NCH มีรายได้รวม 1,941.67 ล้านบาท กำไร 276.53 ล้าน ทั้งปีรุกเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ
NCH มีรายได้รวม 1,941.67 ล้านบาท กำไร 276.53 ล้าน ทั้งปีเปิดได้ 6 โครงการ (Backlog) 700-800 ล้านบาท ทยอยรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด มั่นใจรายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 2,500 ล้านบาท
นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) NCH เผยว่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 สำหรับงวด 3 เดือน บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีผลการดำเนินงานกำไรสุทธิ 76.97 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งมีผลการดำเนินงานกำไรสุทธิ 39.23 ล้านบาท บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีผลการด าเนินงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 37.74 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 96.22
รายได้รวมบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 623.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งมีรายได้รวม 492.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ26.72 รำยได้จำกกำรขำย บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย 609.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งมีรายได้จากการขาย 484.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.57 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.69 เนื่องจากความสามารถในการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น จากโครงการ เอ็น.ซี.ออนกรีน ฌาร์ม คลาสสิค, เอ็น.ซี.ออนกรีนปาล์มพาร์ค 2, บ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ลอฟท์พัทยา, บ้านฟ้ากรีนเนอรี่ นีโอล่า รังสิตคลอง 2 และบ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ธีโอ ปิ่นเกล้า เพชรเกษม รายได้ค่าเช่าและบริการ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้ค่าเช่าและบริการเพิ่มขึ้น 7.37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 161.30 เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นในส่วนของการบริการฟื้นฟูสุขภาพ ดูแลผู้สูงอายุ และธุรกิจบริการ 'NC REGEN'
สำหรับ งวด 9 เดือน บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีผลการดำเนินงานกำไรสุทธิ 276.53 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวด 9 เดือน ของปี 2564 ซึ่งมีผลการดำเนินงานกำไรสุทธิ 171.61 ล้านบาท บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 104.91 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 61.13 โดยรายได้รวม บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 1,941.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากงวด 9 เดือน ของปี 2564 ซึ่งมีรายได้รวม 1,911.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.74 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.56 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 และ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 เท่ากับ 3,067.41 ล้านบาท และ 2,886.20 ล้านบาท ตามลำดับ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.28 เนื่องจากบริษัทฯ มีกำไรระหว่างงวดเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจัยหนุนจากกำลังซื้อของประชาชนที่ฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น และภาครัฐบาลได้เปิดประเทศเพื่อที่จะรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ รวมไปถึงการส่งออกที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศฟื้นตัว
บริษัทยังมั่นใจว่า รายได้ในปี 2565 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 2,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 700-800 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด ขณะเดียวกัน บริษัทได้มีการควบคุมเข้มเรื่องการบริหารต้นทุนในองค์กร และการบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรในระดับที่ดี ขณะที่เตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 4,500 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 1 โครงการ มูลค่า 1,761 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปี 2565 เปิดโครงการได้ 6 โครงการ มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้เดิม 5 โครงการ
สำหรับ ทำเลอื่นๆนอกจากโซนกรุงเทพฯตะวันตกแล้ว ยังมีกรุงเทพฯโซนเหนือ ซึ่งเป๊นทำเลหลักของบริษัทที่มีความชำนาญ และมีการเปิดโครงการที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ซึ่งจะมีการขยายโครงการใหม่เพิ่มเพื่อรับความต้องการอยู่อาศัยในกรุงเทพฯโซนเหนือ พร้อมกับยังเตรียมที่ดินในโซนกรุงเทพฯตะวันออก เพื่อขยายกลุ่มลูกค้า ซึ่งในอดีตบริษัทเคยเปิดโครงการในโซนกรุงเทพฯตะวันออก ย่านศรีนครินทร์ และ เมืองเศรษฐกิจพัทยา มาแล้วกว่า 10 โครงการ
ขณะที่ในส่วนของธุรกิจด้าน Wellness ได้มีการเปิดศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ และดูแลผู้สูงอายุศิริอรุณเวลเนสเซ็นเตอร์ และศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ และดูแลผู้สูงอายุศิริอรุณแคร์ ท้งนี้ ยังจมีการเปิดศูนย์สุขภาพ NC Regen ขึ้นใหม่ อีก 2 แห่ง ประกอบด้วย Nc Regen Sport & Wellness, และ Nc Regen Sport & Golf ในทำเลศักยภาพสูงสุดโซนเหนือ บนทำเลถนน ลำลูกกา นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาแผนการเปิด NC Regen เพิ่มขึ้นในอนาคต
‘PRM’ ผลงานโดดเด่น ไตรมาส 3 ฟันกำไร 1,085 ล้าน All-Time High ด้านบอร์ด ไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.09 บาทต่อหุ้น คืนกำไรให้ผู้ถือหุ้น
‘บมจ. พริมา มารีน’ หรือ (“PRM”) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2565 ทำรายได้รวม 2,149.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.35% และมีกำไรสุทธิ 1,085.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.98% สะท้อนศักยภาพพอร์ตกองเรือที่แข็งแกร่ง หลังจากปรับพอร์ตเรือให้ตรงความต้องการของลูกค้าและตลาดโลก ด้านบอร์ดฯ ไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.09 บาทต่อหุ้น
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) (“PRM”) ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตได้ดี โดยทำรายได้รวม 2,149.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.35% และมีกำไรสุทธิ 1,085.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.98% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจ PRM ในฐานะที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีความแข็งแกร่งจากการมีพอร์ตกองเรือที่หลากหลาย ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการให้แก่ลูกค้าได้ดี
โดยธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยในไตรมาส 3/2565 มีรายได้ 353.7 ล้านบาท และกำไรขั้นต้น 127.4 ล้านบาท เติบโต 116.2% และ 158.05% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา สืบเนื่องการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของเรือ VLCC ลำที่ 2 และการเริ่มรับรู้รายได้ของเรือ VLCC ลำที่ 3 ที่เริ่มให้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเดิมที่มีแผนให้บริการในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ นอกจากนี้ ความต้องการใช้เรือขนาด Aframax ในการขนส่งน้ำมันปรับสูงขึ้นในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องจากกิจกรรมการขนส่งน้ำมันทางเรือจากตะวันออกกลางที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่กลุ่มประเทศ EU และสหราชอาณาจักร ปรับลดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ทำให้เรือขนาด Aframax ของบริษัทฯ ยังคงมีอัตราการใช้บริการ 100% อย่างต่อเนื่อง ภายใต้สัญญา Time Charter
ส่วนกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ (FSU) ไตรมาสนี้ ยังมีการฟี้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการใช้บริการเรือและค่าบริการที่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า หลังจากช่วงที่ผ่านมามีการชะลอตัวของเศรษฐกิจทำให้อุปสงค์น้ำมันปรับตัวลดลง ประกอบกับช่วงที่ผ่านมายังมีความต้องการการกักเก็บน้ำมันเพื่อรองรับอุปสงค์ความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มช่วงฤดูหนาวในช่วงปลายปี ทำให้ในช่วงไตรมาส 3/2565 กลุ่มธุรกิจ FSU มีรายได้และกำไรขั้นต้นที่ 791.9 ล้านบาท และ 367.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา 46.68% และ 97.74% ตามลำดับ นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจเรือ Offshore Support หรือ ธุรกิจสนับสนุนซึ่งประกอบด้วยเรือ Crew Boat จำนวน 13 ลำ และเรือ AWB จำนวน 2 ลำ ยังมีอัตราการใช้บริการเต็ม 100% อย่างต่อเนื่อง จากปริมาณการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 5,327.6 ล้านบาท เติบโต 20.47% และมีกำไรสุทธิ 1,600.2 ล้านบาท เติบโต 18.51%
ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสมที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรสำหรับงวดผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2565) ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.09 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทฯ จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 9 ธันวาคม 2565
ส่วนทิศทางการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะยังคงรักษาอัตราการเติบโตที่ดี หลังการให้บริการเรือ VLCC ครบทั้ง 3 ลำ ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้อย่างครบถ้วนในไตรมาส 4 รวมถึงธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศที่จะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินงานของ PRM ในปี 2565 จะเติบโตได้ตามแผน
“การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 เป็นช่วงที่เราเข้าสู่ยุค Growth Mode อย่างแท้จริง ซึ่งคาดหมายว่า PRM จะสร้างผลงานการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยขีดความสามารถการให้บริการแก่ลูกค้าจากพอร์ตกองเรือที่มีความแข็งแกร่งและหลากหลาย อันจะช่วยผลักดันรายได้ให้เติบโตไปตามแผนที่วางไว้” นายวิริทธิ์พล กล่าว
A11616
TPS สุดปัง! บ.ย่อย ‘เดอะวินฯ’ คว้า 2 งานใหม่ มูลค่า 41 ลบ. ‘โครงการก่อสร้างงานท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน’ ของโทรคมนาคมแห่งชาติ ดัน Backlog ทะยาน 1,442 ลบ. หนุนผลงานปี 65 โตทะลุ 50%
บมจ.เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น (TPS) ส่งบริษัทย่อย ‘เดอะวิน เทเลคอม’ ลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างงานท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน กับบริษัท บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ในโครงการ UG ท่อร้อยสายไฟความเร็วสูง 26 จุด และโครงการ UG ท่อร้อยสาย 5 จังหวัด ภาคอีสาน ของ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) มูลค่ารวมกว่า 41 ล้านบาท ดัน Backlog ในมือพุ่งแตะ 1,442 ล้านบาท ฟากซีอีโอ ‘บุญสม กิจเกษตรสถาพร’ ลั่นโค้งสุดท้ายปีนี้ ลุยประมูลงานโครงการของภาครัฐและเอกชนต่อเนื่อง ดันผลงานปีนี้เติบโตเกิน 50%
นายบุญสม กิจเกษตรสถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) (TPS) ดำเนินธุรกิจเป็นผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหา ติดตั้ง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดเผยว่า บริษัท เดอะวิน เทเลคอม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างงานท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กับบริษัท บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ETE จำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 41,566,974.80 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ประกอบด้วย 1.สัญญาจ้างโครงการ UG ท่อร้อยสายไฟความเร็วสูง 26 จุด มูลค่าโครงการ 14,042,198.50 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) กำหนดเวลาแล้วเสร็จ 106 วัน โดยมีบริษัท บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ETE เป็นผู้ว่าจ้าง และบริษัท เดอะวิน เทเลคอม จำกัด เป็นผู้รับจ้างงานก่อสร้างโครงการดังกล่าว
2.สัญญาจ้างโครงการ UG ท่อร้อยสาย 5 จังหวัด ภาคอีสาน ในจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ชัยภูมิและนครราชสีมา มูลค่าโครงการ 27,524,776.30 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) กำหนดเวลาแล้วเสร็จ 113 วัน โดยบริษัท บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ETE เป็นผู้ว่าจ้าง และบริษัท เดอะวิน เทเลคอม จำกัด เป็นผู้รับจ้างงานก่อสร้างโครงการดังกล่าว
“ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างเริ่มกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ โดยมีการเปิดให้ประมูลงานใหม่จำนวนมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีโอกาสได้รับงานเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยบริษัท เดอะวิน ฯ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้รับงานใหม่ในครั้งนี้ ส่งผลให้ TPS มีมูลค่างานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มขึ้นเป็น 1,442 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นต้นไป ทำให้มั่นใจว่า ปัจจัยดังกล่าว จะสามารถสนับสนุนผลงานปีนี้ให้เติบโตกว่า 50% ได้อย่างแน่นอน”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวอีกว่า แผนการดำเนินงานที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่ ทั้งโครงการภาครัฐและเอกชน โดยมีการเข้าประมูลงานของ TPS เอง และในส่วนของบริษัท เดอะวิน เทเลคอม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างเข้าร่วมประมูลงานโดยเฉพาะงานภาครัฐ อีกหลายโครงการ คาดว่า จะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นต้นไป
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการขยายธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ จากธุรกิจเดิม โดยเป็นการให้บริการดูแลและบำรุงรักษาระบบภายหลังการขาย เพื่อยกระดับธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ให้ครบวงจร เป็นการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน และ เพื่อรองรับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA ที่มีผลบังคับใช้แล้ว และเพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ประจำให้กับบริษัทฯ
สำหรับธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ภายใต้บริษัท เอ็กซ์-ซีเคียว จำกัด (X-Secure Co.,Ltd) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ปัจจุบันมีลูกค้าให้ความสนใจหลายราย โดยเฉพาะลูกค้าจากภาคเอกชน และคาดว่า จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังมองหาโอกาสการลงทุนในโครงการใหม่ๆ รวมทั้ง การขยายธุรกิจ โดยเน้นการทำ M&A กับบริษัทที่มีผลงานการดำเนินธุรกิจที่ดีต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับบริษัทได้ในระยะยาว รวมทั้งสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต
A11615
LEO โชว์ Q3/65 กำไรเพิ่มขึ้น 106% New High 7 ไตรมาสติด มั่นใจปี 2565 สามารถเป็นออลไทม์ไฮติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และปี 2566 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจาก New JV และ M&A
LEO คำราม! งบไตรมาส 3/65 กำไรเพิ่มขึ้น 106% นิวไฮ 7 ไตรมาสติด ด้วยอานิสงส์ปริมาณการขนส่งทางเรือและทางอากาศพุ่ง บิ๊กบอส ‘เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์’ มั่นใจจะสามารถสร้างตัวเลขผลประกอบการปี 2565 เป็นออลไทม์ไฮติดต่อกันเป็นปีที่ 3 เนื่องจากปริมาณตู้สินค้าที่ส่งทางเรือและน้ำหนักของการขนส่งทางอากาศยังเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2/2565 และบริษัทยังมีความสามารถในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธิ์ในการรักษาระดับอัตราการทำกำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมเปิดฉากบุ๊กรายได้ขนส่งสินค้า จีน-ไทย จากการเป็นพันธมิตร China Post/Tengun และจับมือพันธมิตรใหม่ ‘เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท – ศรีตรังโลจิสติกส์’ เสริมความแข็งแกร่งขนส่งสินค้าทางรถไฟ จีน-ลาว-ไทย ครบวงจร ดันการขนส่งทางรางในปี 2566 ให้สร้างรายได้ขั้นต่ำ 200 ล้านบาท
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 107.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% จากงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 52.2 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1,022.9 ล้านบาท ลดลง 6% จากงวดเดียวกันปีก่อน มีรายได้รวม 1,084.7 ล้านบาท อันเป็นผลจากอัตราค่าระวางเรือทั่วโลกมีการลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากบริษัทฯเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรแบบ End-to-End Global Logistics และมีรายได้อื่นๆ ในการให้บริการนอกเหนือจากค่าระวาง อีกทั้งบริษัทฯยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ทางบริษัทได้รับจากค่าบริหารจัดการและการให้บริการที่ครบวงจรได้อยู่ในระดับที่ดี จึงทำให้บริษัทได้รับผลกระทบที่จำกัดจากการลดลงของค่าระวางในตลาดโลก
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 297.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 121.9 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 4,009.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,118.2 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/65 ทำสถิติกำไรสุทธิสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่ 7 ได้รับปัจจัยหนุนจากจำนวนตู้สินค้าจากปริมาณการขนส่งทางเรือที่เพิ่มขึ้น โดยมีปริมาณตู้สินค้าที่ขนส่งทางเรือในไตรมาส 3/2565 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 104 เมื่อเทียบกับปริมาณตู้สินค้าที่ขนส่งทางเรือในไตรมาส 2/2565 ในขณะที่รายได้จากการขนส่งสินค้าทางอากาศในไตรมาส 3/2565 ก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 107 และในรอบระยะเวลา 9 เดือนก็สูงกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 18 จากปัจจัยทั้งสอง และความสามารถในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธิ์ที่มีการบริการและกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย มีสายเดินเรือและสายการบินที่เป็นพันธมิตรเป็นจำนวนมาก และมี Overseas Network ที่อยู่ทั่วโลก ทำให้บริษัทสามารถรักษาระดับอัตราการทำกำไรขั้นต้นและการทำไรสุทธิของบริษัทฯได้ในระดับที่ดี จึงทำให้บริษัทฯสามารถสร้างผลกำไรให้เติบโตได้ถึงแม้ค่าระวางจะลดลงทั่วโลก และทำให้อัตราการทำไรขั้นต้นเพิ่มจาก 20% ขึ้นมาเป็น 23% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 7.5% ขึ้นมาเป็น 10.7% ในไตรมาส 3/2565 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2565 ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของปี 2565 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2565 บริษัทฯคาดว่าจะยังมีการเติบโตทางด้านปริมาณการขนส่งทั้งทางเรือ อากาศ และจะมีรายได้จากการขนส่งสินค้าทางรถไฟเพิ่มขึ้นด้วย และมั่นใจว่าผลประกอบการของปี 2565 จะโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 นับตั้งแต่บริษัทเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกหนึ่งปัจจัยบวกสำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4/2565 ก็เพราะบริษัทฯได้เริ่มรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นธุรกิจ Self Storage เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้ลูกค้าในส่วนของ SME บริษัทออร์แกไนซอร์ และกลุ่มลูกค้าที่ซ่อมบ้าน เริ่มกลับมาใช้บริการมากขึ้น และยังมีลูกค้าที่นำเอาของใช้ส่วนตัวมาเก็บเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งบริษัทฯ ได้เปิด LEO Self Storage # Chinatown แฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกของประเทศไทยใจกลางย่านเยาวราช ที่เป็นแหล่งการค้าและที่อยู่อาศัยที่สำคัญ และมีพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร ซึ่งมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเริ่มมีการรับรู้รายได้จากสาขาที่ 2 เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ
และสำหรับแนวโน้มในปี 2566 บริษัทฯก็มั่นใจว่าจะเป็นปีที่บริษัทฯจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากบริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ JV และ M&A ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้และปีหน้าอีกหลายโครงการ โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจ Non-Freight และ Non Logistics ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 30-50% เพื่อมาชดเชยกับอัตราค่าระวางที่ลดลง เช่นการเข้าร่วมลงทุนกับ ADVANTIS FREIGHT (PVT) LIMITED ซึ่งเป็นบริษัทระดับ Regional Player ในภูมิภาค Asia เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ในการดำเนินธุรกิจ Logistics & Distribution Center, ร่วมลงทุนกับ บริษัท เอสเค แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์ จำกัด (SK Asset Management Company Limited.) บริษัทในเครือ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA จัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่เพื่อดำเนินโครงการ Self-Storage แห่งที่ 3 เพื่อให้บริการพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่า และพัฒนาธุรกิจคลังสินค้าและให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร (Self-Storage, Warehouse & Integrated Logistics Services Project) ต่อยอดในการขยายธุรกิจ Self-Storage และ Warehouse ของบริษัทฯ อีกทั้งยังจะจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับ บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT ในการดำเนินธุรกิจศูนย์ให้บริการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics Center) และให้บริการธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจร นอกจากนี้บริษัทยังมีการริเริ่มธุรกิจ Non-Logistics ด้วยการสนับสนุนโครงการเพาะพันธุ์ปลูกขายต้นกล้ากัญชา และพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาเพื่อการแพทย์กับทางวิสาหกิจชุมชนสุขฤทัย เกษตรปลอดภัย ณ หุบป่าตาด อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งจะเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนของโครงการและรายได้ในปี 2566 นอกจากนี้ในปี 2566 บริษัทฯก็จะเปิดดำเนินการ Self Storage แห่งที่ 4 และลานเก็บตู้ Container แห่งที่ 2 ภายในปี 2566 โดยบริษัทฯคาดว่าธุรกิจใหม่ๆ ทั้งหมดหล่านี้จะสามารถสร้างรายได้ให้กับทางบริษัทฯได้อย่างน้อยปีละ 200 ล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า
และล่าสุด LEO ได้จับมือกับ บริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด เพื่อมาร่วมผลักดันและส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางราง จากสาธารณรัฐประชาชนจีน (คุนหมิง) - สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (เวียงจันทน์) – ประเทศไทย โดยร่วมมือในครั้งนี้ บริษัทจะสามารถขยายการให้บริการการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังประเทศจีนได้มากขึ้น และทำให้ความร่วมมือในการพัฒนาการขนส่งสินค้าทางรถไฟร่วมกับทาง China Post และ Tengjun สามารถบริการได้คลอบคลุมประเทศจีนได้มากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังสามารถทำหน้าที่เป็น “One-Stop Service Provider” ให้กับผู้ส่งออกและนำเข้าของไทยในการส่งออกและนำเข้าสินค้ากับประเทศจีน รวมถึงการกระจายสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก เนื่องจากบริษัทมีการจัดตั้งบริษัท Leo Sourcing & Supply Chain เพื่อทำการส่งสินค้าไปยัง e-Commerce Platform ของทาง China Post และ Tengjun รวมถึง e-Commerce Platform ของอีกหลายๆ มณฑลในประเทศจีนที่เป็นพันธมิตรกับทางบริษัทเบาไทฯ รวมถึงการนำเข้าสินค้าจกประเทศจีนมายังประเทศไทย และในที่ประชุมคณะกรรมการฯของบริษัทฯ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ก็ได้อนุมัติให้ทางบริษัทจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับทางบริษัท เบาไทยฯ และศรีตรังฯ ในการให้บริการการขนส่งสินค้าทางรถไประหว่างประเทศไทย-ลาว-จีน โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จากการขนส่งสินค้าทางรถไฟในปีหน้าร่วมกับทางพันธมิตรของบริษัทเช่น China Post/Tengjun เบาไทยฯและศรีไทยฯ ได้อย่างน้อย 200 ล้านบาทในปี 2566
นอกจากนี้ทางบริษัทฯก็ยังมีโครงการ JV และ M&A ที่อยู่ในระหว่างการเจรจาและหาข้อสรุปอีก 3-4 โครงการ ซึ่งคิดว่าจะสามารถหาข้อสรุปได้ภายในไตรมาส 4/2565 นี้ และบริษัทจะสามารถเริ่มบุ๊ครายได้จากโครงการต่างๆ เหล่านี้ได้ภายในไตรมาส 3/2566 เป็นอย่างช้า บริษัทจึงเชื่อมั่นว่าปี 2566 จะเป็นปีที่บริษัทมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านของธุรกิจและผลประกอบการ และสามารถสร้างผลงานให้เป็นนิวไฮอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 4 นายเกตติวิทย์ฯ กล่าวในที่สุด
A11614
‘CEO CH’ คว้ารางวัล บุคคลตัวอย่างแห่งปี 2022 พร้อมต่อยอดธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ ตอบรับเทรนด์ผู้บริโภคในอนาคต
“นายศักดา ศรีแสงนาม” CEO CH รับรางวัล “บุคคลตัวอย่างภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแห่งปี 2022” สะท้อนถึงศักยภาพผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในภาคธุรกิจ พร้อมอุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ พร้อมเร่งขับเคลื่อนธุรกิจ “ขนมเพื่อสุขภาพจากข้าวและธัญพืช - แพลนต์เบส และผลไม้อบแห้งผสมจุลินทรีย์โพรไบโอติก” ตอบรับเทรนด์อาหารสุขภาพทั่วโลกเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
นายศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH เปิดเผยว่า ตามที่มูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย หรือ มสวท. มอบรางวัล “บุคคลตัวอย่างภาคธุรกิจแห่งปี 2022 ภาคธุรกิจธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม” ให้กับตน เพื่อประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน และอุทิศตนทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติในด้านต่างๆ โดยมี ฯพณฯ นายเกษม จันทร์แก้ว (องคมนตรี) เป็นประธานในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ ถือว่าเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดแก่ตนเองและบริษัทเป็นอย่างมาก ที่ได้รับการยกย่องให้อยู่ในทำเนียบเกียรติยศของ มสวท. ในการเป็นบุคคลผู้ประสบความสำเร็จในด้านการงานและอุทิศตนเพื่อทำประโยชน์แก่สังคม
“ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ ‘บุคคลตัวอย่างภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแห่งปี 2022’ จาก มสวท. รางวัลดังกล่าวไม่ได้เป็นความภาคภูมิใจของผมแต่เพียงคนเดียว แต่ยังเป็นความสำเร็จของทีมผู้บริหารและพนักงาน CH ที่มีเป้าหมายเดียวกันในการช่วยกันขับเคลื่อนธุรกิจ ในฐานะผลิตและจำหน่ายผลไม้อบแห้ง ปลากระป๋อง และขนมเพื่อสุขภาพ ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาถึง 97 ปี ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า โดย CH จะไม่หยุดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพ (Healthy Food) ออกสู่ตลาด เพื่อการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้าและสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป” นายศักดา กล่าว
นายศักดา กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้นับเป็นความท้าทายในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนระดับองค์กร ภายหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อเดือนกันยายน 2565 ภายใต้บริบทที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยพร้อมขยายตลาดอาหารเพื่อสุขภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น ต่อยอดธุรกิจภายใต้แบรนด์ของตัวเองและรับจ้างผลิตแบบ OEM ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบัน CH มีผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพหลายประเภท เช่น ขนมเพื่อสุขภาพ MEBLE กราโนล่าบอล ที่มีคุณประโยชน์จากข้าวและธัญพืช ใช้การอบแทนการทอด มีไฟเบอร์สูง และไม่มีกลูเตน, ผลิตภัณฑ์แพลนต์เบส แบรนด์ “Meble Snack” ขนมทางเลือกโปรตีนจากถั่วลันเตาและมันแกว มาผลิตเป็น Dry Plant-Based Jerky หรือ “เนื้อแผ่นจากพืช” รวม 2 รสชาติ ที่มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง และผลไม้อบแห้งผสมจุลินทรีย์โพรไบโอติก ที่นำจุลินทรีย์ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมาใช้เป็นส่วนผสมในวัตถุดิบ มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น นับเป็นผู้ผลิตรายแรกในประเทศไทย
ทั้งนี้ CH พร้อมมุ่งมั่นนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ หรือ Future Food เพื่อพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพให้เกิดความหลากหลาย มีความแตกต่าง สามารถเจาะกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้มากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ CH เป็นที่ยอมรับของตลาดโลกและสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพตลอดไป
A11611
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด