงค์ในการใช้ถ่านหินมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว ซึ่งมีปัจจัยผลักดันมาจากกระแสการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากสถานะทางธุรกิจของบริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้นจนส่งผลให้กระแสเงินสดและกำไรขยายตัวและมีเสถียรภาพมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่บริษัทยังสามารถรักษางบการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ต่อไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้จากการที่บริษัทมีธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากหรือสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญเป็นระยะเวลานานซึ่งอาจเกิดจากอุปสงค์ถ่านหินทั่วโลกที่ลดลงอย่างรวดเร็วหรือมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในประเทศอินโดนีเซียที่ส่งผลกระทบในทางลบเป็นอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจถ่านหินของบริษัท
ในขณะที่การซื้อกิจการโดยการก่อหนี้จนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 1.5 เท่าเป็นระยะเวลานานนั้นก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตได้ด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) (LANNA)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.บีซีพีจี’ เป็น’A’จาก ‘A-‘แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง เพิ่ม อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ ‘A’ จากเดิมที่ระดับ ‘A-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ’คงที่’โดยอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นไปตามการเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) เป็น ‘A/Stable’ จากเดิม ‘A-/Stable’ ในวันที่ 27 ตุลาคม 2565 นี้
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Standalone Credit Profile – SACP) ยังคงอยู่ที่ระดับ ‘bbb+’ โดยอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ’A’ ซึ่งสูงกว่าอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอยู่ 2 ขั้นนั้นสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่เห็นว่าบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ BCP
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงรายได้ที่แน่นอนและสินทรัพย์โรงไฟฟ้าของบริษัทที่มีการกระจายตัวเป็นอย่างดี ในทางกลับกัน ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนโดยความเสี่ยงในการบริหารงานโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้บรรลุเป้าหมาย (Execution Risk) และระดับภาระหนี้ของบริษัทที่คาดว่าจะสูงขึ้นเพื่อการสนับสนุนกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นบริษัทย่อยหลักของ BCP
ทริสเรทติ้ง มีความเห็นว่า บริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ BCP เนื่องจากทริสเรทติ้ง มองว่า บริษัทมีส่วนที่สำคัญต่อกลยุทธ์ในอนาคตของ BCP โดยปัจจุบัน BCP ถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 57.4% และมีอำนาจควบคุมกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและนโยบายทางการเงินของบริษัทโดยผ่านทางคณะกรรมการบริษัท รวมถึงคณะกรรมการการลงทุน และผู้บริหารระดับสูงของบริษัท
บริษัทเป็นหน่วยธุรกิจซึ่งมีหน้าที่ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนให้แก่ BCP ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์การขยายไปยังธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนและส่งเสริมความยั่งยืนของกลุ่มบางจากต่อไป อีกทั้ง บริษัทจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการไปให้ถึงเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ของกลุ่มอีกด้วย
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง ก็คาดว่า บริษัทจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในจำนวนมากพอสมควรให้แก่ BCP ซึ่งการมีกระแสเงินสดที่มั่นคงนั้นช่วยให้บริษัทสามารถลดความผันผวนในธุรกิจโรงกลั่นของ BCP ได้เป็นอย่างมาก
การลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีการกระจายตัวดี
ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทเป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ดำเนินงานแล้วจำนวน 32 โครงการด้วยกำลังการผลิตตามสัญญารวมตามสัดส่วนการลงทุนของบริษัทที่ขนาด 390 เมกะวัตต์ ซึ่งประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 65% โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 29% และโรงไฟฟ้าพลังงานลม 6%
โรงไฟฟ้าของบริษัทตั้งอยู่ใน 4 ประเทศคือ ไทย (47%) ญี่ปุ่น (20%) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) (29%) และฟิลิปปินส์ (4%) ทริสเรทติ้งมองว่ากลยุทธ์การลงทุนของบริษัทที่มีการกระจายตัวดีจะช่วยลดความเสี่ยงให้แก่บริษัทได้ทั้งในแง่ของประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุนและมีแหล่งพลังงานในการผลิตไฟฟ้าที่พึ่งพาได้
มีกระแสเงินสดที่มั่นคง
รายได้ที่มั่นคงของบริษัทมาจากการที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และผู้รับซื้อไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือหลายๆ รายในประเทศญี่ปุ่น
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเป็นส่วนหลักในการสร้างรายได้ของบริษัทโดยคิดเป็นประมาณ 80% ของ EBITDA เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินงานแล้ว โดยกระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นั้นสามารถคาดการณ์ได้ในระดับสูงจากการที่มีราคาค่าไฟฟ้าที่แน่นอนและมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำ
กำลังการผลิตใหม่ช่วยลดแรงกดดันจากการหมดอายุของค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม
กำลังการผลิตรวมตามสัญญาของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยทั้งหมดที่จำนวน 176 เมกะวัตต์นั้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60%-70% ของ EBITDA ทั้งหมดของบริษัท โดยมีจำนวน 133 เมกะวัตต์ที่ได้รับค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) ที่อัตรา 8 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (หน่วย) ในช่วง 10 ปีแรกหลังจากเปิดดำเนินงาน ซึ่งคิดเป็นรายได้จากค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มที่ประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ในส่วนนี้จะค่อย ๆ ทยอยลดลงตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไปเมื่อค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มของโรงไฟฟ้าบางส่วนของบริษัททยอยหมดอายุลง โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้ของบริษัทในส่วนนี้จะลดลงอย่างมากในปี 2567
และจะหมดไปในปี 2568 เพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทได้เตรียมความพร้อมโดยการซื้อกิจการโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว ไว้แล้วจำนวน 2 แห่งซึ่งมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 114 เมกะวัตต์และเปิดดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นอีกจำนวน 3 แห่ง (รวม 65 เมกะวัตต์)
ทริสเรทติ้ง คาดว่า โครงการดังกล่าวจะสร้าง EBITDA ให้แก่บริษัทที่ประมาณ 1.6-1.8 พันล้านบาทต่อปีเมื่อดำเนินงานเต็มปี
ยังคงขยายสินทรัพย์โรงไฟฟ้าต่อไป
บริษัทอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้นอีก 719 เมกะวัตต์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาดใหญ่ใน สปป. ลาว และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีกหลายแห่งในไต้หวัน ปัจจุบันบริษัทมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการ ‘Monsoon’ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมแห่งแรกใน สปป. ลาว
โดยโครงการมีขนาด 600 เมกะวัตต์และจะจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าประเทศเวียดนาม (Vietnam Electricity -- EVN) ภายในสิ้นปี 2568 โครงการดังกล่าวจะเพิ่มกำลังการผลิตให้แก่บริษัทที่จำนวนราวๆ 230 เมกะวัตต์เมื่อคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นในสัดส่วน 38% ของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีกหลายแห่งในไต้หวันซึ่งจะค่อยๆ เพิ่มกำลังการผลิตรวมจำนวน 469 เมกะวัตต์ในช่วงปี 2566-2567 ทริสเรทติ้ง ยังคาดด้วยว่า บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นจากโอกาสในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าโครงการใหม่ๆ ภายในประเทศจะเริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
มีการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคต
บริษัทกำลังขยายไปสู่ธุรกิจสายส่งไฟฟ้าและสถานีไฟฟ้าย่อย โดยเมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้ลงทุนในระบบสายส่งไฟฟ้าข้ามพรมแดนด้วยการซื้อหุ้น 25% ใน Nam Tai Hydropower Sole Co., Ltd. (Nam Tai) บริษัทจะชำระเงินด้วยการโอนรายการลูกหนี้การค้าที่มีกับการไฟฟ้าลาว (Electricite du Laos -- EDL) ให้แก่ผู้ขายรวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในทางกลับกัน บริษัทจะได้รับสิทธิ์ในทางเศรษฐกิจ (Economic Rights) จำนวน 50% ในระบบสายส่งซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการจำหน่ายไฟฟ้าจาก สปป. ลาว ไปยังประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ ธุรกรรมดังกล่าวยังมีส่วนช่วยในแผนธุรกิจของบริษัทที่จะเปลี่ยนผู้รับซื้อไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 2 แห่งคือ ‘Nam San 3A’ และ ‘Nam San 3B’ จาก EDL มาเป็น EVN อีกด้วย
นอกเหนือจากโครงการที่กล่าวไปแล้ว ทริสเรทติ้ง ยังมีสมมติฐานว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนอีกราว 6.3 พันล้านบาทสำหรับการซื้อกิจการโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานอยู่แล้วในช่วงปี 2565-2566 ซึ่งจะช่วยเร่งกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทเนื่องจากโครงการเหล่านี้จะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ทันที
เมื่อพิจารณาจากนโยบายวินัยทางการเงินของบริษัทแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทเพิ่งขายผลประโยชน์ทั้งหมดในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียไป โดยบริษัทได้รับเงินสดจำนวน 1.45 หมื่นล้านบาทและจะรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนเป็นจำนวน 2 พันล้านบาท การขายเงินลงทุนดังกล่าวช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ตามแผนงานของบริษัท
ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าบริษัทอาจพิจารณาขายเงินลงทุนในโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันออกไปบางส่วนเพื่อช่วยลดภาระหนี้ที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ขยายกำลังการผลิต ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า บริษัทจะจ่ายเงินสุทธิรวมทั้งสิ้นที่ราวๆ 3.75 หมื่นล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและเงินลงทุนอื่นๆ ในระหว่างปี 2565-2568
ความเสี่ยงในการดำเนินโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
กำไรในอนาคตของบริษัทขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการพัฒนาโครงการเป็นสำคัญ ในช่วงที่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ บริษัทยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการโดยเฉพาะอย่างยิ่งความล่าช้าในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม
ทั้งนี้ การพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมมักมีความเสี่ยงในการก่อสร้างค่อนข้างสูงจากการออกแบบและการก่อสร้าง โดยความล่าช้าในการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายที่เกินกว่างบประมาณอาจส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อความเป็นไปได้ของโครงการ
นอกจากนี้ การลงทุนของบริษัทในโรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาดใหญ่จะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงด้านทรัพยากรที่สูงกว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีกด้วย ทั้งนี้ การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำเป็นหลักซึ่งอาจมีความแปรปรวนเป็นอย่างมากในแต่ละปี
ในขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าพลังงานลมก็มีความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงานที่สูงกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสียหายของกลไกเครื่องจักรกลในการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้ ความสำเร็จของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมยังขึ้นอยู่กับปริมาณและความเร็วของกระแสลมอีกด้วย
รายได้และภาระหนี้มีแนวโน้มสูงขึ้น
ทริสเรทติ้ง มีสมมติฐานว่า บริษัทจะสามารถพัฒนาโครงการและซื้อกิจการได้ตามแผนการที่วางไว้และโรงไฟฟ้าของบริษัทน่าจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจต่อไป ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่า รายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ราว 5.4 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.4-7.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568
ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า บริษัทจะมี EBITDA ที่ระดับ 3.6 พันล้านบาทในปี 2565 และจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 6 พันล้านบาทต่อปีภายในปี 2568 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA จะอยู่ที่ราว 7-8 เท่าในช่วงปี 2566-2568 และคาดการณ์ว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อทุนจะอยู่ที่ระดับ 50%-57% ในระหว่างปี 2566-2568
มีสภาพคล่องที่น่าพอใจ
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า ปัจจุบันบริษัทมีสถานะสภาพคล่องที่น่าพอใจ โดย ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีเงินสดในมือประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ (วงเงินที่ไม่สามารถยกเลิกได้และวงเงินที่ไม่มีภาระผูกพัน) ประมาณ 1.2 พันล้านบาท
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 2.2 พันล้านบาทในปี 2565 ดังนั้น เงินสดและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ ตลอดจนเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดการณ์ไว้จะเพียงพอสำหรับการชำระเงินกู้ระยะยาวที่จะถึงกำหนดราว 3.9 พันล้านบาทได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
โครงสร้างหนี้สิน
ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้ตามงบการเงินรวมทั้งสิ้นจำนวน 2.57 หมื่นล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) จำนวน 7.5 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ยืมของบริษัทย่อย ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับ 29%
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถดำรงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจเอาไว้ได้โดยที่การก่อสร้างและการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ นั้นคาดว่า จะสำเร็จได้ตามแผน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทและกระแสเงินสดต่อภาระหนี้จะอยู่ในระดับที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ตลอดระยะเวลาในการขยายธุรกิจของบริษัท
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดเพิ่มมากขึ้นซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้ลงได้อย่างมีสาระสำคัญ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงไปจากที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญ หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากซึ่งอาจเกิดจากการก่อหนี้เพื่อการลงทุนในระดับสูง
ทั้งนี้ ภายใต้ ‘เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ’ (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้งนั้น อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทจะขึ้นอยู่กับอันดับเครดิตองค์กรของ BCP ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับอันดับเครดิตของ BCP ก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทในทิศทางเดียวกันได้ นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทยังอาจเปลี่ยนแปลงได้หากมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าสถานะของบริษัทที่มีต่อกลุ่มบางจากนั้นอ่อนแอลง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 |
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
BCPG249A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A |
BCPG269A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
A |
BCPG289A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
A |
BCPG319A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 |
A |
BCPG339A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2576 |
A |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.บีบีจีไอ’ เป็น ‘A-‘ จาก’BBB+’แนวโน้ม’Stable’
ทริสเรทติ้ง ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) เป็น ‘A-‘จากเดิมที่ระดับ’BBB+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ การปรับเพิ่มอันดับเครดิตนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มาอยู่ที่ระดับ ‘A/Stable’ จากเดิมที่ระดับ ‘A-/Stable’ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2565
อันดับเครดิต ‘A-‘ ได้รับการปรับเพิ่มขึ้น 2 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะ (Standalone Credit Profile -- SACP) ของบริษัทที่ระดับ ‘bbb’ ซึ่งสะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งว่า บริษัทเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท ยังคงสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำด้านเชื้อเพลิงชีวภาพของบริษัทในประเทศไทย ซึ่งมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันจากความแข็งแกร่งของกลุ่มผู้ถือหุ้นหลัก ทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบจนไปถึงการจำหน่าย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนลงจากอุปทานส่วนเกินของเชื้อเพลิงชีวภาพ การแข่งขันที่รุนแรง และกำไรที่มีความผันผวน
ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวได้พิจารณาถึงโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นจากเงินเพิ่มทุนที่ได้รับจากการเสนอขายหลักทรัพย์ให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering -- IPO) ในเดือนมีนาคม 2565 อย่างไรก็ดี อันดับเครดิตของบริษัทยังคงถูกกดดันจากผลประกอบการที่ถดถอยลงอันเนื่องมาจากการปรับตัวขึ้นสูงของต้นทุนวัตถุดิบในปี 2565
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่า ผลประกอบการของบริษัทจะฟื้นตัวในช่วงปี 2566-2567 โดยคาดว่า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 3.0 เท่าในช่วงปี 2566-2567 แม้จะมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้น หากบริษัทสามารถเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและ/หรือจากธุรกิจใหม่ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยโครงสร้างเงินทุนยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลง หากผลการดำเนินงานของบริษัทด้อยกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมาก
อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอาจมีการเปลี่ยนแปลง หากอันดับเครดิตของบริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่นมีการเปลี่ยนแปลง หรือระดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับบริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่นเปลี่ยนแปลงไป
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) (BBGI)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2565 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด