ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศรายชื่อ 170 บจ. ในหุ้นยั่งยืน THSI ปี 2565
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) ประจำปี 2565 โดยมีบริษัท จดทะเบียน (บจ.) ผ่านการคัดเลือก 170 บริษัท เพิ่มขึ้นจาก 144 บริษัทในปีที่ผ่านมา สะท้อนว่า บจ. ไทยมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยง พร้อมรับมือกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) ตั้งแต่ปี 2558 โดยมี บจ. เข้าร่วมและผ่านการประเมินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในปีนี้มีบริษัทได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI ถึง 170 บริษัท สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ บจ. ขณะเดียวกันผู้ร่วมตลาดทุกกลุ่มให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนที่มีความตื่นตัวและลงทุนอย่างยั่งยืน โดยนำข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) มาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน ควบคู่ไปกับข้อมูลผลประกอบการทางการเงิน นอกจากนี้ ผู้ลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ได้นำรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI ไปใช้ในการพิจารณาคัดเลือกหุ้นที่จะลงทุน นักวิเคราะห์การลงทุนยังนำปัจจัย ESG รวมถึงรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI ไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำแก่ผู้ลงทุนผ่านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์อีกด้วย
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนให้ภาคธุรกิจดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย โดยคำนึงถึง ESG เพื่อสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ตลาดหลักทรัพย์ฯ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” โดย 170 บริษัทในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI ปีนี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่สำคัญในการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น นโยบายและเป้าหมายด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ผลการดำเนินงานและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรไฟฟ้า พลังงาน น้ำ รวมถึงของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิต และผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน ชุมชนและสังคมผ่านกระบวนการทางธุรกิจ เป็นต้น นอกจากนี้ บจ. ประเมินความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยกำหนดนโยบายและมาตรการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง อย่างไรก็ดี บจ. ยังสามารถพัฒนาเพิ่มเติมให้มีกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนตลอดห่วงโซ่อุปทาน” นายภากรกล่าว
รายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI 170 บริษัทเป็น บจ. ใน SET 157 บริษัทและ mai 13 บริษัท กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีจำนวน บจ. ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มบริการ 33 บริษัท กลุ่มทรัพยากร 28 บริษัท และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง 27 บริษัท โดย บจ. ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 14 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็น 72% เมื่อเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมดของ SET และ mai (ณ 3 ตุลาคม 2565)
รายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI คัดเลือกจาก บจ. ที่สมัครใจเข้าร่วมตอบแบบประเมินความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยตัวชี้วัดทั่วไปสำหรับทุกบริษัทรวม 19 หมวด และตัวชี้วัดตามลักษณะการประกอบธุรกิจตาม 8 กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารมีตัวชี้วัดเพิ่มเติมในการประเมินเรื่องการจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบและความเสี่ยงจากการใช้น้ำ กลุ่มธุรกิจการเงินมีตัวชี้วัดเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ การทำธุรกิจทางการเงินหรือประกันภัยอย่างรับผิดชอบ การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินหรือการประกันภัย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับประเด็นที่เป็นสาระสำคัญที่ผู้ลงทุนให้ความสนใจและส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของบริษัท
บจ. ที่มีคะแนนจากการตอบแบบประเมินความยั่งยืนผ่าน 50% ในแต่ละมิติ (มิติเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม) และผ่านเกณฑ์คุณสมบัติตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด เช่น เป็นบริษัทที่มีผลการประเมิน CGR 3 ดาวขึ้นไป ไม่เป็นบริษัทที่ถูกกล่าวโทษหรือได้รับการตัดสินความผิดจากหน่วยงานทางการ มีผลกำไรสุทธิ 3 ใน 5 ปีย้อนหลัง เป็นต้น จะได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI โดยมีคณะทำงานเพื่อการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในภาคตลาดทุน เป็นผู้กลั่นกรองให้มีความโปร่งใสตลอดกระบวนการ ทั้งนี้ รายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI จะนำไปใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกสมาชิกในดัชนี SETTHSI เพื่อส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการทบทวนสมาชิกในดัชนี SETTHSI เป็นประจำทุกครึ่งปี
ทั้งนี้ สามารถดูรายชื่อหุ้นยั่งยืนได้ที่ www.setsustainability.com
A10335
สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกันยายน 2565
ผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) สะท้อนมุมมองว่าธนาคารกลางสหรัฐต้องการควบคุมเงินเฟ้อให้กลับมาอยู่ในระดับเป้าหมายภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ให้เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของตนเอง ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องจะส่งผลอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะผลต่อสภาพคล่องและภาวะการเงินที่จะตึงตัว ต้นทุนการกู้ยืม ทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลง ซึ่งกระทบการฟื้นตัวของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่พึ่งพิงการส่งออกและการท่องเที่ยว ทำให้ต้องหันมาพึ่งการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นภายในประเทศมากขึ้น
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้ค่าเงินในภูมิภาค ASEAN รวมถึงค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง แต่ใน 9 เดือนแรกปี 2565 มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้นไทยทั้งค่อนข้างมาก และ SET Index ยังมีความผันผวนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นอื่นๆ แม้ว่าความไม่แน่นอนจากผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจโลกจะเริ่มเร่งตัวขึ้น
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
• ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 SET Index ปิดที่ 1,589.51 จุด ปรับลดลง 3.0% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับลดลงไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค และเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 SET Index ปรับลดลงอยู่ที่ 4.1%
• SET Index ใน 9 เดือนแรกปี 2565 ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมือง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มทรัพยากร
• ในเดือนกันยายน 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 75,090 ล้านบาท ลดลง 25.5% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 9 เดือนแรกปี 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 81,816 ล้านบาท โดย ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 24,279 ล้านบาท ทำให้ใน 9 เดือนแรกปี 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 146,465 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6
• ในเดือนกันยายน 2565 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เจริญอุตสาหกรรม (CH) บมจ. ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์สนามบินการบินกรุงเทพ (BAREIT) โดยมูลค่าระดมทุนรวมในหุ้น IPO ของไทยปี 2565 อยู่ยังในระดับต้นๆ ของเอเชีย
• Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ระดับ 15.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 16.1 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.1 เท่า
• อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ระดับ 2.90% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.30%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
• ในเดือนกันยายน 2565 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 677,673 สัญญา เพิ่มขึ้น 36.5% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 TFEX ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 564,624 สัญญา เพิ่มขึ้น 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
A10274
ผอ.ออมสิน บรรยายพิเศษใน ESG Talk ครั้งที่ 2 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ได้รับเกียรติจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แชร์ประสบการณ์ในฐานะ Change Leader องค์กรธนาคารออมสินสู่ธนาคารเพื่อสังคม ในงาน ESG Talk ครั้งที่ 2 หัวข้อ Transitioning and Aspiring for Sustainability. Talk the Talk, Walk the Walk with...Khun Vitai. โดยนายวิทัย ได้แชร์ประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงธนาคารออมสิน ให้เป็นธนาคารเพื่อสังคมอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในเวลาเพียง 2 ปี โดยกลยุทธ์การทำธุรกิจแบบ Dual Mission ที่มีการทำธุรกิจเชิงพาณิชย์ ควบคู่กับธุรกิจเชิงสังคม
เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดผลลัพธ์ที่สร้าง Positive Impact ต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม นำไปสู่เป้าหมายการลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs Goals) ที่ธนาคารออมสินมุ่งเน้นขับเคลื่อนอย่างจริงจัง โดยมี ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมาชิก ESG Expert Cool ผู้เชี่ยวชาญด้าน ESG (ESG Profestional) ตลอดทั้งผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมรับฟัง ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้
คณะบริหารธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดห้องปฎิบัติการเทรดหุ้น หนุนนักศึกษาเรียนรู้เต็มรูปแบบเข้าสู่ไทยแลนด์ 5.0
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ก่อตั้งโดยหอการค้าไทย เน้นการเรียนการสอนและการผลิตบัณฑิตที่ตอบสนองต่อภาคธุรกิจมาเป็นเวลานานถึง 60 ปี โดยได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านบริหารธุรกิจ และการเป็น Practice University เป็นแหล่งเรียนรู้ให้นักศึกษาได้ใช้ทักษะและได้รับความรู้ประสบการณ์จริง ปัจจุบันคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีโครงการพัฒนาห้องปฏิบัติการ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ภายนอกห้องเรียนให้แก่นักศึกษา รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับการเป็น Practice University ล่าสุดได้ดำเนินการสร้างห้องเทรดหุ้น ‘BILLION QUARTER’ ซึ่งประกอบด้วย Trading Room Multiple Learning Space และมี Financial Product Board
โดยการเทรดหุ้นนี้จะมีนักศึกษาจำนวนมากในหลายคณะวิชาได้ใช้ฝึกปฏิบัติการ อาทิ คณะบริหารธุรกิจ คณะบัญชี คณะเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งนักศึกษาจากหลักสูตรวิศวกรรมการเงิน ตลอดจนผู้ประกอบการทั้ง SMEs และองค์กรต่างๆ ที่เข้ามาอบรมภายในมหาวิทยาลัย ก็จะได้เข้ามาใช้ประโยชน์จากห้องดังกล่าว โดยนักศึกษาจะได้เรียนผ่านตลาดหุ้นจริง มีนักลงทุน/ผู้เชี่ยวชาญมาแชร์ประสบการณ์แก่นักศึกษา ตลอดจนมีฐานข้อมูลให้นักศึกษาในค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสบการณ์นอกห้องเรียนให้แก่นักศึกษาได้
รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า “โครงการเปิดห้องปฏิบัติการ ‘BILLION QUARTER’ ครั้งนี้ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่1 Study Corner คือ มุมการค้นคว้า เรียนรู้ด้านการเงินการลงทุน มีหนังสือของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แนะนำหลักสูตร E-Learning ให้คำแนะนำด้านการวางแผนการเงินโดยนักวางแผนการเงินส่วนบุคคล, ส่วนที่ 2 Trading Arena คือ พื้นที่กิจกรรมส่งเสริมการซื้อขายหลักทรัพย์ จอแสดงผลการซื้อขายหลักทรัพย์ ถ่ายทอดสดกิจกรรมสำคัญ เช่น IPO กิจกรรมบรรยายพิเศษด้านการเงินและการลงทุนทั้ง Online และ On-Site ,
ส่วนที่ 3 คือ Fin Lab ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์เพื่อเป็นนักลงทุนมืออาชีพ การอบรมแบบเข้มข้นจากวิทยากร การฝึกปฏิบัติด้วยตนเองและการเรียนรู้จากเพื่อนๆ ที่สนใจการลงทุน สามารถนำความรู้ที่ได้จากห้องปฏิบัติการ ไปต่อยอดเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพและจริยธรรมของประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ขอขอบคุณบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด มหาชน และธนาคารกสิกรไทย ที่ให้การสนับสนุนการสร้างห้องปฏิบัติการ เทรดหุ้นเพื่อพัฒนาการศึกษา และเป็นประโยชน์ให้แก่ประชาชนที่สนใจการลงทุนต่อไป”
คุณสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า“ในนามของบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ขอขอบคุณที่ได้ให้บริษัทฯ ได้ร่วมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของชาติ นั่นคือ การสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ซึ่งมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คือหนึ่งใน Ecosystem ของบริษัทฯ ที่เราได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในด้านการศึกษาของประเทศ การเปิดห้องปฏิบัติการ’BILLION QUARTER’ ของคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในครั้งนี้นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการสร้างนักลงทุนรุ่นใหม่ ให้มีความรู้และความเข้าใจการซื้อขายหลักทรัพย์ ตราสารทางการเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบต่างๆ ที่สามารถสร้างอิสรภาพการทำงานที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของนักศึกษารุ่นใหม่ โดยไม่เป็นภาระของใคร เพราะจะมีทั้งหลักประกันด้านความรู้ ด้านการเงินและการออมที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในอนาคต ตลอดจนสามารถนำพาตนเองและประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน”
คุณกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “การร่วมมือครั้งนี้ธนาคารกสิกรไทยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการร่วมสร้างนักเทรดหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพให้แก่ประเทศไทย และจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่มุ่งเป็นผู้นำทางธุรกิจและอุตสาหกรรมบริการของประเทศไทยและเอเชีย
ด้วยการสนับสนุนให้นักศึกษาปัจจุบันได้เรียนรู้ปฎิบัติจริง ร่วมสร้างนักรบเศรษฐกิจพันธุ์ใหม่ยุคดิจิทัล ที่มีทักษะการลงทุน เทรดหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยบนพื้นฐานที่เข้มแข็ง วางรางฐานให้กับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางตลาดหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลของเอเชียและระดับโลกต่อไปในอนาคต”
คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ส่งมอบการเรียนการสอนเชิงประยุกต์จากงานวิจัยและประสบการณ์การปฏิบัติ เพื่อสร้างผู้นำธุรกิจที่มีความเป็นผู้ประกอบการและมีความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างองค์ความรู้ใหม่ด้านบริหารธุรกิจจากงานวิจัยและบริการวิชาการด้วยความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวม
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับลงสู่เกณฑ์ซบเซา นักลงทุนคาดหวังปัจจัยหนุนจากภาคท่องเที่ยวและเศรษฐกิจฟื้นตัว ขณะที่กังวลเรื่องนโยบายขึ้นดอกเบี้ยของ FED และเงินทุนไหลออก
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนกันยายน 2565 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 67.83 ปรับตัวลดลง 41.8% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” นักลงทุนมองว่าการฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED รองลงมาคือ การไหลออกของเงินทุน และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนกันยายน 2565 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
● ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ธันวาคม 2565) อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” (ช่วงค่าดัชนี 40-79) ลดลง 41.8% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 67.83
● ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ปรับลงมาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ อยู่ในระดับ “ทรงตัว”
● หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)
● หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO)
● ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยว
● ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED
“ผลสำรวจ ณ เดือนกันยายน 2565 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนแทบทุกกลุ่มปรับลดลงโดย นักลงทุนบุคคลปรับลดลง 39.3% อยู่ที่ระดับ 77.33 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลดลง 28.6% อยู่ที่ระดับ 100.00 กลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลดลง 60.0% อยู่ที่ระดับ 40.00 ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 6.2% อยู่ที่ระดับ 113.33
ในช่วงเดือนกันยายน 2565 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์แรกในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก และทยอยปรับตัวลดลงหลังเผชิญแรงกดดันหลายประเด็น อาทิ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินกว่าคาดซึ่งส่งผลต่อความกังวลต่อการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED แนวโน้มการถดถอยของเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ตามที่ธนาคารโลกได้ออกมาประกาศ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย—ยูเครนที่ทวีความตึงเครียดขึ้นหลังรัสเซียสั่งระดมทหารกองหนุนเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมทำสงครามกับยูเครน นอกจากนี้ การปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยของดัชนี FTSE ซึ่งมีผลในวันที่ 16 กันยายน 2565 ยังเป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มความกดดันต่อนักลงทุน โดยตลอดทั้งเดือนกันยายน 2565 SET index เคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 1,589.51— 1,665.74 จุดและ SET Index ณ สิ้นเดือนปิดที่ 1,589.51 จุด ปรับตัวลดลง 3% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิในเดือนกันยายน 2565 กว่า 24,279 ล้านบาท โดยตลอดทั้งปี 2565 นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิเป็นมูลค่า 146,465 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ แนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของ FED รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไปเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่ยังคงสูง อีกทั้งนโยบายการเงินของธนาคารกลางในหลายประเทศที่ออกมาเพื่อบริหารจัดการความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน แนวโน้มการถดถอยของเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย—ยูเครนที่ตึงเครียดขึ้นหลังรัสเซียรับรองพื้นที่ 4 เขตในยูเครนให้เป็นดินแดนของรัสเซีย ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยขาขึ้นของประเทศไทยหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 มาอยู่ในระดับ 1% แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวซึ่งขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566”
A10175
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด