21 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
จับตา ความเงียบ ของ สนช.ทหาร ตำรวจ ปัจจัย'ชี้ขาด'
การออกมายืนยันโดย นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน สนช.ที่ว่า มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจของสนช.แล้วถึงร้อยละ 99.99
ในการดำเนินคดีถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เป็นการยืนยันที่มิได้สร้างความแปลก มิได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ได้ยิน ได้ฟังมากเท่าใดนัก
เช่นเดียวกับคำกล่าวของ นายเฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ที่ว่า
“คนที่มีคำตอบอยู่ในใจแล้วคงไม่จำเป็นต้องรอฟังคำปิดคดีด้วยตนเองจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
เพราะ นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ก็เหมือน นายเฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ
คนแรกเคยเป็นอธิการบดีสถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ คนหลังเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ไล่ “ยิ่งลักษณ์” ตั้งแต่ก่อน “รัฐประหาร”
............................................
บทบาทของ นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน บทบาทของ นายเฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ก็ดำเนินไปเหมือนกับบทบาทของ นายสมชาย แสวงการ
หรือเหมือนกับบทบาทของ นายประสาร มฤคพิทักษ์
ต่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาด้วยตนเองทั้งในวันที่ 16 หรือวันที่ 21 มกราคม กระบวนการนำเสนอของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่แปรเปลี่ยน
นั่นก็คือ ถึงอย่างไรก็ “ฟังไม่ขึ้น”
เพราะท่านเหล่านี้อยู่ในกระบวนการขับไล่และโค่นล้ม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ก่อนกปปส.จะดำเนินมาตรการ “ชัตดาวน์” กทม. ตั้งแต่ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะตัดสินใจทำรัฐประหาร
การตัดสินใจในวันที่ 23 มกราคม จึงไม่แปรเปลี่ยน
...............................................
แม้ว่า กระแสซึ่งอยู่ในสถานะ 'ครอบงำ'จะเป็นความอึกทึกครึกโครมในความต้องการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่เสียงของคนเหล่านี้มิใช่ปัจจัยชี้ขาด
การสร้าง “กระแส” มีเป้าหมายอยู่ที่ไหน
อยู่ที่พยายามกดดัน และบีบรัดให้ สมาชิกสนช.เสียงข้างมากอันเป็นทหาร เป็นตำรวจและเป็นข้าราชการอื่นๆ เห็นชอบด้วย
น่าสังเกตว่าในส่วนนี้ “เงียบ” อย่างยิ่ง เงียบอย่างผิดปกติ
เป็นความเงียบในท่ามกลางความโฉ่งฉ่างของกลุ่ม 40 ส.ว. ของกลุ่มกปปส. เป็นความเงียบที่ยากยิ่งจะจับทิศทางได้อย่างแน่ชัด
เว้นแต่คิดเดา เว้นแต่อาศัยพลังแห่ง “มโน”
..................................................
ผลของการลงมติในวันศุกร์ที่ 23 มกราคม จึงขึ้นอยู่กับสนช.สายทหาร ตำรวจและข้าราชการ
กลุ่มนี้เห็นคล้อยตามหรือไม่ กลุ่มนี้เห็นด้วยกับท่าทีและการเคลื่อนไหวของสนช.สายกปปส.อันประสานเข้ากับกลุ่ม 40 ส.ว.มากน้อยเพียงใด
คะแนนอันปรากฏในวันที่ 23 มกราคม คือคำตอบสุดท้าย...
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
ภาพ ทางการเมือง จาก สัมปทาน ปิโตรเลียม ภาพ 'พวกเดียวกัน'
มติในที่ประชุมสปช. 130 ต่อ 79 ไม่เห็นด้วยกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 สะท้อนลักษณะทางการเมืองอย่างแน่นอน
ประเด็นคือ เป็นการเมืองแบบไหน
เหมือนกับเป็นการเมืองเรื่อง “พลังงาน” อันเห็นต่างระหว่าง 2 กลุ่ม 2 แนวทางใหญ่ นั่นก็คือ ระหว่างกลุ่ม นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กับ กลุ่ม น.ส.รสนา โตสิตระกูล
อาจใช่ แต่มีอะไรมากยิ่งกว่านั้น
แม้กล่าวในด้านกระแสหลักกลุ่ม นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ จะอยู่ในฐานะครอบงำ ผ่านกระทรวงพลังงาน แต่เมื่อนำโครงการเข้าศึกษาและพิจารณาในสปช.กลับแพ้ น.ส.รสนา โตสิตระกูล
แสดงว่ากลุ่มของ น.ส.รสนา โตสิตระกูล กลับอยู่ในฐานะนำกำหนดทิศทาง “พลังงาน” ในที่ประชุมสปช.ได้
ตรงนี้ “สำคัญ” ตรงนี้ “แหลมคม”
...............
อย่าลืมเป็นอันขาดว่าทั้ง นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ทั้ง น.ส.รสนา โตสิตระกูล ล้วนขึ้นเวทีกปปส. ล้วนเคยเป่านกหวีดมาแล้ว
สถานการณ์ตอนนั้นถือว่าเป็นพวกเดียวกัน
แต่ภายหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 คสช.กลับเลือก นายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์ แต่ก็มิได้ทอดทิ้ง น.ส.รสนา โตสิตระกูล
ยังแต่งตั้ง น.ส.รสนา โตสิตระกูล เป็น “สปช.”
ความหวังลึกๆ ของคสช.ก็ประเมินว่า น.ส.รสนา โตสิตระกูล น่าจะเป็นกำลังหนึ่งในการขับเคลื่อนการปฏิรูปพลังงาน เป็นส่วนเสริมให้กับกระทรวงพลังงาน เป็นส่วนเสริมให้กับการทำงานของคสช.และรัฐบาล
เป็นการทำงานผ่าน “สปช.” เป็นการทำงานผ่าน “การปฏิรูป”
...............
ปรากฏการณ์ 130 ต่อ 79 ภายในที่ประชุมสปช.จึงเป็นปรากฏการณ์อันสะท้อนให้เห็นว่าพันธมิตรในแนวร่วมของคสช.นั้นกว้างขวางใหญ่โต
ยุทธศาสตร์เป็นอย่างเดียวกันแน่นอน
นั่นก็คือ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกันกับรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ได้แก่การโค่นล้มและขจัดอิทธิพลของ “ระบอบทักษิณ” ที่เคยครอบงำสังคมไทย
จึงจำเป็นต้อง “สามัคคี” อย่างกว้างขวาง
กระนั้น ภายในการขับเคลื่อนทำงาน เมื่อเดินมาถึงระยะทางหนึ่งพันธมิตรภายในแนวร่วมก็ย่อมเห็นต่างและออกมาแสดงพลังให้เห็น
ดังในกรณี 130 ต่อ 79 นั่นแล
..................
จากเดือนพฤษภาคม 2557 เรื่อยมาจนถึงเดือนมกราคม 2558 จะปรากฏความเห็นต่างมากยิ่งขึ้น
มิได้มาจากพรรคเพื่อไทย มิได้มาจากคนเสื้อแดง หากแต่เด่นชัดยิ่งว่ามาจาก “พวกเดียวกัน” อันเคยกอดคอร่วมสร้างกระแสให้เกิดรัฐประหารมากกว่า
ปมเงื่อนอยู่ที่คสช.และรัฐบาลจะบริหารจัดการอย่างไร
....................................................................................
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
อาการ 'สนช.'กบดาน อย่างเงียบเชียบ จับทิศทาง ไม่ออก
หลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงยาวตอบโต้ข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช.อันมาจาก นายวิชา มหาคุณ ในที่ประชุมใหญ่สนช.มี “อาการ” ทางสังคมกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง
ราวกับระลอกคลื่นในมหาสาคร
เสียงชมจากพวกเดียวกันอย่าง นายพิชิต ชื่นบาน ทนายความ นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย
นั้นช่างเถิด ปล่อยให้ผ่านเลยไปได้
เช่นเดียวกับ ปฏิกิริยาที่แสดงการดูหมิ่น เหยียดหยาม อันมาจาก นายวิชา มหาคุณ คู่กรณี หรือจาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
น่าติดตาม น่าให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษ
เมื่อผูกร้อยเข้ากับความเห็นอันมาจาก นายสุริยะใส กตะศิลา อันมาจาก นายประสาร มฤคพิทักษ์ ก็พอจะมองเห็น “อาการ” อันเป็นความต่อเนื่องของ “การถอดถอน” ได้
แสดงความไม่แน่ใจ แสดงความไม่มั่นใจ
..............................................
ในเบื้องต้น บรรดาปรปักษ์ทางการเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วางน้ำหนักให้กับหมัดอันพุ่งมาจาก นายวิชา มหาคุณ ซึ่งเป็นตัวแทนของป.ป.ช.
แต่แล้ว “น้ำหนัก” นี้ก็เริ่มคลายลด ถดถอย
เพราะเมื่อนำเอากระบวนการและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นวัตกรรม” ในการนำเสนอก็ประจักษ์ในความต่างอย่างเด่นชัด
คน 1 อยู่ในยุค “อนาล็อก” คน 1 อยู่ในยุค “ดิจิตอล”
ทั้ง 2 ฝ่ายล้วนอ่านโพย แต่คน 1 อ่านโพยจากกระดาษ ขณะที่อีกคน 1 อ่านผ่านจอซึ่งเลื่อนไหลอย่างได้จังหวะจะโคนเบื้องหน้า ทั้งมิได้มีแต่เพียงตัวหนังสือซึ่งเรียงแถวกันเข้ามา หากสลับด้วยแผนภูมิ และตารางตัวเลข
คะแนน นายวิชา มหาคุณ จึง “ติดลบ”
..............................................
โอกาสอันยอดเยี่ยมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิได้อยู่ที่การสื่อโดยตรงไปยังบรรดาสมาชิกสนช. ซึ่งอาจไม่ทราบเส้นสนกลในอย่างครบถ้วนเท่านั้น
หากที่สำคัญคือ การสื่อถึง “ประชาชน”
ประชาชนในที่นี้นอกเหนือจากที่ให้การสนับสนุนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วยังเป็นชาวนาซึ่งได้ประโยชน์โดยตรงจากโครงการ
ราคาข้าวเกวียนละ 15,000 บาทย่อมจำหลัก หนักแน่น
น้ำเสียงของคนอย่าง นายสุริยะใส กตะศิลา ของคนอย่าง นายประสาร มฤคพิทักษ์ จึงเปลี่ยนเป็นการพุ่งปลายหอกเข้าใส่สนช. เข้าใส่คสช.
เหมือนกับเป็นการข่มขู่ เหมือนกับเป็นการบีบบังคับ
............................................
ความน่าสนใจอยู่ที่อาการอันเงียบสงบของสมาชิกสนช.ที่เรียกว่าสายทหาร หรือสายคสช.
ไม่เพียงแต่ พล.อ.นพดล อินทปัญญา จะเงียบ ไม่เพียงแต่ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ จะเงียบ หากแต่เป็นความเงียบอย่างชนิดกบดาน
กบดานกระทั่งมองไม่เห็น “ร่องรอย”...
วิเคราะห์
กระบวนการถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา กับ นายนิคม ไพรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภาเริ่มต้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม
กระบวนการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มต้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม
นายสมศักดิ์ และ นายนิคม ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจควบคุมการประชุมรัฐสภาในระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกกล่าวหาว่าไม่ยอมยับยั้งนโยบายจำนำข้าว จนทำให้มีการทุจริตและเกิดความเสียหายต่อรัฐ
ทั้งกรณีของ 2 อดีตประธานสภา และกรณีของ น.ส.
ยิ่งลักษณ์ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติส่งเรื่องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ถอดถอน
กระบวนการถอดถอนเริ่มจากการแถลงเปิดคดี โดยมีผู้ถูกร้องให้ถอดถอนแถลงค้าน จากนั้นคณะกรรมาธิการ สนช.ที่ทำหน้าที่ซักถามจะรวบรวมคำถามของ สนช. และดำเนินการซักถามภายในเวลา 7 วัน จากนั้น สนช.จะนัดโหวต โดยต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของ สนช. หรือจำนวน 132 เสียงถึงจะถอดถอนได้
นายนิคม คาดว่า สนช.น่าจะลงมติวาระถอดถอนนายนิคมและนายสมศักดิ์วันที่ 22-23 มกราคม
ส่วนการลงมติถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ น่าจะโหวตกันหลังจากนั้น แต่ไม่น่าเกินปลายเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์
เท่ากับว่าไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ จะได้เห็นแนวโน้มการเมืองไทย
ทั้งนี้ เพราะการถอดถอนทั้ง นายสมศักดิ์ นายนิคม และถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผลพวงความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อปี 2556-2557
เป็นความขัดแย้งที่ฝ่ายหนึ่งพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 แต่อีกฝ่ายหนึ่งเกรงว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
เกรงกันถึงขนาดว่าจะกระทบต่อโทษที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีถูกศาลตัดสิน
เช่นเดียวกับกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ผลักดันนโยบายจำนำข้าว กระทั่งฝ่ายตรงกันข้ามหยิบยกขึ้นมาเพื่อปลดนายกฯ และผลักให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นจากสนามการเมือง
หากแต่เมื่อการเมืองผ่านวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคณะนายทหารเข้ายึดอำนาจโดยอ้างว่า ต้องการยับยั้งความขัดแย้ง และผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่การปฏิรูปการเมืองไทยน่าจะถึงเวลาเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนจากความขัดแย้งกลับคืนสู่ความปรองดอง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์หลังจากวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ยังชี้่แนวโน้มการเมืองไทยไม่ชัดว่า จะก้าวข้ามความขัดแย้ง แล้วนำไปสู่การเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้หรือไม่
ความเคลื่อนไหวเรื่องถอดถอน นายสมศักดิ์ นายนิคม และถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงเป็นมาตรวัดแรกของปี 2558 ที่พอจะสัมผัสได้ และเท่าที่สดับฟังรอบทิศ พบว่ากระแสการโหวตถอดถอนอดีตประธาน และอดีตนายกรัฐมนตรี นั้นแผ่วลง
ประการแรก แผ่วลงเพราะเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การถอดถอนยังไม่เพียงพอ เนื่องจากทั้ง นายสมศักดิ์ นายนิคม และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในรัฐธรรมนูญปี 2550 แต่บัดนี้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวไม่มีแล้ว ขณะเดียวกันทั้ง นายสมศักดิ์ นายนิคม และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มิได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว จึงมีปัญหาว่าจะยังถอดถอนได้อีกหรือไม่
ประการที่สอง แผ่วลงเพราะคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. มีภารกิจที่ใช้เป็นเหตุผลในการยึดอำนาจ คือ การสร้างสันติสุขให้กลับคืนสู่ประเทศไทย
ภารกิจดังกล่าวจะทำสำเร็จก็ต่อเมื่อระงับข้อพิพาทที่สมควรระงับ ส่วนข้อพิพาทใดที่ไม่อาจระงับ ต้องส่งองค์กรที่ได้รับความเชื่อถือเช่นศาลเป็นผู้ตัดสิน และ คสช.หรือองค์กรที่ คสช.ตั้งขึ้นไม่ควรเพิ่มข้อพิพาทใดให้เกิดเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งในอนาคต
กรณีถอดถอนทั้ง 2 อดีตประธาน และถอดถอนอดีตนายกรัฐมนตรี จึงสมควรจะอยู่ในข้อพิพาทที่สมควรระงับ
ส่วนกรณีที่เกี่ยวกับข้อกล่าวหาการทุจริต น่าจะส่งกระบวนการยุติธรรม เพื่อพิจารณา ซึ่งขณะนี้มีคดีจำนำข้าวที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม
และมีคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวกรณี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวกถูกกล่าวหาค้างคาอยู่ที่ ป.ป.ช. ซึ่งหากมีผลสรุปประการใด ทุกอย่างจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมที่ไม่ได้แต่งตั้งขึ้นโดย คสช.
ประการที่สาม แผ่วลงเพราะเริ่มมีผู้ปลุกกระแสปรองดองขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยก้าวหน้าไม่แพ้ใครในเวทีโลก
กระแสดังกล่าวเริ่มดังมาจากแม่น้ำ 5 สาย ไม่ว่าจะเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. รวมไปถึงคณะรัฐมนตรี และ คสช. โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ เองด้วย
ประการที่สี่ แผ่วลงเพราะมี สนช.จำนวนหนึ่งรู้สึกต่อคำถาม "ส.ส.มาจากการเลือกตั้ง แก้ไขรัฐธรรมนูญผิด สนช.มาจากการฉีกรัฐธรรมนูญ ทำไมถึงไม่ผิด"
คำถามดังกล่าวสะกิดให้ฉุกคิดว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญผิดหรือ? การนำนโยบายของรัฐบาลไปทำตามที่หาเสียงไว้กับประชาชนผิดหรือ?
ด้วยเหตุทั้ง 4 ประการจึงทำให้เกิดการคาดหมายว่า นายสมศักดิ์ นายนิคม และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะรอดพ้นจากการถอดถอนในครั้งนี้
หากเป็นเช่นคาดการณ์ แสดงว่าการเมืองกำลังปรับตัวไปในทางบวก คือพึ่งพิงกระบวนการปกติที่ยังเหลืออยู่คือศาลสถิตยุติธรรมได้
แต่หากองค์กรที่เกิดจากกระบวนการไม่ปกติ ใช้อำนาจลงโทษทางการเมือง แสดงว่าการเมืองยังอยู่ในวนเวียนอยู่ที่เดิม
เวียนวนอยู่ที่การล้างบาง !...
วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 15:09 น. ข่าวสดออนไลน์
จับตาถอดถอน ชี้ชะตาประเทศ
รายงานพิเศษ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด