วันที่ 06 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 21:51 น. ข่าวสดออนไลน์
ย้ำคดี-เผาเซ็นทรัลเวิลด์ ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง 2 เสื้อแดงร่ำไห้พ้นมลทิน ยุติคำ'เผาบ้านเผาเมือง'
คอลัมน์ แฟ้มคดี
แม้การพิจารณาคดี 99 ศพ จากเหตุการณ์กระชับพื้นที่การชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี พ.ศ.2553 จะต้องหยุดชะงักลง หลังจากที่ศาลอาญา ชี้ว่าเป็นความผิดต่ออำนาจหน้าที่ และเป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่จะพิจารณา ก่อนส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาต่อไป
ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้อยู่ที่พนักงานอัยการและญาติผู้เสีย ชีวิต สามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ได้ และคงต้องรอการพิจารณาจากศาลอุทธรณ์อีกครั้ง ถึงจะเห็นช่องทางของคดีที่ชัด เจนขึ้น
แต่คดีที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ 99 ศพ ก็เริ่มลุล่วงคลี่คลายมาตามลำดับ
อย่างคดีเผาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ล่าสุดศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องซ้ำศาลชั้นต้น โดยให้เหตุผลว่าพยานหลักฐาน ไม่เพียงพอ
ส่งผลให้ 2 ผู้ต้องหาที่ถูกฟ้องในคดีเผาห้างหลุดพ้นมลทิน
ตอกย้ำให้ยุติวาทกรรม "เผาบ้านเผาเมือง" ที่ใช้โจมตีกันเพื่อหวังผลทางการเมืองเสียที
อุทธรณ์ยกฟ้องเสื้อแดงเผาห้าง
4 ก.ย. ที่ห้องพิจารณาคดี 405 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องคดีวางเพลิงเผาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสายชล แพบัว อายุ 32 ปี และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ อายุ 30 ปี ผู้ชุมนุมนปช. เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ โรงเรือน
โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง เนื่องจากพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำฟ้องที่กล่าวหาจำเลยที่ 1 พยานโจทก์ต้องมีพยานเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนกลุ่มเดียวกับกลุ่มคนที่เข้ามาวางเพลิง และมีพฤติการณ์ต่อเนื่องไปจนถึงการปาระเบิด
ขณะที่อากัปกิริยาของจำเลยที่ 1 ที่ว่ากระทำการวางเพลิงเผาทรัพย์นั้น โจทก์ไม่มีพยานมายืนยันสนับสนุน แต่เห็นว่าเป็นการวางเพลิงและพยายามเชื่อมโยงกับกลุ่มที่มีอาวุธปืน เนื่องจากถังดับเพลิง ที่จำเลยที่ 1 ถือ ไม่ได้นำไปใช้ก่อเหตุวางเพลิง
อีกทั้งพยานโจทก์ ทุกปากไม่ยืนยันว่าเห็นจำเลยที่ 1 อยู่ในขณะเกิดเหตุวางเพลิง พยานทั้งหมดของโจทก์ จึงมีน้ำหนักน้อยมาก
ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้วางเพลิงแล้ว การสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันวางเพลิง จึงไม่อาจรับฟังได้ พิพากษายกฟ้อง
หลังรับฟังคำพิพากษา สร้างความตื้นตันให้กับจำเลย ขนาดที่นายสายชลต้องร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ในขณะที่นายพินิจระบุว่าดีใจมากและขอขอบคุณศาลยุติธรรมที่เมตตาให้ความยุติธรรม
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ เผยว่า จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าอัยการจะยื่นฎีกาหรือไม่ แต่โดยหลักแล้วคดีที่ยกฟ้อง 2 ศาล ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง รวมทั้งข้อกฎหมายก็ห้ามเช่นกัน
มีทางเดียวที่จะยื่นฎีกาได้ คือต้องขอให้ผู้พิพากษาที่มีความเห็นแย้งในคดีรับรองให้ฎีกา
ย้อนคำพิพากษาศาลชั้นต้น
สำหรับ คดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสายชล และนายพินิจ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์โรงเรือนที่เก็บสินค้า เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
โดยบรรยายพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 จำเลยทั้ง 2 กับพวกร่วมกันชุมนุมและมั่วสุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ในช่วงเวลาที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และเข้าไปในอาคารห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ทำลายบานกระจก ผนังอาคารบานกระจกประตู อาคารเซ็นทาวเวอร์ อาคารเซ็นทรัลเวิลด์
ก่อนร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ ด้วยการใช้เครื่องดื่มชูกำลังบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงจุดไฟแล้วโยนเข้าไปในชั้น 1 ของห้าง จนทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ลุกลามเผาอาคารเซ็นทาวเวอร์ และเผาทรัพย์สินต่างๆ ของผู้เสียหาย 270 ราย รวมค่าเสียหาย 8,890,578,649.61 บาท และเป็นเหตุให้นายกิติพงษ์ หรือ กิตติพงษ์ สมสุข ที่อยู่ภายในอาคารถึงแก่ความตาย
หลังไต่สวนสืบพยาน ศาลอาญานัด อ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2553 ว่า พิเคราะห์พยานหลักฐานมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีรปภ.เป็นประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ และถ่ายภาพจำเลยที่ 1 ขณะถือ ถังดับเพลิง เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 19 พ.ค. เบิกความเห็นจำเลยกับกลุ่มคนร้าย 5-6 คนใช้ไม้ทุบกระจกเข้ามาภายในห้าง จึงหลบไปอยู่ชั้น 3 และถ่ายภาพจำเลยไว้
ขณะที่พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เบิกความว่าหลังตำรวจสน.ชนะสงคราม ส่งตัวจำเลยมาให้รปภ.ชี้ตัวได้ถูกต้องถึง 2 ครั้ง ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 รับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ไม่ใช่ผู้กระทำผิด ส่วนพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เบิกความจำเลยที่ 1 ให้การใหม่ว่าขณะเกิดเหตุขายซีดีอยู่ที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ อ่านและเขียนหนังสือไม่ได้ เขียนได้เฉพาะชื่อตนเอง
"ศาลเห็นว่า แม้โจทก์มีพยานเป็นรปภ. ซึ่งเป็นผู้ถ่ายภาพจำเลยที่ 1 ได้ในที่เกิดเหตุ แต่ก็อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 30 เมตร และเห็นเพียงว่าจำเลยที่ 1 ถือถังดับเพลิง ไม่ใช่อุปกรณ์ใช้วางเพลิง แม้จะอนุมานไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 จะเข้าไปช่วยดับเพลิงหรือไม่ ประกอบกับพยานโจทก์ไม่สามารถตอบคำถามทนายจำเลยได้ว่าเห็นจำเลยที่ 1 เป็นผู้วางเพลิงหรือไม่ และยังไม่มีพยานชี้ชัดถึงพฤติการณ์ในการวางเพลิง หรือสนับสนุนการวางเพลิง พยานโจทก์จึงยังมีเหตุสงสัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายที่ร่วมทำผิดในคดีนี้หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย"
ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์มีพนักงานห้างเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุเห็นคนร้าย 40-50 คน มีชาย 4-5 คนเดินนำหน้าใช้หนังสติ๊กยิงใส่เป็นระยะ และเห็นชายชุดดำลายพรางสวมหมวกปีกใช้ระเบิดโยนใส่มีคนเจ็บ 9 คน ต่อมาตำรวจจับกุมคนร้ายภายในห้างได้ 9 คน มีจำเลยที่ 2 รวมอยู่ด้วย
พยานโจทก์กลุ่มนี้สามารถจดจำรูปพรรณสัณฐานจำเลยที่ 2 ได้ตรงกันหมด ยกเว้น สีเสื้อไม่ตรงกับภาพที่ปรากฏ ระหว่างนั้นพยานต้องคอยหลบลูกหินที่ถูกยิงเข้าใส่ อีกทั้งอยู่ห่างไปกว่า 30 เมตรนั้น น่าสงสัยว่าจะจำคนร้ายได้จริงหรือไม่ และโจทก์ยังไม่นำเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมจำเลยที่ 2 มาเบิกความ
จึงมีเหตุสงสัยว่าจำเลยที่ 2 จะกระทำผิดตามฟ้องจริงหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 2 ในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์โรงเรือนที่เก็บสินค้า เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จบทุกคดี-ปิดวาทะเผาบ้านเผาเมือง
ก่อนหน้านี้ในคดีที่เกี่ยวกับเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง สนามหลวง พิพากษายกฟ้อง 2 เยาวชนที่ตกเป็นจำเลยในคดีเดียวกัน เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2555
โดยระบุว่า นายเอ (นามสมมติ) อายุ 16 ปี และนายบี (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ซึ่งเป็นเยาวชน เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันวางเพลิง เผาทรัพย์โรงเรือน อันเป็นสถานที่เก็บสินค้าของผู้อื่น และเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามคำฟ้องระบุว่า ทั้ง 2 ร่วมกับนายสายชล และนายพินิจ ร่วมกันเผาห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์
โดยศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิด จึงพิพากษายกฟ้อง
นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความ กล่าวว่า ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานของอัยการโจทก์ที่ปรากฏยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลย ร่วมกระทำผิด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิง กทม. และเจ้าหน้าที่ รปภ. ซึ่งเป็นประจักษ์พยานไม่มีใครยืนยันได้ว่าเห็นจำเลยทั้งสองเป็นผู้ก่อเหตุ เมื่อถึงตรวจค้นก็ไม่พบของกลางในตัวของจำเลยที่จะเป็นอุปกรณ์วางเพลิงได้
ประกอบกับภาพกล้องวงจรปิดก็ไม่พบว่า จำเลยอยู่ในเหตุการณ์ ขณะที่จำเลยทั้งสองยังยืนยันมาโดยตลอดว่าไม่ได้ร่วมกระทำความผิด เพียงแต่วันเกิดเหตุหลังการสลายการชุมนุมด้วยความกลัวได้เข้าไปหลบในห้างที่เกิดเหตุแล้วจึงถูกจับกุมตัว
อีกคดีที่เกี่ยวพันกัน คำพิพากษาศาลแพ่งกรณีกองทุนรวมธุรกิจไทยสี่ โจทก์ที่ 1, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่ 2, บริษัท เซ็นทรัลเวิลด์ จำกัด ที่ 3 และบริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ จำกัด ที่ 4 ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัทเทเวศ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยในความผิดสัญญาประกันวินาศภัย จากกรณีเหตุไฟไหม้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ แล้วไม่ได้ค่าชดเชยเพราะจำเลยอ้างว่าเป็นการก่อการร้ายซึ่งกรมธรรม์ไม่ครอบคลุม
ศาลแพ่งมีคำพิพากษาว่า ทางนำสืบของจำเลยไม่ปรากฏชัดว่าเป็นการกระทำของผู้เข้าร่วมชุมนุมคนใด หรือสั่งการจากแกนนำ ที่สำคัญขณะที่เผาห้างเซนแกนนำก็ประกาศยุติการชุมนุมแล้ว
คนร้ายที่เผาห้างสรรพสินค้าเซนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็มิได้ต้องการให้ข่มขู่รัฐบาลยุบสภาหรือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากนายกรัฐมนตรี จึงไม่ใช่เป็นการกระทำที่หวังผลการทางเมือง เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นฟังไม่ได้ว่าเป็นการก่อการร้าย
พิพากษาให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงทุกชนิดให้แก่โจทก์ทั้งสี่ หรือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นเงิน 2,719,734,975.29 บาท และให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักให้แก่โจทก์ที่ 1 และ 3 เป็นจำนวนเงิน 989,848,850.01 บาทและให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของค่าเสียหายทั้งสอง แก่โจทก์ทั้งสี่และหรือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กับโจทก์ที่ 1 และ 3 ตามลำดับ นับแต่วันที่ 31 มี.ค. 2554 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมต่อศาลในนามโจทก์กำหนดค่าทนายความให้ 60,000 บาท
จบทุกคดีเผาห้าง ยุติวาทกรรมเผาบ้านเผาเมือง .......
ทีวี'เสื้อแดง'ออกอากาศได้แล้ว สนั่น!!'ตู่-เต้น-เหวง-นกแสก'ร่วม
แนวหน้า : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเฟซบุ๊คเพจชื่อ'อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ'ของ นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธาน นปช.คนเสื้อแดง ได้โพสต์ข้อความและรูปภาพเกี่ยวกับการเปิดสถานีโทรทัศน์เสื้อแดงที่เปลี่ยนชื่อใหม่ตามนโยบายของ กสทช.และคสช. โดยเปลี่ยนจากสถานีโทรทัศน์'UDD'ทีวีเสรีเพื่อความเท่าเทียม มาเป็นช่อง 'PEACE TV'และสามารถดำเนินการออกอากาศได้แล้ว โดยปรากฎว่ามีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างมากมาย
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า การเปิดโทรทัศน์เสื้อแดงครั้งนี้ มีชื่อของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.,นพ.เหวง โตจิราการ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยและแกนนไ นปช. รวมทั้ง นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธาน นปช.จัดมาจัดรายการทางสถานีช่องนี้ด้วย
'เอกนัฏ'จับมือ'อรรถวิชช์'ฟัดศก.จัดรายการทางสถานี'ฟ้าวันใหม่'
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโซเชียล เน็ตเวิร์ก มีการแชร์ภาพและข้อความจากเฟซบุ๊คเพจชื่อ 'BLUESKY Channal'กันอย่างมากมาย กรณีที่มีการเปิดเผยว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. และอดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยขึ้นเวทีมวลมหาประชาชนเกือบทุกเวที อภิปรายเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการบริหารประเทศของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะมาร่วมกันจัดรายการโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์บลูสกาย ที่เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า'สถานีฟ้าวันใหม่'โดยจะจัดรายการ'ว่าด้วยเศรษฐกิจและสังคม'เช่นเดียวกับนายจักษ์ พันธุ์ชูเพชร ที่จะจัดราบการ'คนแคระบนบ่ายักษ์'ด้วยเช่นกัน
พรรคเพื่อไทย เผย'จารุพงศ์' ร่อนจดหมายลาออกจากหัวหน้าพรรค'พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์'รักษาการแทน
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ส่งจดหมายเพื่อยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 แต่พรรคได้รับหนังสือในวันที่ 16 มิ.ย. 2557 พรรคจึงทำหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค กรณีที่หัวหน้าพรรคลาออกจากตำแหน่งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2557 โดยพรรคเพื่อไทย ได้ปฏิบัติตามข้อบังคับพรรคพ.ศ. 2551 ข้อ 47 (2) ซึ่งกำหนดว่า ในกรณีที่หัวหน้าพรรคพ้นจากตำแหน่ง ให้คณะกรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะด้วย
ดังนั้น เมื่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทยลาออกจากตำแหน่งโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 คณะกรรมการบริหารพรรคจึงต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป แต่เนื่องจากตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 57/2557 ลงวันที่ 7 มิ.ย. 2557 กำหนดห้ามมิให้พรรคการเมือง จัดประชุมหรือดำเนินกิจการใดทางการเมือง พรรคจึงไม่อาจจัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ได้ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับพรรค ข้อ 47 วรรค 2ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงขอแจ้งการพ้นจากตำแหน่งของหัวหน้า พรรคการเมืองและคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามที่กำหนดไว้ ในมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 และเมื่อมีประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติอนุญาตให้พรรคการเมืองประชุมได้เมื่อไหร่ พรรคจะเร่งดำเนินการจัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ต่อไป
นายชวลิต กล่าวด้วยว่า เมื่อหัวหน้าพรรคลาออกจากตำแหน่งตามข้อบังคับพรรค ได้กำหนดให้มีผู้รักษาการ ซึ่งคณะกรรมการบริหารพรรคได้เคยให้ความเห็นชอบไว้ตามข้อบังคับพรรคข้อที่ 50 คือ รองหัวหน้าพรรคเป็นผู้รักษาการแทน ได้แก่ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ และนายปลอดประสพ สุรัสวดี ตามลำดับ
วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8575 ข่าวสดรายวัน
นปช.เสริมคน ป้องรัฐบาล ระดมแน่นอักษะ ตู่พร้อมคุย'บิ๊กตู่'แนะทำประชามติ เทือกยังชุมนุมต่อ
ชุมนุมต่อ - คนเสื้อแดงเดินทางมาที่เวทีถนนอักษะ เนืองแน่นกว่าทุกวัน เนื่องจากทีวี ที่ถ่ายทอดถูกปิด ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ระบุจะต่อต้านถึงที่สุดหากมีการทำรัฐประหารหรือตั้งนายกฯ คนกลาง |
นปช.ยังระดมคนเข้าสู่ถนน อักษะ ลั่นอยู่ยาวเพื่อปกป้องประชาธิปไตย ชี้แม้ประยุทธ์ ประกาศกฎอัยการศึก แต่ยังไม่ล้มรัฐบาลเลือกตั้ง ลั่นหาก มีนายกฯคนกลางเมื่อใด พร้อมฮือครั้งใหญ่ 'จตุพร'เผยพร้อมร่วมเจรจาบิ๊กตู่ แนะต้องทำประชามติถามเสียงส่วนใหญ่ของประเทศว่าเอาแนวทางกปปส.หรือไม่ หากผลออกมา ทุกฝ่ายต้องยอมรับ ขณะที่ม็อบเทือกคืนพื้นที่ตึกสันติไมตรี แต่ยังจะชุมนุมต่อเนื่อง ตึก ชินวัตร 3 แจงข่าวมั่วพบอาวุธในตึก
นปช.ย้ำต้องมีเลือกตั้ง
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 20 พ.ค. ที่เวทีชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถนนอุทยาน หรือถนนอักษะ เขตทวีวัฒนา กทม. เชื่อมต่อ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. พร้อมแกนนำนปช. ร่วมแถลงข่าวประจำวัน
นายจตุพร กล่าวว่า หลังจากที่มีการประกาศ กฎอัยการศึก แกนนำนปช.ติดตามสถานการณ์และปรึกษาหารือร่วมกัน เห็นว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ประกาศชัดเจนแล้วว่า การประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการปฏิวัติ ดังนั้นถือว่ารัฐธรรมนูญอยู่ครบ รัฐบาลยังอยู่ เพียงแต่ยุบศอ.รส.เท่านั้น ซึ่งนปช.ยืนยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยน ยึดหลักตามระบอบประชาธิปไตย เมื่อการประกาศครั้งนี้ไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ เรายังคงเดินหน้าเรื่องการเลือกตั้งให้มีนายกฯ ต่อไป โดยจะไม่มีช่องทางอื่นในการตั้งนายกฯ มาตรา 7 ขึ้นมาได้ ยืนยันว่านปช.จะยังปักหลักการชุมนุมในพื้นที่อักษะเป็นฐานที่มั่นไม่มีการเคลื่อนไหวออกนอกพื้นที่
จี้ประยุทธ์ยึดหลักปชต.
นายจตุพร กล่าวอีกว่า การประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้ ยังไม่ถึงขั้นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะการเปลี่ยนแปลงการปกครองจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1.การก้าวไปสู่รัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ 2.การตั้งนายกฯ โดยไม่ยึดหลักกฎหมาย การได้มาโดยไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ หากต้องการให้บ้านเมืองสงบ ก็ขอให้ยึดหลักประชาธิปไตย ทำการตกลงสัตยาบันร่วมกันระหว่างพรรคการเมือง และกลุ่มมวลชน ในการเดินหน้าเลือกตั้ง แต่หากไม่พร้อม ก็ขอเสนอให้ทำประชามติให้ประชาชนตัดสินใจเลือกว่าจะเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้ง ประเทศไทยยังปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ แต่หากปิดการรับรู้ของประชาชนนั้นจะไม่เป็นผลดี เพราะจะมีการปล่อยข่าวลือ หรือสร้างสถานการณ์ได้โดยง่าย ซึ่งจะทำให้น่าเป็นห่วงมากขึ้น
ลั่นหากปว.-แดงลุยแน่
"พล.อ.ประยุทธ์ดำเนินการได้หากเดิน ตามระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ แต่หากทำเกินจากนี้ ขอเตือนเลยว่าจากที่พล.อ.ประยุทธ์ คิดจะแก้วิกฤต แต่อาจจะกลับมาสร้างวิกฤตให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นนปช.จะขอติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่หากมีการก้าวสู่การล้มล้างระบอบประชาธิปไตยหรือรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ คนเสื้อแดงจะไม่ยอม จะสู้จนถึงที่สุด เพราะเรามีหน้าที่รักษาระบอบประชาธิปไตย แต่หากทุกอย่างคลี่คลายจบด้วยระบอบประชาธิปไตย เราก็พร้อมที่จะยุติการชุมนุม" ประธาน นปช.กล่าว
ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การชุมนุมของนปช.ที่ถนนอักษะ ยังเป็นไปโดยสงบเรียบ ร้อยไม่มีสถานการณ์วุ่นวายหรือรุนแรงใดๆ กำลังเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่หลายจุด ซึ่งตนกำชับการ์ดทั้งหมด ให้ปฏิบัติหน้าที่รอบคอบด้วยความระมัดระวังให้เกียรติเจ้าหน้าที่ การปฏิบัติหน้าที่ของทั้ง 2 ฝ่าย เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีการกระทบกระทั่งใดๆ จึงอยากให้พล.อประยุทธ์สั่งการนายทหารที่รับผิดชอบ พื้นที่บริเวณเวทีอักษะ ได้ประสานงานที่บริเวณเวที เพื่อสื่อสารทำความเข้าใจ แนวปฏิบัติระหว่างกัน เพื่อเป็นการป้องกันการ กระทบกระทั่ง ป้องกันการเข้าใจผิด ระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์
ขออย่าคุกคามแกนนำนปช.
เลขาธิการ นปช.กล่าวว่า กรณีการประกาศกฎอัยการศึกมีสื่อต่างๆ ติดต่อมายังตน และประเมินว่าเป็นการรัฐประหารใช่หรือไม่นั้น เป็นคำถามที่พล.อ.ประยุทธ์คงต้องตอบ สำหรับนปช.เราถือเอาสถานการณ์ชัดเจนอยู่ตรงหน้า ซึ่งชัดว่ารัฐธรรมนูญยังอยู่รัฐบาลยังอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก เมื่อไม่ขัดต่อหลักการของนปช. คือ ไม่รัฐประหาร ไม่มีนายกรัฐมน ตรีนอกกฎหมาย การชุมนุมก็ยังคงอยู่พื้นที่นี้ และไม่มีแนวความคิดที่จะยุติการชุมนุมภายใต้กฎอัยการศึกนี้ แต่หากปรากฏแน่ชัดว่า มีการรัฐประหาร เราจะต่อสู้ถึงที่สุดทันทีทั่วประเทศ
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ขอเรียกร้องไปยังพล.อ.ประยุทธ ถ้าเป็นเจตนาบริสุทธิ์ คลี่คลายความขัดแย้ง ต้องเปิดเผย และโปร่งใส ไม่ให้มีพฤติการณ์นอกระบบ เช่น ติดตามคุกคามแกนนำนปช. ทั้งในส่วนกลางหรือต่างจังหวัด พวกตนจะตรวจสอบ ถ้ามีปรากฏการณ์อย่างนี้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องอธิบาย กฎอัยการศึกมีอำนาจทำได้ แต่ถ้าจะคลี่คลายสถานการณ์ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ และนปช.จะติดตามการปฏิบัติต่อนปช.กับเวทีกปปส. ถ้าหากมีคำสั่งข้อกำหนดใดที่ต้องปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติให้เหมือนกันหรือเท่าเทียมกัน
ทหารตรึงกำลังรอบที่ชุมนุม
เมื่อถามว่าหากพล.อ.ประยุทธ์จะเป็น นายกฯ คนกลางและจัดการเลือกตั้ง นาย จตุพรกล่าวว่า ไม่มีประตูสำหรับนายกฯ คนกลาง ถ้าต้องการเป็นนายกฯ คนกลางได้ คือการฉีกรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามว่า มองว่ากระทำของทหาร เป็นบวกหรือลบกับนปช.หรือกปปส. นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เราไม่เคยประเมิน เพราะการต่อสู้นปช.ไม่เคยหวังพึ่งกองทัพ คนประกาศก็ต้องรับผิดชอบและนำพาบ้านเมืองออกจากวิกฤตให้ได้ คือเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง เป็นความรับผิดของกองทัพโดยสมบูรณ์ เราก็จะติดตาม สถานการณ์ หากมีการตั้งนายกฯ คนกลาง ถึงแม้จะมีความใกล้ชิดกับรัฐบาล พวกตนก็ไม่รับ เราไม่คิดหาประโยชน์กับการประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมามีกำลังทหารเข้ามาประจำการอยู่บริเวณทางเข้า-ออกที่ชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถอนตัวออกจากพื้นที่ มีเพียงการตั้งด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ทหาร และการ์ดนปช.อย่างเข้มงวด
การ์ดม็อบแดงก็ตรึงเข้ม
เมื่อเวลา 16.00 น. ยังคงมีกำลังทหารเข้ามาประจำการอยู่บริเวณทางเข้า-ออกสถาน ที่ชุมนุม และมีการวางกำลังรักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ และตรวจตราผู้ที่จะเดินทางเข้ามายังถนนอักษะอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะทางเข้าพื้นที่การชุมนุมเลียบคลองทวีวัฒนา ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่ดูแลความสงบพื้นที่ก่อนหน้านี้ได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่หมดแล้ว
ขณะที่การรักษาความปลอดภัยในเวทีการชุมนุม การ์ดนปช.การกระจายกำลังตรวจสอบรอบบริเวณพื้นที่ชุมนุม พร้อมตรวจตรารถยนต์ รถจักรยานยนต์ และบุคคลที่เข้าออกสถานที่ชุมนุมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันเหตุร้ายและผู้ไม่หวังดีเข้ามาสร้างสถานการณ์
นอกจากนี้ภายในเต็นท์ที่พักอาศัยของ ผู้ชุมุนม โดยเฉพาะด้านหลังเวที กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้เก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ทยอย เดินทางออกจากพื้นที่บ้างแล้ว และมีการรื้อเต็นท์ออกส่วนหนึ่ง
ยังระดมมวลชนต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประชาชนและแนวร่วมกลุ่ม นปช. ทยอยเข้าร่วมชุมนุมและฟังคำปราศรัยของแกนนำคนสำคัญอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการประกาศกฎอัยการศึก และมีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ทหารตรวจตรารอบพื้นที่ชุมนุมจำนวนมากก็ตาม
ส่วนของกิจกรรมบนเวทีนั้นมีการปราศรัยโจมตีการประกาศกฎอัยการศึก พล.อ. ประยุทธ์ และการเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. อย่างดุเดือด นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรี และร้องเพลงปลุกใจผู้ชุมนุม ที่ต่างพากันเต้นรำอย่างสนุกสนาน
กลับแล้ว - นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส. พร้อมแกนนำและผู้ชุมนุมเดินออกจากทำเนียบรัฐบาล กลับไปตั้งหลักที่เวทีถนนราชดำเนิน หลังทหารใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกเข้าขอคืนพื้นที่ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. |
ด้านนายจตุพรให้สัมภาษณ์อีกว่า ขณะนี้ประสานไปยังแกนนำนปช.ต่างจังหวัดบ้างแล้ว เพื่อให้มวลชนมาร่วมกันชุมนุมแสดง ออกทางการเมืองที่เวที นปช. ถนนอักษะ โดยในช่วงเย็นจะมีมวลชนเข้าร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นมวลชนจากจังหวัดใกล้เคียง และมวลชนในกรุงเทพฯ ที่เข้าร่วมชุมนุมแบบไปเช้าเย็นกลับ ทั้งนี้สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่ถึงจุดที่จะต้องระดมมวลชนครั้งใหญ่ที่สุด
แนะให้ทำประชามติ
เวลา 18.00 น. นายจตุพรปราศรัยว่า นปช.จะชุมนุมที่ถนนอักษะจนกว่าระบอบประชาธิป ไตยจะปลอดภัย แม้ว่าจะถูกตัดสัญญาณถ่ายทอดสด ทั้งที่ความจริงควรเปิดกว้างให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าจะเห็นด้วยกับแนวทางฝ่ายใด แต่ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะเคยผ่านเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้มาแล้ว ในปีพ.ศ.2552-2553 อย่างไรก็ตามหากมีการเสนอนายกรัฐมนตรีเถื่อนแม้จะมีการประกาศกฎอัยการศึกเราก็จะสู้ไม่ถอย และขอให้ประชาชนร่วมกันสื่อสารไปยังพี่น้องคนเสื้อแดงให้ออกมาต่อสู้ร่วมกัน
นายจตุพรปราศรัยต่อว่า ที่พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่าจะเชิญคู่ขัดแย้งมาพูดคุยเจรจา อยากบอกว่าไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับนายสุเทพ แต่ถ้าหากให้มีการพูดคุยกันก็พร้อมที่จะเจรจา แต่ต้องอยู่บนจุดยืนของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
"วิธีเดียวที่จะให้นายสุเทพยอมรับขณะนี้คือต้องมีการทำประชามติว่าคนไทยเห็นด้วยกับข้อเสนอของนายสุเทพ หรือไม่ ถ้าเห็นด้วยกับนายสุเทพ พวกตนก็พร้อมยอมรับ แต่ถ้าคนไทยไม่เห็นด้วยนายสุเทพก็ต้องหยุด ทั้งนี้อยากบอกพล.อ.ประยุทธ์ว่าหนทางเดียวที่จะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับคือการยอมรับสิทธิของประชาชน" ประธานนปช.กล่าว
ชินวัตร 3 แจงข่าวพบอาวุธ
วันเดียวกัน ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น แถลงชี้แจงว่า ด้วยมีการนำเสนอข่าวของสื่อฉบับหนึ่งระบุว่า เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า มีเพลิงไหม้ที่อาคารชินวัตร 3 โดยมีทหารเข้าไปภายในอาคารดังกล่าวเจออาวุธสงคราม เอสซีฯ ขอชี้แจงว่า ข่าวนี้เป็น เพียงข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด 1. เนื่องจากในวันดังกล่าว ไม่มีเหตุเพลิงไหม้แต่อย่างใด กลุ่มควันที่เกิดขึ้นมาจากการทำงานของเครื่องปั่นไฟฟ้าสำรอง เพื่อใช้จ่ายกระแสไฟทดแทนระบบไฟฟ้าหลักของอาคารที่ขัดข้อง 2. อีกทั้งในวันดังกล่าว ไม่มีการนำกำลังทหารเข้าตรวจค้นอาคารชินวัตร 3 และพบอาวุธสงคราม ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งนี้บริษัทยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล เพื่อให้การดูแลลูกค้าเป็นไปอย่างมีคุณภาพ และคำนึงถึงความปลอดภัยอย่างสูงสุด โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง
เลื่อนเปิดเทอมหวั่นวุ่นวาย
ที่ศาลาว่าการกทม. นายกริช วัชรศิริธรรม รองผอ.การสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพฯที่มีการประกาศกฎอัยการศึกทำให้มีโรงเรียนที่อยู่ใกล้กับพื้นที่การชุมนุม 1 แห่งที่ยังคงได้รับผลกระทบคือโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริยาราม เขตพระนคร จึงต้องเลื่อนเปิดภาคเรียนเป็นวันที่ 26 พ.ค. จากเดิมมีกำหนดเปิดเรียนในวันที่ 21 พ.ค. เนื่องจากทางโรงเรียนยังคงมีความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย และการเดินทางของนักเรียน ผู้ปกครอง
ส่วนโรงเรียนอื่นๆ ในสังกัดอีก 437 แห่ง เปิดเรียนตามปกติ แต่มอบนโยบายให้ผู้อำนวยการโรงเรียนทุกแห่งเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวันโดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่พื้นที่ชุมนุม แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่ามีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนเพราะมีการควบคุมให้ผู้ชุมนุมอยู่ในที่ตั้ง อย่างไรก็ตามหากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นผู้อำนวยการสามารถสั่งปิดเรียนได้ทันทีอย่างน้อย 3 วัน และรายงานมายังสำนักงานเขตได้
กปปส.ส่งคืนทำเนียบ
สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มกปปส. เมื่อเวลา 14.00 น. นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. แถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ว่า การชุมนุมยังคงดำเนินการต่อไปตามเป้าหมายเดิมเพื่อการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ขณะนี้กำลังกำหนดกิจกรรมที่จะดำเนินการภายใต้กฎอัยการศึกและช่องทางการสื่อสารกับมวลมหาประชา ชน การปราศรัยบนเวทีจะคงความเข้มข้นเหมือนเดิม แกนนำทุกคนยังปักหลักชุมนุมพร้อมมวลชนและจะมีการผลัดคิวปราศรัยบนเวทีตลอดทั้งวัน และคืนนี้นายสุเทพ ก็จะพบกับมวลมหาประชาชนบนเวทีหน้ายูเอ็น เช่นเดิม
นายเอกนัฏ กล่าวภายหลังการประชุมแกนนำกปปส. ในตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ว่า กปปส.ส่งมอบตึกสันติไมตรี คืนเรียบร้อยแล้วในสภาพเหมือนเดิม ส่วนนายสุเทพเองไม่ได้ถูกจับกุมตามกระแสข่าวที่ออกมา การชุมนุมยังคงดำเนินการต่อไปตามเป้าหมายเดิมเพื่อการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง โดยจะกำหนดกิจกรรมที่จะดำเนินการภายใต้กฎอัยการศึก
สุเทพลั่นกปปส.ชุมนุมต่อ
เมื่อเวลา 19.40 น. ที่เวทีกปปส. หน้าองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) นายสุเทพ ปราศรัยว่า แม้จะมีการประกาศกฎอัยการศึก แต่ต้องถือว่าไม่มีผลกระทบกระเทือนหรือเป็นอุปสรรคในการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน และขอให้อย่าสับสน เพราะไม่ได้เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ เรายังมีสิทธิเสรีภาพชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ลุกขึ้นต่อต้านโค่นล้มรัฐบาลได้ พูดง่ายๆ คือสู้ต่อไปได้ และยังต้องสู้ต่อไป อีกทั้งต้องรวมพลังกันเพิ่มมากขึ้น และอย่าเผลอคิดว่าเราชนะแล้ว เรายังไม่ชนะ
นายสุเทพ กล่าวว่า เวลาจะพูดถึงชัยชนะ ต้องพูดถึงชัยชนะของประเทศไทยและประชา ชนทั้งประเทศ สิ่งที่ถือว่าเป็นชัยชนะ คือ 1.ระบอบทักษิณต้องหมดสิ้นไปจากแผ่นดิน 2.เราต้องได้นายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็ม 3.นายกฯคนใหม่ต้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่ไม่มีนักการเมืองหรือนอมินีเข้ามาเกี่ยวข้อง และ 4.นายกฯและรัฐบาลต้องเป็นของประชาชน ปฏิรูปประเทศตามเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน หากทำได้ครบจึงถือเป็นชัยชนะของประเทศและประชาชน แต่ขณะนี้ประเทศไทยกลับยังไม่มีนายกฯและรัฐบาลที่มาบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงฝ่ายทรราชก็ยังมีอิทธิพลอยู่ ส่วนวุฒิสภาก็ยังไม่ตั้ง นายกฯใหม่ เมื่อไม่มีนายกฯและรัฐบาลก็ไม่มีใครรับเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน ฉะนั้นมวลมหาประชาชนต้องผนึกกำลังเพื่อสู้ต่อไปจนได้ชัยชนะ 4 ประการ
บอกรักประยุทธ์มากขึ้น
"การประกาศกฎอัยการศึก หมายถึงทหารมีอำนาจเต็ม ใครจะฟ้องเอาผิดก็ไม่ได้ทั้งนั้น ถือเป็นยาขนานแรงมาก การประกาศเมื่อคืน รัฐบาลไม่รู้เรื่องเลย ที่ผมกล้าพูดเพราะนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาฯ ออกมาต่อว่าว่าประกาศอัยการศึกทำไมไม่บอกรัฐบาล นรกจะกินกบาลยังไม่รู้เรื่องเลย นอกจากนี้ผมดูทีวีนักข่าวถามว่า ประกาศอัยการศึกบอกรัฐบาลหรือยัง เห็นพล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า รัฐบาลอยู่ไหนหละ ขอโทษเถอะตั้งแต่คบกันมาพูดได้สะใจก็วันนี้ ผมนึกในใจหากสู้ไม่ชนะ จะเดินไปมอบตัวกับพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่รู้จักกัน รู้สึกรักพล.อ.ประยุทธ์เพิ่มกว่าเดิม 120 เท่า และขออนุญาตบอกรักพล.อ.ประยุทธ์" เลขาธิการกปปส. กล่าว
นายสุเทพกล่าวอีกว่า ภายใน 2-3 วันนี้ หากวุฒิสภาไม่เลือกนายกฯ มัวแต่รำวง ก็ขอให้มวลมหาประชาชน ประชาชนจับมือข้าราชการจับมือทหารแล้ว ก็ขอร้องให้มาจับมือกับมวลมหาประชาชนบ้าง หากเป็นเช่นนั้นไม่ต้องพึ่งวุฒิสภา อยู่ไปก็เปลืองข้าวเปล่าๆ อย่างไรก็ตามกำหนดการชุมนุมใหญ่วันที่ 23-25 พ.ค ที่ถนนสุขุมวิท และถนนราชดำเนิน รวมทั้งวันที่ 26 พ.ค. ในเวลา 19.00 น. ที่ท้องสนามหลวงยังคงเหมือนเดิม
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด