BEM กำไรไตรมาส 3 ทำ New High นับตั้งแต่เผชิญโควิด
ดร. สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการทางพิเศษและรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง โชว์ผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 3/2565 โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท จำนวน 863 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จำนวน 755 ล้านบาทหรือร้อยละ 699 มีรายได้จากการดำเนินงาน จำนวน 3,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1,585 ล้านบาท หรือร้อยละ 73.6 โดยรายได้ค่าผ่านทางเพิ่มขึ้น จำนวน 868 ล้านบาท รายได้ค่าโดยสารและรับจ้างเดินรถเพิ่มขึ้น จำนวน 651 ล้านบาท และรายได้พัฒนาเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น จำนวน 66 ล้านบาท จากปัจจัยบวกหลังการเปิดประเทศที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการกลับมาทำงานของภาคธุรกิจ การกลับมาเรียน on site ของสถาบันการศึกษา และยอดนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตัวเลขกำไร 863 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปีนี้เป็นตัวเลข New High นับตั้งแต่ปี 2563 ที่มีการระบาดของโควิด
ดร. สมบัติ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลให้ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนในไตรมาสนี้เฉลี่ย
A11603
CIVIL โชว์งบ 9 เดือน รายได้ 4,629 ล้านบาท
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ’ที่ ‘BBB+’ แนวโน้ม’Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’หรือ’คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงรายได้ที่สม่ำเสมอจากการจำหน่ายไฟฟ้าและสาธารณูปโภค รวมถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าว ก็มีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีหนี้สินอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงและราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมีโอกาสที่จะสร้างแรงกดดันต่อกำไรของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ยอดขายที่ดินมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้ง คาดว่า ยอดขายที่ดินของบริษัทจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอันเป็นผลมาจากการเปิดประเทศและการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในการย้ายฐานการผลิตซึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์
ชื่อเสียงและประสบการณ์อันยาวนานของบริษัทน่าจะช่วยเพิ่มการฟื้นตัวของยอดขายที่ดินได้อีกด้วย ทั้งนี้ การที่บริษัทมีบริการและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีทั้งในเขตนิคมอุตสาหกรรมที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และในเขตพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจึงเป็นที่ต้องการของผู้ผลิตที่มีความประสงค์จะเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย
หลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) แล้ว บริษัทก็เริ่มมีการฟื้นตัวของทั้งยอดขายและยอดโอนที่ดิน โดยบริษัทมียอดขายที่ดินในระหว่างเดือนมกราคมจนถึงเดือนตุลาคม 2565 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 700-800 ไร่ ซึ่งคิดเป็น 2 เท่าของยอดขายปกติต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ประมาณ 40% ของยอดขายดังกล่าวเป็นยอดขายที่ดินจำนวนมากที่มีผู้ซื้อเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายหนึ่ง
ภายใต้ประมาณการขั้นพื้นฐานทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมียอดขายที่ดินและการโอนที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2565 และจะค่อยๆ ลดลงสู่ระดับปกติในปี 2567 ทั้งนี้ ยอดขายที่ดินของบริษัทนั้นคาดว่าจะสูงถึง 2.5 พันล้านบาทในปี 2565 ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.2 พันล้านบาทในปี 2566 และ 1.3 พันล้านบาทในปี 2567
รายได้ที่พึ่งพาได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า
บริษัทมีกระแสเงินสดจากการจำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าและโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ (โซล่าร์ฟาร์ม) ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยบริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าอยู่ที่ราวๆ 1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนในปี 2564 นั้น ยอดรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการจำหน่ายไฟฟ้าอยู่ที่ระดับประมาณ 85% และ 70% ของยอดรายได้และ EBITDA รวมตามลำดับ
บริษัท โรจนะ พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของบริษัทมีโรงไฟฟ้าทั้งหมด 3 แห่งซึ่งมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 489 เมกะวัตต์ บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าในสัดส่วน 55% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของบริษัทลูกดังกล่าวให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
โดยอยู่ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement -- PPA) ระยะยาวอายุ 25 ปีจำนวน 3 สัญญาในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) และ ณ เดือนมิถุนายน 2565 สัญญาดังกล่าวมีอายุเหลืออีก 3 ปี 16 ปี และ 20 ปีตามลำดับ
ทั้งนี้ ข้อมูลจากผู้บริหารระบุว่าบริษัทเลือกที่จะไม่ต่อสัญญากับทาง กฟผ. ในส่วนของสัญญาที่ใกล้จะหมดอายุเนื่องจากบริษัทคาดว่าอุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าจากทั้งลูกค้าเก่าและใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมจะครอบคลุมปริมาณไฟฟ้าที่จ่ายให้แก่ กฟผ. ในส่วนที่จะไม่มีการต่อสัญญา
นอกจากนี้ บริษัท โรจนะ เอ็นเนอร์จี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งของบริษัท ก็ยังได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยอยู่ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมาก (Very Small Power Producer -- VSPP) จำนวนทั้งสิ้น 3 สัญญาอีกด้วย สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่ต่ออายุโดยอัตโนมัติทุกๆ 5 ปี
ทั้งนี้ บริษัทโรจนะ เอ็นเนอร์จีได้รับสิทธิ์ในการได้รับค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) จำนวน 8 บาทต่อหน่วยไฟฟ้า เป็นระยะเวลา 10 ปีนับจากวันที่เริ่มดำเนินการผลิตในเดือนเมษายนและสิงหาคม 2557 โดยสิทธิในการได้รับค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มที่จะสิ้นสุดในปี 2567 นั้นจะส่งผลทำให้รายได้ที่บริษัทจะได้รับจากการจำหน่ายไฟฟ้าจากโซล่าร์ฟาร์มลดลงไปสองในสามส่วนจากระดับในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี สัดส่วน EBITDA ที่บริษัทได้รับจากการจำหน่ายไฟฟ้าจากโซล่าร์ฟาร์มคิดเป็นเพียง 4% ของ EBITDA ทั้งหมดในปี 2564 เท่านั้น
แรงกดดันจากราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นในธุรกิจผลิตไฟฟ้า
ทริสเรทติ้ง คาดว่า ราคาก๊าซที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของบริษัทในปี 2565 โดยราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าภาคอุตสาหกรรมซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 35%-40% ของยอดขายไฟฟ้าทั้งหมดของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราค่าไฟฟ้า โดยทั่วไปจะมีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงผ่านค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่า Ft
อย่างไรก็ตาม การปรับค่า Ft นั้นจะล่าช้ากว่าและขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบว่าจะปรับในช่วงเวลาและที่อัตราเท่าใด ดังนั้น ราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกำไรของโรงไฟฟ้า SPP อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อไปเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาก๊าซเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ เดือนตุลาคม 2565 ราคาก๊าซเพิ่มขึ้นจนเกินกว่าระดับ 500 บาทต่อล้านบีทียู
ซึ่งทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่า ราคาก๊าซจะยังคงสูงอย่างต่อเนื่องต่อไปในปี 2565 จนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ก่อนที่จะทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับปกติในปี 2567 ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้ง ก็คาดว่า ค่า Ft จะเพิ่มสูงขึ้นโดยสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของราคาก๊าซในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ด้วย
จากสมมติฐานขั้นพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ราวๆ 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 และจะค่อยๆ ลดลงมาอยู่ที่ระดับราวๆ 1.3 หมื่นล้านบาทในปี 2567 ในขณะที่ EBITDA นั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.6-4.0 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2567
ภาระหนี้คาดว่าจะลดลงหลังจากถึงจุดสูงสุดในปี 2565
ทริสเรทติ้ง คาดว่า ภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดในรอบ 5 ปีในปี 2565 ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลงในระหว่างปี 2566-2567 ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาที่ดินและระบบสาธารณูปโภคนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปีประมาณการ ส่วนระดับหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วคาดว่าจะทยอยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.8 หมื่นล้านบาทในปี 2567
จากการที่ EBITDA ของบริษัทน่าจะปรับตัวลดลงในปี 2565 ก่อนที่จะค่อย ๆ ปรับสู่ระดับปกติในช่วงปี 2566-2567 ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 5 เท่าในระหว่างปี 2566-2567 จากระดับ 8 เท่าในปี 2565 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 7% ในปี 2565 และ 15% ในระหว่างปี 2566-2567
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่คาดว่าจะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่จำนวน 6 พันล้านบาทโดยมีเงินลงทุนอยู่ที่ 1 พันล้านบาท ในขณะแหล่งสภาพคล่องประกอบด้วยเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะได้รับจำนวน 1.6 พันล้านบาท
รวมทั้งเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นอีกจำนวน 6.3 พันล้านบาทและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินอีกจำนวน 5 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ดังนั้น แหล่งสภาพคล่องเหล่านี้จึงน่าจะเพียงพอสำหรับบริษัทในการจ่ายชำระหนี้สินและใช้เป็นเงินลงทุนในอีก 12 เดือนข้างหน้า
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้เงินกู้จำนวน 2.5 หมื่นล้านบาทซึ่งไม่รวมสัญญาเช่าทางการเงิน โดยหนี้ของบริษัทย่อยทั้งหมดถือว่า เป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้รวมของบริษัทที่ระดับ 51%
เนื่องจากอัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับ ในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทนั้นมีมากกว่า 50% ตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิต ทริสเรทติ้ง จึงมองว่า เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทจะเสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญในเรื่องของสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเอาไว้ได้ ในขณะที่สัดส่วนกระแสเงินสดจากธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้น คาดว่า จะช่วยบรรเทาความผันผวนของยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทลงไปได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสด และความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ลดลงต่ำกว่าระดับ 4 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง
ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีการลงทุน โดยใช้เงินกู้จำนวนมากจนส่งผลทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างชัดเจน หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA เพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับเกินกว่า 9 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) (ROJNA)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน‘บ.บางกอก เชนฮอสปิทอล’ ที่ ‘A’แนวโน้ม’Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บางกอก เชนฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘A’ ด้วยโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในการให้บริการคนไข้ 2 กลุ่มหลักคือกลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดซึ่งมีรายได้ระดับปานกลางและกลุ่มคนไข้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม
ตลอดจนผลการประกอบการที่ดีและงบการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากสภาวะการแข่งขันในธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพและความท้าทายจากราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19
ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้โดดเด่นกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมในช่วงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ในระหว่างปี 2564-2565 โดยในปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 2.15 หมื่นล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 140% จากปี 2563
และรายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีก 90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 1.27 หมื่นล้านบาท ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากการดำเนินงานในระดับปกติที่ระดับ 9 พันล้านบาทในปี 2562
รายได้รวมของกลุ่มผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้น 35% ในปี 2564 และ 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 กลุ่มโรงพยาบาลที่มีฐานผู้ป่วยคนไทยขนาดใหญ่ได้รับประโยชน์จากจำนวนผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาด
ในขณะที่โรงพยาบาลที่มีกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติเป็นกลุ่มลูกค้าหลักมีการเติบโตเพียงเล็กน้อยในปี 2564 แต่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในปี 2565 หลังจากประเทศไทยผ่อนคลายมาตรการการเข้าเมืองและการกักกันโรค
บริษัทบางกอก เชน ฮอสปิทอลมีฐานผู้ป่วยคนไทยจำนวนมากและสามารถรองรับผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยบริษัทให้บริการตรวจคัดกรองโรคและให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด 19 มาตั้งแต่ปี 2563
ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลในเครือข่ายของบริษัทสามารถให้บริการตรวจคัดกรองได้สูงถึง 16,000 ตัวอย่างต่อวัน นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มเตียงและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในช่วงที่มีการระบาดในประเทศ กล่าวคือ ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2564 โรงพยาบาลในเครือข่ายของบริษัทให้บริการตรวจคัดกรองผู้ที่มีอาการเป็นจำนวนมากถึงกว่า 500,000 ครั้งต่อไตรมาส และมีการคัดกรองผู้ป่วยมากกว่า 450,000 ครั้งในไตรมาสแรกของปี 2565 อีกด้วย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่มีผลตรวจเป็นบวกก็จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่อไป ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากบริการที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 คิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้จากการรักษาพยาบาลทั้งหมดในช่วงปี 2564 ถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2565
มีสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งทั้งในกลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดและกลุ่มคนไข้ในระบบประกันสังคม
บริษัทยังคงสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งในการให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดและกลุ่มคนไข้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม ในปี 2564 บริษัทมีรายได้จากกลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดอยู่ที่ระดับ 1.81 หมื่นล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 218% จากระดับ 5.7 พันล้านบาทในปี 2563
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด 19 ของโรงพยาบาลในเครือของบริษัททุกแห่ง ในช่วงการแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อ รายได้ของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้น 69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 8.6 พันล้นบาท
บริษัทมีรายได้จากการให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ประกันสังคมในปี 2564 อยู่ที่ระดับ 3.3 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 2% จากปี 2563 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 รายได้ของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากมาอยู่ที่ 4 พันล้านบาท จากระดับ 1.5 พันล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2564 ณ เดือนมิถุนายน 2565 จำนวน ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่ลงทะเบียนกับโรงพยาบาลในเครือของบริษัทมีจำนวนทั้งสิ้น 984,755 คน เพิ่มขึ้น 9% จาก 901,894 คน ณ สิ้นปี 2564
ทั้งนี้ จำนวนผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนกับโรงพยาบาลในเครือของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8% ของจำนวนผู้ประกันตนทั้งหมดในระบบประกันสังคมทั่วประเทศ โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนโควตาสำหรับผู้ประกันตนในโรงพยาบาลของบริษัทหลายแห่งที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค ประชาชื่น และรัตนาธิเบศร์
รวมถึงจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้นจากการย้ายจากโรงพยาบาลอื่นเข้ามาในเครือข่ายโรงพยาบาลของบริษัท และผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 ภายใต้ระบบประกันสังคมที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนในเครือข่ายโรงพยาบาลของบริษัทจะมีมากกว่า 1 ล้านคนในปี 2565 การมีฐานคนไข้ลงทะเบียนในระบบประกันสังคมจำนวนมากทำให้บริษัทเกิดการประหยัดจากขนาดและช่วยคงระดับอัตราการใช้งานอุปกรณ์ทางการแพทย์
ทั้งนี้ ในช่วง 2561-2563 รายได้จากกลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดมีสัดส่วนประมาณ 65% ของรายได้จากบริการทางการแพทย์รวมของบริษัท ในขณะที่รายได้จากกลุ่มคนไข้ในระบบประกันสังคมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 35%
การรักษาโรคเฉพาะทางจะขับเคลื่อนการเติบโตหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
ทริสเรทติ้ง คาดว่า การรักษาพยาบาลโรคเฉพาะทางและโรคซับซ้อนจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทเมื่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ลดลง บริษัทได้ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาพยาบาลโรคเฉพาะทางและซับซ้อนทั่วทั้งเครือโรงพยาบาลของบริษัท เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยทั่วไปรวมถึงการฟื้นตัวของผู้ป่วยชาวต่างชาติด้วย
บริษัทเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างมากในการรักษาเฉพาะทางสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยมีศูนย์โรคหัวใจจำนวน 6 แห่งในเครือข่ายโรงพยาบาล นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มศูนย์บริการทางการแพทย์และศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูต่างๆ เพิ่มเติมในโรงพยาบาลอีกด้วย
หลังจากการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางเข้าประเทศและมาตรการการกักกันโรค โรงพยาบาลได้เตรียมการเพื่อรองรับอุปสงค์ของผู้ป่วยชาวต่างชาติที่ต้องการบริการด้านสุขภาพที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (World Medical Hospital -WMC) ของบริษัทซึ่งมุ่งเน้นกลุ่มผู้ป่วยเงินสดที่มีรายได้สูงและผู้ป่วยต่างประเทศ มีการเติบโตของรายได้ 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในขณะที่ รายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น 21% และอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดแล้ว ทั้งนี้ WMC เป็นที่รู้จักในการเป็นศูนย์การรักษาแผลจากเบาหวานในกลุ่มผู้ป่วยชาวอาหรับ โดยรายได้จากผู้ป่วยชาวคูเวตที่เข้ามารับการรักษาแผลเบาหวานที่เท้าเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้ง โรงพยาบาล WMC เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น ชาวอเมริกันที่พำนักในประเทศไทย
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งก็คาดว่าโรงพยาบาลที่เปิดใหม่ของบริษัทในจังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรี และที่เวียงจันทน์ ใน สปป. ลาว จะสามารถรองรับผู้ป่วยเงินสดและผู้ป่วยประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น และเมื่อไม่นานนี้ บริษัทได้ซื้ออาคารแห่งหนึ่งใกล้กับโรงพยาบาลการุญเวช ปทุมธานี และวางแผนจะปรับปรุงเพื่อรองรับผู้ป่วยเงินสดที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
มีกำไรที่แข็งแกร่ง
ในอนาคต ผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 จะมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากโรคโควิด 19 จะกลายเป็นโรคทั่วไป อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากผู้ป่วยคนไทยที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 จะฟื้นตัวขึ้น ในขณะเดียวกันจำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น
ทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.85 หมื่นล้านบาทในปี 2565 จากนั้นจะกลับสู่ระดับการดำเนินงานปกติที่ระดับ 1.0-1.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567
ในปี 2564 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่แข็งแกร่งมากที่ระดับ 1.04 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.6 พันล้านบาทในปี 2563 และ EBITDA ของบริษัทปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวโดยมาอยู่ที่ระดับ 4.8 พันล้านบาท
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมีอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นสูงมากมาอยู่ที่ระดับ 48.3% ในปี 2564 และอยู่ที่ 37.6% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 เปรียบเทียบกับระดับ EBITDA Margin ในช่วงการดำเนินงานปกติที่ 26%-28% ในช่วงปี 2558-2562
ในปี 2565 ทริสเรทติ้งคาดว่าการทำกำไรของบริษัทจะยังคงโดดเด่นเมื่อพิจารณาจากรายได้ที่แข็งแกร่งมากของบริษัท อย่างไรก็ตาม ระดับกำไรที่สูงนี้อาจได้รับแรงกดดันบางส่วนจากสต็อกวัคซีนโควิดจำนวนมากประมาณ 1.2 ล้านโดสที่ยังจำหน่ายไม่หมด ซึ่งบริษัทอาจต้องตั้งด้อยค่าของสินค้าและอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัทในปี 2565 ได้
ในอนาคตข้างหน้า ทริส คาดว่า การรักษาโรคที่เฉพาะทางและซับซ้อนมากขึ้นจะช่วยผลักดันรายได้ต่อการรักษาผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนของโรค (Revenue Intensity) ให้เติบโตมากขึ้นในอนาคต ในขณะที่บริษัทยังคงมุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพและการควบคุมต้นทุนมากขึ้นเพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้นท่ามกลางเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA Margin ของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งโดยอยู่ในช่วง 27%-28% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
มีภาระหนี้สินทางการเงินอยู่ในระดับปานกลาง
บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินในระดับปานกลางและมีสถานะทางการเงินที่ดี ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท ลดลงจากประมาณ 7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 จากการที่บริษัทได้ชำระคืนหุ้นกู้และเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ครบกำหนดชำระ
โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 21.5% ลดลงจากระดับ 40%-46% ในช่วงปี 2561-2563 ทั้งนี้ ด้วยผลการดำเนินงานที่ดีของบริษัท อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จึงลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 0.3 เท่า จาก 2.5 เท่า ณ สิ้นปี 2563
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้ของบริษัทจะค่อยๆ ลดลงเนื่องจากบริษัทไม่มีแผนจะขยายเครือข่ายโรงพยาบาลโดยใช้เงินลงทุนขนาดใหญ่จากการก่อหนี้ ทริสเรทติ้ง คาดว่า เงินลงทุนรวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 4.5 พันล้านบาท
ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเพื่อขยายเครือข่ายโรงพยาบาลและซ่อมบำรุงสินทรัพย์ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นเงินลงทุนในบางส่วน ทั้งนี้ หากบริษัทไม่มีการลงทุนด้วยการก่อหนี้ขนาดใหญ่ ก็คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า
มีสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วงเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีแหล่งเงินทุนจากเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวนประมาณ 1.6 พันล้านบาท รวมถึงวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 4.6 พันล้านบาท
ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับประมาณ 4 พันล้านบาทในปี 2565 โดยที่บริษัทจะใช้เงินทุนในการลงทุนและชำระเงินกู้จากธนาคารและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดจำนวน 1.1 พันล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 และอีก 1.3 พันล้านบาทในปี 2566
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้ง ว่า บริษัทจะยังคงสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งในการให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดและกลุ่มคนไข้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม รวมทั้งยังคงสถานะทางการเงินที่ดีเอาไว้ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงได้หากบริษัทมีสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าที่คาดอย่างมีนัยสำคัญเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับการดำเนินงานปกติอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 |
บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (BCH)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
BCH22DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2565 |
A |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
ทริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.อารียา พรอพเพอร์ตี้’ เป็น ‘B+’ จาก ‘BB-‘และเปลี่ยนแนวโน้ม เป็น ‘Stable’ จาก ‘Negative’
ทริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ ‘B+’ จากระดับ ‘BB-‘ พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น’Stable’ หรือ ‘คงที่’ จาก’Negative’ หรือ ‘ลบ’ โดยการลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานที่อ่อนแอจะเป็นปัจจัยถ่วงที่ทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงไปอีก
อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงและสภาพคล่องที่ตึงตัว และยังสะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับระดับหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูงและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งอาจกระทบต่อกำลังซื้อของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางในขณะเดียวกันก็เพิ่มภาระต้นทุนในการพัฒนาโครงการและต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการให้สูงมากขึ้นอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าที่คาด
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 ยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง โดยรายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบอยู่ที่ระดับ 2.1 พันล้านบาท ลดลงจากระดับราวๆ 2.4 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2562-2563 และ 3 พันล้านบาทในปี 2561 ส่วนรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมนั้นอยู่ที่ระดับเพียง 424 ล้านบาทในปี 2564 ลดลงจาก 801 ล้านบาทในปี 2563 เนื่องจากบริษัทไม่มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ๆ เลยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ระดับเพียง 33 ล้านบาท
ในขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายค่อนข้างสูงที่ระดับ 354 ล้านบาท ซึ่งส่งผลทำให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 346 ล้านบาทในปี 2564 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานติดลบ 484 ล้านบาท และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ค่อนข้างน้อยที่จำนวน 190 ล้านบาทในปี 2564
ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยจากผลของอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและระดับหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงได้รับแรงกดดันต่อไปอีกในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายของบริษัทจะอยู่ในช่วง 2.5-3 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2567
ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 4%-9% ของรายได้จากการดำเนินงานรวม โดยคาดว่าดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ระดับประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะส่งผลทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิค่อนข้างเบาบางในปีนี้ และจะมีผลขาดทุนที่ประมาณ 100-200 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 ดังนั้น เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจึงอาจจะยังคงอยู่ในแดนลบที่ระดับ 150-350 ล้านบาทต่อปีในช่วงปีประมาณการ
ความไม่แน่นอนของ ‘โครงการสุนทรียา’
บริษัทได้ลงทุนไปราว 1.8 พันล้านบาทตั้งแต่ปี 2555 สำหรับใช้เป็นเงินค่าเช่าล่วงหน้า ตลอดจนใช้ในการจ่ายค่าชดเชย เป็นต้นทุนการก่อสร้าง และเป็นต้นทุนปลีกย่อยต่าง ๆ ในโครงการสุนทรียา ทั้งนี้ ระยะเวลาในการพัฒนาโครงการดังกล่าวมีความล่าช้าไปหลายปีจากเบื้องต้นที่ได้วางแผนไว้เนื่องจากบริษัทยังไม่สามารถจัดหาแหล่งเงินทุนได้อย่างเหมาะสม
ทริสเรทติ้ง มองว่า แผนในการพัฒนาโครงการดังกล่าวและแผนการจัดหาแหล่งเงินทุนมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง โดยเมื่อพิจารณาจากระดับภาระหนี้ที่สูงของบริษัทในปัจจุบันแล้วทำให้เห็นว่าการลงทุนเพิ่มเติมสำหรับโครงการดังกล่าวโดยการก่อหนี้อาจทำให้บริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินของภาระหนี้ในส่วนของอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนได้
บริษัทได้รับอนุมัติจากเจ้าของที่ดินในการขยายระยะเวลาการก่อสร้างโครงการออกไปอีก 3 ปีจนถึงปลายปี 2568 ปัจจุบันโครงการอยู่ในขั้นตอนก่อสร้างฐานราก ทั้งนี้ สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งได้รวมเงินลงทุนสำหรับการก่อสร้างฐานรากจนแล้วเสร็จที่จำนวน 540 ล้านบาท (รวมค่าธรรมเนียมในการขยายสัญญาการก่อสร้าง) ในปี 2565 และจำนวน 100 ล้านบาทในปี 2566 ไว้แล้ว ซึ่งทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะบริหารจัดการแผนการระดมเงินทุนได้อย่างเหมาะสมก่อนที่จะเริ่มการก่อสร้างในลำดับต่อไป
สถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง
ทริสเรทติ้ง คาดว่า หนี้สินของบริษัทจะอยู่ในระดับสูงในช่วงปีประมาณการ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่ขาดทุนในปี 2564 ทำให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงยิ่งขึ้น โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 73%-74% ในช่วงระหว่างปี 2564 จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2565 จากระดับ 71% ในปี 2563 กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทก็อ่อนแอโดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินยังคงอยู่ในแดนลบมาตั้งแต่ปี 2564 จนถึง 6 เดือนแรกของปี 2565
ในอนาคตกำไรสะสมที่ลดลงจากผลขาดทุนที่ต่อเนื่องน่าจะส่งผลทำให้ระดับหนี้สินของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะแกว่งตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 75% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ -2% ถึง -4% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่าในระหว่างปี 2565-2567
โดยอยู่ภายใต้สมมติฐานที่บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ มูลค่ารวม 5.8 พันล้านบาทภายในปีนี้และอีกจำนวน 2 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่างบประมาณในการซื้อที่ดินของบริษัทจะอยู่ที่ราวๆ 400-640 ล้านบาทต่อปีและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างจะอยู่ที่ระดับ 1.4-1.7 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ตามข้อกำหนดทางการเงินระบุว่า บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สิน ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 3 เท่า ในขณะที่บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าว ณ เดือนมิถุนายน 2565 อยู่ที่ 2.2 เท่า ทั้งนี้ ภาระหนี้ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยที่เพิ่มความกังวลให้แก่ทริสเรทติ้ง ในเรื่องความสามารถที่บริษัทจะปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขทางการเงินหรือไม่ ทริสเรทติ้ง คาดหวังให้บริษัทบริหารจัดการโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการเงินดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเพิ่มทุนจำนวน 220 ล้านบาทจากคณะผู้บริหารของบริษัทในปี 2566 ซึ่งน่าจะช่วยลดระดับภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นลงได้บางส่วน
สภาพคล่องอยู่ในระดับตึงตัว
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทจะมีสภาพคล่องที่ตึงตัว ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงในการกู้ยืมใหม่เพื่อนำมาใช้ชำระคืนหนี้เดิม (รีไฟแนนซ์) ผลการดำเนินงานที่อ่อนแออย่างต่อเนื่องและภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวนมากในแต่ละปีได้เพิ่มความกังวลให้แก่ทริสเรทติ้งเกี่ยวกับสภาพคล่องของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินรวมจำนวน 8 พันล้านบาท ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นหนี้ที่มีหลักประกัน กรณีดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีช่องทางในการก่อหนี้เพิ่มได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 3 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 2.2 พันล้านบาท เงินกู้โครงการระยะยาวจำนวน 526 ล้านบาท ตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 190 ล้านบาท และวงเงินกู้ยืมระยะสั้นอีกจำนวน 38 ล้านบาท บริษัทได้ชำระคืนหุ้นกู้มีหลักประกันที่ครบกำหนดชำระจำนวน 550 ล้านบาทในเดือนตุลาคม 2565 แล้วด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทน
บริษัทยังมีแผนการที่จะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อนำมาใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนจำนวน 1.7 พันล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2566 อีกด้วย โดยบริษัทจะนำหลักประกันของหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดมาใช้เป็นหลักประกันสำหรับหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าว ทริสเรทติ้งมองว่าแหล่งสภาพคล่องของบริษัทมีค่อนข้างจำกัด
ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 165 ล้านบาทและมีวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีก 30 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินที่ปลอดภาระค้ำประกันซึ่งมีมูลค่า ณ ราคาทุนที่จำนวน 437 ล้านบาทซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอวงเงินสินเชื่อได้อีกด้วย
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้ง มีสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2565-2567 ดังนี้
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ’คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานและมีฐานะทางการเงินที่ไม่อ่อนแอไปจากเป้าหมายมากกว่านี้ด้วยการมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับไม่เกินกว่า 75% ในช่วงปีประมาณการ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอาจถูกปรับลดลงหากมีสัญญาณว่าความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นและ/หรือผลการดำเนินงานจะอ่อนแอลงกว่าที่ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหลายขั้นหากบริษัทไม่สามารถรีไฟแนนซ์หนี้ได้ตามที่วางแผนไว้
ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นและดีกว่าเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญอีกทั้งมีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นโดยที่ความกังวลด้านสภาพคล่องได้รับการแก้ปัญหาอย่างชัดเจน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (Areeya)
อันดับเครดิตองค์กร: |
B+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด