ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดรับฟังความคิดเห็น 'การปรับปรุงเกณฑ์ซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อรองรับระบบการซื้อขายใหม่'ถึง 16 ก.ย. 65
ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างปรับปรุงระบบการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้เทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่ในไตรมาส 1 ปี 2566 นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้ใช้โอกาสนี้ทำการทบทวนและปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกให้ผู้ลงทุนและทำให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่เป็นสากลมากขึ้น โดยสามารถสรุปเรื่องที่มีการปรับปรุงได้ ดังนี้
ปรับเกณฑ์การกำหนดราคาเปิดและราคาปิด (Equilibrium Price) ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศ โดยกำหนดให้ราคาเปิดและราคาปิดอาจอยู่นอกช่วงราคาสูงสุด (Ceiling) และราคาต่ำสุด (Floor) ±1 ช่วงราคา จากเดิมกำหนดให้อยู่ในช่วงที่ไม่เกิน Ceiling & Floor
ปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor ของหลักทรัพย์ที่บุคคลต่างด้าวเป็นผู้ถือ (หลักทรัพย์ -F) สำหรับการซื้อขายด้วยวิธีบันทึกการซื้อขาย (Trade Report) ให้มีค่า Parameter เดียวคือ ±60% ของราคาอ้างอิง เพื่อให้ค่า Ceiling & Floor เท่าเทียมกันในทุกวิธีการซื้อขาย จากเดิมที่การซื้อขายด้วยวิธี Trade Report ที่มีขนาดใหญ่ (คือจำนวนหลักทรัพย์ตั้งแต่ 1 ล้านหน่วยขึ้นไปหรือมูลค่าการซื้อขายตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป) จะมีค่า Ceiling & Floor ที่ ±30% ของราคาอ้างอิง
ยกเลิกการซื้อขายหน่วยย่อยของใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivatives Warrant: DW) เพื่อช่วยลดภาระและต้นทุนการดำเนินการของบริษัทสมาชิก เนื่องจากปัจจุบันมูลค่าการซื้อขาย DW ที่เป็นหน่วยย่อย (หรือที่เรียกว่า 'Odd Lot' ซึ่งเป็นการซื้อขายหลักทรัพย์ในจำนวนที่ต่ำกว่า 100 หน่วย) มีจำนวนน้อย
ปรับปรุงประเภทของคำสั่งซื้อขาย ได้แก่ การยกเลิกคำสั่งซื้อขายประเภท Special Market Order, การเพิ่มประเภทคำสั่งที่มีอายุข้ามวัน (Long Order), การปรับปรุงคำสั่งซื้อขายประเภท Iceberg Order และการปรับปรุงการผสมผสานของคำสั่งซื้อขายและอายุคำสั่งซื้อขาย
กำหนดให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถยกเลิกคำสั่งซื้อขายได้ในกรณีเกิดเหตุระบบขัดข้อง เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินหรือเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับการซื้อขายโดยรวม ซึ่งเป็นไปตามแนวทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศ
ในการนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์ดังกล่าว พร้อมทั้งได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นพร้อมรายละเอียดบนเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ https://www.set.or.th/th/rules-regulations/market-consultation หัวข้อ ‘การปรับปรุงเกณฑ์ซื้อขายเพื่อรองรับระบบการซื้อขายใหม่’ โดยผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถส่งความคิดเห็นมาทาง [email protected] จนถึง 16 กันยายน 2565
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ [email protected]
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ Bloomberg จัดตั้งศูนย์เรียนรู้เชิงปฏิบัติการทางการเงิน ‘SET Fin Lab’ สร้างทรัพยากรบุคคลคุณภาพเพื่อตลาดทุนไทย
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับ Bloomberg ผู้ให้บริการข้อมูลด้านการเงินชั้นนำ จัดตั้งศูนย์เรียนรู้เชิงปฏิบัติการทางการเงิน “SET Fin Lab” ที่ห้องสมุดมารวย ให้เป็นห้องปฏิบัติการด้านการเงิน รองรับการเรียนการสอนและการทำวิจัยที่ทันสมัย โดยมีพันธมิตรของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งมหาวิทยาลัยเครือข่ายและกลุ่มนักวิจัยตลาดทุนร่วมใช้ “SET Fin Lab” ในการพัฒนาบุคลากร สร้างองค์ความรู้ เสริมรากฐานที่เข้มแข็ง เพื่อประโยชน์ต่อตลาดทุนไทยโดยรวม
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งพัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ภายใต้วิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market 'Work' for Everyone” ซึ่งภารกิจสำคัญส่วนหนึ่ง คือการบ่มเพาะพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพให้แก่ตลาดทุนไทย ทั้งนิสิตนักศึกษา ผู้ประกอบวิชาชีพด้านหลักทรัพย์ และนักวิจัยด้านตลาดทุน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือการเงินระดับสากล
“ปัจจุบันอุตสาหกรรมการเงินและการลงทุนมีความเปลี่ยนแปลงมากมายจากพัฒนาการด้านเทคโนโลยี เกิดนวัตกรรมการเงินและตราสารการเงินใหม่ๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บุคลากรในตลาดทุนรวมทั้งผู้ที่ต้องการก้าวเข้ามาเป็นบุคลากรมืออาชีพ จึงต้องพัฒนาและเพิ่มทักษะสม่ำเสมอ ห้องปฏิบัติการด้านการเงินที่ห้องสมุดมารวย “SET Fin Lab” จะสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ เตรียมความพร้อมด้วยการฝึกปฏิบัติจริงจากเครื่องมือการเงินที่มืออาชีพในตลาดทุนระดับสากลใช้งานอยู่ โดยช่วงแรกตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนำร่อง 8 แห่งนำนักศึกษาในสายการเงินเข้ามาทดลองใช้งาน ในส่วนของนักวิจัยสามารถเข้าถึงข้อมูลด้านการเงินและการลงทุนที่ทันสมัยซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลผลิตผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ เพิ่มศักยภาพงานวิจัยตลาดทุนให้สมบูรณ์ทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะประเมินและพัฒนาบริการต่อเนื่องเพื่อให้ “SET Fin Lab” ตอบโจทย์การพัฒนาบุคลากรตลาดทุนได้อย่างเต็มที่” นายภากรกล่าว
Steven Yankelson, Head of Financial Products Enterprise Sales for ASEAN, Bloomberg Singapore กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมความรู้ให้กับนิสิตนักศึกษา ผู้ประกอบวิชาชีพ และนักวิจัยด้านตลาดทุน ได้เรียนรู้ผ่านเครื่องมือทางการเงินระดับสากล โดยจัดตั้ง “SET Fin Lab” ขึ้น เพื่อพัฒนาผู้เรียนสู่ความเป็นมืออาชีพ ด้วยการสร้างประสบการณ์และสนับสนุนให้มีโอกาสลงมือปฏิบัติจากเครื่องมือจริง ด้วยโปรแกรมทางการเงิน Bloomberg for Education ที่ให้โอกาสผู้เรียนเข้าถึงข้อมูลเดียวกับที่มืออาชีพใช้ในการทำงาน นอกจากนี้ โปรแกรมยังให้ข่าวสารราคาและการส่งข้อความผ่านเครือข่ายความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งอัปเดตความรู้ผ่านการอบรม Professional Training by Bloomberg ในรูปแบบ Training และ Workshop และติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ การเงินการลงทุน แนวโน้มอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ศูนย์เรียนรู้เชิงปฏิบัติการทางการเงิน “SET Fin Lab” เปิดให้บริการวันจันทร์-เสาร์ ตั้งแต่ 10 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป ที่ห้องสมุดมารวย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองเวลาเพื่อเข้าใช้งานได้ที่ www.maruey.com หรือโทร 0 2009 9777
A8436
สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกรกฎาคม 2565
จากปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลายประเทศเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูง ทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว โดยประกาศเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 7 เดือนแรกปี 2565 เพื่อชะลอเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาด COVID-19 เข้าสู่ภาวะถดถอย ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จึงเริ่มเห็นสัญญาณเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ไปยังสินทรัพย์เสี่ยงที่ราคาปรับลดลงมามากจากสิ้นปี 2564
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ใน 7 เดือนแรกปี 2565 มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐที่แข็งค่าจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต ทำให้ค่าเงินในภูมิภาค ASEAN อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เงินบาทที่อ่อนค่าส่งผลบวกต่อภาคการส่งออกและท่องเที่ยวไทย โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 SET Index ปิดที่ 1,576.41 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า เป็นในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
• ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 SET Index ปิดที่ 1,576.41 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า เป็นในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 SET Index ปรับลดลง 4.9%
• SET Index ใน 7 เดือนแรกปี 2565 ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมือง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
• ในเดือนกรกฎาคม 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 61,857 ล้านบาท ลดลง 27.5% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 7 เดือนแรกปี 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 83,958 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิในเดือนกรกฎาคม โดยซื้อสุทธิ 4,662 ล้านบาท ทำให้ใน 7 เดือนแรกปี 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 113,730 ล้านบาท อีกทั้งผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4
• ในเดือนกรกฎาคม 2565 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 บริษัท ได้แก่ บมจ. ไทยประกันชีวิต (TLI) และใน mai 2 บริษัท ได้แก่ บมจ. เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป (BLESS) และ บมจ. ชิค รีพับบลิค (CHIC)
• Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 16.1 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า
• อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 2.79% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.98%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
• ในเดือนกรกฎาคม 2565 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 465,349 สัญญา ลดลง 27.2% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures และในช่วง 7 ปีเดือนแรกของปี 2565 TFEX ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 557,397 สัญญา เพิ่มขึ้น 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
A8298
ตลท.สร้างมิติใหม่การลงทุน-ระดมทุน เปิด LIVE Exchange เตรียมเปิดเทรด(AWS22) หุ้นตัวแรก 9 เดือน 9 นี้
ตลท. สร้างมิติใหม่ของการลงทุน และการระดมทุน เปิด LIVE Exchange กระดานเทรดหุ้นที่ 3 ดัน(AWS22) ประเดิมเปิดเทรดหุ้นตัวแรก เข้าเทรดกระดาน LiVEx ช่วง 9 ก.ย.นี้ เดินเครื่องอีก 2 บริษัท ทยอยเข้าเทรดในช่วง Q4/65 ส่วนปี 2566 มี 5 บริษัทตามมา คาดหวังหนุนผู้ประกอบการ SME-Startups เข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมผลักดันการเติบโตไปสู่ตลาดหลักทรัพย์ SET-mai ภายใน 2-3 ปี พุ่งเป้าช่วยกว่า 3 ล้านรายเข้าถึงแหล่งระดมเงินทุนในตลาดทุนได้ง่ายขึ้น
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กเชนจ์ (LIVEx) ร่วมกันเปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ ไลฟ์เอ็กเชนจ์ โดยกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเปิดกระดานเทรดหุ้นที่ 3 ‘LIVE Exchange’ นอกเหนือจาก SET และ MAI เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ของไทย ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 3 ล้านราย สามารถเข้าถึงแหล่งระดมเงินทุนในตลาดทุนได้ง่ายขึ้น
กระดาน LiVE Exchange เป็นความร่วมมือกันของหน่วยงานแกนหลักในตลาดทุนอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รวมถึงพันธมิตรองค์กรระดับประเทศอีกหลายแห่ง โดยมีเป้าหมายหลัก คือการทำให้ผู้ประกอบการ SMEs และ Startups สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวกและง่ายมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาเพียงแค่เงินกู้จากสถาบันการเงินเพียงอย่างเดียว
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ระบุว่า หลังจากการประกาศบังคับใช้เกณฑ์การจดทะเบียนและการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ในวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีบริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส (AWS22) ผู้ให้บริการออกแบบพัฒนาDigital Technology ยื่นไฟลิ่งเป็นบริษัทแรก ตั้งแต่ 6 มิถุนายน 2565 และเริ่มยื่นไฟลิ่ง หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนของการเปิดรับความเห็นของสาธารณชน (Public Opinion) เป็นระยะเวลา 30 วัน จากนั้นจึงเริ่มนับ 1 ไฟลิ่ง ก่อนจะเข้าสู่ช่วงของการเสนอขายภายใน 6 เดือน นับแต่สิ้นสุดระยะ Cooling Off โดยรวมประมาณ 45-60 วัน
ล่าสุด บริษัทฯ AWS22 เตรียมจัดโรดโชว์ ในวันที่ 9 สิงหาคมนี้ ก่อนเปิดเทรดวันแรกในวันที่ 9 กันยายนนี้ โดยภายในปี 2565 นี้ จะมีอีก 2 บริษัทเข้ามาระดมทุนในตลาด LIVEx ขณะที่ภายใน 2-3 ปีนี้ คาดว่าจะมีกว่า 60 บริษัท ที่เคยผ่านโครงการพัฒนาผู้ประกอบการ LIVE Acceleration Program เข้ามาระดมทุนเพิ่ม
‘กระดาน LIVE Exchange เกิดมาเพื่อคนตัวเล็กที่ยังไม่พร้อมเรื่องทุนและระบบต่างๆ แต่ไม่ได้เจาะจงที่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง เราต้องการจะสนับสนุนให้ SMEs และสตาร์ทอัพไปต่อได้ ซึ่ง AWS เป็นบริษัทที่ถูก Spin Off ออกมาจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่อีกบริษัทอยู่ในธุรกิจพลังงาน ส่วนปี 2565 คาดว่าจะมี SMEs และสตาร์ทอัพเข้ามาลิสต์ในตลาดรวม 5 บริษัท อยู่ในธุรกิจไอซีที 2 แห่ง ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง 1 แห่ง ธุรกิจอาหาร 1 แห่ง และธุรกิจขนส่ง 1 แห่ง’
LIVE Exchange นอกจากการเป็นช่องทางของการระดมทุนแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ คือ LiVE Academy ที่เป็นโครงการพัฒนาผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นช่องทางในการเรียนรู้เพื่อยกระดับบริษัทให้มีความพร้อมที่จะเข้าตลาดทุน ซึ่งหัวใจสำคัญของบริษัทที่จะต้องการเข้าจดทะเบียนใน LiVEx ต้องเป็นบริษัทที่ผ่านการระดมทุนหลังซีรีส์ A เป็นอย่างน้อย และสามารถเปิดเผยข้อมูลบริษัทพร้อมทั้งตอบข้อสงสัยของผู้ลงทุนได้ครบถ้วน
นอกจากนี้ นายประพันธ์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กเชนจ์ ได้ประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพของไทย เข้ามาเริ่มต้นศึกษากับ LIVE Exchange ผ่าน ‘LIVE Platform’ ที่มีองค์ความรู้พื้นฐานสำหรับผู้ประกอบการในหลายรูปแบบ ผ่านระบบ อี-เลินนิ่ง, วีดีโอ, อี-บุ๊ค และบทความ กว่า 500 ชิ้น ครอบคลุมทั้งความรู้และทักษะทางธุรกิจ การจัดการเงิน การระดมทุน การจัดการด้านบัญชี ก่อนที่จะต่อยอดไปสู่ Scaling Up Platform เพื่อเตรียมความพร้อมให้ธุรกิจแข็งแกร่งและเติบโต ก่อนเข้าระดมทุนในตลาดทุนต่อไป
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำหรับผู้ลงทุนก็จะสูงขึ้น ทำให้ตลาดหลักทรัพย์จะเน้นการกำกับดูแลในส่วนของผู้ลงทุนแทน ในมุมของผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ได้จำกัดกลุ่มนักลงทุนที่จะสามารถลงทุนใน LiVEx แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ ผู้ลงทุนสถาบัน, ผู้ที่มีประสบการณ์ และเชี่ยวชาญ, บุคคลที่มีความสัมพันธ์กับบริษัท และผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ
“ต้องยอมรับการลงทุนใน LiVEx มีความเสี่ยงสูงกว่า SET และ mai โดยเฉพาะความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่อง เนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนอาจมีจำนวนน้อยมาก และเพื่อ Balance ความเสี่ยง จึงต้องจำกัดนักลงทุนแค่เพียงบางกลุ่ม”
สำหรับ ด้านการซื้อขายจะมีข้อกำหนดที่แตกต่างไปจาก mai และ SET โดยมีการเปิดให้ซื้อขายวันละหนึ่งรอบ และผู้ลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์การลงทุน มีประสบการณ์และมีสินทรัพย์สูงในระดับที่สามารถรับความเสี่ยงได้ สอดคล้องกับสภาวการณ์ซื้อขายหุ้นของ SMEs และ Startup
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เบื้องต้นที่สำนักงาน ก.ล.ต. ผ่อนปรนให้กับผู้ประกอบการ SMEs และ Startups เพื่อให้สามารถเข้ามาระดมทุนได้ง่ายขึ้น ประกอบด้วย
1. ไม่ต้องขออนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. แต่ต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะตามเงื่อนไขที่หลักเกณฑ์กำหนด เพื่อให้ผู้ลงทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ด้วยตัวเอง
2. ไม่จำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย
3. ต้องแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อสอดคล้องไปกับ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ หมวด 3/1 เช่น หลักการบริหารกิจการ, คุณสมบัติคณะกรรมบริหาร, การทำหน้าที่ของผู้บริหาร และการทำธุรกรรมที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจอย่างการซื้อขายหุ้นของบริษัท เป็นต้น
4. ต้องเป็นบริษัทขนาด M ขึ้นไปตามนิยามของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) หรือเป็นสตาร์ทอัพ Post Series A ที่มีผู้ลงทุนสถาบัน, กิจการเงินร่วมลงทุน (VC) หรือ นิติบุคคลร่วมลงทุน (PE) เข้าไปร่วมลงทุนแล้ว
5. ต้องไม่เป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมายร้ายแรง ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ยาเสพติด หรือ ฟอกเงิน
6. ผู้บริหารต้องมีความน่าไว้วางใจ
7. เปิดเผยงบการเงินรอบ 6 เดือนและรอบ 1 ปี
8. ใช้มาตรฐาน PAE ในการจัดทำงบการเงินบริษัทเป็นไปตามหลักมาตรฐานบัญชีที่มีผู้มีส่วนได้เสียสาธารณะเป็นวงกว้าง
8. ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้สอบบัญชีที่ขึ้นตรงกับสำนักงาน ก.ล.ต.ก็ได้ แต่ต้องใช้ผู้สอบบัญชีในสังกัดที่สำนักงาน ก.ล.ต.เห็นชอบ
9. ต้องมีมูลค่าการระดมทุนต้องไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท แต่ต้องไม่เกิน 500 ล้านบาท
10. ต้องได้รับเงินระดมทุนได้ไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่าการระดมทุนที่ตั้งเป้าหมายไว้
ด้านหลักเกณฑ์ในการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นจะมีข้อกำหนดที่แตกต่างไปจาก mai และ SET เนื่องจากมีการเปิดให้ซื้อขายวันละหนึ่งรอบ แต่ยังไม่เปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าลงทุน โดยจะต้องเป็นผู้ลงทุนที่มีคุณสมบัติ คือ ต้องมีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์การลงทุน มีประสบการณ์ และมีสินทรัพย์สูงในระดับที่สามารถรับความเสี่ยงได้ ได้แก่ กลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน กิจการเงินร่วมลงทุน (VC), นิติบุคคลร่วมลงทุน (PE), ผู้ลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะ (Angle Investor), ผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) ทรัพย์สินสุทธิไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท และรวมถึงบุคคลที่มีความคุ้นเคยกับกิจการเป็นอย่างดี เช่น ผู้บริหาร ,พนักงาน และผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นต้น
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว นักลงทุนคาดหวังภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวและนโยบายทางการเงินของ FED เป็นปัจจัยหนุน ขณะที่กังวลเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศ และนโยบายขึ้นดอกเบี้ยของ FED
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนกรกฎาคม 2565 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 103.92 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 60.9% จากเดือนก่อนหน้ากลับมาอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” โดยนักลงทุนมองว่าการฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ รองลงมาคือ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และภาวะเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนกรกฎาคม 2565 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
• ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม 2565) อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (ช่วงค่าดัชนี 80-119) เพิ่มขึ้น 60.9% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 103.92
• กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับอยู่ในระดับ “ร้อนแรง” กลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในระดับ “ทรงตัว” ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในระดับ “ซบเซา”
• หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK)
• หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
• ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยว
• ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
“ผลสำรวจ ณ เดือนกรกฎาคม 2565 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่ม 54.8% อยู่ที่ระดับ 107.69 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 125.0% อยู่ที่ระดับ 125.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 12.6% อยู่ที่ระดับ 76.47 และความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับเพิ่ม 75.0% มาอยู่ที่ระดับ 100.00
ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบอยู่ระหว่าง 1,533.37—1,576.41 จากความกังวลต่อการเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก (Recession) โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่อัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปี ความกังวลต่อสถานการณ์พลังงานในยุโรปจากการที่บริษัทพลังงานในรัสเซียประกาศลดปริมาณส่งก๊าซไปยังยุโรป รวมถึงสถานการณ์ Covid-19 ในประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดคลายกังวลต่อการคาดการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยของ FED ซึ่งมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาดที่ 0.75% ส่งผลให้ในเดือนกรกฎาคม SET index ปิดที่ 1,576.41 จุด ณ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 0.5% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในเดือนกรกฎาคม 4,662.35 ล้านบาทหลังจากขายสุทธิเมื่อเดือนก่อน
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ สถานการณ์ยืดเยื้อของสงครามรัสเซียยูเครน และ ความตึงเครียดระหว่างความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน-ไต้หวัน ความสามารถในการควบคุมเงินเฟ้อของ FED และ ECB การรับมือกับสถานการณ์ขาดแคลนพลังงานในยุโรป ผลประกอบการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และปัญหาค่าเงินในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา ลาว ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ แนวโน้มการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ชัดเจนขึ้นหลังรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การเฝ้าระวังการระบาด Covid-19 ในประเทศ”
A8220
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด