ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดบวก 4.73 จุดเก็งกำไรกลุ่มแบงก์-ท่องเที่ยว รอลุ้นศบค.ผ่อนคลายมาตรการ
ตลาดหลักทรัพย์ ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,680.35 จุด เพิ่มขึ้น 4.73 จุด (+0.28%) มูลค่าการซื้อขายราว 69,123.90 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัว โดยดัชนีขึ้นไปทำระดับสูงสุด 1,685.90 จุด และลงไปต่ำสุดที่ 1,675.58 จุด
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 652 หลักทรัพย์ ลดลง 921 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 606 หลักทรัพย์
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ในทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น รับปัจจัยหนุนจากผลประกอบการกลุ่มแบงก์ที่ออกมาได้ดีกว่าที่คาด และใกล้เคียงที่คาด โดยสินเชื่อมีการเติบโต ตั้งสำรองลดลง และ NPL มีทิศทางที่ปรับตัวลดลง ในขณะที่วันศุกร์ที่ 22 เม.ย. การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ชุดใหญ่อาจมีการพิจารณาปรับรูปแบบและมาตการป้องกันในระดับต่างๆ รวมถึงผ่อนคลายมาตรการการเข้า-ออก ประเทศ ทั้งทางอากาศ ทางบก และทางน้ำรวมไปถึงค่าเงินบาทที่ยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง จึงมีแรงเก็งกำไรเข้ามาในกลุ่มแบงก์ และท่องเที่ยว แต่อย่างไรก็ตามได้รับแรงกดดันเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากความไม่แน่นอนระหว่างยูเครน และ รัสเซีย ที่กระทบให้ราคาน้ำมันมีความผันผวนค่อนข้างมาก และมีการติดตามความเห็นของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อทิศทางนโยบายทางการเงินที่อาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรง แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนี้ คาดว่าตลาดฯ น่าจะแกว่งออกข้าง หากยืนเหนือแนวรับระดับ 1,670-1,680 จุด มีโอกาสที่จะขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1,690-1,700 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,865.30 ล้านบาท ปิดที่ 157.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท
BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,107.36 ล้านบาท ปิดที่ 11.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 2,049.53 ล้านบาท ปิดที่ 137.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,580.87 ล้านบาท ปิดที่ 216.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
EA มูลค่าการซื้อขาย 1,537.14 ล้านบาท ปิดที่ 88.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
--อินโฟเควสท์
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดเช้าบวก 6.93 จุดตามตปท.เก็งกลุ่มแบงก์-อิเล็กฯ แนวโน้มบ่ายคาดแกว่งกรอบแคบ
ตลาดหลักทรัพย์ ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,682.55 จุด เพิ่มขึ้น 6.93 จุด (+0.41%) มูลค่าการซื้อขายราว 39,548.48 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยทำจุดสูงสุด 1,685.90 จุด และต่ำสุดที่ 1,675.58 จุด
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์-รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย โดยมีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังงบการเงินธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ในไตรมาส 1/65 ออกมาดี และคาดว่าวันนี้ KBANK, BBL, KTB, TTB จะประกาศงบการเงิน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond yield)ขึ้นมาสูงที่ 2.9% ซึ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี 4 เดือน หนุนงบการเงินของกลุ่มธนาคารให้ดีต่อเนื่อง และยังมีแรงซื้อกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รับเงินบาทอ่อนค่า
แต่ก็มีแรงขายกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบโลกร่วง 5% สลับกับกลุ่มเปิดเมือง หลังมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเพิ่มขึ้นหลังเทศกาลช่วงสงกรานต์
ในช่วงบ่ายแนวโน้มการลงทุนน่าจะแกว่งแคบๆ ให้แนวรับที่ 1,678-1,685 จุด แนวต้านที่ 1,686-1,690 จุด
โดยติดตามสถานการณ์การคลายล็อกดาวน์ในจีน การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ในวันที่ 3-4 พ.ค. ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ ที่อาจปรับตัวสูงขึ้น และรอเก็งกำไรงบบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/65 โดยคาดว่าในเดือนเม.ย.นี้ดัชนี SET น่าจะแกว่งในกรอบ 1,665-1,700 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,371.72 ล้านบาท ปิดที่ 157.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาท
BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,685.71 ล้านบาท ปิดที่ 11.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,092.38 ล้านบาท ปิดที่ 137.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 968.37 ล้านบาท ปิดที่ 217.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
EA มูลค่าการซื้อขาย 943.40 ล้านบาท ปิดที่ 88.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
--อินโฟเควสท์
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าปรับขึ้นต่อรับแรงหนุนงบแบงก์ออกมาดี-ปรับลด GDP โลกกระทบน้อย
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้น่าจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ โดยภาพระยะสั้นได้รับแรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1/65 ของบริษัทจดทะเบียนไทย นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ได้เปิดเผยไปบ้างแล้ว ซึ่งออกมาค่อนข้างดี จากการปรับลดการตั้งสำรองลง ทำให้คาดว่าหุ้นธนาคารพาณิชย์ที่เหลือจะออกมาดีด้วย
ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 65 และ 66 เหลือ 3.6% มองว่าส่งผลกระทบต่อภูมิภาคอาเซียนไม่มาก
และการเปิดประเทศ ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยให้จับตาดูการประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) วันศุกร์นี้ (22 เม.ย.65) ว่าจะมีมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างไร
นอกจากนี้ยังมองผลประกอบการของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ในไตรมาส 1/65 กำไรน่าจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยหนุนตลาดฯ ได้ในเวลานี้ อย่างไรการลงทุน แนะนำยังสามารถเก็งกำไรได้ ในหุ้นรายกลุ่ม รายตัว โดยชอบหุ้นกลุ่มโรงแรม ค้าปลีก การแพทย์ โรงกลั่น และน้ำมัน
ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ยังเคลื่อนไหวทรงตัว
ให้แนวรับ 1,670 จุด และแนวต้าน 1,685 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (19 เม.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,911.20 จุด พุ่งขึ้น 499.51 จุด หรือ +1.45%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,462.21 จุด เพิ่มขึ้น 70.52 จุด หรือ +1.61% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,619.66 จุด เพิ่มขึ้น 287.30 จุด หรือ +2.15%
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,210.79 จุด เพิ่มขึ้น 225.7 จุด หรือ +0.84% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,189.89 จุด ลดลง 4.14 จุด หรือ -0.13% และตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 20,972.84 จุด ลดลง 54.92 จุด หรือ -0.26%
ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (19 เม.ย.) ที่ระดับ 1,675.62 จุด เพิ่มขึ้น 7.56 จุด, +0.45%
นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,174.47 ล้านบาท เมื่อวันที่ 19 เม.ย.65
ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ค.(19 เม.ย.) ร่วงลง 5.65 ดอลลาร์ หรือ 5.2% ปิดที่ 102.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (19 เม.ย.) อยู่ที่ 18.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
เงินบาทเปิด 33.85 แนวโน้มอ่อนค่าต่อ ให้กรอบเคลื่อนไหววันนี้ 33.70-34.00
"ไฮเน็คกี้" หัวเรือใหญ่ เครือไมเนอร์ อินเตอร์ฯ ร่อนจดหมายถึงนายกฯ จี้ปลดล็อกข้อจำกัดการเดินทาง ยกเลิกระบบ "ไทยแลนด์พาส" และมาตรการ Test & Go ปูพรมสู่ "ยุคเปิดประเทศเต็มรูปแบบ" ฟื้นเศรษฐกิจและท่องเที่ยว งัดข้อชิงความได้เปรียบแข่งนานาประเทศ ด้าน "สทท." กาง 3 ซีนาริโอปี 65 ชี้ต้องได้นักท่องเที่ยว ต่างชาติ ฟื้นตัว 40% หรือ อย่างน้อย 16 ล้านคน อุ้มผู้ประกอบการให้อยู่รอด
กระทรวงสาธารณสุข ชง ศบค. 22 เม.ย.นี้ ผ่อนคลาย เทสต์แอนด์โก ปรับพื้นที่ สีจังหวัด ลุ้นยกเลิก "ไทยแลนด์ พาส" นายกฯ เผยหลังสงกรานต์ คือ การเริ่มต้นใหม่ สั่งเร่งแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลงทุนส่งออก เปิดเวทีถกภาคธุรกิจ พ.ค. เผย 1 ก.ค.เตรียมมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศ ขณะที่สหรัฐถอดไทยออกจากประเทศเสี่ยงโควิดห้ามเดินทาง
"พลังงาน" เผย 1 พ.ค.ลดอุ้มดีเซล รัฐจ่ายส่วนที่เกิน 30 บาท เพียง 50% หลังกองทุนน้ำมัน ต้องอุดหนุนลิตรละ 11.21 บาท ชี้เงินเฟ้อ-ค่าขนส่งพุ่ง "สุพัฒนพงษ์" สั่งหาแนวดูแล คาดปรับขึ้นเป็น ขั้นบันได เริ่มต้นราคา 32 บาท มั่นใจกองทุนน้ำมัน กู้เงินได้ มิ.ย.นี้
นายกฯ ห่วงประชาชนมีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย สั่งออกมาตรการช่วยเหลือ เร่งคนละครึ่ง เฟส 5 อยู่ ด้าน "สุพัฒนพงษ์" เผยเดือน พ.ค.อาจช่วยอุดหนุนดีเซลในส่วนที่เกินลิตรละ 30 บาท มากกว่าที่ประกาศไว้ 50% ขณะที่ ครม.ปรับมาตรการลดค่าเอฟทีให้บ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก และขยายการช่วยเหลือค่าน้ำมันมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์
สบน.ออกโรงแจงประเด็นก่อหนี้สูง ประเทศเสี่ยงล้มละลาย ระบุเป็นไปเพื่อรองรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และความจำเป็นในการเยียวยาจากสถานการณ์โควิดฯ ยันการจัดทำแผนก่อหนี้พิจารณาอย่างละเอียด-เคร่งครัด ทั้งด้านต้นทุน-ระยะเวลาชำระคืน และระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางการคลัง-ไม่อยู่ในความเสี่ยงที่จะล้มละลาย โชว์มูดีส์ยังจัดอันดับเครดิต BBB+
*หุ้นเด่นวันนี้
ILINK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ" เป้าหมาย 12 บาท มองบวกต่อกำไรปี 2565 จากธุรกิจ Distribution จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโครงข่ายและความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตที่รวดเร็วและเสถียร ทำให้มีความต้องการ Cabling ซึ่ง ILINK มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ขณะเดียวกัน ITEL จะฟื้นหลังถูกกระทบจากโควิด และได้ Strategic partner รุกธุรกิจ Data center คาดกำไรสุทธิปี 2565-2566 +16% Y-Y และ +15% Y-Y ตามลำดับ และมี Upside ราว 15% ต่อปีใน 2 ปีข้างหน้าหากชนะงานประมูลก่อสร้างสายเคเบิ้ลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า มูลค่ากว่า 1 พันลบ. มีผลต่อราคาเป้าหมายราว 1.2-1.4 บาท/หุ้น
IVL (กรุงศรี)"ซื้อ" เป้า 60 บาท คาด IVL จะมีกำไรไตรมาส 1/65 ประมาณ 9.2 พันล้านบาท (EPS 1.64 บาท), +71% qoq, +54% yoy หนุนจากปริมาณขายและอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อเทียบกับการสูงขึ้นของต้นทุนการผลิต
SAPPE (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อ" เป้าหมาย IAA Consensus 32.00 บาท ภาพรวมปี 65 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปีนี้เติบโต 15% เป็นการเติบโตจากตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ O2O Marketing ทำกิจกรรมทางการตลาดในภูมิภาคเอเชีย ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้บริโภค ขณะที่ในตลาดยุโรปได้เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าในโมเดิร์นเทรดเพิ่มขึ้น ส่วนปัญหาตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือไม่ได้มีผลกระทบมากเพราะมีการ บริหารจัดการกับคู่ค้าไว้ล่วงหน้า สำหรับตลาดในประเทศเน้นการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกับพาร์ทเนอร์ และควบคุมต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงมี Cost Saving Projects ต่างๆ เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนในภาพรวม
--อินโฟเควสท์
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ SP 'JTS' และ 'BGT' เป็นเวลา 1 วันทำการ พร้อมเตือนผู้ลงทุนให้ระมัดระวังก่อนเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขายกับหลักทรัพย์บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) (JTS) และหลักทรัพย์บริษัท บีจีที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BGT) เป็นระดับ 3 ด้วยการหยุดพักการซื้อขาย (Trading suspension “SP”) เป็นเวลา 1 วันทำการ คือวันที่ 20 เมษายน 2565 หลังจากนั้นเมื่ออนุญาตให้ซื้อขาย ยังคงห้าม Net Settlement, ห้ามนำหลักทรัพย์มาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และต้องซื้อด้วยการนำเงินสดมาวาง 100% ก่อนซื้อ (บัญชี Cash balance) เนื่องจากสภาพการซื้อขายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ทั้งนี้เมื่ออนุญาตให้ซื้อขายแล้ว หากสภาพการซื้อขายยังคงเปลี่ยนแปลงไม่สอดรับกับปัจจัยพื้นฐาน จะดำเนินการตามมาตรการ ด้วยการหยุดพักการซื้อขายเป็นเวลา 1 วันทำการเป็นระยะๆ ซึ่งเป็นไปตามมาตรการกำกับการซื้อขายที่ได้มีการยกระดับและมีผลบังคับใช้เมื่อ 4 เมษายน 2565 เป็นต้นมา
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอเตือนผู้ลงทุนให้ระมัดระวังก่อนเข้าซื้อขายในหลักทรัพย์ที่อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขาย ให้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา นอกจากนี้ขอกำชับให้บริษัทสมาชิกทุกรายกำกับดูแลลูกค้าทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนภายในประเทศ ผู้ลงทุนต่างประเทศ ผู้ลงทุนสถาบัน หรือบัญชีบริษัทหลักทรัพย์โดยให้มีการดำเนินการเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดสำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์ในมาตรการกำกับการซื้อขายด้วย กล่าวคือ ต้องให้ผู้ลงทุนทุกประเภทวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ / ห้ามนำหลักทรัพย์มาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย / ห้าม Net settlement
หมายเหตุ:
มาตรการกำกับการซื้อขาย มีแนวทางดำเนินการ ดังนี้
มาตรการระดับ 1: ห้ามนำหลักทรัพย์มาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และต้องซื้อด้วยบัญชี Cash balance
มาตรการระดับ 2: ห้าม Net Settlement, ห้ามนำหลักทรัพย์มาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และต้องซื้อด้วยบัญชี Cash balance
มาตรการระดับ 3: ห้ามซื้อขายเป็นการชั่วคราว 1 วันทำการ, จากนั้นเมื่ออนุญาตให้ซื้อขาย ยังคงห้าม Net Settlement, ห้ามนำหลักทรัพย์มาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และต้องซื้อด้วยบัญชี Cash balance
ตลาดหลักทรัพย์ฯ SP 'JTS' และ 'BGT' เป็นเวลา 1 วันทำการ พร้อมเตือนผู้ลงทุนให้ระมัดระวังก่อนเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขายกับหลักทรัพย์บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) (JTS) และหลักทรัพย์บริษัท บีจีที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BGT) เป็นระดับ 3 ด้วยการหยุดพักการซื้อขาย (Trading suspension “SP”) เป็นเวลา 1 วันทำการ คือวันที่ 20 เมษายน 2565 หลังจากนั้นเมื่ออนุญาตให้ซื้อขาย ยังคงห้าม Net Settlement, ห้ามนำหลักทรัพย์มาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และต้องซื้อด้วยการนำเงินสดมาวาง 100% ก่อนซื้อ (บัญชี Cash balance) เนื่องจากสภาพการซื้อขายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ทั้งนี้เมื่ออนุญาตให้ซื้อขายแล้ว หากสภาพการซื้อขายยังคงเปลี่ยนแปลงไม่สอดรับกับปัจจัยพื้นฐาน จะดำเนินการตามมาตรการ ด้วยการหยุดพักการซื้อขายเป็นเวลา 1 วันทำการเป็นระยะๆ ซึ่งเป็นไปตามมาตรการกำกับการซื้อขายที่ได้มีการยกระดับและมีผลบังคับใช้เมื่อ 4 เมษายน 2565 เป็นต้นมา
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอเตือนผู้ลงทุนให้ระมัดระวังก่อนเข้าซื้อขายในหลักทรัพย์ที่อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขาย ให้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา นอกจากนี้ขอกำชับให้บริษัทสมาชิกทุกรายกำกับดูแลลูกค้าทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนภายในประเทศ ผู้ลงทุนต่างประเทศ ผู้ลงทุนสถาบัน หรือบัญชีบริษัทหลักทรัพย์โดยให้มีการดำเนินการเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดสำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์ในมาตรการกำกับการซื้อขายด้วย กล่าวคือ ต้องให้ผู้ลงทุนทุกประเภทวางเงินสด 100% ก่อนซื้อ / ห้ามนำหลักทรัพย์มาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย / ห้าม Net settlement
หมายเหตุ:
มาตรการกำกับการซื้อขาย มีแนวทางดำเนินการ ดังนี้
มาตรการระดับ 1: ห้ามนำหลักทรัพย์มาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และต้องซื้อด้วยบัญชี Cash balance
มาตรการระดับ 2: ห้าม Net Settlement, ห้ามนำหลักทรัพย์มาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และต้องซื้อด้วยบัญชี Cash balance
มาตรการระดับ 3: ห้ามซื้อขายเป็นการชั่วคราว 1 วันทำการ, จากนั้นเมื่ออนุญาตให้ซื้อขาย ยังคงห้าม Net Settlement, ห้ามนำหลักทรัพย์มาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และต้องซื้อด้วยบัญชี Cash balance
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด