ยอดพล เทพสิทธา, รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล, ธนพร ศรียากูล
|
มติชนออนไลน์ : หมายเหตุ - พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในวันคล้ายวันสถาปนาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ครบรอบ 60 ปี โดย พล.อ.เปรมขอตั้งหัวข้อพูดเองว่า "เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน" เนื้อหาส่วนใหญ่กล่าวถึงการโกงชาติเป็นเรื่องที่เกลียดที่สุด เป็นภาระของคนไทยต้องช่วยกันดูแล หากคนโกงไม่ว่าจะใหญ่โตแค่ไหน ไม่ต้องไปไหว้ ไม่ต้องไปแสดงความเคารพนับถือ และยังกล่าวถึงขั้นตอนการดำเนินคดีในคดีทุจริตที่ใช้เวลานาน จึงเสนอให้ตั้งศาลฉ้อราษฎร์บังหลวงขึ้นแทนเพื่อลดขั้นตอนและเวลา ต้องดำเนินการในลักษณะหลักนิยมของทหารม้า คือ "รวดเร็ว เด็ดขาด" ต่อไปนี้เป็นความเห็นของนักวิชาการ นักการเมือง ต่อแนวคิดของ พล.อ.เปรม มีดังนี้ ยอดพล เทพสิทธา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร การที่ พล.อ.เปรมเสนอศาลฉ้อราษฎร์บังหลวง ต้องถามว่าต่างจากศาลยุติธรรมตรงไหน สุดท้ายแล้วเราก็ใช้องค์กรตุลาการในการวินิจฉัยคดีอยู่ดี มองว่าไม่มีความจำเป็นต้องสร้างขึ้นมา ตอนนี้กลายเป็นว่าเราต้องการเอาคนดีมาตัดสินทุกอย่างโดยที่เราไม่เชื่อในระบบ จริงๆ เรามีระบบอยู่แล้ว เรามีองค์กรตุลาการอยู่แล้วในการวินิจฉัยข้อพิพาท ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาททางปกครอง ข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญ ข้อพิพาททางแพ่งและทางอาญา ความผิดฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอยู่แล้ว ต้องแยกกันระหว่างศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นคดีการเมืองเกี่ยวกับการทุจริตในหน้าที่ กลับกันในประมวลกฎหมายอาญาก็มีเกี่ยวกับความผิดตามอำนาจหน้าที่ราชการ ฉะนั้นไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตั้งศาลฉ้อราษฎร์บังหลวงขึ้นมา ถ้าเราดูไทม์ไลน์ของ พล.อ.เปรม ที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา พูดเรื่องของคนดีแท้ๆ เลย ก่อนหน้านี้ก็จะบอกว่าถ้าเจอคนไม่ดีหรือคนโกงก็ไม่ต้องยกมือไหว้ วันนี้มาเสนอเรื่องศาลฉ้อราษฎร์บังหลวง ก็ยังไม่เข้าใจความคิดแท้ๆ ว่าจะตั้งขึ้นมาให้เปลืองงบประมาณแผ่นดินทำไม แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร จะเอาใครมาเป็นตุลาการในองค์กรนี้อีก ขึ้นชื่อว่าศาลฉ้อราษฎร์บังหลวง นั่นหมายความว่า คนที่มาเป็นตุลาการจะต้องปราศจากมลทินใดๆ ทั้งสิ้น เราไม่รู้ เราไม่มีกระบวนการคัดเลือกคนที่ปราศจากมลทิน เราตอบไม่ได้เลย เพราะว่ากระบวนการบางอย่างที่อยู่ในประมวลกฎหมายของเรา ความผิดบางประเภทเรายกเว้นให้รับราชการได้ เช่น ความผิดฐานลหุโทษ ความผิดโดยประมาท กลายเป็นว่ามาอย่างนี้ เราหาคนที่จะมาเป็นตุลาการก็ยากแล้ว แต่จะหาคนที่บริสุทธิ์อีกยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ไม่จำเป็นว่าจะเป็นหลักนิยมของทหารเหล่าไหนที่ว่ารวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด ถ้าเราอยู่ภายใต้หลักนิติรัฐทุกอย่างมีกลไกการตรวจสอบอำนาจรัฐ มองว่าหลักนิยมของทหารนั้นเป็นหลักที่ทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุดแล้วในประเทศ เพราะว่าหลักนิยมของทหาร พูดตรงๆ ว่าเราไม่เคยตรวจสอบการเงินของทหารเลย เพราะฉะนั้นเราไม่ควรนำหลักนิยมของทหารมาจับกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ขอแค่เรายึดหลักนิติรัฐก็พอ ในต่างประเทศไม่มีศาลคอร์รัปชั่น ที่น่าจะใกล้เคียงที่สุดคือศาลฎีกาชั้นสูงของฝรั่งเศส แต่จะเป็นกรณีที่ประธานาธิบดีทรยศต่อชาติ เช่น เอาความลับของชาติไปขายอย่างนี้เป็นต้น แต่ไม่ใช่เรื่องของการทุจริตคอร์รัปชั่น คนละเรื่องกัน สุดท้ายแล้วศาลชั้นสูงนี้ก็เป็นศาลการเมืองอยู่ดี สุดท้ายการทุจริตคอร์รัปชั่นในภาคการเมืองก็ต้องถูกควบคุมโดยองค์กรทางการเมือง ไม่ได้ถูกควบคุมโดยองค์กรตุลาการ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นและต้องการให้ถูกลงโทษก็ไปศาลยุติธรรมตามปกติ ก็มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาอยู่แล้ว ส่วนในกระบวนการทางการเมืองก็มีกระบวนการถอดถอนนักการเมืองอยู่แล้ว ในความคิดคือไม่มีความจำเป็น รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การออกมาเสนอเรื่องตั้งศาลฉ้อราษฎร์บังหลวง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะกระแสทางการเมืองในปัจจุบันที่พยายามพุ่งเป้าไปในแง่ของการจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชั่น เรื่องความผิดฐานทุจริตคอร์รัปชั่นมีกฎหมายอาญา มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการอยู่แล้ว ผมจึงไม่เข้าใจว่าจะเสนอศาลปราบโกงขึ้นมาเพื่ออะไร ถ้าจะตั้งศาลฉ้อราษฎร์บังหลวง พล.อ.เปรมต้องชี้ให้ชัดว่าปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันมันอยู่ตรงไหน กฎหมายที่มีอยู่มีช่องโหว่ยังไง อย่างข้อเสนอที่บอกว่าให้ตัดสินอย่างรวดเร็ว ผมคิดว่าในแง่หนึ่งสิ่งที่กระบวนการกฎหมายต้องใช้เวลาในแง่หนึ่งต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง แสดงหลักฐาน หรือโต้แย้งคำกล่าวหาอย่างเต็มที่ เป็นระบบกฎหมาย เป็นเรื่องกฎหมายใหม่ในประเทศที่มีอารยะทั้งหลาย ให้ความสำคัญกับผู้ถูกกล่าวหาเป็นเรื่องต้องใส่ใจ ดังนั้น การจะตั้งศาลฉ้อราษฎร์บังหลวงขึ้น ผมคิดว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากข้อเสนอยังไม่ชัดว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ถ้าถามผม ผมมองว่าปัญหาในบ้านเรามีกระบวนการในการจัดการกับเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยที่ยังไม่มีความสม่ำเสมอเพียงพอ หมายความว่าคนทุกกลุ่มไม่ได้ถูกบังคับใช้เรื่องนี้อย่างเท่าเทียม เราพบว่าข้อกล่าวหาในการทุจริตหลายเรื่องจบลงง่ายๆ เช่น ข้อกล่าวหาทุจริตที่ดินเขายายเที่ยง หรือเรื่องเครื่องมือตรวจสอบระเบิดของทางกองทัพ เป็นต้น ทั้งหมดเงียบหายจนคิดว่ามีปัญหากับกระบวนการจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชั่นหรือไม่ โดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ผมมองว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหากับสังคมไทย แต่ควรจัดการกับปัญหาด้วยประชาธิปไตยและกระบวนการทางกฎหมายที่ยุติธรรม ไม่ใช่การใช้อำนาจพิเศษเข้ามาจัดการ เพราะฉะนั้นวิธีการแบบรวดเร็ว ไม่โปร่งใส ไม่ทำให้การคอร์รัปชั่นหายไป หากตั้งศาลขึ้นมาจริงๆ ในแง่ของศาลคือมีหน้าที่ตัดสิน ยังไงก็ต้องมีคนดำเนินการก่อนหน้าในการสืบสวน สอบสวน สั่งฟ้อง ปัจจุบันเป็นหน้าที่ ป.ป.ช.ยังไงก็ไม่ต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเท่าไหร่ สิ่งที่ควรทำน่าจะเป็นการปรับปรุง ป.ป.ช.ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในระยะยาวมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศส่วนใหญ่ไม่มีศาลปราบโกงอะไร จะใช้ ป.ป.ช.แบบบ้านเรา แต่เขามีกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำให้กระบวนการยุติธรรมทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ธนพร ศรียากูล หัวหน้าพรรคคนธรรมดา กรณีที่ พล.อ.เปรมมีดำริเรื่องศาลปราบคนโกง ซึ่งเคยพูดในลักษณะใกล้เคียงกันมาหลายครั้งตั้งแต่ช่วงปี 2549 แท้จริงแล้วกลไกเรื่องการดำเนินการกับการทุจริตคอร์รัปชั่นอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2540 นั่นคือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อีกทั้งในรัฐธรรมนูญฉบับนั้นได้แยกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ หรือ ป.ป.ป. แต่เดิมเป็นหน่วยงานสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และตั้งอยู่ในสมัยรัฐบาลของ พล.อ.เปรมเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน โดยรัฐธรรมนูญ 2540 ได้แยกออกมาเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นองค์กรอิสระมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนตัวมองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่จะมีศาลปราบโกงหรือไม่ เพราะศาลปราบโกงมีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 ภาคประชาชนไม่ใช่ไม่คิดแต่ได้คิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ 18 ปีที่แล้ว จึงต้องดูว่าปัญหาของการทุจริตคอร์รัปชั่นขึ้นอยู่กับประเด็นอะไร มันคงไม่ใช่ตัวศาล แต่อยู่ที่ปัจจัยในเชิงโครงสร้างอย่างอื่น ประเด็นที่หนึ่ง กลไกของ ป.ป.ช.มีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ เช่น การถูกตั้งข้อสังเกตในการดำเนินในหลายเรื่อง เรื่องที่เห็นโดยทั่วไปก็มีมาก เรื่องที่ไม่เห็นแต่มีการติฉินนินทาในทางลับว่ามีการรู้เห็นเป็นใจกับผู้ถูกกล่าวหาก็มีในเรื่อง จึงคิดว่าประเด็นในวันนี้เราควรจะมาตั้งโจทย์ในการปฏิรูป ป.ป.ช.เป็นเรื่องที่ดีกว่า การปฏิรูป ป.ป.ช.จะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เป็นการปฏิรูปตัวเอง แต่การปฏิรูป ป.ป.ช.จะเกิดขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไขเดียวเท่านั้น คือ ประชาชนเท่านั้นจะต้องเป็นผู้ปฏิรูป การให้ ป.ป.ช.มาเป็นผู้ปฏิรูปตัวเองเป็นเรื่องยาก เพราะไม่มีใครคิดที่จะบอกว่าองค์กรของตัวเองบกพร่อง ประเด็นที่สอง การขยายตัวของ ป.ป.ช. ไปเป็น ป.ป.ช.จังหวัดยิ่งเป็นการทำให้หน่วยงาน ป.ป.ช.นั้นเทอะทะ และเป็นการขยายตัวของ ป.ป.ช. ที่ไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องประสิทธิภาพได้เลย ยังคิดว่ากระบวนการในการตรวจสอบของภาคประชาชนในเรื่องการทุจริตก็มีความสำคัญ การออกแบบตรงนี้เองในรัฐธรรมนูญที่กำลังร่างกันอยู่นั้นเรายังไม่เห็น รวมไปถึงเครือข่ายต่อต้านการโกงทั้งหลายเองก็ต้องมีการปัดกวาดบ้านของตัวเองด้วย ภาระเรื่องการไม่เอาการทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ใช่ภาระของศาลเพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วเป็นภาระของทุกคนที่อยู่ในประเทศแห่งนี้ สิ่งที่ พล.อ.เปรมพูดจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ประชาชนคิดกันมา 18 ปีแล้ว เราต้องมาจัดระบบโครงสร้างของการทำงานให้ยึดโยงกับประชาชน ให้ประชาชนเข้ามาเป็นผู้สอดส่องจะได้ผลมากกว่า |
วันที่ 04 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
ปัญหา ขัดแย้ง ในแวดวง สาธารณสุข ปัญหา การเมือง
การปะทะกันในทาง “ความคิด” และในทาง “แนวทาง” ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ
มีความแหลมคมเป็นอย่างมาก
แหลมคมตั้งแต่เริ่มดำเนินนโยบาย “30 บาท รักษาทุกโรค” ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 โดยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเป็นต้นมา
ต้องยอมรับว่า “อาวุธ” ที่ใช้ในการต่อสู้ “น่าเกรงขาม”
ความน่าเกรงขามอยู่ตรงที่ไม่ว่าผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ไม่ว่าฝ่ายของสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติไม่ได้ดำรงอยู่อย่างเอกเทศและโดดเดี่ยว
ตรงกันข้าม มี “มวลชน” มี “องค์กร” มวลชนรองรับ
กระทรวงสาธารณสุขมีโรงพยาบาลในสังกัดเป็นจำนวนมาก สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติอาจมีเพียง “แพทย์ชนบท” เป็นพันธมิตร
แต่ก็มิอาจมองข้าม “เครือข่าย” ผู้ป่วยจำนวนมหาศาล
.........................................
ท่วงทำนองในการแก้ไขปัญหาโดย นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปี่ยมด้วยความอดทน อดกลั้นอย่างรอคอย
ไม่พยายามใช้ “อำนาจ”
แม้ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงต่อ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวง ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
แต่ก็เสมอเพียง “เงื้อง่า” ยังไม่ถึงกับ “ลงดาบ”
ทางหนึ่ง ก็อาศัยบริการในทางวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะ นายอัมมาร สยามวาลา ขณะเดียวกัน ทางหนึ่ง ก็พยายามอาศัยเวทีประชุม เวทีสัมมนา เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมระหว่างคู่ขัดแย้ง 2 ฝ่าย
วัยรุ่น “ใจร้อน” ทั้งหลายอาจ “หงุดหงิด”
..............................................
มีความจำเป็นที่ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน จะต้องใช้มาตรการ “ทางการเมือง” มากกว่าจะใช้มาตรการ “ทางการทหาร”
เพราะ 2 ฝ่ายล้วนเป็น “มิตรร่วมรบ”
บรรดา “แพทย์ชนบท” และ “ปลัดกระทรวง” ล้วนเคยออกอาวุธในการบ่อนเซาะและเบียดโค่นรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาแล้ว
รูปธรรมก็คือ “นกหวีดทองคำ”
ยิ่งกว่านั้น นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน ก็เคยเคลื่อนไหวในนาม “กลุ่มอธิการบดี” ในการร่วมดำเนินมาตรการ “ชัตดาวน์” กทม.กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
จึงต้องผ่อนปรน จึงต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย
..............................................
น่าสนใจก็ตรงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เข้ามาทำอะไรแม้จะเป็น “นายกรัฐมนตรี” ก็ตาม
นั่นหมายความ 1 ว่าไว้วางใจ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน ในฐานะรัฐมนตรี นั่นหมายความ 1 ว่าไว้วางใจ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ในฐานะปลัดกระทรวง
ให้ 2 คนตกลงก่อนที่ “ชาวบ้าน” จะเดือดร้อน
วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
สัมพันธ์ การเมือง สัมพันธ์ ไทย กับ สหรัฐ มองอย่าง'เข้าใจ'
ปฏิกิริยาและความไม่พอใจต่อสหรัฐ ต่อปาฐกถาของ นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้
แต่ก็ยังสร้างความแปลกใจ
ไม่ว่าจะมาจาก นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ว่าจะมาจาก นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
เข้าใจได้เพราะกระทบต่อรัฐบาลไทย
จำเป็นอยู่เองที่ นายดอน ปรมัตถ์วินัย ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศต้องออกมาชี้แจงความเป็นจริงในด้านของประเทศไทย
เข้าใจได้เพราะที่สหรัฐแตะเป็นเรื่อง “ถอดถอน”
จำเป็นอยู่เองที่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ในฐานะประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งดำเนินการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องออกมาชี้แจงและทำความเข้าใจ
กระนั้น ความแปลกใจต่อ “สภาพ” ก็ยังดำรงอยู่
.............
ความแปลกใจในที่นี้มิได้เป็นเรื่องใน “ทางลบ” ตรงกันข้าม เป็นความแปลกใจเมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างไทยกับสหรัฐ
เป็นความสัมพันธ์นับเป็นร้อยปี
ทั้งยังเป็นความสัมพันธ์อันไม่ธรรมดา เพราะในต้นทศวรรษ 2490 ไทยกับสหรัฐยังเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในสงครามเกาหลี
และตลอดทศวรรษ 2500 ก็รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในอินโดจีน
ไม่เพียงแต่เท่านั้นด้วยสนธิสัญญาถนัด-รัสก์ ยังทำให้สหรัฐสามารถส่งทหารเข้ามาในไทยตั้งแต่ยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และปักหลักตั้งฐานทัพในหลายจังหวัดของประเทศไทยในยุคของจอมพลถนอม กิตติขจร
แนบแน่นถึงระดับนี้ยังมีเรื่องต้องหมองหมางกันจนได้
..............
หากมองจากด้านของสหรัฐก็คงรู้สึกแปลกใจว่าทำไม “ปฏิกิริยา” อันมาจากชนชั้นนำของไทยจึงดุเดือดและร้อนแรงถึงระดับนี้
ขณะเดียวกัน หากมองจากด้านของไทยก็เช่นเดียวกัน
นั่นก็ คือ คนที่ยืนแถวหน้าในการแสดงความหงุดหงิดต่อท่าทีของรัฐบาลสหรัฐ ก็คงจะแปลกใจว่าอะไรทำให้สหรัฐเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก
ตรงนี้แหละที่นักปรัชญาเขาระบุว่า “แล้วแต่มุมมอง”
เหตุปัจจัยอันใดที่ทำให้ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ซึ่งเคยจับมือกันมั่นบนพื้นฐานแห่งคำว่า “มหามิตร” ต้องมีอันแปรเปลี่ยน
กลับกลายเป็นแทบพูดกันคนละภาษา พูดกันไม่รู้เรื่อง
................
กรณีขัดแย้งในทางความคิดระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐจะดำรงอยู่อีกยาวนานพอสมควร
จึงได้แต่หวังว่า ในห้วงเวลาแห่งความขัดแย้งนี้แต่ละฝ่ายจะได้ย้อนกลับไปทบทวนและประมวลปัญหาออกมาตามความเป็นจริงอย่างเที่ยงตรง
เพื่อค้นหา “รากเหง้า” ค้นหา “ต้นตอ” ออกมาให้จงได้
................
วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 17:08 น. ข่าวสดออนไลน์
เอพีวิเคราะห์สัมพันธ์ไทย - สหรัฐ ถึงอย่างไรก็ตัดทิ้งไม่ได้
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. สำนักข่าวเอพีของสหรัฐอเมริกา รายงานถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ภายหลังนายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรมว.ต่างประเทศสหรัฐ เดินทางเยือนไทยและกล่าวแสดงท่าทีของรัฐบาลสหรัฐต่อสภาพการณ์ทางการเมืองไทยอย่างชัดเจน รวมถึงเรียกร้องให้ไทยยกเลิกกฎอัยการศึก ว่าทำให้ทางการไทยและเหล่าสมาชิกสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตอบโต้อย่างไม่พอใจ
เอพีระบุว่า หลังสหรัฐทุ่มเทไปกับศึกอัฟกานิสถานและศึกอิรักนานนับสิบปี จนจีนขยายอิทธิพลในเอเชีย รัฐบาลสหรัฐจึงยังคงสถานะให้ไทยเป็นพันธมิตรที่มั่นคงและทิ้งไปไม่ได้ แม้ว่าสหรัฐต้องระงับเงินช่วยเหลือทางการทหารมูลค่า 4.7 ล้านดอลลาร์ไว้หลังไทยเกิดรัฐประหาร แต่การฝึกคอบร้าโกลด์ในไทยยังต้องมีอยู่ แม้ลดขนาดลงโดยไม่มีการซ้อมรบจริง และในทางเศรษฐกิจ มูลค่าทางการค้าระหว่างสองประเทศที่มากกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ในช่วงไม่กี่ปีมานี้
นายดัก พอล ผู้อำนวยการกิจการเอเชีย ประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ถึงอย่างไรไทยก็เป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐในเอเชีย สหรัฐมีอนาคตต่อไทยในทางประวัติศาสตร์และศักยภาพที่ต้องพึ่งพาการเข้าถึงปฏิบัติการทางทหารในหลายเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นฉับพลัน รวมถึงมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นทางเศรษฐกิจและการเมือง ปัจจัยใหม่ที่มีผลต่อความสัมพัธ์คืออิทธิพลของจีน
นายพอล กล่าวต่อว่า ไทยอยู่ในจุดศูนย์กลางของอาเซียนทั้งด้านภูมิศาสตร์และเหตุการณ์ต่างๆ ในขณะที่จีนมีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้น ทิศทางของอาเซียนในฐานะเป็นองค์การรวมของประเทศที่เป็นมิตรจึงจะอยู่ในภาวะเสี่ยง
รายงานตอนท้ายระบุว่า ไทยขยับเข้าไปใกล้ชิดจีนมากขึ้น โดยเฉพาะในยุครัฐบาลนี้ ที่มีการเดินทางเยือนและทำสัญญาก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ส่วนมูลค่าเศรษฐกิจสองชาติอยู่ที่ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ผู้นำไทยกับสหรัฐพบกันในการประชุมร่วมเวทีภูมิภาคเท่านั้น และการเยือนของนายรัสเซลที่มากล่าวสปีชนั้น ทำให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยนำไปแสดงความเห็นนั้นทำให้อย่างน้อย 4 คนถูกเรียกตัวไปปรับทัศนคติ
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
สัญญาณ การเมือง สัญญาณ จาก รัฐธรรมนูญ ให้กับ'เพื่อไทย'
การออกมายืนยันจาก นายไพจิต ศรีวรขาน จาก นายสมคิด เชื้อคง ว่า ยังไม่ปรากฏอดีตส.ส.หรือสมาชิกพรรค “ถอน” ตัวจากพรรคเพื่อไทย
อาจดู 'ขึงขัง' อาจสร้าง “ความมั่นใจ”
แต่ระยะเวลาของการแถลงถือได้ว่า เร็วเกินไป ที่ผลสะเทือนจากยุทธการ 'ถอดถอน'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะแสดงออก
เพราะยังมี 'คดีความ'ใน 'ศาลฎีกา'
เพราะยังมี'คดีความ'ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำลังพิจารณารายละเอียดในเรื่องอันเกี่ยวกับ “ทัวร์นกขมิ้น”
และยังมี 'คดีความ'เกี่ยวกับ 38 ส.ว.และ 200 กว่าอดีตส.ส.ค้างคาอยู่
2 รายทางของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงมากด้วยอุปสรรค 2 รายทางของพรรคเพื่อไทยจึงมากด้วยขวากหนาม
ต้องติดตามต่อไปด้วยความระทึกในดวงใจ
...................
ยุทธการคิดบัญชีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุทธการคิดบัญชีกับพรรคเพื่อไทย ต้องถือว่าเป็นเรื่องประเภทนวนิยาย เป็นเรื่องยาว มิใช่เรื่องสั้นตอนเดียวจบ
เมื่อเป็นนวนิยายก็อาจจะ 50 ตอนหรือ 100 ตอน
การออกมายืนยันโดย นายไพจิต ศรีวรขาน การออกมายืนยันโดย นายสมคิด เชื้อคง จึงแทบไม่มีความหมาย
เพราะกระบวนการยังเหลืออีก “ยาว”
ที่ควรจับตาติดตามจึงมิใช่จาก นายไพจิต ศรีวรขาน หรือ นายสมคิด เชื้อคง หากแต่น่าจะเป็นระดับ นายภูมิธรรม เวชยชัย หากแต่น่าจะเป็นระดับ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล หรือแม้กระทั่ง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ด้วยซ้ำไป
ที่ว่าเด็ด “ดอกไม้” สะเทือน “ดวงดาว” นั้นเป็นจริง
.................
การแยกเอาคนของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ไปเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการรัฐประหารมิใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น
ดูอย่าง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นตัวอย่าง
ดูอย่าง นายสุวิทย์ คุณกิตติ ดูอย่าง นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ก็เคยมีบทบาทในการก่อตั้งพรรคเพื่อแผ่นดินมาแล้ว มิใช่หรือ
ยัง นายเนวิน ชิดชอบ แห่งพรรคภูมิใจไทยเล่า
การถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสมอเป็นเพียงยกที่ 1 ยังเหลืออีกหลายยกที่จะติดตามมา จึงยากเป็นอย่างยิ่งที่จะคาดหมายสถานการณ์ได้อย่างครบถ้วน
ต้องรอคอย อย่างแทบไม่กะพริบตา
..............
หมุดหมาย 1 ซึ่งน่าจะเป็นเหมือนเครื่องบอกระยะเวลา คือ เวลาของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เนื้อหาภายในแต่ละมาตราของรัฐธรรมนูญนั่นแหละคือ สัญญาณบ่งบอกว่ามีความพร้อมมากน้อยเพียงใด เพราะนั่นคือ กฎและกติกาอันจะนำไปสู่ “การเลือกตั้ง”
หากไม่มั่นใจ คงไม่ปรากฏในรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน
...................
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด