เป็นอันว่า 'ซัมซุง'บรรษัททุนข้ามชาติจากเกาหลีใต้ 'ย้าย'ฐานการผลิตโทรทัศน์ออกจากไทยไปเรียบร้อยแล้ว
เป้าหมายอยู่ที่ 'เวียดนาม'
แถลงล่าสุดจาก นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ไม่เพียงแต่ทุนข้ามชาติจากเกาหลีใต้เท่านั้น หากทุนไทยก็ตระเตรียมเดินแนวทางเดียวกับซัมซุง เป็นอุตสาหกรรมในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มสิ่งทอ
เป้าหมายอยู่ที่ 'เวียดนาม'
เหตุปัจจัย 1 ที่มีการย้ายฐานการผลิตมาจากเวียดนามมีอัตราค่าแรงถูกกว่าในเชิงเปรียบเทียบ
เหตุปัจจัย 1 มาจากสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรหรือ GSP
ที่สำคัญเป็นอย่างมากเวียดนามสามารถเจรจาและเตรียมลงนามการตกลงทางการค้าเสรีหรือ FTA กับสหภาพยุโรปในเร็วๆ นี้
ขณะที่ของไทยยัง 'ค้างเติ่ง'ไม่มีการขยับขับเคลื่อน เพราะรัฐบาลของสหภาพยุโรปไม่ยอมเจรจากับรัฐบาลที่มิได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
"รัฐประหาร" นั้นเองที่เป็น "ขวากหนาม"
บทเรียนจากกรณีของซัมซุง ซึ่งเป็นทุนข้ามชาติจากเกาหลีใต้ และจากกรณีของกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอซึ่งเป็นทุนไทยคืออะไร
1 คือลักษณะและธรรมชาติของ "ทุน"
ธรรมชาติของทุนไม่ว่าจะเป็นทุนจากเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็นทุนไทยก็คือ ไม่มีสัญชาติหากแต่ดำเนินไปอย่างลอดรัฐ ข้ามชาติ
ที่ไหนมี "ประโยชน์" มากกว่าก็พร้อม "ไหล" ไป
1 เหมือนกับว่าโดยพื้นฐานเศรษฐกิจดำเนินไปในลักษณะเป็นโครงสร้างระดับอย่างที่เรียกว่าฐานราก การเมืองและวัฒนธรรมเป็นเงาสะท้อนวิถีดำเนินของเศรษฐกิจ แต่ในเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง การเมืองและวัฒนธรรมก็สามารถกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจได้
สภาพของประเทศไทยนับแต่เดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา อันถือว่าอยู่ในยุคแห่งรัฐประหาร
ระบบรัฐประหารจึงส่งอิทธิพลอย่างสำคัญต่อวิถีดำเนินของเศรษฐกิจ
ไม่ว่าฝ่ายวิเคราะห์วิจัยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ไม่ว่าฝ่ายวิเคราะห์วิจัยของธนาคารทหารไทย หรือแม้กระทั่งฝ่ายวิเคราะห์
วิจัยของโนมูระก็ออกมายอมรับตรงกันว่า ภาวะไม่แน่นอนในทางการเมืองมีผลต่อตลาดทุนและการลงทุนภาคเอกชนอย่างลึกซึ้ง
บางแห่งถึงกับเน้นลงไปยังประเด็นของ "การเลือกตั้ง"
พลันที่มีการตั้งข้อสงสัย แคลงใจและกังขาต่อ "ร่างรัฐธรรมนูญ" ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ทำให้ระยะเวลาของการเลือกตั้งตามที่กำหนดในโรดแมปอาจคลาดเคลื่อน
มิได้เป็นในตอนต้นปี 2559 อาจเป็นปลายปี
นามของรัฐธรรมนูญอาจมิใช่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2558 หากแต่จะเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2559
ก็บังเกิดภาวะ "หวั่นไหว" อย่างกว้างขวาง
นั่นหมายถึงว่า แนวโน้มและความเป็นไปได้ที่ความสัมพันธ์ปกติระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหภาพยุโรปอาจต้องเป็นในปี 2559 หรือในปี 2560
นั่นหมายถึง ข้อตกลง FTA ต้องยืดออกไป
ขณะเดียวกัน ยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องอันเกี่ยวกับ "การค้ามนุษย์" ทั้งโจทย์เก่าซึ่งค้างคาและโจทย์ใหม่เกี่ยวกับกรณีของโรฮีนจาเสริมเติมเข้ามาอีก จึงเท่ากับนำความอ่อนเปราะให้เกิดขึ้นทั้งสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ในเรื่องเกี่ยวกับ "เทียร์ 3"
สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้การค้าระหว่างประเทศแปรเปลี่ยน สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้การส่งออกของประเทศต้องติดลบแล้วติดลบอีกอย่างต่อเนื่อง
"การเมือง" จึงสะท้อนถึง "เศรษฐกิจ"
หน้าที่ของรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไม่ว่ารัฐบาลจากการรัฐประหาร คือ ความแน่นอน
เป็นความแน่นอนในข้อกฎหมาย เป็นความแน่นอนในประด็นที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาของอำนาจบริหาร เพราะหากเหล่านี้ไม่แน่นอนย่อมทำให้ขาดความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่น
เมื่อไม่มั่นใจ เมื่อไม่เชื่อมั่น "เครดิต" ย่อมโยกเยก คลอนแคลน
(ที่มา:มติชนรายวัน 26 พ.ค.2558)
ไม่ว่ามติจาก 'ครม.'ไม่ว่ามติจาก คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง ไม่ว่ามติจาก คณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช. ต่อการเสนอขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ
ล้วนมากกว่า 100 จุด ล้วนมากกว่า 100 ประเด็น
ความน่าสนใจยิ่งกว่านั้นยังอยู่ตรงที่เป้าหมายใหญ่ไม่ว่าจะจาก ครม. ไม่ว่าจะจาก 2 คณะกรรมาธิการสำคัญของ สปช.
ล้วนทำเพื่อมิให้ต้อง 'เสียของ'
หากช่างทำรองเท้าทำแล้วถูกเสนอให้แก้ไขมากมายอย่างนี้ หากช่างตัดผมตัดผมแล้วถูกเจ้าของหัวเรียกร้องให้แก้ไขมากมายอย่างนี้
ล้วนเป็นเรื่องแหม่งๆ ล้วนเป็นเรื่องไม่ดี
ไม่ดีต่อการดำเนินอาชีพเป็นช่างทำรองเท้า ไม่ดีต่อการดำเนินอาชีพเป็นช่างตัดผม ยากยิ่งที่จะรุ่งโรจน์ ยากยิ่งที่จะมีอนาคต
แล้วนี่เป็น 'มหาปราชญ์'ทั้งยังยิ่งใหญ่ยรรยงในระดับ '36 มหาปราชญ์'
ที่บางท่านได้ยืนยันผ่านหมอจ๊ะ หมอจ๋า ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 'พลเมืองเป็นใหญ่'นี้ต้องผ่านความเห็นชอบอย่างแน่นอน เพราะได้ผ่านการหยั่งรู้ ผ่าน 'สมาธิจิต' มาแล้ว
จึงยังน่าสงสัย จึงยังน่าแคลงใจ
ทั้งๆ ที่ นายวิษณุ เครืองาม ในฐานะ 'เบิร์ด Know'ในทางการเมืองได้เคยนำเสนออนุสาสน์เหมือนกับคำเตือนมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเริ่มจากภาษิตเก่าแก่
'เมื่อลงเรือแป๊ะก็ต้องตามใจแป๊ะ เพราะถ้าหากไม่ตามใจแป๊ะ มิฉะนั้น แป๊ะอาจไล่ลงจากเรือ'
เป็นภาษิตแป๊ะแบบ 'ชาวสงขลา'
ไม่ว่าจะเป็นชาวสงขลาอันอุดมไปด้วยเครือที่งดงาม อร่ามเรือง ไม่ว่าจะเป็นชาวสงขลาที่มีวรรณาอันสดใส งามตา
ตามมาด้วยภาษิตจากวรรณคดีเรื่อง'รามเกียรติ์'
เหมือนกับจะยกเอาคำเตือนต่อหนุมานชาญสมรซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติภารกิจตามคำบัญชาของพระรามว่า
'อย่าเหาะเกินลงกา'
ในที่สุด เมื่อทั้งคำเตือนว่าด้วย 'เรือแป๊ะ'ไม่บังเกิดผล ยิ่งกว่านั้น บรรดามหาปราชญ์ยังไม่ซาบซึ้งกับบทบาทและความหมายของ'อย่าเหาะเกินลงกา'ระหว่างการแถลงมติจาก ครม. นายวิษณุ เครืองาม ก็นำเสนอข้อสงสัยที่ว่า
บางฝ่ายมีทีท่าเหมือนกับ'ลองของ'
คําถามอยู่ที่ว่า เมื่อประสบเข้ากับ 'ปฏิกิริยา'อย่างคึกคัก กว้างขวาง ตรงไปตรงมา ต่อเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญเช่นนี้
กรรมาธิการยกร่างยังจะมี'ของ'อะไร'เหลือ' อยู่อีก
ถามว่า หากคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการตามเนื้อหาอันบัญญัติไว้ในมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557
ยังจะมีความจำเป็นต้อง 'แก้ไข'และ 'เพิ่มเติม'อะไรอีกหรือ
ท่าทีที่ปรากฏไม่ว่าจะมาจาก 'มติ ครม.'ไม่ว่าจะมาจากมติคณะกรรมาธิการปฏิรูปฝ่าย 'การเมือง'หรือฝ่ายปฏิรูป'กฎหมาย'และกระบวนการยุติธรรมมีความเด่นชัดยิ่ง
เด่นชัดยิ่งในการฟ้องว่า ไม่ทำตาม 'แป๊ะ'
เด่นชัดยิ่งในการฟ้องว่า กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญกำลังดำเนินการในลักษณะ'เหาะเกินลงกา'
และทำท่าว่าอาจจะแฝงไว้ด้วยกระบวนท่า'ลองของ'
หากคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นเหมือนคน ปฏิกิริยาและการสำแดงออกอันมาจาก ครม. อันมาจากคณะกรรมาธิการปฏิรูปฝ่ายต่างๆ ภายใน สปช.ด้วยกัน ตลอดจนอันมาจากองค์กรอิสระ อันมาจากตุลาการ และอันมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เท่ากับสนอง'แม่ไม้' มวยไทย 'บาทาลูบพักตร์'ให้อย่างเต็มพิกัด
ต้องขอบคุณ'มติ ครม.'ต้องขอบคุณมติอันมาจาก 'คณะกรรมาธิการ'ฝ่ายต่างๆ ภายใน สปช.
เพราะข้อเสนอให้มีการแก้ไขไม่ต่ำกว่า 100 จุด 100 ประเด็นเท่ากับเป็นการช่วยเหลือ เท่ากับเป็นการปะผุ แต่งเติมและเสริมความหล่อ บนพื้นฐานแห่งความปรารถนาดี
มิให้ 'เสียของ' และมิให้กลายเป็น 'ของเสีย'
(ที่มา:มติชนรายวัน 27 พ.ค.2558)
กฎเหล็ก สงคราม ประชามติ ประชาธิปไตย วิภาษวิธี สงคราม
หากมองจากมุมของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญระดับ นายไพบูลย์ นิติตะวัน หากมองจาก สปช.ระดับ นายวันชัย สอนศิริ ผ่าน "ประชามติ"
เหมือนกับ 'นักการเมือง' กำลังกลายเป็น 'เหยื่อ'
ไม่ว่านักการเมืองจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่านักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่านักการเมืองจากพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ว่านักการเมืองจากพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่านักการเมืองจากพรรคชาติพัฒนา
ล้วน'เสร็จ' ให้กับทีเด็ดของ 'คสช.'
เพราะพลันที่มีการทำ'ประชามติ' ร่างรัฐธรรมนูญความหมาย 1 หมายความว่าการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ว่าจะเป็นตอนต้นปี 2559 ก็ต้อง "เลื่อน" ออกไป
ความหมาย 1 หมายความว่า 'เวลา' ของรัฐบาลก็จะต้อง 'ยาว'โดยไม่สามารถกำหนดระยะเวลาอย่างแน่ชัด
'นิมิต' อันมาจากฤๅษี'เกวาลัน' จึงสดใส กาววาว
เท่ากับว่านักการเมืองหรือแม้กระทั่งปรปักษ์ที่อยู่ตรงข้ามกับ'คสช.'กลายเป็นปลาที่ติดเบ็ดกันถ้วนทั่ว
ขิงแก่อย่าง คสช.'เหนือกว่าไก่อ่อน'นักการเมือง'อย่างเด่นชัด
บรรดา'มหาปราชญ์' ที่กำหนดเกมและวางหมากนี้อาศัยจุดอ่อนของ
'ร่างรัฐธรรมนูญ'มาเสมือนกับเป็นเหยื่อล่อ
หยื่อล่อให้ "นักการเมือง" เดินหลงเข้าไปใน 'ลอบ'
ขณะเดียวกัน หากมองจากความสุกงอมของ'นักการเมือง' ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการยินยอมเดินเข้าสู่ลอบอันวางดักไว้ด้วยความเต็มใจ
เพราะหงุดหงิดกับ'เนื้อหา'ที่ปรากฏผ่านร่างรัฐธรรมนูญจริงๆ
หากเป็นการสมยอมระหว่าง 'คสช.'กับ '36 มหาปราชญ์' ในนามคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ก็ต้องถือว่า ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เสียสละ
ก็ต้องถือว่า ดร.สุจิต บุญบงการ หรือแม้กระทั่ง ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช เสียสละให้กับหมากกลอันวางไว้อย่างแยบยลของ "คสช."
เพราะมาจากความยินยอมอย่างเต็มใจของบรรดา "นักการเมือง"
ประเด็น 1 ซึ่งมีความแหลมคมเป็นอย่างมากและไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาดก็คือ พลันที่เข้าสู่กระบวนการ "ประชามติ" เท่ากับทุกฝ่ายออกมายืนอยู่กลางแจ้ง เปิดเผย โดยมี "มวลมหาประชาชน" เป็นผู้ตัดสินอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้พ้น
หากเป็น "สงคราม" นี่ก็คือ สงคราม "ประชาชน"
ถามว่าในเกม "ประชามติ" สามารถเอามาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาเป็น'เครื่องมือ'ในการสร้างความได้เปรียบและอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าได้หรือไม่
ตอบได้เลยว่า ไม่ได้
จุดร่วมอย่างมีนัยสำคัญก็คือ ทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม จะต้องดำรงอยู่อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันในสิทธิและเสรีภาพ
เพราะ "ประชามติ" เท่ากับ "ประชาธิปไตย"
ประชาธิปไตยอาจสามารถอ้างว่าแบบสากล หรือแบบไทย-ไทย แต่พลันที่มีคำว่า'ประชามติ'มาเป็นเครื่องกำกับ
นั่นย่อมพ่วงเอาคำว่า "สากล" เข้ามาด้วย
บทบาทและความหมาย 1 ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด อันมาพร้อมกับคำว่า'สากล' คือ
คำว่า "อารยะ" ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า "ศิวิไลซ์" ซึ่งก็มาพร้อมกับคำว่า สิทธิ และ เสรีภาพ ในการแสดงออกและเคลื่อนไหวในทางการเมือง
เพื่อระดม "ประชา" จำนวนมหาศาลให้มา "ลงมติ" ร่วมกัน
จะลง "ประชามติ" ภายใต้กระบอกปืนก็ไม่สง่างาม จะลง "ประชามติ" ภายใต้ร่มเงาอันมืดครึ้มของระบอบ "รัฐประหาร" ก็ไม่ได้
เสรีภาพ ภราดรภาพ เสมอภาค จึงต้องกระหึ่ม
กฎเหล็ก 1 ของสงครามก็คือ การดำรงอยู่ของ "การรุก" และ "การรับ" ภายในองค์เอกภาพเดียวกัน
บางคนอาจมองเห็นแต่ด้านของ "การรุก" อันหมายถึงชัยชนะ กระทั่งลืมหรือมองข้ามบทบาทที่ภายในการรุกได้นำไปสู่ "การรับ" อย่างมิอาจปฏิเสธได้
รุกอาจกลายเป็นรับ ขณะเดียวกัน รับอาจกลายเป็นรุก….
มติชนรายวัน ฉบับวันที่18 พ.ค. 2558
วสิษฐ เดชกุญชร : เมื่อรัฐบาลกล้าปราบคอร์รัปชั่น
มติชนออนไลน์ : โดย วสิษฐ เดชกุญชร http://www.matichon.co.th/online/2015/05/14320413501432041576l.jpg
ผมไม่ชอบรัฐประหาร เพราะในชีวิตได้เห็นรัฐประหารมาแล้วหลายครั้ง ไม่มีครั้งใดเลยที่รัฐประหารจะไม่ลงท้ายด้วยการตั้งรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยแต่ชื่อ ส่วนตัวจริงคือเผด็จการหรือคณาธิปไตย และเมื่อเป็นรัฐบาลขึ้นมาแล้วก็บริหารราชการแผ่นดินแบบสุกเอาเผากิน หาประโยชน์ให้ตนเองและสมัครพรรคพวก ไม่เคยนึกถึงประชาชน จนในที่สุดก็โดนรัฐประหาร แล้วก็ตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมา แล้วก็ซ้ำรอยเดิม เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า ยึดอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นโดยมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ถึงแม้ผมจะรู้ว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์เหลวแหลกเพียงใด และผมดีใจที่รัฐบาลของนางล้มไปเสียได้ แต่ผมก็ยังไม่วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพราะผมเห็นว่าเป็นผลพวงของรัฐประหาร ผมมองดูรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์บริหารราชการด้วยอุเบกขา ยังไม่ชื่นชมสรรเสริญด้วยประการใดๆ ทั้งนั้น
แต่บัดนี้มีสิ่งที่ผมต้องยอมรับว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กำลังทำสิ่งหนึ่งที่ถูกใจผม และเห็นได้ชัดว่าถูกใจคนอื่นๆ อีกเป็นอันมาก นั่นก็คือความพยายามอย่างจริงจังที่จะปราบปรามการทุจริตของข้าราชการทั้งผู้ใหญ่ และผู้น้อย ทั้งในส่วนกลางและในส่วนท้องถิ่น
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พล.อ.ประยุทธ์ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญและในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ออกคำสั่งย้ายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับปลัดกระทรวงและรองปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด และย้ายข้าราชการระดับรองลงไป คือนายอำเภอ นายกเทศมนตรี และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและตำบล จำนวนผู้ถูกสั่งย้ายมีถึง 47 คน
ผู้ถูกย้ายทั้งหมดมีมลทินเนื่องจากทุจริตประพฤติมิชอบ และการย้ายเป็นมาตรการเบื้องต้น ก่อนที่จะมีการสอบสวนเอาผิดทางวินัยและทางอาญา
ทุจริตหรือคอร์รัปชั่นเป็นโรคร้ายและเรื้อรังของราชการไทยที่แล้วมาบำบัดรักษากันพอเป็นพิธีแบบลูบหน้าปะจมูก จับได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย ตัวการใหญ่ๆ จับไม่เคยได้ เพราะผู้มีหน้าที่ไม่กล้าจับ หรือมีส่วนได้รับประโยชน์มิชอบจากผู้กระทำความผิด บัดนี้เมื่อนายกรัฐมนตรีแสดงตัวเป็นหัวเรือใหญ่ เจ้าหน้าที่ผู้น้อยก็คงจะมีกำลังใจและกล้าปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง
สิ่งที่ผมหวังว่าจะเกิดตามมาก็คือการเปิดเผยความคืบหน้าทุกระยะของการดำเนินมาตรการกับผู้ที่กระทำผิดทั้งน้อยและใหญ่เพราะเท่าที่แล้วมาแม้จะมีการโยกย้ายและตั้งกรรมการสอบสวนผู้กระทำผิด แต่ก็มักทำกันแบบเงียบๆ หรืองุบงิบ ชาวบ้านไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย และลงท้ายจะมีการดำเนินคดีหรือไม่ ผลคดีเป็นอย่างไร ชาวบ้านก็ไม่มีโอกาสรู้เช่นเดียวกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากเห็นก็คือ การทำลายประเพณี 'ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน'ที่กัดกินระบบราชการไทยแล้วจนสึกกร่อนทั้งระบบ การทำลายประเพณีดังกล่าวอาจทำได้ด้วยการออกกฎหมายและระเบียบคุ้มครองและให้บำเหน็จความชอบแก่ข้าราชการที่กล้าเปิดเผยความประพฤติมิชอบของข้าราชการด้วยกันเองซึ่งรวมถึงข้าราชการชั้นผู้น้อยที่กล้าเปิดเผยความประพฤติมิชอบของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาของตนเองด้วย
ปราบคอร์รัปชั่นต้องกระทำด้วยการถอนรากถอนโคนเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นใหม่ได้อีกรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เริ่มแสดงให้เห็นแล้วว่ากำลังจะทำ หากแสดงให้เห็นด้วยว่ารัฐบาลมีความจริงใจ ประชาชนก็คงจะแซ่ซ้อง สาธุการ และแม้จะต้องชะลอการประกาศใช้รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งออกไป ประชาชนก็คงไม่รังเกียจและยินดีที่จะสนับสนุน....
มติชนออนไลน์ : หมายเหตุ - นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองและสภาปฏิรูปการเมือง ในสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้สัมภาษณ์ 'มติชน' ถึงข้อกังวลในร่างรัฐธรรมนูญร่างแรก ที่อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาตามมา
เหตุผลที่มองว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีปัญหา
เชื่อว่า กรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีความตั้งใจในการร่างรัฐธรรมนูญที่ดีให้กับประเทศ ถ้าดูในภาพรวมรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้มีความโดดเด่นหลายประการ ประการแรกคือการให้อำนาจกับพลเมือง ซึ่งถือเป็นฉบับเดียวในโลกที่ยอมให้มีสภาตรวจสอบภาคพลเมือง หมายถึงสภาพลเมืองในทุกจังหวัด แม้จะยังไม่ทราบถึงวิธีการทำงานและจะมีที่มาอย่างไร แต่ในแง่ของหลักการถือว่ามีความโดดเด่น ประการที่ 2 มีการกำหนดแนวทางการปฏิรูปไว้ในภาคที่ 4 ของรัฐธรรมนูญในทุกมิติ เมื่อรัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารประเทศขับเคลื่อนตามประเด็นที่มีการทำไว้แล้ว ก็จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างมาก
อะไรคือข้อกังวล
วัตถุประสงค์ที่เป็นเรื่องน่ากังวลคือเจตนารมณ์ที่ต้องการจะให้มีรัฐบาลผสม มีรัฐบาลที่ไม่เข้มแข็ง หรืออาจจะเรียกว่าเป็นรัฐบาลผสมที่อ่อนแอก็ได้ โดยให้เหตุผลว่าประเทศไทยนั้นมีบทเรียนจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เรามีรัฐบาลเข้มแข็งมากจนก่อให้เกิดวิกฤต ดังนั้นผู้ร่างซึ่งมีประสบการณ์จากการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 จึงต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการให้มีการจัดตั้งรัฐบาลผสม
ทีนี้การที่จะได้มาซึ่งรัฐบาลผสม กมธ.ยกร่างฯจึงเห็นว่าการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมจึงน่าจะเป็นทางออก ส่วนตัวผมนั้นไม่ว่าจะใช้ระบบเลือกตั้งแบบใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่ต้องการ เช่น อังกฤษ ใช้การเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียว ใครมีคะแนนสูงอันดับ 1 ก็ได้รับเลือกตั้งไป เขาก็ใช้มานานแล้วไม่เห็นมีปัญหา ส่วนฝรั่งเศสบอกว่าคนได้รับเลือกตั้งต้องได้เสียงเกินครึ่งของผู้มาใช้สิทธิ ถ้ารอบแรกไม่ถึงครึ่งก็ต้องเลือกรอบที่ 2 ขณะที่เยอรมันนั้นใช้แบบสัดส่วนผสม เพราะได้รับบทเรียนจากรัฐบาลของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แต่สำหรับผมแล้วจะดูที่ผลลัพธ์ของการเลือกตั้ง ดูว่าเมื่อเลือกตั้งแล้วเกิดอะไรขึ้น เพราะหลักการของระบอบประชาธิปไตยที่ดีควรออกแบบให้สอดคล้องกับประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย หมายถึงประชาชนเลือกฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ซึ่งในบางประเทศยังกำหนดว่าฝ่ายตุลาการยังต้องมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมของประชาชน
หลักที่สำคัญคือเลือกฝ่ายบริหารโดยต้องทำให้มีรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีเอกภาพในทางนโยบายเพื่อให้การขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความสำเร็จ มีคนบอกว่าระบอบประชาธิปไตยกินได้ไหม คนยากคนจนได้ประชาธิปไตยแล้วกินได้หรือไม่ หายหิวไหม ก็มีคนอธิบายกลับมาว่ากินได้ ทำให้ประชาชนไม่ยากจนได้ แต่ก็ต้องมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ สามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาของประชาชนได้ดี โดยเฉพาะปัญหาปากท้องของประชาชนทำให้ประชาชนมีการศึกษา จากนั้นก็จะอยู่ดีกินดีเลิกจน ซึ่งหลายประเทศทำสำเร็จ เท่าที่ได้ศึกษามาไม่มีประเทศใดในโลกนี้ ที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาแล้วประสบความสำเร็จโดยการใช้รัฐบาลผสม ไม่มีเลย
ทำไมจึงคิดว่ารัฐบาลผสมเป็นอุปสรรค
ก็เพราะมีจุดอ่อน 1.การไม่มีเอกภาพในด้านนโยบาย รัฐบาลผสม ถ้าพรรคแกนนำมีเสียงไม่เกินกึ่งหนึ่ง จะทำให้พรรคการเมืองขนาดกลางและเล็กมีอำนาจต่อรองสูง พรรคเหล่านี้จะต่อรองผลประโยชน์เต็มที่ ถ้าอยากได้เขามาร่วมรัฐบาลก็ต้องยอมประนีประนอมผลประโยชน์ ยิ่งถ้ามีพรรคขนาดใหญ่ 2 พรรค แย้งกันเป็นรัฐบาล พรรคขนาดกลางและเล็กก็จะยิ้มไว้เลย เพราะต้องดูว่าพรรคไหนจะให้ประโยชน์ได้มากกว่า พรรคที่ให้ประโยชน์มากกว่าก็จะสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องไปดูไกล ดูแค่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีเสียงไม่ถึงครึ่งหนึ่ง จึงไม่มีกระทรวงสำคัญเหลือไว้ให้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลเลย
2.การเป็นรัฐบาลผสมจะมีอุปสรรคมากคือการไม่เป็นเอกภาพด้านนโยบาย เพราะทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลยืนยันที่จะใช้นโยบายของพรรคตัวเองในการดูแลกระทรวงที่รับผิดชอบ และหวังว่าอนาคตประชาชนจะเลือกเขามากขึ้นด้วย การจัดตั้งรัฐบาลก็ต้องแบ่งโควต้า เช่น ส.ส. 6 ต่อ 1 ตำแหน่งรัฐมนตรี
ถ้ารัฐบาลบริหารประเทศแล้วไม่มีเอกภาพ มันจะขับเคลื่อนประเทศได้อย่างไร เพราะปัญหาสำคัญของประเทศจะต้องใช้พลังมากทีเดียว เมื่อคนเป็นนายกฯหรือพรรคแกนนำไม่สามารถควบคุมทิศทางนโยบาย มันจะบริหารประเทศให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร เพราะหากไปยุ่งกับเขา (พรรคร่วม) ก็จะบอกว่าเดี๋ยวขอถอนตัวนะ ตรงนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย เพราะอำนาจฝ่ายบริหารเป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ถ้ารัฐบาลผสมซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจทำงานได้ไม่เต็มที่ บกพร่อง ก็จะทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงตามไปด้วย ทำให้ประเทศไทยเหมือนเป็ดง่อย และจะเป็นเป็ดง่อยอย่างถาวรที่เราไม่มีโอกาสเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศใดได้อีกแล้ว
บรรดาพรรคการเมืองก็จะเข้ามาใช้อำนาจสมรู้ร่วมคิดกับข้าราชการประจำเพื่อหาผลประโยชน์ การทุจริต คอร์รัปชั่นก็จะแพร่ระบาด ศักยภาพการพัฒนาประเทศก็จะยิ่งถดถอย นี่เป็นประเด็นที่เรียกว่าเป็นหัวใจของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ้าบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ทุกส่วนดีหมด แต่ประเด็นที่จะก่อให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอมันก็จะทำร้ายการพัฒนาประเทศในระยะยาว
หากบอกว่าเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน
หลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย จะดีได้ก็ต่อเมื่อ 1.มีรัฐบาลที่เข้มแข็ง 2.เมื่อมีรัฐบาลที่เข้มแข็งแล้ว จะทำอย่างไรเมื่อมีการประพฤติมิชอบแล้วต้องเอาออกได้ง่าย ต้องสร้างกลไกการตรวจสอบรัฐบาลที่เข้มแข็งให้มีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาการตรวจสอบมีอยู่ 2 วิธี คือ 1.การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องนี้ถ้ารัฐบาลเขามีเสียงข้างมากเกินครึ่ง อภิปรายทุกครั้งเขาก็ชนะ การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นกระบวนการตรวจสอบที่ไร้ประสิทธิภาพมากที่สุด จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลแตกคอ
2.การถอดถอน ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยถอดถอนได้สำเร็จเลย ก็แสดงว่ามันใช้งานในประเทศไทยไม่ได้ สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือการถอดถอน ผมจะบอกว่ามันไร้สาระก็คงไม่ดี แต่เป็นกลไกที่ไม่มีความเป็นจริงในทางปฏิบัติ ผมว่ากลไกอะไรก็แล้วแต่ที่สร้างมาแล้วใช้ประโยชน์ไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ เสียเวลาเปล่าๆ ซึ่งประเทศที่ใช้ระบบแบ่งแยกอำนาจเขาไม่ใช้กันเลย เขาไม่มี เพราะเขาเห็นว่ามันไร้สาระ
ดังนั้น เราจึงต้องสร้างกลไกใหม่ ผมเสนอให้ ส.ส. 1 ใน 10 เข้าชื่อกันเสนอต่อประธานวุฒิสภา ให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญไต่สวนการกระทำมิชอบของรัฐบาล หรือการกระทำมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยต้องดำเนินการจัดตั้งโดยเร็ว เชิญอดีตอัยการสูงสุดคนหนึ่งมาเป็นประธาน เพราะอัยการสูงสุดมีประสบการณ์ในการสอบสวน เพื่อให้มั่นใจว่าสำนวนการสอบสวนมีมาตรฐาน และเมื่อการสอบสวนชี้มูลว่ามีการกระทำความผิดอาญา ให้ประธานวุฒิสภาส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณา ลักษณะนี้จะทำให้รัฐบาลที่ประพฤติมิชอบ ทุจริต ต้องเจอแบบนี้
ที่บอกว่า ส.ส. 1 ใน 10 ก็เพื่อให้ทำง่าย ไม่ยากให้มันทำยาก และไม่สามารถก่อกวนรัฐบาลได้เพราะต้องมีข้อมูลหลักฐาน ถ้าเสนอแล้วไม่มีข้อมูลหลักฐานก็ต้องยกคำร้องไปในที่สุด ดังนั้นจะมีผลก็ต่อเมื่อรัฐบาลมีความผิดจริงๆ เราต้องสร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว และหากเป็นช่วงที่มีวิกฤต อาจจะต้องระบุว่าต้องไต่สวนโดยด่วน รัฐบาลที่เข้มแข็งต้องมีกลไกการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ประเทศก็จะเดินหน้าไปได้
ในภาพรวมที่เห็นว่ามีปัญหาการอธิบายของ กมธ.ยกร่างฯสมเหตุสมผลหรือไม่
ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง สำหรับ กมธ.ยกร่างฯ ต้องมองด้วยว่าเหตุผลของคุณนั้น คนอื่นๆ เขาเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าคุณดันทุรังโดยที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยก็มีปัญหา คนเราเมื่อเสนอเหตุผลไปแล้วถ้าคนอื่นเขาเห็นด้วยก็จบ เมื่อมีคนจำนวนมากคัดค้านแล้วยังใช้ต่อไปก็มีปัญหา เราไม่อาจบอกได้ว่าข้อเสนอของใครไม่มีเหตุผล แต่ต้องดูว่าข้อเสนอนั้นได้รับการยอมรับด้วย สำหรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หากยังเป็นแบบนี้ จะตกไปก็ไม่เสียดาย ไม่มีปัญหา ตราบใดที่รัฐธรรมนูญต้องการสร้างรัฐบาลที่เป็นเป็ดง่อย ผมก็จะไม่รับ ผมมีจุดยืนของผม และถ้าจะต้องตั้ง กมธ.ยกร่างฯขึ้นใหม่ ก็ไม่มีปัญหา ทำไมถึงคิดว่าประเทศนี้มีคน
คนเดียวที่สามารถทำงานได้ ทำไมไม่เคารพความสามารถของคนอื่นด้วย ในเมื่อคุณทำงานไม่สำเร็จก็ให้คนอื่นเข้ามาทำงานต่อ ทำไมต้องยึดติดที่ตัวเองขนาดนั้น
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด