สรุปประเด็นสัมมนา ‘SET ก้าวสู่ปีที่ 48 ขับเคลื่อนตลาดทุนแห่งอนาคต - Make it Work for Future’
เสวนา SET ก้าวสู่ปีที่ 48 ขับเคลื่อนตลาดทุนแห่งอนาคต “เดินหน้าอย่างไร ในวันที่ความยั่งยืนเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ - Sustainable Driver For Meaningful Growth” โดย คุณอภิศักดิ์ เกี่ยวการค้า รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการเงินและบริหารเงินลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คุณนุกิจ ชลคุป Chief Manufacturing Officer บมจ. โอสถสภา คุณไตรสรณ์ วรญาณโกศล กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอส พี วี ไอ และนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ คุณธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ. กสิกรไทย คุณรัตน์วลี อนันตานานนท์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
มุมมองตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตให้กับตลาดทุนไทย
คุณอภิศักดิ์ เกี่ยวการค้า รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการเงินและบริหารเงินลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ต้องเริ่มจากจุดมุ่งหมายขององค์กรก่อน เรามีการกำหนดกรอบ Sustainability Framework โดยดึงมาจากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติที่ตรงกับบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ ใน 4 ด้าน
• มุมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน
• แผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน
• ลดความเหลื่อมล้ำ
• การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นำมาแตกย่อยสู่ SET ESG in Action ใน 5 มิติ
มิติที่หนึ่ง การบริหารองค์กรอย่างยั่งยืน เน้นเรื่องความโปร่งใส ความรอบด้าน ความเท่าเทียม ความเป็นธรรม การบริหารความเสี่ยง และนวัตกรรม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น e-Lisinging, FundConnext และในช่วงโควิด-19 พัฒนา e-Shareholder Meeting เพื่ออำนวยความสะดวกแก่บริษัทจดทะเบียนในการประชุมผู้ถือหุ้นแบบออนไลน์ รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม เช่น e-Open Account, e-Stamp Duty ระยะต่อไปคือการให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล Digital Asset Exchange
มิติที่สอง การสร้างคุณค่าตลาดทุน มุ่งส่งเสริมทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน กำหนดมาตรฐาน ให้ความรู้ คำปรึกษา ประเมินผล ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล และยกย่องผู้ทำความดีเพื่อเป็นแบบอย่าง เช่น ส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนเข้าสู่ดัชนีความยั่งยืนระดับโลกต่างๆ การส่งเสริมให้เกิด Sustainable Finance
มิติที่สาม การพัฒนาและดูแลพนักงาน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดูแลพนักงาน โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่มีมาตรการให้พนักงาน WFH การดูแลอาคารสถานที่ทำงานให้ลดโอกาสจากการติดเชื้อโควิด-19 และส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองผ่าน Online Learning
มิติที่สี่ การพัฒนาและดูแลสังคมส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้ประชาชนทุกวัยผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีผู้เข้าใช้งานนับล้านราย และสร้างแพลตฟอร์ม SET Social Impact เชื่อมโยงเครือข่ายภาคธุรกิจ และการสร้างหลักสูตรพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อสังคม
มิติที่ห้า การจัดการสิ่งแวดล้อม ภายในองค์กร มีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ บำบัดน้ำเสีย ลดขยะ ลดคาร์บอน และ Green Procurement ส่วนภายนอกได้ขยายเครือข่ายพันธมิตรกว่า 300 ราย ทำงานร่วมกันในการดูแลสิ่งแวดล้อม ผ่าน 3 โครงการสิ่งแวดล้อมของตลาดหลักทรัพย์ฯ
‘Care The Bear’ รณรงค์เรื่องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการจัด Event
‘Care The Whale’ รณรงค์เรื่องการลดขยะ
‘Care The Wild’ รณรงค์เรื่องการปลูกป่า
คุณอภิศักดิ์ทิ้งท้ายว่า การบริหารความเสี่ยงทางการเงินของประเทศทำมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่เกิดวิกฤตปี 2540 เป็นบทเรียนที่ดีที่ทำให้บริษัทไทยมีความพร้อมในการบริหารจัดการในหลายวิกฤตที่ผ่านมา ขณะที่อนาคต การนำ ESG เข้าไปอยู่ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ จะทำให้เรามีความพร้อมในการบริหารความเสี่ยงและจัดการกับวิกฤตได้มากยิ่งขึ้น
มุมมองในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
คุณนุกิจ ชลคุป Chief Manufacturing Officer บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ได้เน้นย้ำถึงเรื่องความยั่งยืนในภาคธุรกิจไว้ว่า เรื่องความยั่งยืนจะต้องเป็น Integrated Strategy ของทุกเรื่องใน Corporate Strategy ไม่ใช่งานเสริมหรืองานฝาก แต่ต้องเป็นงานหลักของบริษัท รวมถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภายในและภายนอกองค์กร ถ้าทุกคนมองเห็นภาพเดียวกัน ก็จะช่วยจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้เร็วขึ้น
มองว่า ความยั่งยืนเป็นเรื่องสนุกและท้าทาย เกิดประโยชน์ทั้งต่อมนุษยชาติและต่อตัวเราเอง
จุดเริ่มต้นที่ทำเรื่องความยั่งยืนอย่างจริงจัง คือเมื่อปี 2561 หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มจากการสร้างการรับรู้แล้ว ตามด้วยการสร้างให้เกิด Commitment ที่บริษัทต้องทำให้ได้ ปัจจุบัน บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ก็บรรลุเป้าหมาย โดยอยู่ใน SETTHSI Index
ความยั่งยืนต้องนำเข้ามาเป็นกลยุทธ์ขององค์กร บริษัทให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่อง Climate Change ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์จะทำอย่างไรถึงจะช่วยโลกได้มากขึ้นและต้องมีคุณภาพ ตอบโจทย์ทั้งด้านความยั่งยืนและการเงิน และต้องทำให้ผู้มีส่วนได้เสียเห็นภาพตรงกัน ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านความยั่งยืนแบบ end-to-end ตั้งแต่กระบวนการจากต้นทางจนถึงผู้บริโภคตลอดจนผู้มีส่วนได้เสีย
มุมมองต่อการลดความเหลื่อมล้ำของผู้ประกอบการขนาดเล็ก
คุณไตรสรณ์ วรญาณโกศล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA) กล่าวถึงประเด็นความยั่งยืนในการลดความเหลื่อมล้ำ ว่า “บริษัทจดทะเบียนใน mai มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ในเรื่องของศักยภาพและประสบการณ์ต่างๆ ดังนั้นสิ่งที่สมาคมฯ จะช่วยได้ในการลด Gap นั้น ด้วยการสร้างการรับรู้ (Awareness) ของ ESG ผลักดันให้เกิดการยอมรับ (Adopt) ในสิ่งเหล่านั้น และสุดท้ายคือการทำทันที (Take Action) หรือ Awareness – Adopt – Action นั่นเอง”
บริษัทจดทะเบียนใน mai เกือบทั้งหมดเป็น SMEs เข้ามาใช้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นแหล่งระดมทุนเพื่อการเติบโต สมาคม maiA สร้าง community ให้ผู้บริหารมาแลกเปลี่ยนมุมมองประสบการณ์ระหว่างกัน ผู้บริหาร mai ที่ส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นใหม่ ทำอย่างไรให้ทุกคนได้รู้จักกัน ค้นหาโอกาสใหม่ๆ และแชร์ประสบการณ์ร่วมกัน ขณะเดียวกันก็ยังสร้างแรงบันดาลใจให้ SMEs ในการเติบโต และให้ข้อมูลกับนักลงทุนและนักวิเคราะห์
บริษัทจดทะเบียนใน mai ยังร่วมกันสร้างกิจกรรมเพื่อสังคม ระดมพล CEO มา Coaching ให้ธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) ให้เข้าใจเรื่องการดำเนินธุรกิจ สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ นอกจากนี้ มีกิจกรรม Art for Cancer ช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็ง กิจกรรม Virtual Run ระดมทุนเพื่อมอบให้กับสภากาชาดไทย รวมถึงเข้าร่วมโครงการสิ่งแวดล้อมของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสร้างเป็นโมเดล ให้เกิดผลกระทบที่ดีในวงกว้าง
มุมมองการลงทุนอย่างยั่งยืน
คุณธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์การกองทุน กสิกรไทย จำกัด ให้มุมมองว่า “ปัจจุบันความสนใจเรื่องการลงทุนที่เน้นเรื่อง ESG ค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มนักลงทุนสถาบัน เราควรสร้างความตระหนักแก่นักลงทุนทั่วไป ในแง่ของการให้ความสำคัญของการนำปัจจัย ESG มาพิจารณาร่วมด้วยในการตัดสินใจลงทุน หน้าที่ของผู้จัดการลงทุนคือการสร้างสมดุลระหว่างการสร้างผลตอบแทนและประเด็นด้าน ESG ในฐานะนักลงทุนสถาบัน เชื่อว่าการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบโดยคำนึงถึง ESG จะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนได้ ช่วยลดความเสี่ยงทั้งปัจจัยภายนอกและภายในตัวธุรกิจเอง และช่วยแยกแยะและเพิ่มโอกาสการลงทุน
ขณะที่บริษัทจดทะเบียนก็ต้องเห็นความสำคัญของการทำ ESG ด้วย ปัจจุบัน พบว่าการปฏิบัติตามหลัก ESG ยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ส่วนบริษัทขนาดกลางและเล็กแม้มีความเข้าใจและต้องการดำเนินการ ก็ยังติดเรื่องทรัพยากร จึงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป”
รายงาน Global Sustainable Review ปี 2563 พบว่าแนวโน้มลงทุนโดยใช้หลักการ ESG ใน 5 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกเติบโตกว่า 50% ขณะที่ทุกภูมิภาคมีเม็ดเงินลงทุนอย่างชัดเจน และเติบโตอย่างก้าวกระโดด 1 ใน 3 ของมูลค่าการลงทุนทั่วโลกเป็นการลงทุนแบบ ESG ขณะสัดส่วนการลงทุนใน ESG ในประเทศไทยยังน้อยมาก มีแค่ 3.4% หรือ 6 หมื่นกว่าล้านบาทของมูลค่าการลงทุนกองทุนรวมหุ้นในประเทศทั้งหมด ซึ่งอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท
ภาพรวมกองทุน Passive Investment พบว่าทั่วโลกมีการเติบโตตามเทรนด์ ESG อย่างก้าวกระโดดเช่นกัน โดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป ขณะที่ กลยุทธ์การลงทุน ESG แบบ Active Investment ก่อนหน้านี้ทั่วโลกใช้ Negative Screening โดยวิธีคัดบริษัทที่ไม่ผ่านการพิจารณาตามหลัก ESG ออกจากรายชื่อที่สามารถลงทุนได้ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ ESG Integration แทน เป็นการรวมกลยุทธ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้มีความยืดหยุ่นในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้มากขึ้น
การประเมิน ESG ของ KAsset จะให้น้ำหนักในแต่ละปัจจัยไม่เท่ากัน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนในแต่ละอุตสาหกรรมจะมีผลกระทบในด้าน ESG ที่แตกต่างกันออกไป เช่น กลุ่มพลังงานจะมีผลกระทบเรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่ากลุ่มอื่น ขณะที่กลุ่มธนาคารอาจต้องให้ความสำคัญในด้านสังคมมากกว่าธุรกิจอื่น
ทว่า ประเทศที่อยู่ในกลุ่ม Emerging Market อย่างประเทศไทย ประเด็นธรรมมาภิบาลนั้นก็สำคัญเช่นกัน เพราะถ้าบริษัทมีธรรมาภิบาลที่ดี ก็สามารถให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสังคมในเชิงนโยบายที่ดีและมีประสิทธิภาพ ประกอบกับการเปิดเผยข้อมูลด้านธรรมาภิบาลของไทยมีมาก และเข้าถึงได้ง่ายกว่าด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยังค่อนข้างจำกัด
การลงทุนในบริษัทที่มี ESG ต้องระวังประเด็นเรื่อง “Green wash” หรือการที่บริษัทที่มีการสร้างภาพลักษณ์ให้นักลงทุนเข้าใจผิดว่าบริษัทมีความรับผิดชอบต่อ ESG แต่แท้จริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ดังนั้น นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ และติดตามว่าบริษัททำตามนโยบายหรือไม่ และมีการวัดผลอย่างไร
มุมมองสุดท้าย คือ เครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาความยั่งยืน
คุณรัตน์วลี อนันตานานนท์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ESG เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงชั้นยอดของทุกคน ด้านผู้บริโภค หากพิจารณาข้อมูล ESG พลังนี้จะส่งไปถึงผู้ประกอบการได้ ด้านนักลงทุน สามารถใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในการตัดสินใจลงทุนได้อีกมิติ ขณะที่ผู้ประกอบการ ก็สามารถใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในการบริหารจัดการและสร้างโอกาสให้กับธุรกิจได้
ภาพรวมการพัฒนาความยั่งยืน มีเป้าหมายหลักอยู่ 2 ประการ คือ การส่งเสริมธุรกิจให้มีความยั่งยืน และการส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน
กลไกที่เป็น 2 เครื่องมือสำคัญ ได้แก่ SET ESG Data & Disclosure และ Education
เครื่องมือแรก SET ESG Data & Disclosure ในรูปแบบ SET ESG Data Platform ข้อมูล ESG มีความสำคัญในการช่วยบริหารความเสี่ยง การบริหารนโยบายภาครัฐ การตัดสินใจลงทุน และการบริหารจัดการประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจดียิ่งขึ้น จะช่วยตอบโจทย์การดำเนินงานของทุก Stakeholders
SET ESG Data Platform คือระบบการจัดการข้อมูล ESG ที่สำคัญ คือ
• SET ESG Metrics ข้อมูลตัวชี้วัดการดำเนินงานด้าน ESG ที่บริษัทจดทะเบียนรายงาน ทำให้เห็นประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความยั่งยืนของธุรกิจ และผู้ลงทุนสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ESG Structured Data จะทำให้นำข้อมูลในรูปแบบ Structured Data ไปใช้เปรียบเทียบและวิเคราะห์ต่อได้อย่างสะดวก
เครื่องมือที่สอง คือ Education กับโครงการ SET ESG Academy
โครงการ SET ESG Academy เตรียมความพร้อมให้บริษัทจดทะเบียนด้านความยั่งยืน ทั้งการให้ความรู้ การสร้าง Junior ESG Professionals เพื่อยกระดับผู้ปฏิบัติงานด้าน ESG ให้ได้มาตรฐาน และจะผลักดันหลักสูตรนี้เข้าสู่มหาวิทยาลัยเพื่อผลิตบุคลากรรุ่นใหม่เข้าสู่แรงงานด้าน ESG ต่อไป
การสร้าง ESG Expert Pool รวมพลังผู้เชี่ยวชาญด้าน ESG แบบพี่สอนน้อง ช่วยขับเคลื่อน ESG ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร ตลาดทุน และประเทศ
และสุดท้ายคือการปลูกฝัง ESG DNA ส่งมอบความรู้ควบคู่การสร้างจิตสำนักการมีส่วนร่วมให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนความยั่งยืนไปด้วยกัน
สรุปได้ว่า การที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าสู่ปีที่ 48 ในวันนี้ ทุกภาคส่วนล้วนมีส่วนร่วมในการสร้างตลาดทุนมาด้วยกัน เป็นเหมือนการนำจิ๊กซอว์ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาเศรษฐกิจมารวมกัน การนำความยั่งยืนมาเป็นเรือธง ต้องทำจริง ทำทันที สื่อสาร และต้องทำร่วมกับพันธมิตร เพื่อขับเคลื่อนตลาดทุนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน
A4904
ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดลบ 7.08 จุดรับปัจจัยลบภายนอกประเทศกดดัน คาดพรุ่งนี้ชะลอปรับลง
ตลาดหลักทรัพย์ ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,661.89 จุด ลดลง 7.08 จุด (-0.42%) มูลค่าการซื้อขายราว 76,764.75 ล้านบา
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบหลังต้นภาคเช้าบวกเล็กน้อย โดยดัชนีขึ้นไปทำระดับสูงสุด 1,670.22 จุด และลงไปต่ำสุดที่ 1,655.25 จุด
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 461 หลักทรัพย์ ลดลง 1,321 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 444 หลักทรัพย์
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลง จากแรงกดดันของบรรยากาศการลงทุนภายนอกประเทศที่เป็นลบ หลังนักลงทุนกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 4-5 พ.ค.นี้ รวมถึงยังมีแรงขายทำกำไรหลังการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1/65 ของสหรัฐ และความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน หลังรัสเซียระงับการจัดส่งก๊าซธรรมชาติไปยังบัลแกเรีย โปแลนด์
แนวโน้มพรุ่งนี้คาดว่าดัชนีน่าจะชะลอการปรับตัวลง หลังเข้าใกล้แนวรับ แต่การฟื้นตัวก็ยังเป็นไปอย่างจำกัด โดยนักลงทุนรอดูการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า
ให้แนวรับ 1,650-1,660 จุด และแนวต้าน 1,670 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
SCB มูลค่าการซื้อขาย 4,496.22 ล้านบาท ปิดที่ 114.00 บาท เพิ่มขึ้น 43.00 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,433.42 ล้านบาท ปิดที่ 151.50 บาท ลดลง 1.00 บาท
AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,932.62 ล้านบาท ปิดที่ 68.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,817.97 ล้านบาท ปิดที่ 148.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท
IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,810.62 ล้านบาท ปิดที่ 43.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
--อินโฟเควสท์
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดเช้าลบ 7.10 จุด ตามภูมิภาค-ขายลดเสี่ยงกลับมากังวลสงครามรัสเซีย-ยูเครน
SET ปิดภาคเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,661.87 จุด ลดลง 7.10 จุด (-0.43%) มูลค่าการซื้อขายราว 40,759 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวลงตามภูมิภาค นักลงทุนกลับมากังวลสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ หลังรมว.ต่างประเทศรัสเซียขู่สงครามนิวเคลียร์ และเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ส่วนบ้านหวั่นแรงขายทำกำไรหลังแจ้งงบไตรมาส 1/65 แนวโน้มช่วงบ่าย คาดะซึมลง ให้แนวรับ 1,660 และ 1,650 จุด แนวต้าน 1,670 จุด
ตลาดหลักทรัพย์ ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,661.87 จุด ลดลง 7.10 จุด (-0.43%) มูลค่าการซื้อขายราว 40,759 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นเช้าวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นช่วงต้นการซื้อขายและต่อมาปรับลงแรง โดยทำจุดสูงสุด 1,670.22 จุด และต่ำสุดที่ 1,658.45 จุด
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าววว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงตามภูมิภาค จากปัจจัยลบรุมเร้าแม้ไม่ใช่ประเด็นใหม่ แต่นักลงทุนกลับมากังวลจึงขายทำกำไร และเพิ่มความระมัดระวัง หลังบริษัทจดทะเบียนในฝั่งตลาดสหรัฐผลประกอบการออกมาทั้งดีและแย่กว่าคาด
รวมทั้งเกิดความกังวลผลกระทบสงครามรัสเซียและยูเครนยืดเยื้อ หลังจากรมว.ต่างประเทศรัสเซียขู่ว่าอาจความเสี่ยงเกิดสงครามนิวเคลียร์ และการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงขึ้น 2-3 ครั้งในปีนี้
ส่วนบ้านแราประเมินว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/65 อาจออกมาไม่ดีนัก หรืออาจมีการขายทำกำไรหลังประกาศงบการเงิน ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมตลาดในไตรมาส 2/65 ซึมและแกว่งตัวลง
แนวโน้มการลงทุนช่วงบ่าย คาดว่าน่าภาพรวมตลาดน่าจะซึมลง ให้แนวรับ 1,660 และ 1,650 จุด แนวต้าน 1,670 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,392.68 ล้านบาท ปิดที่ 117.50 บาท เพิ่มขึ้น 47.50 บาท
AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,302.80 ล้านบาท ปิดที่ 68.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,261.22 ล้านบาท ปิดที่ 151.50 บาท ลดลง 1.00 บาท
JUTHA มูลค่าการซื้อขาย 1,079.30 ล้านบาท ปิดที่ 1.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท
FORTH มูลค่าการซื้อขาย 1,059.61 ล้านบาท ปิดที่ 40.75 บาท ลดลง 0.50 บาท
--อินโฟเควสท์
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าปรับลงตามตปท.กังวลศก.โลกชะลอตัว-รอดูประชุมเฟด
นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลง ตามจิตวิทยาเชิงลบของต่างประเทศ จากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ และจีนประกาศล็อกดาวน์ เพื่อคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
อีกทั้งนักลงทุนยังรอดูการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ช่วงต้นเดือนพ.ค.นี้ มีโอกาสสูงเฟดเข้มนโยบายการเงินและนำ Quantitative Tightening (QT) เข้ามาใช้ ทำให้กระแสเงินทุนส่วนเกินจะถูกดูดกลับ สภาพคล่องก็จะลดลง
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยใหม่ รวมถึงดัชนีค่าเงินดอลลาร์ก็ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่า นักลงทุนก็คงจะชะลอการลงทุนออกไป อย่างไรก็ตาม การกลับเข้ามาเทรดของหุ้น SCB ในวันนี้คาดว่าน่าจะช่วยพยุงตลาดได้ในระดับหนึ่งในช่วงต้นของการเปิดซื้อขาย ให้แนวรับ 1,655 จุด และแนวต้าน 1,675 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (26 เม.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,240.18 จุด ลดลง 809.28 จุด หรือ -2.38%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,175.20 จุด ลดลง 120.92 จุด หรือ -2.81% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,490.74 จุด ลดลง 514.11 จุด หรือ -3.95%
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 26,313.14 จุด ลดลง 386.97 จุด หรือ -1.45% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,866.82 จุด ลดลง 19.61 จุด หรือ -0.68% และตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 19,723.46 จุด ลดลง 211.25 จุด หรือ -1.06%
ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (26 เม.ย.) ที่ระดับ 1,668.97 จุด ลดลง 6.36 จุด, -0.38%
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 20.14 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 เม.ย.65
ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย.(26 เม.ย.) เพิ่มขึ้น 3.16 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 101.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (26 เม.ย.) อยู่ที่ 19.09 ดอลลาร์/บาร์เรล
เงินบาทเปิดตลาดวันนี้ 34.30 อ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปี
นายกฯ ยอมรับขึ้นดีเซลกระทบค่าครองชีพ-เงินเฟ้อ "พาณิชย์" จับตาสินค้า 18 กลุ่ม ขอความร่วมมือตรึงราคา ชี้ต้องปรับขอให้ขึ้นราคาน้อยที่สุด "สุพัฒนพงษ์" เร่งทำแผนปรับราคาแบบขั้นบันได คาดได้ข้อสรุปใน 2-3 วัน ชี้ ประเมิน 3 เดือน ลอยตัวดีเซลหรือไม่ กบน.ถกเครียด ยันพิจารณาข้อมูลทุกฝ่ายรอบด้าน เผยแผนเงินกู้ 2 หมื่นล้าน ยังเดินตามขั้นตอน
"อนุทิน" มั่นใจควบคุมสถานการณ์โควิด 19 ได้ ประกาศให้ภาคธุรกิจ "Go On" เตรียม 3 พอไว้รับมือ นำไทยกลับคืนสู่ "ซูเปอร์เพาเวอร์" เล็งใช้ "วัคซีนพาสปอร์ต" แทน Thailand Pass หลัง 1 พ.ค. ประเมินเปิดประเทศ สปสช.เปิดตัว แอป SPRING UP พบแพทย์ออนไลน์ ส่งยาถึงบ้านใน "กทม.-ปริมณฑล" 26 เม.ย. ประกันสังคมเปิดฮอสพิเทลต่อจนกว่าโควิดจะคลี่คลาย ขณะที่ 'ปักกิ่ง' ตรวจหาเชื้อโควิด เจอหนึ่งคนสั่งกักตัวทั้งคอนโดฯ
"จุรินทร์" เผยส่งออก มี.ค.65 ทำได้ 28,859.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.5% ขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่อง 13 เดือนติดต่อกันมูลค่าสูงสุดในรอบ 30 ปี นับตั้งแต่บันทึกสถิติมา
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกหนังสือเวียนแนวทางการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้ความช่วยเหลือและการทำข้อตกลงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้นิติบุคคล เพิ่มเติมจากลูกหนี้เอสเอ็มอี ประเภทบุคคลธรรมดา เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้และการทำข้อตกลงปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้รวดเร็วขึ้น สามารถลดการเดินทาง การพบหน้า โดยมีกระบวนการที่ปลอดภัยยอมรับได้ นอกจากนั้น ช่องทางดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นมาแล้วในขณะนี้จะเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินที่สอดรับกับการปรับเปลี่ยนเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยพิจารณาควบคู่กับความเสี่ยงของธุรกรรม ความพร้อมของผู้ประกอบธุรกิจและความพร้อมของลูกหนี้
17 สมาคมท่องเที่ยวส่งหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ชง 3 ข้อเสนอบรรเทาความเดือดร้อนจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม ภายใต้ผลกระทบโควิด-19 ยัน "ภาษีที่ดิน" 100% ธุรกิจไปต่อไม่ได้ วอนขอให้ทบทวนลดหย่อนการจัดเก็บภาษีออกไปอีก 2 ปี
*หุ้นเด่นวันนี้
CHAYO (กรุงศรี) "ซื้อ" เป้า IAA Consensus 17.2 บาท แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/65 ยังดี ยอดติดตามหนี้ทำได้เพิ่มขึ้นหลังจากเปิดเมือง สถาบันการเงินเร่งขายหนี้เสีย (NPL) มากขึ้นหลังหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ และวันนี้มี Sentiment บวกจากข่าวเตรียมจับมือกับ KBANK เพื่อจัดตั้ง JVAMC เพื่อบริหารหนี้เสีย
HMPRO (พาย) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 17 บาท คาดกำไรไตรมาส 2/65 จะเติบโตต่อเนื่อง YoY และ QoQ โดยได้รับแรงหนุนจาก (1) ช่วงไฮซีซั่นฤดูร้อน (สินค้าเครื่องปรับอากาศจะขายดี) (2) กิจกรรมส่งเสริมการขาย (Homepro Super Expo) และ (3) รายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น
CPN (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อเก็งกำไร" ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 62.00 บาท คลายล็อกดาวน์และเปิดประเทศ หนุนปริมาณ Traffic กลับสู่ปกติ รวมทั้งรับรู้รายได้เปิดศูนย์การค้าใหม่ 2 แห่ง เซ็นทรัลอยุธยาและเซ็นทรัลศรีราชาเต็มปี กลางปีเตรียมเปิดเซ็นทรัลจันทบุรีเพิ่ม รวมถึงรับรู้ SF ที่ถือหุ้น 96.24% ส่งผลบวกต่อกำไรเพิ่มระยะยาวจากการขยายพอร์ตสู่ Community mall และศูนย์การค้าขนาดใหญ่อย่างเมกาบางนา กำไรปกติปี 65 คาดราว 9.3 พันล้านบาท EPS 2.08 บาท/หุ้น เติบโตราว 40%YoY ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง Net D/E ที่ 0.8x ต่ำกว่า Covenant ที่ 1.75x รองรับการขยายธุรกิจ
--อินโฟเควสท์
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดลบ 6.36 จุด แกว่งผันผวนหลังบาทอ่อนค่าหนัก-กังวลเฟดปรับทิศนโยบายเร็ว
ตลาดหลักทรัพย์ ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,668.97 จุด ลดลง 6.36 จุด (-0.38%) มูลค่าการซื้อขายราว 81,575.17 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกก่อนและปรับลงในแดนลบ โดยดัชนีขึ้นไปทำระดับสูงสุด 1,685.42 จุด และลงไปต่ำสุดที่ 1,668.76 จุด
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 609 หลักทรัพย์ ลดลง 1,299 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 544 หลักทรัพย์
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กสปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ดัชนีแกว่งตัวค่อนข้างผันผวน หลังจากช่วงต้นภาคเช้ารีบาวด์ในมาแดนบวก แต่หลังจากนั้นแกว่งตัวลงมา ปัจจัยหลักมาจากเงินบาทอ่อนค่าเร็วมาก และยังมีความกังวลการเร่งขึ้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และการถอดสภาพคล่องออกจากระบบ
ประกอบกับวันนี้มีแรงขายหุ้นขนาดเล็กออกมากดดันดัชนีในวันนี้ ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวบวกและลบสลับกัน
แนวโน้มพรุ่งนี้คาดว่าดัชนีจะแกว่งไซด์เวย์ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา โดยนักลงทุนยังคงรอติดตามการประชุม เฟด รวมถึงการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะทยอยออกมา ซึ่งจะมีผลต่อมุมมองและการปรับประมาณการของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และมีผลต่อภาพรวมของตลาดหุ้น
โดยให้แนวต้าน 1,685-1,690 จุด แนวรับ 1,665-1,670 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
FORTH มูลค่าการซื้อขาย 2,682.89 ล้านบาท ปิดที่ 41.25 บาท ลดลง 9.75 บาท
KTB มูลค่าการซื้อขาย 2,370.87 ล้านบาท ปิดที่ 14.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท
AOT มูลค่าการซื้อขาย 2,236.59 ล้านบาท ปิดที่ 68.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
JUTHA มูลค่าการซื้อขาย 2,150.74 ล้านบาท ปิดที่ 1.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.09 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,125.66 ล้านบาท ปิดที่ 152.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
--อินโฟเควสท์
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด