บทเรียน กฎหมาย บทสรุป จาก กฎอัยการศึก แล'มาตรา 44'
กรณีที่ นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ หรือ "พ่อน้องเฌอ" ถูกตำรวจปลุกกลางดึกแล้วเชิญตัวไป สน.อาจเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่งสำหรับคนในกทม.หรือชาวต่างประเทศ
เพียงเพราะมีข่าว "พ่อน้องเฌอ" จะเดินเท้าไปสน.หรือศาล
เพียงเพราะความผิดของ "พ่อน้องเฌอ" และเพื่อนพ้องจำนวนหนึ่ง คือ การจัดงานรำลึกถึงการเลือกตั้งที่ล้มเหลวเมื่อต้นปี 2557
คนเหล่านี้ก็ต้องกลายเป็น"จำเลย"ถูกฟ้องร้องใน"ศาลทหาร"
องค์กรสิทธิมนุษยชนไม่ว่าที่สหประชาชาติ ไม่ว่าแอม เนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ไม่ว่าฮิวแมนไรต์วอตช์ มีความตื่นตระหนกตกใจและแสดงความรู้สึกคัดค้านต่อต้าน
อธิบายว่าเป็นการใช้อำนาจ "เผด็จการ"
น่าสนใจก็ตรงที่ "ปรากฏการณ์" อย่างเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นเวลาต่อเนื่องมา 10 กว่าปีแล้ว
ทั้งหมดนี้ คือผลอันเนื่องแต่ "กฎอัยการศึก"
หากไม่มีการประท้วงในกรณี "ทุ่งยางแดง" หากไม่มีการชูป้ายประท้วงของกลุ่มนักศึกษา เยาวชนจากภาคใต้บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงกรณีจับกุมนักศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์
คงไม่มี "องค์กร" ใดให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษ
ความรับรู้โดยทั่วไปต่อกรณีที่ปัตตานีก็คือ มีการเข้าปิดล้อมจับกุมชาวบ้านโต๊ะชูด ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 25 มีนาคม โดยการวิสามัญ 4 ศพ จับตัวไป 22 คน
ขณะที่เหตุการณ์ที่นราธิวาสก็คือ
เมื่อวันที่ 2 เมษายน ทหารตำรวจได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และจับตัวนักกิจกรรมเพื่อสันติภาพไป 22 คน ภายใต้ข้อหาว่าทำผิดกฎอัยการศึก
ตราบจนบัดนี้ "ความจริง" ของ 2 กรณีก็ยังไม่แจ้งชัด
น่าสนใจก็ตรงที่ กรณี "ทุ่งยางแดง" ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาบทสรุปมาแจ้งต่อสาธารณะ
แต่สอบไปแล้วก็หา "บทสรุป" ไม่ได้ จำเป็นต้อง "เลื่อน" ออกไป
ขณะที่สถานการณ์อันเกิดขึ้นกับนักกิจกรรมเพื่อสันติภาพแห่งมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ยังไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าเป็นอย่างไร
จับกุมไปแล้วสอบสวนอย่างไร ยังกักขังอยู่หรือว่าปล่อยตัวมาแล้ว
จึงจำเป็นที่กลุ่มสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานีจำนวนประมาณ 50 คน ต้องออกมาเคลื่อนไหวที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง กทม.
จาก "นราธิวาส" จึงขยายมายัง "รามคำแหง" ในที่สุด
การดำรงอยู่ของ "กฎอัยการศึก" ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงกำลังเป็น "บทเรียน"
เป็นบทเรียนให้กับ "กฎอัยการศึก" ในส่วนอื่นของประเทศ เป็นบทเรียนให้กับมาตรการใหม่ผ่าน "มาตรา 44" อันเป็นกลไกเข้ามาแทนที่ "กฎอัยการศึก" นับแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป
ผลจะเป็นอย่างไร ไม่นานจักต้องมี "คำตอบ"
วันที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 11:26 น. ข่าวสดออนไลน์
ดาบมาตรา 44 ในมือประยุทธ์ ประเทศไทยช่วงเปลี่ยนผ่านจากกฎอัยการศึก
มาอยู่ภายใต้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 จำนวน 14 ข้อ ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
จุดประสงค์อย่างเป็นทางการคือ การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ แต่อย่างไม่เป็นทางการคือลดแรงเสียดทานจากทั้ง ภายในและนอกประเทศ
ภายในอย่างเช่นกลุ่มนักประชาธิป ไตย นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ สื่อมวลชน ตลอดจนผู้ประกอบการธุรกิจด้านการท่องเที่ยว
ส่วนภายนอกมีทั้งจากกลุ่มประเทศผู้นำประชาธิปไตย อาทิ สหภาพยุโรป (อียู) องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) สหรัฐ รวมถึงองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก อย่างฮิวแมนไรต์วอตช์ แอมเนสตี้ เป็นต้น
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายเนติบริกรอธิบายถึงระดับความ น่ากลัวของคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 ว่าอยู่ในระดับต่ำกว่ากฎอัยการศึก
และน่าจะอยู่ในระดับพอๆ กับพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพียงแต่มีความเฉพาะเจาะจงในการแก้ไขสถานการณ์บางเรื่องมากกว่า ส่วนอำนาจเข้มงวดกับสื่อ ไม่มีข้อแตกต่าง
นายวิษณุ ยังได้แจกแจงสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ เป้าหมายการใช้มาตรา 44 โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่มหลักที่ต้องเฝ้าระวัง ประกอบด้วย
1.กลุ่มผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองในอดีตบางคนที่อาจก่อความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น
2.กลุ่มทุน กลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มผู้มีอิทธิพล ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม แล้วก่อความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นเพื่อปกป้อง ผลประโยชน์ทางธุรกิจของตน โดยไม่เกี่ยวกับการเมือง
3.กลุ่มที่ฉวยโอกาสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังเข้าสู่โรดแม็ป ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ การจัดการเลือกตั้ง อาจสร้างสถานการณ์บางอย่างในบางพื้นที่
4.กลุ่มสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่เรียบร้อย ด้วยเจตนาอื่น ไม่มีเจตนาทางการเมือง
5.กลุ่มที่รู้สึกว่าได้รับความกระทบกระเทือนเดือดร้อน ได้รับความไม่เป็นธรรม เป็นพวกสุจริต ไม่มีเจตนาทางการเมืองแอบแฝง อาจมีวิธีระบายโดยการก่อความไม่สงบ
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับศาลทหารที่ได้รับแรงกดดัน มาตลอดนั้น
นายวิษณุกล่าวว่า เมื่อยกเลิกกฎอัยการศึก คดี 4 ประเภทที่ต้องขึ้นศาลทหาร ได้แก่ ข้อหาความผิดต่อสถาบัน ข้อหาความผิดต่อความมั่นคง ข้อหาความผิดตามกฎหมายอาวุธปืน และความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช. ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ราว 100 คดี
จะได้รับการพิจารณาใน 3 ศาลทหาร คือ ศาลทหารชั้นต้น ศาลทหารกลาง และศาลทหารสูงสุด ซึ่งเทียบได้กับศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ในระบบศาลพลเรือน
นอกจากนี้อำนาจทหารที่ให้ไว้ตามกฎอัยการศึก ยังมีมากกว่าในคำสั่ง 3/2558 เสียด้วยซ้ำไป
"ผลดีของการยกเลิกกฎอัยการศึกคือลดความหวาดระแวงในประชาคมโลกไปได้มาก แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม เพราะคำว่ากฎอัยการศึกนั้น แรงในสายตาของต่างชาติจริง" นายวิษณุระบุ
ซึ่งยังสงสัยว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่
เพราะจากการตรวจสอบท่าทีของต่างชาติที่มาในรูปของตัวแทนรัฐบาล ตัวแทนองค์กรและสื่อมวลชนที่มีต่อมาตรา 44 ของไทยในเบื้องต้น พบว่า
ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางเดียวกับท่าทีของนักประชาธิปไตย นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนภายในไทย ขณะเดียวกันก็สวนทางกับความคาดหมายของนายวิษณุ
นายซาอิด ราด อัล-ฮุสเซน ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แสดงความหวาดวิตกต่อการประกาศใช้มาตรา 44 ที่ให้อำนาจอย่างกว้างขวางในการบังคับใช้กฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ทหารต่อพลเรือน
แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดีที่ยกเลิกกฎอัยการศึก แต่ก็ตื่นตระหนกกับอำนาจที่มาทดแทน ที่ให้อำนาจอย่างอิสระต่อหัวหน้ารัฐบาลโดยไม่มีช่องทางให้ตรวจ สอบ ทำให้การประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกไม่มีความหมายใดๆ
ด้านผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ
กล่าวว่า การใช้มาตรา 44 แทนที่กฎอัยการศึกของไทย อาจไม่บรรลุวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุม อย่างสันติของประชาชน
สหรัฐยังเรียกร้องให้ยุติการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร เช่นเดียวกับฝั่งสหภาพยุโรป หรืออียู ที่ออกแถลงการณ์ชี้ว่า การแทนที่กฎอัยการศึกด้วยคำสั่ง 3/2558 ไม่ได้ทำให้ไทยเป็นประชาธิป ไตยหรือเป็นรัฐบาลที่น่าเชื่อถือขึ้น
"ศาลทหารต้องไม่ถูกใช้พิจารณาคดีของพลเรือน" แถลงการณ์อียู ระบุ
สื่อต่างประเทศระดับโลก ไม่ว่าซีเอ็นเอ็นของสหรัฐ บีบีซี เดอะ การ์เดียนของอังกฤษ เอเอฟพีของฝรั่งเศส ต่างรายงานข่าวการใช้มาตรา 44 ของไทยด้วยน้ำเสียงคล้ายคลึงกัน
เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชนและสื่อมวลชนทุกแขนงในไทย ที่อาจถูกคุมเข้มกว่าเดิม จากอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดและไร้ขีดจำกัด
สื่อบางสำนักพาดหัวข่าวเรียกมาตรา 44 ว่าเป็นแอบโซลูต เพาเวอร์ และอันลิมิเต็ด เพาเวอร์ ขณะที่ฮิวแมนไรต์วอตช์ ห่วงว่ากฎหมายใหม่นี้จะทำให้ไทยออกห่างจากประชาธิปไตยมากขึ้น
สอดรับกับปฏิกิริยาตอบสนองของบรรดานักวิชาการในไทย ที่บางคนสรุปว่าการใช้มาตรา 44 แทนที่กฎอัยการศึก เหมือนเป็นการเลี่ยงบาลี ไม่ต่างจากนำเหล้าเก่า ไปใส่ในขวดใหม่ โดยดีกรีความรุนแรงยังเท่าเดิม
หรืออาจหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
กระนั้นก็ตามยังมีผู้ให้ความเห็นเป็นกลางๆ กล่าวคือไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับการใช้มาตรา 44 แต่ก็ไม่ถึงกับด่วนสรุปว่า ทหารจะใช้อำนาจ เข้มข้นกว่าตอนมีกฎอัยการศึก
คนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช. เจ้าของอำนาจแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 44 ว่าจะใช้อำนาจนั้น ไปในทางสร้างสรรค์อย่างที่พูดไว้หรือไม่
สถานการณ์ประเทศไทยในขณะนี้ กำลังประสบปัญหามากมายในทุกมิติทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง การต่างประเทศ ฯลฯ บางเรื่องสลับซับซ้อนเกินกว่าจะใช้วิธีบริหารจัดการแบบทหาร
บางเรื่องก็ใหญ่โตเกินกำลังที่นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จะแบกรับความรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ต่อให้รวบอำนาจไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดขนาดไหนก็ตาม
ที่สำคัญต้องไม่ลืมคำเปรียบเทียบที่ได้ยินกันบ่อยๆ ว่าอำนาจเปรียบเสมือนดาบสองคม ยิ่งคมมากก็ยิ่งอันตรายมาก ถ้าหากคนใช้ใช้ในทางสร้างสรรค์ก็ดีไป แต่ถ้ากวัดแกว่งไปในทางไม่ถูกต้อง
ผลร้ายย่อมเกิดกับคนถือดาบเอง....
วันที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 00:32 น. ข่าวสดออนไลน์
ปฏิกิริยา อ่อนๆ คัดค้าน 'มาตรา 44' ปฏิกิริยา นุ่มนวล
นักธุรกิจระดับ นายอิสระ ว่องกิจกุศล ประธานหอการค้าไทย นักธุรกิจระดับ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
อาจงุนงงต่อ 'ปฏิกิริยา'ที่ไม่เห็นด้วยกับ 'มาตรา 44'
ปฏิกิริยาจากข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชน แห่งองค์กรสหประชาชาติ อาจไม่งุนงงเท่าใดนัก
เหมือนกับปฏิกิริยาอันมาจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ
เหมือนกับปฏิกิริยาอันมาจากตัวแทนสหภาพยุโรป (อียู) ประจำกรุงเทพมหานคร ที่ไม่รู้สึกว่าการแปรจาก “กฎอัยการศึก” มาเป็น 'มาตรา 44' เป็นการเปลี่ยนแปลง
แต่ปฏิกิริยาจาก 4 องค์กรสื่อมวลชนไทยนี่ซิ 'ไม่น่าเชื่อ'
เช่นเดียวกับ ปฏิกิริยาแสดงความไม่เห็นด้วยจากกรรมการแห่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ของไทยซึ่งทักท้วงมาตั้งแต่เริ่มต้น
ทำไม'องค์กร'ในประเทศไทยเหล่านี้จึง 'ปฏิเสธ'
.....................................................
ความจริง หากเริ่มต้นจาก 'ฐานความคิด'ที่ว่า การดำรงอยู่ของ'มาตรา 44' ก็เหมือนกับการดำรงอยู่ของ'กฎอัยการศึก'ก็ไม่ควรมีการออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย
เพราะคล้ายกับไม่มีใครคัดค้าน “กฎอัยการศึก”
ดูเหมือนว่า กองทัพบกได้ประกาศและบังคับใช้ “กฎอัยการศึก” ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557
โดยไม่มีเสียงคัดค้านและต่อต้าน
จากนั้น ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก ก็ผันตนเองเป็น “หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” (คสช.) แล้วยึดอำนาจด้วยวิธีการรัฐประหารโค่นรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลง
ทุกอย่างก็ “เรียบโร้ย” โรงเรียน “คสช.”
........................................................
จากเดือนพฤษภาคม 2557 มายังเดือนเมษายน 2558 ยาวนานกว่า 11 เดือนก็มีการเปลี่ยน “กฎอัยการศึก” มาประกาศและบังคับใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557
มอบอำนาจให้กับ “หัวหน้าคสช.” อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด
เหตุผลที่กรรมการแห่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มีความไม่เห็นด้วยเพราะนี่คือการจำแลง “กฎอัยการศึก” มาในรูปของ “มาตรา 44”
เป็นเหตุผลใน “กระสวน” เดียวกันกับปฏิกิริยาของ “องค์กรสื่อ”
เพราะว่าภายในประกาศแห่ง “มาตรา 44” นั้นคือการจำแลงเอาคำสั่งคสช.ที่มุ่งในการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของสื่อโดยตรง
เป็น “เหล้าเก่า” เพียงแต่เอาใส่ “ขวดใหม่” เท่านั้นเอง
............................................................
แท้จริงแล้ว การไม่เห็นด้วยต่อ “กฎอัยการศึก” นั้นเป็นปฏิกิริยาที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่รัฐประหารแล้ว
เพียงแต่โดย “กฎอัยการศึก” เพียงแต่โดย “อำนาจปืน” ของคสช.ทำให้ไม่สามารถแสดงออกได้ เพราะถ้าแสดงออกก็ต้องถูกเรียกตัวไป “ปรับทัศนคติ”
ปฏิกิริยา “ใหม่” อันปรากฏจึงถือว่า “หาญกล้า” อย่างเหลือเชื่อ
วันที่ 04 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
02 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 01:01 น. ข่าวสดออนไลน์
สื่อนอกพาดหัวข่าว ไทยยกเลิกกฎอัยการศึก แต่มี'แอบโซลูต'กับ 'อันลิมิเต็ด'พาวเวอร์มาแทน
เมื่อวันที่ 1 เม.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกของไทยและใช้มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเข้ามาแทน ดังนี้
ซีเอ็นเอ็น : Thailand to ditch martial law -- for ′unlimited′ powers for military leader ประเทศไทยเลิกกฎอัยการศึกเพื่ออำนาจแบบอันลิมิเต็ด (ไร้ขีดจำกัด) สำหรับผู้นำทหาร
เว็บไซต์ยูเอสนิวส์ด็อตคอม : Thailand junta nods to foreign calls for scrapping martial law, but takes absolute power รัฐบาลทหารไทยตกลงทำตามเสียงเรียกร้องนานาชาติด้วยการยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว แต่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ หรือ “แอบโซลูต พาวเวอร์” มาแทน
สำนักข่าวเอพี : Thailand junta replaces martial law with absolute power รัฐบาลทหารไทยแทนที่กฎอัยการศึกด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จ หรือ “แอบโซลูต พาวเวอร์”
เดอะการ์เดียน : Thailand ′still in the same boat′ after martial law lifted ประเทศไทยยังอยู่ในเรือลำเดิมหลังยกเลิกกฎอัยการศึก
สำนักข่าวรอยเตอร์ สำนักข่าวดีพีเอ : Martial Law Lifted in Thailand ไทยยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว
สำนักข่าวเอเอฟพี : Thai junta lifts martial law but retains key powers ไทยยกเลิกกฎอัยการศึกแล้วแต่ยังคงอำนาจหลักไว้
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
วงจร การเมือง รัฐประหาร พ.ศ.2549 วงจร แห่งวงกต
ยิ่งปรากฏ'องค์กร'ชื่อใหม่ๆ ผ่านกระบวนการยกร่าง'รัฐธรรมนูญ'มากขึ้นมาเพียงใด ความเป็นจริงอันแฝงฝังในทางความคิดของเหล่า 'คนดี' ยิ่งเผยแสดงตัวออกมามากเพียงนั้น
ไม่ว่าจะเรียกว่า'สมัชชาคุณธรรม'
ไม่ว่าจะเรียกว่า 'สภาขับเคลื่อนการปฏิรูป' ซึ่งพร้อมจะประสานพลังเข้ากระบวนการได้มาแห่ง 'ส.ว.'อย่างที่เรียกกันในภาษาปากว่า
สภา 'ลากตั้ง'
ถามว่าอะไรคือความคิดที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายใต้จิตใต้สำนึกของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ของ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ รวมถึงของ ดร.สุจิต บุญบงการ
คำตอบที่ตรงเป้าที่สุด คือ'ความหวาดกลัว'
และที่สุดอาการเผยแสดงในทางความคิดของเหล่าคนดีผู้มากด้วยภูมิปัญญา ความรู้เหล่านี้ก็คือ ความหวาดกลัวในทางการเมืองโดยยอมรับ
กลัวความพ่ายแพ้ต่อ'พรรคเพื่อไทย'
......................................................
ไม่ว่าจะเป็นเจตนาของการทำรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่าจะเป็นเจตนาของการทำรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ล้วนสะท้อน 'เป้าหมาย'อย่างเดียวกัน
นั่นก็คือ รวมศูนย์การทำลายล้างไปยัง'พรรคไทยรักไทย'ในเบื้องต้น'พรรคพลังประชาชน' ในเบื้องกลาง และ 'พรรคเพื่อไทย' ในเบื้องที่สุด
คำถามก็คือ แล้วสามารถทำลายล้างได้หรือไม่
คำตอบไม่จำเป็นต้องเสาะหาจากที่ไหน นอกจากความเป็นจริงที่แม้จะมีรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 มาแล้วก็ยังจำเป็นต้องเคลื่อนไหวเพื่อสร้างเงื่อนไขนำไปสู่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 อีกครั้งหนึ่งเท่ากับยืนยันในความล้มเหลว
จากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มายังรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2558
.....................................................
การยอมรับล่าสุดโดย ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ แม้ว่าจะดำรงอยู่ในสถานะแห่งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2558 ก็คือ
ยังมั่นใจว่า เลือกตั้งอีก'พรรคเพื่อไทย'ก็ยังชนะ
จึงเท่ากับว่า ในกระบวนการของการเลือกตั้งชัยชนะยังเป็นของพรรคเพื่อไทย แต่ยุทธศาสตร์อันดำรงอยู่ภายในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2558
ก็ยังดำรงจุดหมายเหมือนกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
นั่นก็คือ ถึงพรรคพลังประชาชนจะชนะเมื่อเดือนธันวาคม 2550 และพรรคเพื่อไทยจะชนะเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 แต่ก็เป็นชัยชนะที่มิอาจบริหารได้
ในที่สุด ก็จำต้องมี'รัฐประหาร'อีกในเดือนพฤษภาคม 2557
...........................................................
จึงเท่ากับว่ากระบวนการในทาง 'รัฐธรรมนูญ'มิได้รับประกันชัยชนะได้อย่างเป็นจริง
เพราะมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 จากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ก็ยังต้องมีการรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557 อันนำไปสู่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2558
รัฐประหารจึงยังเป็น'วงจร'ที่จะต้องตามมาอีก ไม่นานเกินรอ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด