พฤกษาโชว์กำไรสุทธิเติบโต 87% เตรียมโอน 4 คอนโด โกยรายได้ โค้งสุดท้ายปลายปี เดินหน้าลงทุนธุรกิจเฮลท์เทค และ โซเชียล คอมเมิร์ส
ผลประกอบการพฤกษา โฮลดิ้ง ไตรมาส 3 ปี 2565 เติบโต 87% ทำกำไรสุทธิ 619 ล้านบาท รายได้อยู่ที่ 6,832 ล้านบาท จากการเติบโตของทั้งสองธุรกิจหลัก อสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจเฮลท์แคร์ สถานะทางการเงินแกร่ง เดินหน้าลงทุนธุรกิจใหม่ด้านเฮลท์เทค และโซเชียล คอมเมิร์ส
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3 ปี 2565 ว่า “พฤกษา โฮลดิ้ง ทำรายได้ 6,832 ล้านบาท เติบโต 27% จากไตรมาสที่ผ่านมา และเติบโต 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิที่ 619 ล้านบาท เติบโต 44% จากไตรมาสที่ผ่านมา และเติบโต 87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ทำอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 30.9% และมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนต่ำ (Net Gearing Ratio) ที่ 0.34 เท่า ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสสองที่ 0.39 เท่า ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของทั้งสองธุรกิจหลัก ทั้งอสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจเฮลท์แคร์
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 3 ทำรายได้ 6,430 ล้านบาท เติบโต 26% จากไตรมาสก่อน หรือเติบโต 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการที่สูงขึ้นของโครงการแนวราบในเซ็กเม้นต์พรีเมี่ยม และรายได้จากการโอนคอนโดมิเนียม 3 โครงการในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา และสามารถทำยอดขายได้ 2,858 ล้านบาท พร้อมมียอดขายรอโอน (Backlog) เตรียมแปลงเป็นรายได้ในอนาคต ที่ราว 13,300 ล้านบาท โดยในไตรมาส 4 เตรียมส่งมอบคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ได้แก่ แชปเตอร์ จุฬา-สามย่าน, ไพรเวซี่ จตุจัตร, พลัมคอนโด พระราม 2, พลัมคอนโด สุขุมวิท 62 มูลค่าราว 6,300 ล้านบาท และ มีแผนเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4 รวม 7,800 ล้านบาท ได้แก่ ทาวน์เฮาส์ 7 โครงการ มูลค่า 3,600 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 3 โครงการ มูลค่า 2,700 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 1,500 ล้านบาท
ล่าสุดด้วยความใส่ใจในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่พฤกษาให้ความสำคัญมาโดยตลอด ที่โรงงานพฤกษาพรีคาสท์ได้เริ่มนำเทคโนโลยีใหม่ “คาร์บอนเคียว” (CarbonCure) โดยการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาผสมในคอนกรีต สามารถลดคาร์บอนฟุตปริ้นท์ในการผลิต โดยที่ยังคงประสิทธิภาพและคุณภาพของคอนกรีต ซึ่งพฤกษาเป็นอสังหาฯ รายแรกในไทยที่ได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยนี้เข้ามาใช้งาน สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิต และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศลงได้ถึง 1,000 ตันต่อปี
ในขณะที่ธุรกิจด้านสุขภาพ (Healthcare Business) ในไตรมาส 3 มีรายได้ 330 ล้านบาท เติบโต 63% จากไตรมาสก่อน หรือเติบโต 276% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สร้างรายได้จากบริการทางการแพทย์ในกลุ่มโรคที่ไม่เกี่ยวกับโควิดได้สูงสุดเป็น New High นับจากเริ่มดำเนินกิจการเมื่อปีที่ผ่านมา และมีการขยายบริการไปยังกลุ่มคนไข้ใหม่ และจากการจัดตั้งแผนกให้บริการผู้ป่วยต่างชาติโดยเฉพาะ ทำให้มีสัดส่วนคนไข้ต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 23% ในขณะที่ทิศทางธุรกิจในอนาคต โรงพยาบาลวิมุตมีแผนเพิ่มเตียงสำหรับผู้ป่วยจาก 100 เตียง เป็น 125 เตียงภายในสิ้นปี 2565 เพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น
ด้านการลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อต่อยอดพันธกิจด้านนวัตกรรม ทางบริษัทฯ ได้มีการร่วมลงทุนกับ Pathology Asia Holdings ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำให้บริการด้านการวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีแผนการนำโนฮาวด้านการวินิจฉัยทางการแพทย์ Genomics และระบบการบริหารแล็ปที่ทันสมัย มุ่งขยายกิจการในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการนำนวัตกรรมด้านการแพทย์ระดับโลกมาสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านสุขภาพของกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ นอกจากธุรกิจด้านสุขภาพ พฤกษา โฮลดิ้ง ยังเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจโซเชียล คอมเมิร์ส จึงได้ลงทุนในสตาร์ทอัพ PUNDAI - ปันได้ เครื่องมือ Affiliate Marketing Network ช่วยขายออนไลน์ ที่มาพร้อมฟังก์ชัน การใช้งานที่ง่าย ครบ จบในที่เดียว เป็นเครื่องมือช่วยตอบโจทย์การขายผ่านทุกช่องทางออนไลน์ ให้กับผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปให้เติบโตในโลกอีคอมเมิร์ซและเป็นฟันเฟืองสำคัญในการช่วยสร้างงานสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ทาง พฤกษา โฮลดิ้ง เปิดเผยว่าจากการประชุมคณะกรรมการบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ครั้งล่าสุด ได้มีมติรับทราบการลาออกจากตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และประธานคณะกรรมการบริหาร ของนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ โดยมีผลเป็นการลาออกตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป ซึ่งภายหลังการลาออก นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ จะยังคงมีตำแหน่งเป็น รองประธานกรรมการบริษัท กรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน กรรมการกำกับการบริหารความเสี่ยง กรรมการบริหาร และกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
สำหรับการลาออกครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Succession Plan ที่ทางบริษัทฯ ได้วางแผนไว้ในการเตรียมความพร้อมและสร้างความยั่งยืนขององค์กรในอนาคต ซึ่งนายทองมาได้กล่าวว่า “หลังจากที่ได้ดำรงตำแหน่งร่วมกับนายอุเทน ที่ได้บริหารงานพฤกษา โฮลดิ้ง ร่วมกันมาเป็นเวลาราว 10 เดือน ผมไว้วางใจ มีความมั่นใจในคณะทีมบริหารมากขึ้น จึงได้ตัดสินใจมอบหมายให้ นายอุเทนบริหารงานอย่างเต็มตัว เป็นการส่งมอบให้นักบริหารมืออาชีพที่มีความสามารถได้มาต่อยอดดูแลบริหารงานเชิงกลยุทธ์และด้านปฏิบัติการของธุรกิจต่างๆ ในเครือทั้งกลุ่ม โดยกำหนดวิสัยทัศน์ไปถีงขยายกิจการ การลงทุนในธุรกิจใหม่ ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรการทำงานในรูปแบบใหม่ที่เปิดกว้างทางความคิด สร้างความหลากหลายในองค์กร มุ่งปรับปรุงและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ อันจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่มพฤกษาในยุคดิจิทัลสู่องค์กรชั้นนำที่มอบโซลูชั่นสินค้าและบริการเพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีที่สุด”
และในปีนี้ที่ทางพฤกษาได้ริเริ่มโครงการ “Accelerate Impact with PRUKSA” ให้การสนับสนุนบริษัทในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่ต้องการความช่วยเหลือในการขยายกิจการให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อให้บริษัทที่เข้าโครงการได้บรรลุเป้าหมายสร้างผลกระทบเชิงบวกในการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง ซึ่ง “ทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์” เงินทุนส่วนตัวของนายทองมา ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมพระศาสนา สนับสนุนด้านการศึกษา และช่วยเหลือสังคม ได้มีการต่อยอดภารกิจด้านการช่วยเหลือสังคม ด้วยการให้การสนับสนุนธุรกิจเพื่อสังคม ที่ทางพฤกษาได้ริเริ่มโครงการนำร่องบ่มเพาะสตาร์ทอัพในปีนี้ด้วย
A11636
PIN โชว์ผลงาน 9 เดือนแรกปีนี้ ทำรายได้จากการดำเนินงาน 565 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.5% รับไตรมาส 3/65 เร่งโอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มดันยอดพุ่ง มั่นใจผลงานทั้งปีเติบโตได้ตามเป้าหมาย
บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN โชว์ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปีนี้ ทำรายได้จากการดำเนินงาน 565.2 ล้านบาท เติบโต 41.5% และมีกำไรสุทธิ 109.4 ล้านบาท หลังไตรมาส 3/65 เร่งทยอยโอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Recurring Income เติบโตตามกิจกรรมการผลิตของฐานลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม รับจังหวะเศรษฐกิจฟื้นตัว พร้อมตุน Backlog โอนที่ดินให้ลูกค้าในโค้งสุดท้ายอีกประมาณ 176 ไร่ มั่นใจทั้งปีเติบโตตามแผน
นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ PIN เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 565.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 109.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยความสำเร็จมาจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองที่เพิ่มขึ้น 65.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจ Recurring Income ที่ประกอบไปด้วย รายได้จากการให้บริการเช่าโรงงานและคลังสินค้าในนิคมอุตสาหกรรม ค่าบริการพื้นที่ส่วนกลางและระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการยังมีอัตราการขยายตัวที่ตามกิจกรรมการผลิตที่เพิ่มขึ้น ภายหลังจากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มีสัดส่วนรายได้กลุ่มธุรกิจ Recurring Income เพิ่มขึ้น 2.8%
ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังมี Backlog (ยอดขายรอรับรู้รายได้) ที่อยู่ระหว่างการรอโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าประมาณ 176 ไร่ และอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าที่ใกล้จะปิดดีลได้อีกประมาณ 60 ไร่ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ามากกว่าสิบราย โดยคาดว่าจะทยอยโอนที่ดินบางส่วนในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะผลักดันยอดขายที่ดินปีนี้เติบโตตามแผน
ส่วนแผนดำเนินงานในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ จะเร่งปิดการขายให้ยอดขายที่ดินเป็นไปตามเป้าหมาย และ เน้นการสื่อสารถึงจุดเด่นโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองให้กลุ่มลูกค้า โดยตอกย้ำจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก หรือ EEC และการให้บริการที่เกี่ยวข้องแบบ One-Stop service เช่น การขอใบอนุญาตก่อสร้าง การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าต่างชาติ โดยมองเห็นสัญญาณบวกของกลุ่มนักลงทุนที่เริ่มกลับมาลงทุนอย่างชัดเจน โดยลูกค้าที่อยู่ระหว่างเจรจาในช่วงนี้จะเป็นผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน อะไหล่ รวมถึงแบตเตอรี่ และ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องการเข้ามาตั้งฐานการผลิตเพิ่มเติม ส่วนรายได้กลุ่มธุรกิจ Recurring Income มีเจรจากับลูกค้าที่สนใจเช่าอาคารโรงงานอีกกว่า 20,000 ตร.ม. จึงทำให้มั่นใจว่าเป้าหมายภาพรวมการดำเนินงานในปีนี้จะขยายตัวได้ตามแผนที่วางไว้
A11631
‘กลุ่มบริษัทศรีตรัง’ มุ่งเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์และยกระดับอุตสาหกรรมยางไทย จัดงานใหญ่แห่งปี ‘งานบรรทุกยาง ติดราง สร้างรอยยิ้ม ปี 6 & ยางก้อนถ้วยคุณภาพดีสร้างสุข’
บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (“STA” หรือ “บริษัทฯ”) จัดงานใหญ่แห่งปี “งานบรรทุกยาง ติดราง สร้างรอยยิ้มปี 6 และยางก้อนถ้วยคุณภาพดีสร้างสุข” ณ โรงงานศรีตรังฯ 17 แห่ง ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก และภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม – 14 พฤศจิกายนนี้ ชูไฮไลต์กิจกรรมให้ความรู้และเทคนิคควบคุมคุณภาพและการขนส่งยาง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์และยกระดับอุตสาหกรรมยางไทย พร้อมเปิดตัวขั้นตอนการรับยางของกลุ่มบริษัทศรีตรัง ที่พัฒนาขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อ Sri Trang Smart Receive รวมถึงแนะนำแอปฯ ใหม่ อย่าง “ศรีตรังเฟรนดส์ สเตชัน”
นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก เปิดเผยว่าในปีนี้ บริษัทฯ มีกิจกรรมใหญ่หลายงาน รวมถึงงานบรรทุกยาง ติดราง สร้างรอยยิ้ม และยางก้อนถ้วยฯ ที่เราจัดขึ้นทุกปี เพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง คู่ค้า ตัวแทนชุมชน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยางพารา อาทิ การให้ความรู้และเทคนิคการรักษาคุณภาพยางและผลผลิต, การขนส่งยาง, การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ วัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพยาง ทั้งยังช่วยสร้างรอยยิ้มให้ชุมชนน่าอยู่และปลอดอุบัติเหตุ สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ต้องการเป็นผู้นำองค์กรยางสีเขียวแบบครบวงจรอย่างยั่งยืน ใส่ใจในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการคัดสรรวัตถุดิบจนถึงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ “งานบรรทุกยาง ติดราง สร้างรอยยิ้มปี 6 และยางก้อนถ้วยคุณภาพดีสร้างสุข” กำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม-14 พฤศจิกายน 2565 ณ โรงงานของกลุ่มบริษัทศรีตรัง ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก และภาคใต้ รวม 17 แห่ง โดยเชิญชาวสวนยาง คู่ค้า ตัวแทนหน่วยงานราชการ สภาอุตสาหกรรม กรมขนส่ง ชุมชน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการผลิตยางก้อนถ้วย มาร่วมกิจกรรมที่โรงงาน
ไฮไลต์ของกิจกรรมในปีนี้ จะจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตยางก้อนถ้วยให้มีคุณภาพที่ดี รวมถึงการขนส่งยางก้อนถ้วยอย่างถูกวิธี ตลอดจนแนะนำขั้นตอนการรับยาง ณ โรงงาน ด้วยระบบที่พัฒนาขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อ “Sri Trang Smart Receive” โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นแก่คู่ค้า ชาวสวน หรือผู้ขนส่งยางมาที่โรงงาน
นอกจากนี้ มีการแนะนำและอัปเดตแอปพลิเคชัน “ศรีตรังเพื่อนชาวสวน” ของบริษัทฯ รวมถึงแอปฯใหม่ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อชาวสวนยางและคู่ค้าโดยเฉพาะ ได้แก่ แอปพลิเคชัน “ศรีตรังเฟรนดส์ สเตชัน” (Sri Trang Friends Station) ที่เปิดใช้งานเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยกลุ่มผู้ค้ายางที่ลงทะเบียนแอปพลิเคชัน จะสามารถใช้งานโปรแกรมรับซื้อยางพาราที่ติดตั้งไว้ภายในแอปฯ เพื่ออำนวยความสะดวกการรับซื้อยาง การออกใบเสร็จรับเงินได้อย่างรวดเร็ว ตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายยางพาราย้อนหลัง และยังสามารถทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายได้อย่างมืออาชีพ ใช้ได้กับทุกประเภทวัตถุดิบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้พ่อค้ายาง เปรียบเสมือนเป็นผู้ช่วยที่ดีในการนำร่องให้เกิดระบบ Traceability ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างโปร่งใส พร้อมเสริมสร้างรากฐาน Ecosystem ให้แข็งแกร่ง และสอดคล้องกับนโยบายบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
“เราคาดว่าการจัดกิจกรรมทั้ง 2 งานในปีนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวสวน คู่ค้า และผู้ให้บริการขนส่งยาง ได้เข้าใจถึงเทคนิคในการรักษาคุณภาพยางก้อนถ้วย การพัฒนาขั้นตอนการรับยางของกลุ่มบริษัทศรีตรัง และการนำแอปพลิเคชันเข้ามาให้บริการเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยางไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล” นายวีรสิทธิ์ กล่าว
DMT อวดกำไร Q3/65 กระฉูด 407% รายได้ค่าผ่านทางพุ่ง หลังเปิดเมือง-ต่างชาติคัมแบ็ค มั่นใจปี 65 โต 50% แตะ 1.9 พันลบ.
บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง (DMT) เผยผลประกอบการไตรมาส 3/2565 กำไรสุทธิพุ่งแตะ 214.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 407% จากช่วงในปีก่อน และมีรายได้ค่าผ่านทาง 502.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175% จากช่วงปีก่อน เนื่องจากปริมาณจราจรบนทางยกระดับเพิ่ม หลังเปิดเมือง-ต่างชาติคัมแบ็ค โชว์ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ไร้ภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย หนุนต้นทุนทางการเงินลด ฟาก MD ‘ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย’ มั่นใจรายได้ค่าผ่านทางในปีนี้เข้าเป้าอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 50% อานิสงส์ปริมาณจราจรเพิ่มขึ้น
ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) (DMT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 บริษัทฯ มีรายได้ค่าผ่านทาง 502.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175% จากช่วงปีก่อนที่มีรายได้ 182.88 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 214.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 407% จากช่วงปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 42.27 ล้านบาท
โดยในไตรมาส 3 ปี 2565 ปริมาณการจราจรรวมสัมปทานเดิมและตอนต่อขยายด้านทิศเหนือเฉลี่ยต่อวันมีจำนวน 92,477 คันต่อวัน เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 ที่มีจำนวน 79,487 คันต่อวัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 16.3% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564 ที่มีจำนวน 34,870 คันต่อวัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 165.2%
“ผลประกอบการในไตรมาส 3/2565 เติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากปริมาณจราจรบนทางยกระดับที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ค่าผ่านทางเพิ่มขึ้น โดยปี 2565 ภาครัฐไม่มีมาตรการการจำกัดการเดินทาง และบริษัทฯดำเนินการบริหารการจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มจุดแข็งในสถานการณ์ของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยเป็นบริษัทฯที่ไม่มีภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ย หรือ Debt-Free Company ส่งให้บริษัทฯมีสภาพคล่องทางการเงินที่สูง สามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาวตลอดอายุสัมปทาน” ดร.ศักดิ์ดา กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้ค่าผ่านทาง 1,280.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% จากช่วงปีก่อนที่มีรายได้ 817.59 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 544.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% จากช่วงปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 248.51 ล้านบาท
กรรมการผู้จัดการ DMT กล่าวอีกว่า บริษัทฯยังคงดำเนินธุรกิจบนหลักการการบริหารจัดการและการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินงานในด้านต่างๆ ของบริษัทฯ เพื่อไม่ให้ธุรกิจหยุดชะงัก สามารถวางรากฐานการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน (Sustainability Development) โดยการส่งมอบคุณค่าในด้านต่างๆ ให้กับผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นรูปธรรม สามารถบริหารจัดการเพื่อให้ประสิทธิภาพในการให้บริการทางยกระดับเป็นไปตามมาตรฐาน ด้วยความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยให้กับผู้ใช้ทาง โดยไม่หยุดที่จะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไป
ทั้งนี้ โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนปี 2565 ประกอบไปด้วย โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำใต้ทางแยกสุทธิสาร ระยะทาง 1,650 เมตร กำหนดแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน โครงการงานปรับปรุงทาสี ZINC เสาไฟแสงสว่าง เฟสที่ 1 (จำนวน 370 ต้น) กำหนดแล้วเสร็จตุลาคม 2565 การพัฒนาการชำระด้วย QR Payment โครงการศึกษา ทดลอง/ทดสอบและพัฒนาระบบเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติ “แบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow)” ได้มีการพัฒนาอุปกรณ์ระบบ MLFF ตาม Specification ของ Single Platform เรียบร้อยแล้ว และอยู่ในขั้นตอนรอการทดสอบการเชื่อมต่อกับระบบ Single Platform ของกรมทางหลวง รวมทั้งมีการเตรียมการปรับปรุงระบบ Network System เพื่อรองรับระบบ M-Flow บนทางยกระดับอุตราภิมุข ทั้ง 9 ด่าน และติดตั้งระบบ M-Flow ต่อไป
ดร.ศักดิ์ดา กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ค่าผ่านทางในปีนี้อยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท คิดเป็นรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 5.25 ล้านบาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 50% จากปีก่อนที่มีรายได้ค่าผ่านทางอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท เนื่องจากประเมินแนวโน้มปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้น ผลจากปัจจัยบวกที่ภาครัฐสร้างความมั่นใจให้เกิดกิจกรรมการเดินทางที่ประชาชนมีความเชื่อมั่นหลังจากภาครัฐประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง และยกเลิกมาตรการทุกอย่างที่เกี่ยวกับโควิด-19 ทำให้มีการเดินทางเพิ่มขึ้น และปัจจัยบวกจากการเดินทางของสนามบินดอนเมือง ที่มีการคาดการณ์ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยจะเพิ่มเป็น 10.3 ล้านคนในปี 2565 และ 28.3 ล้านคนในปี 2566 หลังจากรัฐบาลจีนมีแนวโน้มเริ่มเปิดประเทศผ่อนคลายการท่องเที่ยวช่วงปลายปีนี้ หากภาครัฐได้เปิดให้สายการบินระหว่างประเทศกลับมาบินเพิ่มมากขึ้น และคาดว่าจำนวนเที่ยวบินที่สนามบินดอนเมืองจะมีจำนวนมากขึ้น จะทำให้ปริมาณจราจรบนทางยกระดับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
A11627
‘CV’ บุ๊คผลงาน 9 เดือนแรกปี 65 ทำรายได้ 1,538 ล้านบาท เติบโต 44% ลุยขยายกำลังการผลิต Wood Pellets ในเวียดนาม รับคำสั่งซื้อปลายปีหลังดีมานด์พุ่ง
‘บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์’ หรือ CV ประกาศผลงานไตรมาส 3/65 มีรายได้รวม 555 ล้านบาท หนุนผลงานงวด 9 เดือนแรกของปี 65 ทำรายได้พุ่ง 1,538 ล้านบาท เติบโต 44% และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 42.6 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าบริหารจัดการและควบคุมค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ ปักธงขยาย 3 กลุ่มธุรกิจ มั่นใจผลงานปีนี้รายได้เติบโต 50-60% พร้อมรับดีมานด์ธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellets) เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต รองรับคำสั่งซื้อในปลายปีกว่า 110-120 ล้านบาท
นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 555 ล้านบาท เติบโต 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 371 ล้านบาท โดยความสำเร็จดังกล่าวมาจากกลุ่มธุรกิจด้านวิศวกรรม (EPC Turkey) ที่ทำรายได้กว่า 410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79% และมีรายได้จากการขายไฟฟ้าทั้งสิ้น 141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ทำได้ 7.8 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม-กันยายน) มีรายได้รวม 1,538 ล้านบาท เติบโต 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,068.58 ล้านบาท ตามการเติบโตของกลุ่มธุรกิจด้านวิศวกรรมที่มีรายได้ 984.73 ล้านบาท เติบโตกว่า 55.39% ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ามีรายได้ 415 ล้านบาท เติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในงวด 9 เดือนแรกทำได้ 42.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้นทำให้ต้องหยุดเดินเครื่องการผลิตในโรงไฟฟ้าโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (SPP) ที่จังหวัดสระบุรีตั้งแต่ช่วงต้นปีและกลุ่มธุรกิจด้านวิศวกรรมมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลง
“เราประสบความสำเร็จในการผลักดันรายได้เติบโตได้ดี จากกลุ่มธุรกิจด้านวิศวกรรมและธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า แต่กำไรสุทธิยังต้องบริหารจัดการให้ดีขึ้นซึ่งเราวางแผนบริหารจัดการและควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เชื่อว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานของเรากลับมาโดดเด่นในปีถัดไป” นายเศรษฐศิริ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CV กล่าวว่า ส่วนภาพรวมการดำเนินงานในปี 2565 คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50-60% โดยยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.) กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ที่อยู่ระหว่างเตรียมพร้อมเข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมของภาครัฐในสิ้นเดือนนี้ พร้อมรอเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนจำนวน 3 โครงการ กำลังการผลิตรวม 19.8 เมกะวัตต์ ร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) คาดว่าจะมีการลงนามได้ในปี 2566 ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาโลเคชั่นเพื่อให้เหมาะสมต่อการดำเนินธุรกิจ
2.) ธุรกิจด้านวิศวกรรม (EPC Turkey) ปัจจุบันมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 2,182 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ในปี 2566 ไม่ต่ำกว่า 60-70% โดยเตรียมเซ็นสัญญารับงานก่อสร้างในโปรเจคใหม่ๆ เพิ่มเติมทั้งในกลุ่ม Commercial และ Residential เพื่อรักษา Backlog ในมือให้มีไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โดยได้มุ่งเน้นขยายประสิทธิภาพการบริหารจัดการโครงการสู่ธุรกิจก่อสร้างแบบสำเร็จรูป (Modular) เพื่อส่งมอบงานได้เร็วขึ้นและมีมาร์จิ้นที่สูงกว่าธุรกิจ EPC
3.) ธุรกิจจัดหาเชื้อเพลิง (Fuel Supply) หลังจากเข้าลงทุนธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) ในประเทศเวียดนาม ก็ได้รับปัจจัยเชิงบวกจากราคาเชื้อเพลิงประเภทอื่นๆ ปรับตัวขึ้นทำให้ราคา Wood Pellet มีการปรับราคาสูงขึ้น ล่าสุดได้เริ่มรับรู้รายได้จากการขาย Wood Pellet แล้ว 40 ล้านบาทในเดือนตุลาคม 2565 พร้อมวางแผนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมจาก 8,000 ตัน เพิ่มเป็น 12,000 ตันต่อเดือน
A11624
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด