บทบาทของกรรมการผู้หญิงในบริษัทจดทะเบียนไทย (Female On Board’s Directors)
โดยนางสาวสุมิตรา ตั้งสมวรพงษ์
ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Key Findings:
เพื่อส่งเสริมการหลายหลายทางเพศ (gender diversity) หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการได้ออกข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อส่งเสริมผู้หญิงให้มีบทบาทในเวทีต่างๆ ทั้งเวทีระดับโลก ภูมิภาค หรือระดับบริษัท และพบว่า หญิงไทยมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในฐานะกรรมการของคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียนไทย และมีบทบาทผู้นำ (leadership) ในบริษัทจดทะเบียนไทยเพิ่มมากขึ้น ทั้งในฐานะ “ประธานกรรมการ” หรือ “ผู้บริหารระดับสูงสุด” ของบริษัทจดทะเบียน
• จากการศึกษาโครงสร้างคณะกรรมการของบริษัทจดทะเบียนไทย ณ สิ้นปี 2563 จำนวน 731 บริษัท พบว่า ณ สิ้นปี 2563 สัดส่วนจำนวนผู้หญิงต่อจำนวนกรรมการทั้งชุดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 22.23% จาก ณ สิ้นปี 2562 ที่อยู่ 22.09% และพบว่า ณ สิ้นปี 2563 สัดส่วนจำนวนที่นั่งกรรมการเป็นผู้หญิงต่อจำนวนที่นั่งกรรมการอยู่ที่ 21.02% เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่อยู่ที่ 20.72%
• นอกจากนี้ ณ สิ้นปี 2563 ยังพบว่า 87.3% ของบริษัทจดทะเบียนจากทั้งหมด ได้แต่งตั้งผู้หญิงอย่างน้อย 1 คน ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการของบริษัท ซึ่งสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2558 ที่อยู่ที่ 79.4%
• ณ สิ้นปี 2563 พบว่า 56.2% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดมีการแต่งตั้งผู้หญิงอย่างน้อย 1 คน ดำรงตำแหน่งกรรมการโดยเป็น “กรรมการอิสระ” ในคณะกรรมการบริษัท และสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2558 ที่อยู่ที่ 47.8%
• ผู้หญิงมีบทบาทในคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้น เมื่อพิจารณาจากจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่ผู้หญิงดำรงตำแหน่งเป็น “ประธานกรรมการ” (chairman of board director) โดย ณ สิ้นปี 2563 มี 57 บริษัท ที่ผู้หญิงดำรงตำแหน่งเป็น “ประธานกรรมการ” หรือ คิดเป็น 8.4% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่อยู่ที่ 47 บริษัท 6.9% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด
• ขณะที่บทบาทผู้หญิงในด้านการบริหารจัดการ เมื่อพิจารณาจากผู้หญิงที่เป็นผู้บริหารอันดับสูงสุดขององค์กร พบว่า ณ สิ้นปี 2563 ลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปี 2562 โดย ณ สิ้นปี 2563 มีผู้หญิงเป็นผู้บริหารอันดับสูงสุดของบริษัท จำนวน 101 บริษัท คิดเป็น 13.8% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ลดลงจากจำนวน 105 บริษัท คิดเป็น 14.8%
บทบาทของผู้หญิงในคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียน
กรรมการ (directors) ในคณะกรรมการบริษัท (board of directors) เป็นอีกกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทสำคัญต่อบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากกรรมการเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียน ที่มีบทบาทในการกำหนดกลยุทธ์ ตลอดทิศทางการดำเนินการของบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นและเกิดประโยชน์ต่อบริษัทในระยะยาว ดังนั้น การคัดเลือกกรรมการที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมจึงมีส่วนสำคัญกับบริษัทฯ ซึ่งปัจจุบันมีการส่งเสริมเรื่องความหลากหลายทางเพศ และส่งเสริมให้สตรีมีบทบาทสำคัญในการบริหารองค์กร สอดคล้องกับหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs) ที่กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ทั้ง 17 ประการ โดยเฉพาะเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ประการที่ 5 คือ ความเท่าเทียมทางเพศ
นอกจากนี้ ใน OECD Corporate Governance Factbook (2021) ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร กรอบการดำเนินงานด้านบรรรษัทภิบาลของหน่วยงานกว่า 50 หน่วยงานทั่วโลก ตามหลักการบรรษัทภิบาลของ G20/OECD พบว่า หลักการดังกล่าวให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางเพศของคณะกรรมการ (board diversity) และเสนอว่า “ประเทศต่างๆ อาจต้องการพิจารณามาตรการต่างๆ เช่น เป้าหมายโดยสมัครใจ ข้อกำหนดในการเปิดเผยข้อมูล โควตาของคณะกรรมการ และความคิดริเริ่มส่วนตัวที่ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศในคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง” (Principle VI.E.4) และมีความเชื่อว่า กรรมการที่เป็นผู้หญิงจำนวนมากขึ้น อาจนำเสนอมุมมองที่เป็นอิสระ (independent views) ในที่ประชุมคณะกรรมการและมีความเข้นข้นในกระบวนการตรวจสอบ (monitoring function) ซึ่งในประเทศต่างๆ ได้ผลักดันให้เกิดความหลากหลายทางเพศเพิ่มมากขึ้น ทั้งในรูปแบบของการปรับเปลี่ยนกฎหมาย การปรับเกณฑ์ การกำหนดเป็นข้อเสนอแนะ เป็นต้น
สำหรับในประเทศไทยมีการผลักดันเรื่องความหลากหลายทางเพศเช่นกัน โดยเริ่มจากบริษัทจดทะเบียนหนึ่งๆ ควรมีผู้หญิงเป็นกรรมการอย่างน้อย 1 ท่าน จนกระทั่งปัจจุบันที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการสนับสนุนให้ผู้หญิงในบทบาทในคณะกรรมการเพิ่มขึ้น โดยกำหนดเป้าหมายปี 2565 ที่จะสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนไทยว่า 30% ของบริษัทจดทะเบียนไทยมีกรรมการหญิงอย่างน้อย 30% ของจำนวนคณะกรรมการทั้งคณะ
ผู้หญิงมีบทบาทในคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียนไทยเพิ่มมากขึ้น
จากฐานข้อมูลบรรษัทภิบาลเพื่องานวิจัยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่เก็บรวบรวมข้อมูลกรรมการ ข้อมูลผู้บริหาร และค่าตอบแทนกรรมการและผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (บริษัทจดทะเบียนไทย) จากแหล่งข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ อาทิ แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) รายงานประจำปี (แบบ 56-2) และข้อมูลเปิดเผยสาธารณะอื่นๆ ของบริษัทจดทะเบียน เป็นต้น สำหรับปี 2558 ถึงปี 2563 ซึ่งพบว่า ณ สิ้นปี 2563 บริษัทจดทะเบียนไทยรวม 731 บริษัท มีกรรมการ (directors) รวม 5,506 ราย และจากการที่กรรมการ 1 ราย อาจได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการของบริษัทจดทะเบียนมากกว่า 1 แห่ง ส่งผลให้จำนวนตำแหน่งหรือจำนวนที่นั่งกรรมการมีจำนวนมากกว่าจำนวนกรรรมการ ดังนั้น หากพิจารณาจากจำนวนที่นั่งกรรมการรวมของทุกบริษัท พบว่า มีจำนวนที่นั่งกรรมการ (board seat) 7,017 ที่นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่มีจำนวนกรรมการ 5,319 ราย รวม 6,771 ที่นั่งกรรมการ จาก 708 บริษัท
เมื่อพิจารณาจำนวนผู้หญิงและจำนวนที่นั่งกรรมการที่เป็นผู้หญิง ณ สิ้นปี 2563 พบว่า มีกรรมการผู้หญิงรวม 1,224 ราย จากกรรมการทั้งหมด 5,506 ราย หรือคิดเป็น 22.23% ของจำนวนกรรมการทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 22.09% จาก ณ สิ้นปี 2562 และหากพิจารณาจากจำนวนที่นั่งกรรมการ พบว่า ณ สิ้นปี 2563 มีจำนวนที่นั่งกรรมการที่เป็นผู้หญิงรวม 1,475 ที่นั่งจากทั้งหมด 7,017 ที่นั่ง หรือคิดเป็น 21.02% ของจำนวนที่นั่งกรรมการทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 20.72% จาก ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งจากข้อมูลนี้ อาจกล่าวได้ว่า ผู้หญิงมีบทบาทในคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียนไทยเพิ่มมาก สังเกตได้จากผู้หญิงมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นในคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียนไทย ทั้งในรูปจำนวนกรรมการและที่นั่งกรรมการ (ที่มา: ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)
บริษัทจดทะเบียนไทยส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้หญิงให้มีบทบาทในคณะกรรมการบริษัทเพิ่มขึ้น สังเกตได้จาก สัดส่วนของบริษัทจดทะเบียนที่มีผู้หญิงอย่างน้อยหนึ่งคน ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัทจดทะเบียนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ในช่วงปี 2558 - 2563
จากข้อมูลประจำปี 2563 (ภาพที่ 1) พบว่า ณ สิ้นปี 2563 พบว่า 87.3% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดได้แต่งตั้งผู้หญิงอย่างน้อย 1 คน ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการของบริษัท ซึ่งจากฐานข้อมูลที่ฝ่ายวิจัยรวบรวมพบว่า สัดส่วนนี้มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2558 ที่มีบริษัทจดทะเบียนเพียง 79.4% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดได้แต่งตั้งผู้หญิงอย่างน้อย 1 คน ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการของบริษัท
ที่มา: ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เมื่อพิจารณาความหลากหลายของเพศ (gender diversity) ร่วมกับข้อมูลประเภทกรรมการ (director type) ตามเกณฑ์ที่ระบุในแบบสำรวจในการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (Corporate Governance Report: CGR) ว่า คณะกรรมการมีกรรมการอิสระที่เป็นผู้หญิงอย่างน้อย 1 คน พบว่า ณ สิ้นปี 2563 มีบริษัทจดทะเบียนรวมกว่า 56.2% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดมีการแต่งตั้งผู้หญิงอย่างน้อย 1 คน ดำรงตำแหน่งกรรมการโดยเป็น “กรรมการอิสระ” ในคณะกรรมการบริษัท และสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2558 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 47.8% เท่านั้น (ภาพที่ 1)
ณ สิ้นปี 2563 พบว่า 24% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ที่มีกรรมการเป็นผู้หญิงมากกว่า 30% ของจำนวนกรรมการทั้งชุด
ตามเป้าหมายปี 2565 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่สนับสนุนให้ผู้หญิงในบทบาทในคณะกรรมการบริษัทเพิ่มมากขึ้น โดยกำหนดเป้าหมายว่า “30% ของบริษัทจดทะเบียนไทยมีกรรมการหญิงอย่างน้อย 30% ของจำนวนคณะกรรมการทั้งคณะ” ซึ่งจากการศึกษาโครงสร้างคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียนไทย ณ สิ้นปี 2563 (ภาพที่ 2) พบว่า 24% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนจำนวนกรรมการผู้หญิงในคณะกรรมการมากกว่า 30% ของจำนวนคณะกรรมการทั้งชุด
ที่มา: ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และจากการศึกษานี้ยังพบว่า 13% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดที่ยังไม่มีกรรมการที่เป็นผู้หญิง ขณะที่ส่วนใหญ่ (ประมาณ 30% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด) มีกรรมการที่เป็นผู้หญิงอยู่ในช่วง “มากกว่า 10% แต่ไม่เกิน 20%” และค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 21% ของจำนวนกรรมการในคณะกรรมการทั้งชุด (ภาพที่ 2) ขณะที่บริษัทจดทะเบียนที่มีกรรมการที่เป็นผู้หญิงในสัดส่วนสูงสุดอยู่ที่ 67% ของจำนวนกรรมการในคณะกรรมการบริษัททั้งชุด
นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้หญิงมีบทบาทในคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้น เมื่อพิจารณาจากจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่ผู้หญิงดำรงตำแหน่งเป็น “ประธานกรรมการ” (chairman of board director) หรือหัวหน้าของคณะกรรมการทั้งชุด โดย ณ สิ้นปี 2563 มี 57 บริษัท ที่มีผู้หญิงเป็น “ประธานกรรมการ” (chairman of board director) หรือ คิดเป็น 8.4% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่อยู่ที่ 47 บริษัท 6.9% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด
ขณะที่บทบาทผู้หญิงในด้านการบริหารจัดการ (management) ลดลงเล็กน้อย เมื่อพิจารณาจากผู้หญิงที่เป็นผู้บริหารอันดับสูงสุดขององค์กร (ตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการ กรรมการผู้อำนวยการ หรือตำแหน่งอื่นในระดับเดียวกันหรือเทียบเท่า) ณ สิ้นปี 2563 ลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปี 2562 โดย ณ สิ้นปี 2563 มีผู้หญิงเป็นผู้บริหารอันดับสูงสุดของบริษัท จำนวน 101 บริษัท คิดเป็น 13.8% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ลดลงจากจำนวน 105 บริษัท คิดเป็น 14.8%
กล่าวโดยสรุป การส่งเสริมผู้หญิงให้มีบทบาทในเวทีต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งเวทีระดับโลก ภูมิภาค หรือระดับบริษัท เพื่อส่งเสริมการหลายหลายทางเพศ (gender diversity) หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการได้ออกข้อเสนอแนะต่างๆ ให้บริษัทจดทะเบียนได้มีการปรับตัวตาม ซึ่งจากการศึกษา พบว่า ผู้หญิงไทยมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในฐานะกรรมการของคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียนไทย ทั้งด้านจำนวนและสัดส่วนของผู้หญิงในคณะกรรมการบริษัท และมีบทบาทผู้นำ (leadership) ในบริษัทจดทะเบียนไทยเพิ่มมากขึ้น ทั้งในฐานะ “ประธานกรรมการ” หรือ “ผู้บริหารระดับสูงสุด” ของบริษัทจดทะเบียน แต่หากเปรียบเทียบกับเป้าหมายและข้อเสนอะแนะต่างๆ แล้ว บริษัทจดทะเบียนไทยยังสามารถเพิ่มความหลากหลายทางเพศได้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การคัดเลือกบุคลากรที่มาทำหน้าที่กรรมการของบริษัทซึ่งถือเป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน ดังนั้น นอกจากด้านความหลากหลายทางเพศแล้ว บริษัทจดทะเบียนควรให้ความสำคัญความหลากหลายในด้านต่างๆ อาทิ ความรู้ มุมมอง ประสบการณ์ ทักษะหรือความสามารถในการแก้ไขปัญหา เป็นต้น ประกอบการคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียนด้วย
A6184
สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนพฤษภาคม 2565
ความกังวลจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นทำให้ธนาคารหลายแห่งทั่วโลกจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจากมาตรการ Lockdown อย่างเข้มงวดเพื่อสกัดการแพร่ระบาดเชื้อ COVID-19 โดยเฉพาะในมณฑลเซี่ยงไฮ้ เป็นสองปัจจัยซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ได้จึงเกิดการปรับฐานของหลายสินทรัพย์ทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จากหลายแห่งเริ่มให้ความเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อโลกได้เร่งตัวเข้าไปใกล้ระดับสูงสุดแล้วจึงอาจมีแนวโน้มลดลงในอนาคตอันใกล้ อีกทั้งตัวเลข Purchasing Managers Index (PMI) จีนที่กลับมาขยายตัวในเดือน พ.ค. และจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลดลง ทำให้มีแนวโน้มที่ทางการจะคลายมาตรการ Lockdown ในเดือนมิ.ย. จึงมีโอกาสที่เงินลงทุนจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยเห็นสัญญาณจาก ผู้ลงทุนต่างชาติย้ายเงินทุนกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นในภูมิภาค ASEAN
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ใน 5 เดือนแรกปี 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติย้ายเงินทุนกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมากเนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการส่งออกตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนตัว อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังภาครัฐดำเนินนโยบายเปิดประเทศ อย่างไรก็ดี ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 SET Index ปิดที่ 1,663.41 จุด ปรับลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 SET Index ยังปรับเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
• ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 SET Index ปิดที่ 1,663.41 จุด ปรับลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 SET Index ยังปรับเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค
• SET Index ใน 5 เดือนแรกปี 2565 ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมือง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
• ในเดือนพฤษภาคม 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 80,095 ล้านบาท ลดลง 26.8% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ใน 5 เดือนแรกปี 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 90,695 ล้านบาท โดย ผู้ลงทุนต่างชาติกลับมามีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 47.49% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ทั้งนี้ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยในเดือนพฤษภาคม 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 20,937 ล้านบาท ทำให้ใน 5 เดือนแรกปี 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 139,058 ล้านบาท
• ในเดือนพฤษภาคม 2565 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 2 บริษัท ได้แก่ บมจ. โรแยล พลัส (PLUS) บมจ. ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (FTI) และใน mai 2 บริษัท ได้แก่ บมจ. บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล (KCC) บมจ. ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ (BIS)
• Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 17.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.1 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 18.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.9 เท่า
• อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 2.69% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.64%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
• ในเดือนพฤษภาคม 2565 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 472,021 สัญญา เพิ่มขึ้น 24.3% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 ปีเดือนแรกของปี 2565 TFEX ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 556,830 สัญญา เพิ่มขึ้น 2.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
A6159
ผลการคัดเลือกหลักทรัพย์ในดัชนี FTSE SET Index Series สำหรับรอบทบทวน เดือนมิถุนายน 2565
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศผลการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index Series มีผลวันที่ 20 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป สรุปได้ดังนี้
• ดัชนี FTSE SET Large Cap Index มี 1 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ
• ดัชนี FTSE SET Mid Cap Index มี 7 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ
• ดัชนี FTSE SET Shariah Index มี 21 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ
หลักทรัพย์ที่เข้าใหม่ (Addition) |
หลักทรัพย์ที่ออก (Deletion) |
FTSE SET Large Cap Index |
|
บมจ. จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) |
บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) |
FTSE SET Mid Cap Index |
|
บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) |
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็คโกรท (IMPACT) |
บมจ. หลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) |
บมจ. จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) |
บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) |
|
บมจ. ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น (FORTH) |
|
บมจ. เน็กซ์ พอยท์ (NEX) |
|
บมจ. สบาย เทคโนโลยี (SABUY) |
|
บมจ. เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ONEE) |
|
FTSE SET Shariah Index |
|
บมจ. เอไอ เอนเนอร์จี (AIE) |
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท (AIMIRT) |
บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) |
บมจ. การบินกรุงเทพ (BA) |
บมจ. เอเซีย พรีซิชั่น (APCS) |
บมจ. บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) |
บมจ. บีบีจีไอ (BBGI) |
บมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) |
บมจ. เบาด์ แอนด์ บียอนด์ (BEYOND) |
บมจ. สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) |
บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) |
บมจ. ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA) |
บมจ. เชียงใหม่รามธุรกิจการแพทย์ (CMR) |
บมจ. ไทยออยล์ (TOP) |
บมจ. ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น (FORTH) | บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) |
บมจ. ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) | บมจ. ทีทีซีแอล (TTCL) |
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไอเน็ต (INETREIT) | บมจ. ยูนิเวนเจอร์ (UV) |
บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท (J) |
|
บมจ. เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) (KEX) | |
บมจ. ณุศาศิริ (NUSA) | |
บมจ. พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) | |
บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) | |
บมจ. ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง (SNNP) |
|
บมจ. ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA) | |
บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) | |
บมจ. ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) | |
บมจ. ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม (UVAN) | |
บมจ. โรงพยาบาลวิภาวดี (VIBHA) |
ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับดัชนีชุด FTSE SET Index Series และหลักเกณฑ์ในการคำนวณ ได้ที่เว็บไซต์ www.ftse.com/products/indices/set และ https://www.set.or.th/th/market/index/ftse-set/profile
การทบทวนหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณดัชนีชุด FTSE SET Index Series จัดทำขึ้นปีละ 2 ครั้ง ตามหลักเกณฑ์ที่มีการกำหนดไว้เป็นการล่วงหน้า โดยมีกำหนดทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ครั้งต่อไปในเดือนธันวาคม 2565
A6149
คณะกรรมการ FETCO มีมติเลือก ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นประธานกรรมการ
ที่ประชุมคณะกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) มีมติเลือก ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แทนนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567
ปัจจุบัน ดร.กอบศักดิ์ ดำรงตำแหน่ง กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และอุปนายก สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทั้งเศรษฐศาสตร์ การเงิน และตลาดทุน เคยดำรงตำแหน่งทั้งในภาครัฐและเอกชน อาทิ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนมีบทบาทสำคัญในการทำงานด้านนโยบายการเงิน นโยบายเศรษฐกิจมหภาค นโยบายสถาบันการเงิน และแผนพัฒนาตลาดทุน ในช่วงที่ร่วมงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากนี้เป็นยังนักเศรษฐศาสตร์ที่มีผลงานวิชาการคุณภาพที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง เคยได้รับรางวัล ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ที่มีผลงานดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2552
ดร. กอบศักดิ์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคและเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ จาก Massachusetts Institute of Technology ประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาตรีทางด้านคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ จาก Williams College ประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้ทุนการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย
A6028
บจ. ไทย รายงานยอดขายไตรมาส 1/2565 รวม 4 ล้านล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานผลประกอบการเติบโตดี โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจบริการ
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บจ. จำนวน 764 บริษัท คิดเป็น 97.4% จากทั้งหมด 784 บริษัท (รวม SET และ mai และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2565 สิ้นสุด 31 มีนาคม 2565 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 571 บริษัท คิดเป็น 74.7% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2565 เทียบกับไตรมาส 1/2564 บจ. ใน SET มียอดขาย 4,011,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.5% ต้นทุนการผลิต 3,108,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.2% อย่างไรก็ดี บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 478,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.6% ต้นทุนการผลิตที่ปรับขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และธุรกิจประกันภัยที่มีการเคลมประกันโควิด ส่งผลให้กำไรสุทธิ 246,852 ล้านบาท ลดลง 1.7% เนื่องจากมีรายการพิเศษ เช่น ผลขาดทุนสัญญาอนุพันธ์ ทั้งนี้ หากไม่รวมธุรกิจประกันภัย ภาพรวม บจ. จะมีกำไรสุทธิ 275,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.1%
บจ. มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลักและอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11.93% และ 6.15% ตามลำดับ ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 31 มีนาคม 2565 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ระดับที่ 1.61 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.51 เท่า เมื่อเทียบกับงวดปีก่อน
ผลประกอบการรายไตรมาส (ล้านบาท) |
1/2564 |
4/2564 |
1/2565 |
%yoy |
%qoq |
ยอดขาย |
2,918,432 |
3,769,605 |
4,011,949 |
37.5 |
6.4 |
ต้นทุนการผลิต |
2,186,137 |
2,964,646 |
3,108,281 |
42.2 |
4.8 |
กำไรจากการดำเนินงานหลัก |
375,142 |
350,287 |
478,793 |
27.6 |
36.7 |
กำไรสุทธิ |
251,198 |
249,241 |
246,852 |
-1.7 |
-1.0 |
อัตรากำไรจากการดำเนินงานหลัก (%) |
12.85 |
9.29 |
11.93 |
||
อัตรากำไรสุทธิ (%) |
8.61 |
6.61 |
6.15 |
“การผ่อนคลายมาตรการโควิดของประเทศไทยและต่างประเทศ ส่งผลดีต่อธุรกิจการบริการให้ฟื้นตัว เช่น หมวดธุรกิจการแพทย์ หมวดพาณิชย์ หมวดขนส่ง และหมวดธุรกิจท่องเที่ยว ขณะที่การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันส่งผลต่อต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุดิบ จึงส่งผลให้ภาพรวม บจ. มีอัตรากำไรลดลง และในอนาคตอันใกล้สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของ บจ. อาจมีความท้าทายมากขึ้น ทั้งจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภณฑ์ที่อยู่ในระดับสูง ยังมีภาวะเงินเฟ้อ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วย” นายแมนพงศ์ กล่าว
ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ไตรมาส 1/2565 เทียบกับไตรมาส 1/2564 มียอดขายรวม 48,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.4% ต้นทุนขาย 38,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.6% และกำไรจากการดำเนินงาน 2,498 ล้านบาท ลดลง 7.2%
สรุปผลประกอบการตามกลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจ ไตรมาสที่ 1 ปี 2565 (หน่วย: ล้านบาท)
กลุ่มอุตสาหกรรม |
ยอดขาย |
กำไรจากการดำเนินงาน | กำไรสุทธิ | ||||||
Q1/2564 |
Q1/2565 |
% Chg. |
Q1/2564 |
Q1/2565 |
% Chg. |
Q1/2564 |
Q1/2565 |
% Chg. |
|
เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร |
289,307 |
338,139 |
16.88 |
26,224 |
16,453 |
-37.26 |
14,483 |
11,434 |
-21.05 |
- ธุรกิจการเกษตร |
47,534 |
50,298 |
5.81 |
12,778 |
3,771 |
-70.49 |
6,718 |
3,122 |
-53.52 |
- อาหารและเครื่องดื่ม |
241,773 |
287,842 |
19.05 |
13,445 |
12,682 |
-5.67 |
7,765 |
8,312 |
7.04 |
สินค้าอุปโภคบริโภค |
38,478 |
29,882 |
-22.34 |
11,909 |
1,821 |
-84.71 |
12,033 |
2,066 |
-82.83 |
- แฟชั่น |
12,272 |
10,864 |
-11.47 |
-148 |
427 |
388.08 |
1,120 |
664 |
-40.70 |
- ของใช้ครัวเรือนและสำนักงาน |
7,168 |
7,929 |
10.61 |
644 |
-66 |
-110.26 |
127 |
-18 |
-114.54 |
- ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ |
19,037 |
11,089 |
-41.75 |
11,413 |
1,461 |
-87.20 |
10,787 |
1,421 |
-86.83 |
ธุรกิจการเงิน |
244,932 |
294,191 |
20.11 |
79,971 |
69,764 |
-12.76 |
51,294 |
35,268 |
-31.24 |
- ธนาคาร |
185,582 |
231,753 |
24.88 |
71,223 |
95,605 |
34.23 |
37,621 |
54,375 |
44.53 |
- เงินทุนและหลักทรัพย์ |
32,305 |
34,034 |
5.35 |
13,033 |
14,102 |
8.21 |
10,464 |
9,515 |
-9.06 |
- ประกันภัยประกันชีวิต |
27,044 |
28,403 |
5.02 |
-4,284 |
-39,944 |
-832.30 |
3,208 |
-28,622 |
-992.09 |
สินค้าอุตสาหกรรม |
349,118 |
498,430 |
42.77 |
34,289 |
42,030 |
22.58 |
28,421 |
27,809 |
-2.15 |
- ยานยนต์ |
22,221 |
22,137 |
-0.38 |
2,088 |
1,844 |
-11.73 |
2,166 |
1,985 |
-8.35 |
- วัสดุอุตสาหกรรม-เครื่องจักร |
16,090 |
22,437 |
39.45 |
1,108 |
1,447 |
30.65 |
727 |
840 |
15.48 |
- กระดาษและวัสดุ การพิมพ์ |
1,114 |
1,486 |
33.34 |
327 |
313 |
-4.46 |
289 |
275 |
-4.90 |
- ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ |
213,371 |
338,062 |
58.44 |
20,789 |
32,055 |
54.19 |
17,467 |
18,996 |
8.76 |
- บรรจุภัณฑ์ |
46,361 |
56,419 |
21.70 |
5,000 |
3,414 |
-31.72 |
3,762 |
2,895 |
-23.04 |
- เหล็ก |
49,961 |
57,888 |
15.87 |
4,976 |
2,958 |
-40.56 |
4,010 |
2,818 |
-29.73 |
อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง |
305,501 |
355,188 |
16.26 |
35,093 |
28,537 |
-18.68 |
33,927 |
28,048 |
-17.33 |
- วัสดุก่อสร้าง |
169,057 |
205,665 |
21.65 |
21,595 |
13,608 |
-36.98 |
19,905 |
13,632 |
-31.51 |
- รับเหมาก่อสร้าง |
47,112 |
53,975 |
14.57 |
1,553 |
971 |
-37.44 |
1,310 |
239 |
-81.74 |
- พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ |
89,331 |
95,547 |
6.96 |
11,946 |
13,957 |
16.84 |
12,712 |
14,176 |
11.52 |
ทรัพยากร |
1,053,959 |
1,659,811 |
57.48 |
151,363 |
253,326 |
67.36 |
83,771 |
96,710 |
15.45 |
- พลังงานและสาธารณูปโภค |
1,053,905 |
1,659,811 |
57.49 |
151,359 |
253,326 |
67.37 |
83,768 |
96,710 |
15.45 |
บริการ |
425,988 |
604,222 |
41.84 |
16,109 |
47,339 |
193.86 |
13,587 |
31,045 |
128.49 |
- พาณิชย์ |
331,147 |
472,261 |
42.61 |
5,761 |
19,813 |
243.90 |
11,047 |
14,152 |
28.12 |
- การแพทย์ |
37,380 |
63,235 |
69.17 |
3,461 |
15,926 |
360.10 |
2,940 |
12,677 |
331.21 |
- สื่อและสิ่งพิมพ์ |
11,665 |
11,681 |
0.14 |
917 |
775 |
-15.44 |
803 |
818 |
1.91 |
- บริการเฉพาะกิจ |
1,431 |
1,559 |
8.90 |
199 |
169 |
-15.28 |
109 |
110 |
0.69 |
- ท่องเที่ยวและสันทนาการ |
5,620 |
9,433 |
67.84 |
-1,885 |
-679 |
63.97 |
-1,991 |
-1,390 |
30.16 |
- ขนส่ง |
38,745 |
46,054 |
18.86 |
7,655 |
11,335 |
48.07 |
679 |
4,678 |
588.57 |
เทคโนโลยี |
211,150 |
232,086 |
9.92 |
20,184 |
19,522 |
-3.28 |
13,682 |
14,472 |
5.77 |
- เทคโนโลยีและ การสื่อสาร |
66,342 |
85,192 |
28.41 |
3,866 |
4,423 |
14.39 |
3,040 |
4,449 |
46.37 |
- ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ |
144,809 |
146,895 |
1.44 |
16,318 |
15,099 |
-7.47 |
10,643 |
10,023 |
-5.82 |
Total SET |
2,918,432 |
4,011,949 |
37.47 |
375,142 |
478,793 |
27.63 |
251,198 |
246,852 |
-1.73 |
A5974
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด