วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 00:05 น. ข่าวสดออนไลน์
ท่าที ของโลก ระบอบ ประชาธิปไตย ของ ประเทศไทย
หากไล่เรียงตั้งแต่ นายแดเนียล รัสเซล ตามมาด้วย นายดับเบิลยู.แพทริก เมอร์ฟี กระทั่ง นายชินโซ อาเบะ และปิดท้ายด้วย นายแบรด อดัมส์ แห่งเอเชีย ไรต์วอตช์
ก็ต้องมองว่ามาเป็น “ระบบ” มาเป็น “ขบวน”
จำเป็นที่ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคสช. และ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรวมถึง นายเสข วรรณเมธี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
ต้อง “ออกโรง” ตอบโต้อย่างเป็นระบบเป็นขบวน
ประสานกับการปรากฏขึ้นของรายงานจาก “แหล่งข่าว” ว่า อาจจำเป็นต้องเชิญตัวผู้แทนขององค์การสิทธิมนุษยชนบางองค์กรเข้ามาหารือกับคสช.
ทำนองว่าเป็นการ “ปรับทัศนคติ”
สะท้อนให้เห็นว่า กระแสบีบรัดในทาง “สากล” ดำเนินไปแทบจะเข้าข่ายยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศไทย” ไปแล้วโดยอัตโนมัติ
ไหนว่า “นานาชาติ” ล้วนแต่ “เห็นด้วย” กับประเทศไทย
...............
แม้กระแสเสียงอันมาจาก นายแดเนียล รัสเซล รวมถึง นายดับเบิลยู.แพทริก เมอร์ฟี จะถูกตีความและประเมินว่าเป็นการแทรกแซง ก้าวก่ายกิจการภายในของไทย
เพราะเรียกร้องให้คืน “ประชาธิปไตย” โดยเร็ว
แต่พลันที่ นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ก็กำหนดเงื่อนไขอย่างเดียวกันนี้เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปเยือนญี่ปุ่น
ก็ทำให้บังเกิดอาการละล้าละลังในทาง “ความคิด” ขึ้น
ยิ่งคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะเอกอัครราชทูตของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ตอกเข้ามาอีกดอกหนึ่ง ยิ่งทำให้น้ำเสียงของสหรัฐของญี่ปุ่นดูจะเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
เพราะเรียกร้องให้คืน “ประชาธิปไตย” เช่นเดียวกัน
...................
บทสรุปอันมาจาก นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่อกรณีของสหภาพยุโรปที่ว่า
“อาจจะยังไม่เข้าใจในสถานการณ์ประเทศเรา”
ฟังดูดี แต่หากคำนึงถึงสถานะของ นายแดเนียล รัสเซล คือ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก
และแถลงการณ์ของ “อียู” ได้รับความเห็นชอบจาก “เอกอัครราชทูต” ในประเทศไทย
ก็ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในประเทศไทยนับแต่ก่อนและหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา แทบไม่มีอะไรที่เป็น “ความลับ”
หากแจ่มชัดเหมือนร่างของ น.ส.ม่วน ยาจำปา เลยทีเดียว
.............
ความเป็นจริงอันเห็นและเป็นอยู่จากท่าทีของสหรัฐ ของญี่ปุ่นและของสหภาพยุโรป ตรงไปตรงมา
ตรงไปตรงมา 1 คือ ต้องการให้คืนระบอบประชาธิปไตยให้ประชาชนโดยเร็ว 1 คือ ต้องการเห็นการเลือกตั้ง ต้องการเห็นรัฐบาล “พลเรือน”
ความเป็นจริงนี้เริ่มกระหึ่มและถี่ยิบเป็นพิเศษ
.......................
เล่นตามกติกา
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 บทนำมติชน
กลุ่มการเมือง พรรคการเมือง รวมถึงนักวิชาการ แสดงความเห็น ต่อเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เสนอแนวคิดแก้ปัญหาความขัดแย้งมิให้เกิดขึ้นอีก ควบคู่การปฏิรูปประเทศที่ดำเนินการอยู่เวลานี้ ก่อนการเลือกตั้งทั่วไป ให้ฝ่ายต่างๆ มาทำสัญญาว่า จะไม่มีการประท้วง และมีความรุนแรงเกิดขึ้นมาอีก เว้นแต่การใช้เสรีภาพชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตยโดยสงบ ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ต่อเรื่องนี้นางธิดา ถาวรเศรษฐ ที่ปรึกษา นปช.มองว่า นายกฯคงไม่ตั้งใจพูด หรือคิดดำเนินการจริงจัง แต่เป็นลักษณะคล้ายเปรียบเทียบมากกว่า ตรงกันข้าม หากทำให้เกิดความยุติธรรมในบ้านเมืองขึ้นได้ ไม่จำเป็นต้องลงนามสงบศึก ความขัดแย้งแก้ได้ด้วยนิติรัฐ นิติธรรม
พรรคการเมืองคู่แข่ง 2 พรรคหลัก เห็นตรงกัน นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ และนายสามารถ แก้วมีชัย จากพรรคเพื่อไทย มองว่า ไม่จำเป็นเซ็นสัญญาหย่าศึก ปัญหานี้แก้ได้ด้วย กระบวนการทางกฎหมาย ฝ่ายแรกระบุ ประเทศไทยจะเดินหน้าได้ ความผิดต้องว่ากันไปตามผิดตามกระบวนการกฎหมาย ถ้าคนผิดไม่ถูกกฎหมายบังคับใช้ ไม่ยอมรับผิด คงไม่สามารถคุยกันได้และบ้านเมืองคงเดินหน้าต่อไม่ได้ ขณะที่นายสามารถเห็นว่า ต้องแก้ให้เกิดความเป็นธรรมในการพิจารณาคดีก่อน และต้องไม่เลือกปฏิบัติ จะเห็นได้ว่าท่าทีทั้งสองพรรคนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงจากจุดเดิม ของการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมา กล่าวคือมองกระบวนการบังคับใช้กฎหมายต่างกัน
นายโคทม อารียา จากมหาวิทยาลัยมหิดล นักวิชาการที่สนับสนุนแนวทางเจรจา แก้ไขโดยสันติวิธีมาตลอด มีข้อเสนอเพิ่มเติมว่า การแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดนั้น ต้องเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ให้ได้ จากต่างฝ่ายต่างเอาชนะ เป็นการยอมรับที่จะเล่นตามกติกา แพ้ชนะตามกติกาการเมือง แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ก็จริง แต่นับว่าเสนอแก้ไขตรงจุด หากรัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง นำมายึดเป็นหลักปฏิบัติได้ ปัญหาบ้านเมืองที่ดำรงอยู่ขณะนี้ น่าจะคลี่คลายได้ไม่ยาก แท้ที่จริงแล้ว ทุกฝ่ายรู้ดีว่า อะไรคือปัญหาที่นำพาบ้านเมืองมาสะดุด หยุดอยู่ ณ จุดปัจจุบัน การปฏิรูปประเทศ การยกร่างรัฐธรรมนูญ กติกาการปกครองสูงสุดของประเทศขณะนี้ การร่างให้ออกมาดี เป็นที่ยอมรับของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ แต่มีกติกาเลอเลิศอย่างเดียวเท่านั้นไม่พอ หากผู้เล่นไม่เล่นตามกติกา ผู้มีหน้าที่กำกับกฎไม่ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาอย่างที่ผ่านมา ที่คาดหวังว่าการปฏิรูปจะแก้ปัญหาบ้านเมืองได้อาจล้มเหลว ไม่เป็นจริง หากต้องการให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ ทุกฝ่ายต้องกลับมาเคร่งครัด เล่นอยู่ในกรอบกติกา
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 12:04 น. ข่าวสดออนไลน์
ปู-เพื่อไทยไม่สำคัญ ปมร้อนอยู่ที่รัฐธรรมนูญ
ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น - ยอดพล เทพสิทธา
|
มติชนออนไลน์ :หมายเหตุ - เสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณีสำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรป (อียู) ประจำประเทศไทย และกลุ่มองค์กรสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์กังวลต่อการควบคุมตัวบุคคลโดยไม่มีการตรวจสอบจากองค์กรตุลาการ และใช้ศาลทหารพิจารณาคดีที่บุคคลเป็นพลเรือน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยจำกัดการใช้ศาลดังกล่าว ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น นักวิชาการอิสระ การใช้ศาลทหารกับประชาชน ผลกระทบแรกสุดคือ นโยบายนี้จริงๆ แล้วฝั่งรัฐบาลมองว่าเป็นเรื่องของความมั่นคง แต่ประเด็นคือศาลนี้ถูกตั้งมาเพื่อเหตุผลทางการเมืองมากกว่า เพราะคนที่ถูก คสช.จับมักจะถูกกล่าวหาในคดีเรื่องความมั่นคง จริงๆ แล้วไม่ใช่ เป็นเรื่องทางการเมือง อย่างศาลทหารที่ขยายเวลาควบคุมตัวเป็น 84 วัน ก็เป็นมาตรการทางการเมืองที่รัฐบาลพยายามทำให้คนต่อต้านน้อยลง เหมือนเป็นการข่มขู่ เขียนเสือให้วัวกลัว นโยบายนี้ถูกออกแบบมาด้วยเรื่องการเมืองมากกว่าเรื่องอื่น ฉะนั้นแล้ว คนที่โดนคดีเรื่องความมั่นคง แท้จริงแล้วคือเป็นเรื่องของการเมือง การใช้นโยบายตรงนี้จึงเป็นเรื่องมุ่งหวังทางการเมืองมากกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดที่ต้องเจอหนักๆ คือกรณีงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ทำให้รัฐบาลรู้สึกว่าเสถียรภาพของตัวรัฐบาลนั้นไม่มั่นคงแล้ว คือสะเทือนขนาดนั้นเลย เพราะจัดการนิสิตนักศึกษาไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะรัฐบาลเองก็ต้องรักษาเสถียรภาพทางการเมืองของตัวเองเอาไว้ ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงต้องทำทุกทางเพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นเรื่องศาลทหารก็จะเข้าข่ายกับสถานการณ์นี้ อย่างเรื่องชีวิตประจำวันของประชาชน ด้วยสถาณการณ์ตอนนี้ คนที่เชียร์รัฐบาลก็ไม่รู้สึกอะไร แต่คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลและวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด จะรู้สึกว่าตนถูกลิดรอนสิทธิ เพราะถ้าแสดงออกต้องขึ้นศาลทหาร แล้วอุทธรณ์ไม่ได้ จบเลย เพราะจะถูกจับโยนให้เป็นเรื่องความมั่นคงหมด คือประเทศไทยมองเรื่องความมั่นคงในอีกมิติหนึ่งที่ต้องเกี่ยวพันกับ 3 สถาบันหลัก หรือเสถียรภาพของรัฐบาลปัจจุบัน อะไรที่กระทบ รัฐบาลทหารก็จะมองว่ากระทบไปหมด จุดประสงค์การใช้ศาลทหารเป็นเหตุผลทางการเมืองภายในล้วนๆ กดคนต่อต้านเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ที่สุดแล้วสะท้อนว่าเสถียรภาพของรัฐบาลเริ่มสั่นคลอนแล้วจึงมีมาตรการแบบนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าเป็นมาตรการที่เข้มข้นขึ้น ยอดพล เทพสิทธา อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.นเรศวร ศาลทหารต่างจากศาลพลเรือน เพราะศาลทหารมีสองชั้นตามรัฐธรรมนูญ ใช้คนที่อยู่ในบังคับของทหาร ตามหลักแล้วไม่ใช้ศาลทหารกับพลเรือน ยกเว้นพลเรือนที่อยู่ในบังคับของทหาร วิธีพิจารณาคดีก็ต่างกัน กระบวนการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพต่างกัน แล้วโดยลักษณะทั่วไป ชื่อก็บอกแล้วว่าใช้กับทหาร แล้วทหารเขามีระเบียบกติกาของเขา ซึ่งในพลเรือนไม่มี ถ้าสังเกตการพิจารณาของศาลทหารจะไม่ให้ประกันตัว กล่าวคือมีกฎเกณฑ์แตกต่างกัน ศาลทหารโดยหลักคือมองความมั่นคงของกองทัพเป็นหลัก ที่เคยมีโฆษกกองทัพบอกว่า ศาลทหารให้หลักประกันความยุติธรรมไม่ต่างจากศาลพลเรือน จริงๆ คือไม่ใช่เลย กฎหมายที่ใช้ก็คนละฉบับ อย่างศาลทหารถ้าจะใช้คือมีอยู่กรณีเดียว นั่นคือเมื่อประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งเราประกาศโดยผิดกฎหมาย ไม่ได้มีสงคราม สิ่งที่น่าเป็นห่วงในกรณีนี้น่าจะเป็นห่วงเรื่องวิธีพิจารณาคดีมากกว่า ในระบบศาลที่เปิดเผยได้ มีการควบคุมเป็นลำดับขั้นตอน มีการตรวจสอบได้ของศาลทหาร นี่ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงก็ปิดได้แล้ว คือช่องทางในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนมันน้อยกว่า ที่แอมเนสตี้จี้ให้รัฐคืนสิทธิอุทธรณ์นั้น สุดท้ายสิทธิในการอุทธรณ์ก็เป็นสิทธิที่ถูกรับรองไว้ในระบบศาลทั่วไป ถึงอย่างไรก็ต้องมีและมีขอบเขตของมัน แต่ศาลทหารไม่ใช่ เขามองในเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก ถ้าเราตีความว่าสิ่งนี้เป็นความมั่นคงก็ไม่จำเป็นต้องมีการอุทธรณ์หรือฎีกา แล้วในศาลทหาร ผู้พิพากษาก็เป็นทหาร ไม่เคยทำคดีพลเรือน ไม่จำเป็นต้องมาคำนึงสิทธิประชาชน คิดแค่ความมั่นคงกับระเบียบวินัยก็พอ ส่วนตัวคิดว่าแม้จะมีกฎอัยการศึกก็ต้องมีการอุทธรณ์ สมมุติวันข้างหน้ามีม็อบ มีการประท้วง อยู่ๆ ทหารระดับกองพันประกาศกฎอัยการศึกขึ้นมา ใช้ศาลทหาร เอาใครก็ตามไปขึ้นศาลทหาร ห้ามอุทธรณ์ แล้วก็รวบรัดตัดสินเลย มันไม่ได้ ไม่มีกระบวนการคุ้มครองประชาชนเลย เหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่อุทธรณ์ไม่ได้ ร้ายสุดจริงๆ เลยคือตัดสินผิด ติดคุกฟรี ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน การบังคับใช้ศาลทหารกับพลเรือนยังไงก็ไม่เหมาะ เพราะขัดกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ศาลทหารใช้ในกรณีที่เกิดศึกสงคราม ต้องมีความจำเป็นฉุกเฉินเร่งด่วนและมีการใช้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว หลักทั่วไปของสากลโลกพลเรือนทั่วไปไม่ควรขึ้นศาลทหารอยู่แล้ว การที่พลเรือนจะถูกคุมตัว 84 วัน โดยไม่มีการไต่สวนก็ไม่เหมาะอยู่แล้ว แต่ทาง คสช.ก็ออกมาอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับพลเรือน ใช้เฉพาะกับทหารอย่างเดียว แต่อย่าลืมว่ามีการประกาศว่าให้คดีที่มีการขัดคำสั่งของ คสช.ต่างๆ ต้องขึ้นศาลทหาร รวมถึงคดีของพลเรือนด้วย เพียงแต่ไม่ได้เขียนคำว่าพลเรือนเท่านั้น เป็นการเลี่ยงบาลี เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ก็เข้าไปอยู่ในคดีของศาลทหาร การยกเลิกตามคำขอของอียูยังไงก็ต้องทำ เมื่อเราไปลงนามข้อผูกพันเอาไว้แล้ว เป็นพันธะกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม จริงอยู่ที่นานาประเทศจะลงโทษอะไรเราไม่ได้ แต่สิทธิประโยชน์ที่เราจะได้รับหรือการที่จะอยู่ในเวทีโลกจะถูกปฏิเสธ ประเด็นหลายๆ อย่างจะไม่ได้รับการรับฟัง และบางกลุ่มประเทศ เช่น อียู สหรัฐอเมริกา จะมีข้อจำกัดทางด้านกฎหมายที่ประเทศไหนไม่ปฏิบัติตามพันธะกรณีหรือเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน จะถูกตัดสิทธิไม่คบค้าสมาคมด้วย ทุนสนับสนุนก็จะไม่ได้รับ จะมีผลเยอะ คิดว่าตอนนี้ คสช.ก็ถูกบีบมาเยอะพอสมควร การที่ คสช.ทำแบบนี้ยิ่งนานวันแรงกดดันยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ จากพวกเดียวกันเอง เรื่องที่ว่าประชาชนไม่ค่อยมีสิทธิแสดงความเห็นมากเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เพราะ คสช.ประกาศกฎอัยการศึก แต่ว่าช่องทางที่จะแสดงออกมันมีเยอะ แล้วก็มีหลายหน่วยงานทั่วโลกที่คอยสอดส่องทางด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยอยู่ เช่น ฮิวแมนไรต์สวอตช์ แอมเนสตี้ เราต้องช่วยกันส่งเสียงเรียกร้องสิทธิของเรา การจะจับคนเป็นหมื่นเป็นแสนที่ออกมาเรียกร้องเป็นไปไม่ได้หรอก แล้ว คสช.ยิ่งอยู่นานๆ ยิ่งจะเกิดแรงต้านจากประชาชนมากขึ้นทุกวัน ตอนนี้ก็ต้องยอมอ่อนข้อบ้างแล้ว เรื่องการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวด้วยการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิทธิส่วนตัวขั้นพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ เพียงแต่ต้องอาศัยสถานการณ์ เช่น กรณีก่อการร้าย หรือเป็นกรณีไป ไม่ใช่การแทรกตัวเข้าไปโดยร่าง พ.ร.บ.ใหม่ผิดหลักสากล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คิดว่าองค์กรต่างประเทศอาจได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงกับวิธีพิจารณาความอาญา โดยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของศาลพลเรือนผู้ต้องหาที่ถูกศาลควบคุมตัว ศาลจะมีอำนาจควบคุมตัวได้ 84 วัน แบ่งเป็นผลัดละ 12 วัน รวมทั้งสิ้น 7 ผลัด ขณะที่ พ.ร.บ.ศาลทหารเป็นไปในแบบเดียวกันคือ ศาลมีอำนาจควบคุมตัวผลเรือนได้ 84 วัน แต่ที่จะแก้ไข คือที่ผ่านมาศาลมีอำนาจควบคุมตัวทหารได้ถึง 90 วัน จึงได้ปรับลดลงมาให้เหลือ 84 วัน เหมือนเช่นภาคผลเรือน สำหรับวัตถุประสงค์สำคัญคือ การควบคุมตัวทหารไม่ใช่พลเรือน ยกตัวอย่างเช่น ทหารเดินทางไปรบในต่างประเทศ แล้วมีการกระทำผิดกฎหมาย อาทิ ใช้อาวุธยิงกันจนเสียชีวิตในขณะที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่นั้น ไม่มีศาลทหารจึงให้อำนาจผู้บังคับบัญชาทหารสั่งควบคุมตัวทหารคนดังกล่าวไว้ก่อน และเมื่อกลับมาในพื้นที่ที่มีเขตศาลทหารก็ต้องนำตัวส่งเพื่อขออำนาจฝากขัง เรื่องดังกล่าวหากตรวจสอบจะพบว่าการเสนอร่างแก้ไขใหม่ ครั้งนี้เป็นการปรับให้มีมาตรฐานเดียวกับที่ปฏิบัติกับพลเรือน ส่วนกรณีแถลงการณ์ของอียูและแอมเนสตี้ที่ระบุว่ากระบวนการยุติธรรมของศาลทหารไม่เป็นสากล และเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกว่า การที่จะใช้ธรรมนูญศาลทหารนั้นใช้บังคับผู้ที่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร นายจตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทำผิดตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประกาศกฎอัยการศึก จึงอยู่ในอำนาจของศาลทหาร กรณีดังกล่าวไม่ใช่คดีการเมือง แต่ขณะนั้น คสช.ได้ประกาศให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายมารายงานตัว แต่นายจาตุรนต์ไม่ปฏิบัติคำสั่งดังกล่าว จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลทหารที่จะปฏิบัติกับนายจาตุรนต์ตามธรรมนูญศาลทหาร ยกตัวอย่างเช่น แกนนำเสื้อแดงอย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อมีประกาศให้มารายงานตัว ทั้ง 2 คนก็เข้ามารายงายตัว ถือว่าจบและไม่มีการขึ้นศาลทหาร ส่วนปัญหาคือ แอมเนสตี้มองถึงกระบวนการยุติธรรมของศาลทหารนั้น พื้นฐานของปัญหาในแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาอย่างประเทศอื่นได้ และอยากถามว่า ทำไมแอมเนสตี้เพิ่งมาเรียกร้องวันนี้ ทั้งที่ธรรมนูญศาลทหารตัวเดิมซึ่งเนื้อหาแบบเดียวกันกลับไม่ออกมาเรียกร้อง เพียงแต่วันนี้ประเทศไทยมีปัญหาจึงต้องมีการแก้กฎกติกาต่างๆ รัฐบาลและ คสช.พยายามสร้างบรรยากาศให้เอื้ออำนวยต่อการไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันอีก โดยเอาเหตุและปัจจัยทั้งหมดมาแก้ไข รัฐบาลเข้าใจดีว่าประเทศไทยต้องอยู่กับโลกอยู่กับประเทศต่างๆ มากมาย อยู่กับกฎกติกาของสังคม แต่ว่าต้องดูบริบทปัญหาในประเทศควบคู่กันด้วย เราเองไม่ได้พยายามทำอะไรให้ดูรุนแรง ที่ผ่านมาในกฎอัยการศึกเราไม่ได้ทำอะไรที่รุนแรงจนสังคมรับไม่ได้ และเราไม่ได้จะดึงดันทำให้เกิดการขยายประเด็นในการเห็นต่าง แต่ว่าต้องเข้าใจในบริบทของบ้านเรา จึงไม่สามารถตอบรับตามคำเรียกต้องต่างๆ ได้ฉับพลันทันที ทั้งนี้ เข้าใจในความประสงค์ที่ต้องการให้เข้าสู่ประชาธิปไตย ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง การที่อียูออกแถลงการณ์ในรัฐบาลไทยยกเลิกกฎอัยการศึก เป็นนโยบายของอียูในการแสดงความกังวลต่อประเทศที่ยังไม่ได้สู่กระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งจะสอดคล้องกับเรื่องภายในและการประชุมประจำปีของอียูเอง โดยจะมีการทบทวนและออกแถลงการณ์เรื่องประชาธิปไตยในทุกปีอยู่แล้ว ขณะเดียวกันการตั้งข้อสังเกตของกระบวนการศาลทหารของฮิวแมนไรต์สวอตช์ และแอมเนสตี้ ก็เป็นไปโดยปกติ เพราะถือเป็นงานของเขา โดยในช่วงต้นปีองค์กรเหล่านี้จะมีการเปิดเผยงานทำงานในภาพรวม วันนี้สำหรับรัฐบาลและ คสช. มองว่าคดีความต่างๆ ในการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ต้องมีกฎอัยการศึกควบคุมอยู่ และรัฐบาลต้องการให้กรณีเหล่านี้ถูกควบคุมด้วยการใช้กฎอัยการศึกเพื่อขับเคลื่อนประเทศ แต่เมื่อองค์กรต่างประเทศเหมารวมถึงกระบวนการยุติธรรมของไทย จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องชี้แจงทำความเข้าใจ อย่างไรก็ตาม การที่องค์กรต่างประเทศออกมาเรียกร้องนั้น เราไม่รู้สึกกดดัน เพราะเหมือนกับประเทศอื่นๆ ในหลายประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องภายในแต่ละประเทศ เพราะแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันไป ไทยจึงไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยว เนื่องจากการที่จะกดดันให้ประเทศต่างๆ เปลี่ยนแปลงกติกาภายในจะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกัน และแต่ละประเทศก็จะตัดสินใจเอง วันนี้รัฐบาลมองว่าการเห็นต่างแบบยั่วยุโดยการเผชิญหน้าจำเป็นต้องใช้กฎอัยการศึก ต่างประเทศอาจรับไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็ต้องมีการคุยกันว่าจะให้ทำอย่างไรในเรื่องไม่สามารถใช้กฎหมายปกติได้ |
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด