วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
ผลการเมือง จาก'รัฐธรรมนูญ'แห่ง ความกลัว
ยิ่งนานวัน ยิ่งมีความแจ่มชัดว่า รากฐานทาง'ความคิด'อันดำรงอยู่ในสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คืออะไร
ไม่ว่าจะมองผ่าน นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ
ไม่ว่าจะมองผ่านบุคคลที่มีบทบาทร่วมด้วยช่วยกันอย่าง นายสุจิต บุญบงการ อย่าง นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อย่าง พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช เป็นต้น
จุดร่วมในทางความคิด คือ ความกลัว
คล้ายกับความกลัวอันดำรงอยู่ในทางความคิด เป็น ความกลัวต่อความชั่วร้าย เลวทราม แต่กล่าวอย่างถึงที่สุด ความกลัวเหล่านั้นดำเนินไปอย่างมีลักษณะรวมศูนย์
รวมศูนย์ไปยัง “นักการเมือง”
ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองอย่างที่ปรากฏผ่านพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองอย่างที่ปรากฏผ่านการเป็นรัฐบาล
เป็นความกลัวอย่างชนิดสยดสยอง พองเกล้า
...................................................
รูปธรรมแห่งความกลัวเห็นได้จากการกำหนด “องค์กร” หลายองค์กรขึ้นมาเพื่อกำกัด จำกัดและขจัดนักการเมืองอย่างเป็นการจำเพาะ
กำกัด จำกัดเข้า จำกัดให้แคบเข้า
กำจัด ขจัด ขับไล่ ทำให้สิ้นไป
ขจัด กำจัด ทำให้สิ้นไป
การกำหนดให้ ส.ว.มาจาก “การแต่งตั้ง” ทั้งหมดโดยให้มีสิทธิเท่าเทียมและยังเหนือกว่าส.ส.นั่นคือ ตัวอย่าง 1
การกำหนด “องค์กรอิสระ” แม้กระทั่งการจัดตั้ง “สภาคุณธรรม” ขึ้นมาในชี้นิ้วกล่าวโทษคนนั้นคนนี้ว่าชั่วช้า เลวทราม นั่นคือ ตัวอย่าง 1
ล้วนเป็น “ตัวอย่าง” จากความ “หวาดกลัว”
.....................................................
การร่างรัฐธรรมนูญจึงเท่ากับเป็นการร่างรัฐธรรมนูญบนพื้นฐานแห่ง “ความกลัว” ทั้งๆ ที่กติกาแห่งรัฐธรรมนูญคือประตูให้ “นักการเมือง” ได้เข้ามาแสดงบทบาท
แสดงบทบาทผ่าน “การเลือก” ของ “ประชาชน”
การเลือกโดยอัตวินิจฉัยของประชาชนนั้นเองคือ “อาณัติ” คือเงาสะท้อนแห่ง “เจตจำนง” ของประชาชนอย่างเด่นชัดยิ่ง
กระนั้น รัฐธรรมนูญก็ยังขนพอง สยองเกล้า
เวทีแห่งการสัประยุทธ์ครั้งต่อไปจึงเป็นเวทีทางการเมืองอันมาจากกระบวนการของรัฐธรรมนูญซึ่งมีพื้นฐานจากความหวาดกลัวนี้เอง
เป็นการมาพร้อมกับคำประกาศ “กูไม่กลัวมึง”
.........................................................
ขอให้มองภาพกระบวนการทางการเมืองของไทยในกาลอนาคตผ่านรูปแห่ง “รัฐธรรมนูญ”
ฝ่ายหนึ่งเริ่มต้นด้วย “ความกลัว” อีกฝ่ายหนึ่งเริ่มต้นด้วย “ความกล้า” ฝ่ายหนึ่งอิงแอบมากับกระบวนการ “รัฐประหาร” ฝ่ายหนึ่งอิงแอบมากับการเลือกของ “ประชาชน”
เป็นภาพที่จะสัประยุทธ์กันอย่างดุเดือด เข้มข้น
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
กรณี สังฆเภท จับตา วิษณุ เครืองาม อย่ากะพริบตา
ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มากด้วยความระมัดระวัง มากด้วยความสุขุมรอบคอบ
ต่อกรณี “มหาเถรสมาคม” ต่อกรณี “วัดพระธรรมกาย”
จำกัดให้อยู่ในพรมแดนของ “ศาสนจักร” จำกัดให้อยู่ในกรอบของพระแล้วกันตัวเองออกมายืนดูอยู่ห่างๆ
คสช.ไม่เกี่ยว รัฐบาลไม่เกี่ยว “โดยตรง”
ยิ่ง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลงานด้านกฎหมาย ยิ่งมากด้วยความระมัดระวัง ในแต่ละจังหวะที่ก้าวย่างดูหน้าดูหลังอย่างรอบคอบ
จำกัด “กรอบ” ไม่ขยาย “ความขัดแย้ง”
เจตนาประสงค์เฉพาะหน้าแทบจะไม่อยากให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรมากไปกว่านี้ เรียกตามภาษาพระก็ต้องว่า
ปล่อยทุกอย่างให้เป็น “กิจของสงฆ์”
หากดูจากอาการของ พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หากดูจากอาการของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน จะเห็นได้ชัดว่าต้องการขยายกรอบแห่งความขัดแย้งให้เป็นวงกว้างออกไป
เพื่อให้ “การปฏิรูป” พระพุทธศาสนามีความเข้มข้น
คำถามอันมาจาก นายวิษณุ เครืองาม อาจไม่พุ่งเป้าเข้าใส่ พระสุวิทย์ ธีรธัมโม แต่เสนออ้อมๆ ไปยัง นายไพบูลย์ นิติตะวัน โดยปริยาย
นั่นก็คือ สงสัยในวิธีการและกระบวนการของ “การปฏิรูป”
หลักการอัน คสช.และรัฐบาลกำหนดและมอบหมายผ่าน สปช.ในฐานะ 1 ในแม่น้ำ 5 สายมีความเด่นชัดว่า กระบวนการของ “การปฏิรูป” นั้นดำเนินไปในลักษณะ 2 ด้าน 1 เป็นการปฏิรูป แต่อีก 1 การปฏิรูปนั้นต้องมีเป้าหมายสร้างความปรองดองสมานฉันท์
ประเด็นอยู่ที่ว่าการปฏิรูปพระพุทธศาสนาจะดำเนินอย่างไร
ถามว่าบทบาทของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ที่เข้าไปมีส่วนในการตรวจสอบกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นสอดรับกับงานของ สปช.หรือไม่
นี่เป็นบทบาทของกรรมาธิการใน “สภานิติบัญญัติฯ”
กระนั้น สปช.หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติมีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้แตกต่างไปจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสนช.
แล้วที่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นจึงนำไปสู่คำถาม
เท่ากับเป็นการสวมบทบาทต่อเนื่องของกลุ่ม 40 ส.ว.ในยุคที่มีส่วนร่วมในการเล่นงานรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เป็นบทบาทก่อน “รัฐประหาร” เดือนพฤษภาคม 2557
จากนี้จึงเห็นว่ากรณีของ “มหาเถรสมาคม” กรณีของ “วัดพระธรรมกาย” จะจบลงอย่างไรแบบไหน
จำเป็นต้องจับตา พระสุวิทย์ ธีรธัมโม จำเป็นต้องจับตา นายไพบูลย์ นิติตะวัน และจำเป็นต้องจับตา นายวิษณุ เครืองาม อย่างเป็นพิเศษ
ใครมีบทบาท “นำ” ใครมีบทบาท “ตาม”
พนัส ทัศนียานนท์-สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล-ศ.ดร.จรัญ มะลูลีม
|
มติชนออนไลน์ : หมายเหตุ - ความคิดเห็นของนักการเมือง และนักวิชาการ ถึงกรณี คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดในภาคที่ 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง หมวด 1 ว่าด้วยระบบผู้แทนที่ดีและผู้นำการเมืองที่ดี โดยมีสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติมีหน้าที่ปลูกฝังและส่งเสริมจริยธรรมของประชาชนและผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะและอำนาจหน้าที่อื่น พนัส ทัศนียานนท์ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะกำหนดให้สมัชชานี้มีอำนาจแค่ไหนเพียงใด เท่าที่ติดตามข้อมูลดูก็เห็นว่าจะให้มีอำนาจในการตรวจสอบ และกลั่นกรองคนก่อนเข้ามาเป็นนักการเมือง ผมไม่รู้ว่าเขาไปเอาต้นแบบมาจากไหน แต่ที่ประเทศจีนมีลักษณะคล้ายๆ กับแบบนี้ คนที่ทำหน้าที่คือพรรคคอมมิวนิสต์จีน อย่างไรก็ตาม หากให้อำนาจไปไกลถึงการกลั่นกรองก่อนเข้ามาเป็นนักการเมืองเอากันถึงขนาดนั้น สิ่งที่จะคลอดออกมาจะให้เราเรียกว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยคงทำใจยอมรับได้ยาก @ จะเป็นการยื่นดาบในการกำจัดนักการเมืองให้สมัชชาคุณธรรมนี้หรือไม่ ก็คงทำนองเดียวกับองค์กรอิสระที่มีอยู่ขณะนี้อย่าง ป.ป.ช.นั้นแหละ สิ่งที่ผมอยากให้คิดตามคือ 1.เรื่องของการให้อำนาจ และ 2.เรื่องคุณสมบัติของคนที่จะเข้ามาเป็นสมัชชาคุณธรรมนี้ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะเดาไม่ยาก ว่าคงจะมาจากข้าราชการอาวุโสที่เกษียณแล้ว เป็นผู้ทรงคุณธรรม แล้วเอาระบบอำมาตย์มาคลุมไว้อีกทีหนึ่ง @ คนที่จะมาทำหน้าที่ต้องมีคนจากทั้ง 2 ฝ่ายหรือไม่ เขาไม่สนหรอก เพราะที่กำลังทำอยู่นี้ ทำอยู่บนสมมุติฐานว่านักการเมืองนั้นเลว แล้วจะเอาคนเลวๆ มาอยู่ในสมัชชาคุณธรรมได้อย่างไร ทั้งนี้ ปัญหาที่จะตามมาคือ คนจะยอมรับสมัชชานี้ได้อย่างไร สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ผมขอพูดสั้นๆ นิดเดียวว่า อะไรก็แล้วแต่ที่จะเข้ามาสู่กระบวนการ หรือการทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ควรจะต้องยึดโยงกับประชาชน ถ้าไม่ยึดโยงกับประชาชนแล้วความรู้สึกก็จะเหมือนเป็นการมาเช็กบิลอะไรต่างๆ อย่างไรก็ตาม ผมเห็นด้วยกับการที่ให้มีการตั้งสมัชชาคุณธรรม เพียงแต่อยากให้ยึดโยงกับภาคประชาชน ไม่ใช่ตั้งใครก็ได้ขึ้นมา ศ.ดร.จรัญ มะลูลีม อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนตัวคิดว่าคณะกรรมการชุดนี้ ถ้ามาจากหลากหลายอาชีพ หลากหลายองค์กร โดยเฉพาะที่ไม่ได้ฝักใฝ่พรรคการเมืองใดๆ ก็จะมีส่วนช่วยในการกลั่นกรองหรือติดตามพฤติกรรมของนักการเมืองได้ในระดับหนึ่ง ที่ย้ำว่าควรมาจากหลากหลายอาชีพก็เพราะจะได้มีมุมมองที่แตกต่างกันและกว้างขวาง เนื่องจากนักการเมืองก็มาจากประชาชนที่มีความหลากหลายเช่นกัน ฉะนั้นประชาชนที่มีความหลากหลายก็ควรจะเป็นผู้พิจารณานักการเมืองได้ ในด้านตำแหน่งหน้าที่ ความเป็นจริงที่ผ่านมาเราเห็นว่าบทบาทของ กกต. ไม่ได้ทำหน้าที่ของการเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งอย่างแท้จริง ในหลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ว่าชุดไหนก็ตาม มีทั้งเอนเอียงไปทางรัฐบาลและเอนเอียงไปทางต่อต้านรัฐบาล ถามว่าจะเป็นการให้อำนาจสมัชชาคุณธรรมนี้มากไปไหม ถ้าเราเลือกคนที่มีคุณธรรมแล้วก็ถือว่าน่าจะเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเลือกได้ผู้ที่ไม่เหมาะสมเข้ามาก็จะนำไปสู่ปัญหาในภายหลังได้ ปัญหาก็คือผู้ที่ทำการเลือกตั้งชุดนี้เป็นคนกลุ่มเล็กๆ ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนกลุ่มใหญ่ ฉะนั้นโอกาสที่จะเลือกคนที่ตัวเองชอบหรือสนิทสนมจะมีมากกว่าการเลือกโดยศึกษาพื้นฐานคุณธรรมของผู้ที่จะมาเป็นกรรมการในสมัชชาอย่างแท้จริง จะส่งผลไปสู่วังวนเดิม ที่น่ากลัวที่สุดคือการเลือกข้างของคนที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาโดยกลุ่มบุคคลที่มีทรรศนะคล้ายคลึงกัน สุรพศ ทวีศักดิ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาหัวหิน ไม่เห็นด้วยที่จะมีสมัชชาแบบนี้ เวลาเราพูดถึงการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เราก็ต้องใช้ภาษาทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมาเป็นเกณฑ์ เป็นมาตรฐานว่าใครเป็นนักการเมืองที่ดีหรือไม่ดี ทำถูกหรือทำผิด ต้องใช้เกณฑ์ตามกติกาประชาธิปไตย ต้องใช้ภาษาทางการเมืองที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการกติกาประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นภาษาอื่น ภาษาอื่นคือภาษาคุณธรรมจริยธรรม ไม่ชัดว่าคุณธรรมจริยธรรมนั้นสอดคล้องกับประชาธิปไตยหรือเปล่า เพราะเห็นมาตลอดว่าเวลาอ้างคุณธรรมจริยธรรม อ้างอะไรเข้ามาต่อสู้ทางการเมือง นำไปสู่ความคิดว่าคุณธรรมจริยธรรมเหนือกว่ากติกาประชาธิปไตย สุดท้ายแล้วเราก็เลยจัดการกับคนที่เรามองว่าไม่มีคุณธรรม ด้วยวิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก็ได้ อย่างเช่น การรัฐประหาร แล้วสมัชชาที่มาจากการสรรหา เมื่อเห็นว่าไม่ควรมีสมัชชานี้แล้ว อันอื่นก็ไม่เห็นด้วยทั้งหมด ไม่ควรมีสมัชชาคุณธรรมจริยธรรมอะไรขึ้นมาให้เกิดความสับสน เราสามารถที่จะมีระบบตรวจสอบนักการเมือง ตรวจสอบข้าราชการได้ แต่ว่าเราต้องตรวจสอบภายใต้กฎหมาย ภายใต้หลักนิติรัฐ ภายใต้หลักการกติกาประชาธิปไตย ใช้ภาษากฎหมายมาพูดกัน ถ้าเอาภาษาคุณธรมจริยธรรมมาพูดกัน บางทีมันคลุมเครือ ไม่รู้จะนิยามอย่างไร อะไรที่นิยามไม่ตรงกันจะเป็นเรื่องของความเห็นมากกว่า จะหาเกณฑ์มาตรฐานที่ตรงกันไม่ได้ ไม่ชัด จะเกิดความสับสน เมื่อเอาเรื่องคุณธรรมเข้ามาในที่สุดแล้วก็เห็นปัญหามาตลอดตั้งแต่ปี 2548 เราบอกว่า พูดถึงคนดี พูดถึงคุณธรรมจริยธรรม แต่สุดท้ายคนดีมีคุณธรรมจริยธรรมเหล่านั้นไม่เคยเคารพกติกาประชาธิปไตย ไม่เคยเคารพหลักการประชาธิปไตยเลย เพราะฉะนั้นปัญหาของสังคมไทย ณ ปัจจุบันนี้ สิ่งที่ต้องปฏิรูปเร่งด่วนก็คือ ทัศนคติที่หาอะไรบางอย่างมาอยู่เหนือประชาธิปไตย เชื่อว่ามีอะไรบางอย่าง อย่างเช่น คุณธรรม จริยธรรม คนดี ความดี ที่อยู่เหนือความชอบธรรมตามหลักประชาธิปไตย ควรจะเปลี่ยนทัศนคติพวกนี้ เลิกแล้วก็มายึดกติกา ยึดกฎเกณฑ์ ยึดหลักการประชาธิปไตยเป็นมาตรฐานที่จะเข้าใจได้ตรงกัน นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าคณะทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ การมีองค์กรเพื่อควบคุมดูแลคุณธรรมและจริยธรรมนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง เป็นเรื่องที่เห็นด้วย แต่รูปแบบที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญกำหนดคือการให้อำนาจสมัชชาคุณธรรม โดยหากสมัชชาคุณธรรมพบว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประพฤติทุจริตให้ทำหน้าที่ไต่สวนและส่งรายชื่อไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.นำรายชื่อผู้กระทำผิดจริยธรรมไปจัดทำประชามติ พร้อมกับการลงคะแนนการเลือกตั้งครั้งต่อไปเพื่อให้ประชาชนได้เป็นผู้ลงมติว่าจะเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 5 ปี หรือไม่ ตรงนี้จะทำให้เกิดความแตกแยก รับรองเลยว่าจะเกิดความโกลาหลในบ้านเมือง เพราะการโยนอำนาจภาระหน้าที่ไปให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินทำประชามติ อาจมีกรณีการกลั่นแกล้งกันเกิดขึ้นได้ ประชาชนอาจมีการแบ่งพรรคพวกก็อาจจะเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา การทำประชามติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอาจทำให้นักการเมืองที่ถูกถอนถอนโดนตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดี เพราะฉะนั้นควรมีหน่วยงานเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานตรงนี้ ซึ่งก็มีอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.อยู่แล้ว เป็นต้น การทำงานของ ป.ป.ช.กับ ส.ส. และ ส.ว. เราก็มีอำนาจหน้าที่ที่ถ่วงดุลกันในการทำงานอยู่แล้ว ลักษณะในการตั้งสมัชชาคุณธรรมนั้น ผมยังไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมดนอกจากที่เป็นข่าวมาจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่องค์กรอิสระต้องมีหน้าที่ทำการตรวจสอบและถ่วงดุลได้ สำหรับสัดส่วนของสมัชชาคุณธรรม 55 คน ซึ่งใน 5 คน จะเรียกว่าคณะมนตรี มาจากการสรรหาของ ส.ว. ส่วนอีก 50 คน มาจากคณะกรรมการสรรหาที่คณะมนตรีทั้ง 5 คน เป็นผู้แต่งตั้ง เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาประเด็นรายละเอียด ลักษณะเช่นนี้ผมเป็นห่วงว่าจะมีการบล็อกโหวตเกิดขึ้นในการสรรหาแต่งตั้ง การทำงานของสมัชชาคุณธรรม การสรรหาแต่งตั้งบุคลากรนั้น ผมยังมองไม่ออกว่าจะทำงานกันอย่างไร เข้าใจว่าคนคิดตั้งสมัชชาคุณธรรมขึ้นมาคงมีเจตนาที่ดี แต่จากการพิจารณา เช่น กรณีการไต่สวนคดีการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในการใช้คณะกรรมการไต่สวนเช่นนี้ ผมว่าเสียงข้างมากก็ลากไปอยู่ดี ดังนั้น การจะสร้างองค์กร หรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่นั้น ต้องพิจารณาดูเหตุผลและความจำเป็นด้วย มิเช่นนั้นอาจเกิดความซ้ำซ้อนในการทำงานขึ้นมาก็ได้ |
นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง - พนัส ทัศนียานนท์
|
มติชนออนไลน์ : หมายเหตุ - ความเห็นของนักวิชาการและอดีต ส.ว. กรณีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาถอดถอนอดีต ส.ว. 38 คนออกจากตำแหน่ง กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ ส.ว.โดยมิชอบ และมี สนช.ออกมาระบุว่า การถอดถอนอดีต ส.ว. 38 คน ไม่สามารถเทียบเคียงกับการถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร กับนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภาได้ เนื่องจากเป็นคนละฐานความผิด นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีต ส.ว.อุทัยธานี ได้รับมอบหมายให้เป็น 1 ในผู้ร่วมแถลงเปิดสำนวนถอดถอนในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ โดยจะรับผิดชอบแถลงเปิดสำนวนในส่วนของแนวคิดและอุดมการณ์ เพราะหากขาดเรื่องดังกล่าวไป นักการเมืองก็จะเหมือนนักธุรกิจไปเสียหมด ในฐานะที่เป็นตัวแทนของคนต่างจังหวัดที่ให้ฉันทามติเข้ามาทำหน้าที่ในฐานะวุฒิสภา เป็นตัวแทนของประชาชน เมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจะคืนความเป็นประชาธิปไตยให้กลับไปสู่ปฐมบทอันเป็นเจตนารมณ์หลักที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยทุกคน ประกอบกับบรรยากาศของบ้านเมืองและเนื้อหาของรัฐธรรมนูญในขณะนั้น แนวคิดอุดมการณ์จึงเป็นตัวสำคัญที่ทำให้อดีต ส.ว. 38 คน ตัดสินใจเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว.เพราะเป็นการแก้ไขเพื่อคืนสิทธิในการตัดสินใจผ่านการเลือกตั้ง ส.ว.ให้กับประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าที่เห็นด้วยกับการแก้ไขประเด็นดังกล่าวเพราะโกรธเคืองอดีต ส.ว.ที่มาจากการสรรหาแต่อย่างใด ขณะเดียวกันการที่พวกเราเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ ส.ว. ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการแก้ให้ตัวเองกลับมาเป็น ส.ว.อีกอย่างที่ถูกกล่าวหา เพราะข้อกล่าวหาเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเพียงการวิตกหรือเป็นจินตนาการของผู้กล่าวเท่านั้น ถึงอย่างไรแล้ว เมื่อมีการแก้ไขเสร็จก็ต้องผ่านกระบวนการตัดสินใจ ผ่านการเลือกตั้งของประชาชนอีกอยู่ดี ทั้งหมดดำเนินการแก้ไขตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ได้ให้กับสมาชิกรัฐสภาไว้ทุกประการ แน่นอนว่ากรณีของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร กับนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ไม่สามารถเทียบเคียงกับกรณีอดีต ส.ว. 38 คนได้ เพราะคนละประเด็นกัน พวกตนถูกชี้มูลในฐานะที่เป็นสมาชิกในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ที่เหมือนก็คือทั้งหมดกระทำภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2550 ถูกยกเลิกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตัวแทนที่จะร่วมแถลงเปิดสำนวนดังกล่าวจะมีการนัดหารือกันที่สภา เพื่อสรุปประเด็นสำหรับการแถลงเปิดสำนวนอีกครั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การที่นายวิชัย วิวิตเสวี หนึ่งใน ป.ป.ช. ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า กรณีถอดถอน 38 ส.ว.จะนำเอากรณีนิคม-สมศักดิ์มาเทียบไม่ได้นั้น เพราะถือว่ามีฐานความผิดต่างกันออกไป ส่วนตัวมองว่าฝ่ายรัฐบาลในเวลานี้ได้พยายามสงวนท่าที สงวนอำนาจของพวกเขาอยู่ เพราะถึงแม้ว่ากรณีสมศักดิ์กับนิคมจะลงมติไม่ถอดถอนก็ตาม แต่กรณี 38 ส.ว.มีความเป็นไปได้ จะมีความพยายามในการเล่นงานต่อไป โดยยกเรื่องข้อหาแตกต่างกัน พยายามจะบอกว่าพวกนี้เป็นต้นตอจะแก้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะประเด็นให้ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งไม่จำเป็นที่จะต้องเว้นวรรค และบอกว่ากรณีของ นิคม-สมศักดิ์ไม่ได้พิจารณาประเด็นนี้ สรุปง่ายๆ คือ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาจะพยายามดันเรื่องนี้เข้ามาให้ได้ตามธงที่ได้วางเอาไว้ ส่วน สนช.จะลงมติถอดถอนหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่หน้าที่ของพวกเขาคือดันเรื่องนี้ตามธงเข้ามาให้ได้ ส่วน สนช.จะถอดถอนหรือไม่ ถอดถอนกี่คน ตามความผิดอะไร สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับการเมือง ขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจจะสั่งการมาอย่างไรก็เท่านั้นเอง เหตุที่พวกเขาไม่ถอดถอนสมศักดิ์-นิคม เชื่อว่าเป็นเพราะพวกเขาเกรงว่าจะมีปฏิกริยาและแรงต่อต้านจะออกมามาก จึงเลือกจัดการเฉพาะกรณียิ่งลักษณ์เท่านั้น แต่ส่วนกรณี 38 ส.ว.นั้นไม่มีความแน่นอน บางทีอาจจะถอดถอนทั้งหมดเลยก็ได้ เพราะตอนนี้ไม่ได้มีหลักการอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่พวกเขาอ้างกันว่าเป็นกฎหมาย แต่เป็นไปตามกฎของพวกเขาเท่านั้น หากว่ากันไปตามหลักการก็เป็นอย่างนี้ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) การพิจารณาแถลงเปิดสำนวนถอดถอนอดีต 38 ส.ว. กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.โดยมิชอบ ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นั้น ฝ่ายกรรมการ ป.ป.ช.จะเริ่มแถลงเปิดสำนวนก่อน จากนั้นก็ตามด้วยตัวแทนของอดีต ส.ว. 38 คน ก็จะแถลงคัดค้าน กระบวนการจะเหมือนกับการพิจารณา 2 สำนวนที่ผ่านมา คือสำนวนถอดถอนนายสมศักดิ์กับนายนิคม และสำนวนถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แม้ว่า สำนวนถอดถอนอดีต ส.ว. 38 คน เป็นฐานความผิดตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 เหมือนกับสำนวนของนายสมศักดิ์กับนายนิคม แต่ก็ไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกันได้ เพราะมีรายละเอียดต่างกัน สำนวนถอดถอนอดีต ส.ว. 38 คน ตามเอกสารชี้มูลของ ป.ป.ช.มีการแบ่งประเภทการกระทำความผิดเอาไว้ด้วย เพราะบางคนถูกชี้มูลจากการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ชี้มูลจากการลงมติรายมาตรา หรือชี้มูลจากการลงมติในวาระ 3 เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน จะมีการจัดหมวดหมู่การลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอน ตามการแบ่งประเภทความผิดของ ป.ป.ช.หรือไม่นั้น ขณะนี้วิป สนช.ยังไม่ได้คุยกันว่าจะลงมติแบบใด เพราะวิป สนช.ก็ยังไม่ทราบว่าจะร่วมแถลงเปิดสำนวนกี่คน แต่เท่าที่ทราบจากข่าวก็ 4 คน แต่ก็ยังเปลี่ยนได้ตลอด เพราะยังไม่ได้แจ้งมาเป็นทางการ รายละเอียดทั้งหมดคงจะชัดเจนในวันแถลงเปิดสำนวน อย่างไรก็ตาม วิป สนช.จะขยายเวลาให้สมาชิก สนช.ยื่นญัตติซักถามไปยังคณะกรรมาธิการซักถามได้ หลังจากวันแถลงเปิดสำนวนไปอีก 2 วัน โดยจะยกเว้นข้อบังคับการประชุมเหมือนกับ 2 สำนวนที่ผ่านมา เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีสมาชิก สนช.ส่งคำถามให้คณะกรรมาธิการซักถามแม้แต่คนเดียว สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 กรณีนี้คงมีข้อเท็จจริงแตกต่างกัน แต่ปัญหาใหญ่ที่สำคัญคือ เรากำลังจะเห็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มาจากการฉีกรัฐธรรมนูญ กำลังจะลงมติถอดถอนวุฒิสมาชิกที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกระบวนการและขั้นตอนที่มีรัฐธรรมนูญรองรับ ในเชิงหลักการเบื้องต้น คิดว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติคงต้องตระหนักให้มากว่า สิ่งที่ตนเองทำอยู่เป็นเรื่องประหลาดพิกลอย่างยิ่ง การยืนยันว่ามีอำนาจถอดถอนนั้น อำนาจต้องคู่กับความชอบธรรมด้วย เพราะโดยลำพังรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ในปัจจุบันที่คณะรัฐประหารเขียนขึ้นนั้น ไม่ได้พูดถึงอำนาจของสภานิติบัญญัติแห่งชาติว่ามีอำนาจในการถอดถอนชัดเจน สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้ การปฏิบัติหน้าที่หลายๆ เรื่องสะท้อนให้เห็นว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติเองกำลังทำในหลายสิ่งที่ละเมิดต่อความชอบธรรม เพราะฉะนั้นการปฏิบัติหน้าที่คงไม่ใช่เฉพาะปัญหาของการถอดถอน ส.ว. แต่หมายความถึงการปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องอื่นๆ เช่น การออกกฎหมายหลายฉบับ จะพบว่าเป็นกฎหมายที่อารยประเทศไม่ใช้กันแล้ว กรณีของนายนิคมถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้มีส่วนได้เสีย แต่กรณีของทั้งหมดพยายามเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ศาลรัฐธรรมนูญไปตีความว่า การแก้ไขเพื่อเปลี่ยนระบบการเลือก ส.ว.เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญต้องการคุ้มครองเสียงข้างน้อยโดยไม่สนใจเสียงข้างมาก อีกกรณีที่นายนิคมโดนคือไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา แต่กรณีของ ส.ว.ต้องแยกแยะเป็น 2 กรณี 1.การลงคะแนนตามปกติ 2.กรณีลงคะแนนโดยไม่ได้เป็นไปตามระเบียบ หลักการเบื้องต้นแล้ว การใช้สิทธิของ ส.ว.ในการแก้รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่สามารถทำได้อยู่แล้ว แต่ในการลงคะแนนถ้ามีการเสียบบัตรแทนกัน หรือเจ้าตัวไม่ได้ใช้สิทธิเองอันนั้นเป็นความผิดเฉพาะบุคคล คำถามคือว่ารุนแรงถึงขนาดเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยหรือเปล่า คิดว่าคงไม่ไปไกลถึงขนาดนั้น เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนคงตอบได้ยาก เพราะในแง่หนึ่งเขาพยายามจะปรับระบบ ถ้าสมมุติแก้ไขให้ขยายอายุของวุฒิสภายาวออกไป เห็นได้ชัดว่า ส.ว.คนนั้นได้ประโยชน์ แต่กรณีการปรับระบบมาสู่การเลือกตั้ง ไม่ได้มีอะไรเป็นหลักประกันว่ากลุ่มคนเหล่านี้ที่แก้ไขจะได้เป็น ส.ว.ต่อโดยตรง ถามว่าเป็นกรณี ส.ว.กลุ่มนี้จะได้ประโยชน์โดยตรงหรือเปล่า ก็ไม่ชัดเจน ส.ว.กลุ่มนี้อาจจะสอบตกก็ได้ถ้าลงเลือกตั้ง กรณีที่ให้อดีต ส.ว.ลงสมัครเลือกตั้งได้โดยไม่ต้องเว้นวรรค ในแง่หนึ่งกรณีนี้เป็นการยกเลิกข้อกำหนดเดิม กรณีแบบนี้ในแง่หนึ่งอาจเหลื่อมๆ ทำให้คนที่ลงคะแนนได้รับประโยชน์ มองได้ทั้งสองทาง ในแง่หนึ่งคงมีประเด็นที่ต้องแยก หนึ่ง ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง นี่คงไม่เป็นปัญหา เป็นสิ่งที่ทำได้ กับประเด็นการเปิดโอกาสให้ ส.ว.ยกเลิกข้อกำหนดว่าให้เป็น ส.ว.ได้สมัยเดียว กรณีนี้อาจเป็นการเปิดโอกาสให้ ส.ว.ที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้รับประโยชน์ แต่เป็นการได้รับประโยชน์ที่เมื่อเทียบกับการได้รับประโยชน์โดยตรงอย่างการขยายอายุ ส.ว. |
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด