มติชนออนไลน์ : วิเคราะห์
ผ่าน-ไม่ผ่าน คำถามกระหึ่มถึง "ร่างรัฐธรรมนูญ" หลายฉายาที่สภาปฏิรูปแห่งชาติหรือ สปช. จะโหวตชี้ชะตาวันอาทิตย์ที่ 6 ก.ย.นี้
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นผลงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน
ตลอดเวลาของการยกร่าง มีข่าวเกรียวกราวมาเป็นระยะๆ
ถึงขนาดมีกรรมาธิการสตรีคนหนึ่งลาออกไป คือ นางทิชา ณ นคร
ไฮไลต์ของร่างรัฐธรรมนูญมีอยู่ 4-5 จุด
ได้แก่ การให้ "คนนอก" เป็นนายกฯได้ ส.ว.ข้างมากมาจาก "สรรหา" โดย ครม.เป็นคนตั้งกรรมการสรรหา
การตั้ง คปป.หรือคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดอง 22 คน
ปัญหาของ คปป.อยู่ที่การมีอำนาจพิเศษ ทั้งในร่างปกติและในบทเฉพาะกาล
ในบทเฉพาะกาลที่กำหนดให้ คปป.ในวาระเริ่มแรกใช้รัฐธรรมนูญ มาจากนายกฯคนที่มีอำนาจอยู่ก่อนเลือกตั้ง และผู้นำอำนาจต่างๆ ยกคณะไปนั่งเป็น คปป.
กลายเป็น "ซุปเปอร์รัฐบาล" หรือรัฐบาลอีกชุดที่ซ้อนอยู่ มีอำนาจเหนือรัฐบาลที่มาตามขั้นตอนในรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน
ยังมีปมประเด็นเกี่ยวกับการตั้งกรรมการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ที่เคยมีบทบาทอย่างสูงในช่วงรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งจะทำให้องค์กรเหล่านี้ มีความพิเศษนอกเหนือจาก 3 อำนาจอธิปไตย ไม่น้อยกว่าสมัยรัฐธรรมนูญ 2550
ด้วยเนื้อหาระดับเรียกแขกวีไอพีเหล่านี้ ทำให้เกิดความเห็นต่างขึ้นมา 2 ฝ่ายทันที
ฝ่ายเห็นด้วย ก็คือกลุ่มที่สนับสนุนการล้มรัฐบาลเพื่อไทย สนับสนุนการชัตดาวน์ จนกระทั่งนำมาสู่รัฐประหาร 22 พ.ค.2557 และปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
โดยเชื่อว่า นี่คือวิธีเดียวที่จะถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ และทุนสามานย์
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ก็คือ พรรคการเมือง กลุ่มปัญญาชน นักวิชาการ ที่เห็นว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่มุ่งสืบทอดอำนาจ กวาดล้างขั้วการเมืองตรงข้าม
แนวโน้มการลงมติของ สปช.ในวันที่ 6 กันยายน แม้จะเห็นว่าความคึกคักในการแสดงความเห็นคัดค้าน มาจาก สปช.กลุ่มของ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ นายวันชัย สอนศิริ นายเสรี สุวรรณภานนท์
แต่ "พลังเงียบ" ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ใน สปช. ต่างหาก จะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของร่างรัฐธรรมนูญตัวจริง
สมาชิก สปช.247 คน แม้จะมาจากการสรรหา แต่สุดท้าย ผ่านการจิ้ม-เคาะ จาก คสช.
ดังนั้น การตัดสินใจลงมติ จะเป็นภาพสะท้อนความต้องการของ คสช.นั่นเอง
สำหรับ คสช. ไม่ว่า สปช.จะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีอะไรต้องสูญเสียมากนัก ยังไงๆ ก็ได้อยู่ยาวไปถึงปี 2559-2560
แต่ในทางการเมือง การไฟเขียวให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่าน จะเป็นภาพที่ดีกว่าสำหรับ คสช.และ สปช. เพราะเสียเงินเสียทองเสียเวลามากมาย หากโหวตคว่ำก็เท่ากับที่ผ่านมาสูญเปล่า
การไฟเขียวให้ผ่าน ยังนำไปสู่การลงประชามติ ให้ประชาชนตัดสิน เป็นขั้นตอนที่มีความหมาย และกล่าวอ้างได้ว่าเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย
ดังนั้น โอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญจะ "ผ่าน" ในวันที่ 6 ก.ย. จึงสูงยิ่งกว่าโอกาสตกม้าตาย หรือไม่ผ่าน
มองทะลุวันที่ 6 ก.ย.ออกไป หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ก็จะต้องแต่งตั้งกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
น่าจะใช้เวลาอีกไม่น้อย และคงจะตามมาด้วยปัญหามากมาย
แต่หากร่างรัฐธรรมนูญผ่าน สปช.ไป จะเห็นขั้นตอนต่างๆ ที่ชัดเจนกว่า
โดยร่างรัฐธรรมนูญจะไปเข้ากระบวนการเตรียมลงประชามติ ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.
การลงประชามติจะให้ผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งประเทศ มากาบัตรว่าจะยอมรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่
จะเป็นงานใหญ่ใช้งบประมาณ 3 พันล้านบาท
คาดหมายว่า จะเกิดบรรยากาศของการถกเถียง โต้แย้ง และขัดแย้งกันอีก จากฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน
รัฐบาล โดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้เตือนว่า การใช้ไลน์ คลิป โซเชียลมีเดีย เพื่อรณรงค์ ปลุกระดมเพื่อชี้นำ เพื่อคัดค้านหรือสนับสนุน ร่างรัฐธรรมนูญนั้นทำไม่ได้
ขณะที่ กกต.ก็เตรียมนำประกาศเกี่ยวกับการลงประชามติเข้าขอความเห็นชอบจาก สนช. หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านในวันที่ 6 ก.ย. โดยเตือนเรื่องการคัดค้านหรือสนับสนุนว่า ยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัด ตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 7/2557 ที่ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองด้วย
ยังน่าสงสัยว่า ภายใต้บรรยากาศที่มีข้อจำกัด การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นไปในแนวทางใด
สรุปรวบยอดคร่าวๆ ว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไปถึงขั้นประชามติ ผลจะออก 2 หน้า คือผ่านหรือไม่ผ่าน
ถ้าผ่านประชามติ จะเป็นขั้นตอนของการร่างกฎหมายลูก ไปเลือกตั้งใหญ่ประมาณเดือน ก.ย.หรือ ต.ค.2559
การเมืองในเวลานั้น หากพิจารณาจากบทบัญญัติของร่างรัฐธรรมนูญ น่าจะยุ่งยากอยู่ไม่น้อย
ถ้าไม่ผ่านประชามติก็ต้องตั้งกรรมการมายกร่างใหม่อีกคล้ายกรณี สปช.ไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญ
ดูจากวันนี้ เส้นทางไปสู่การคืนอำนาจ ดูคดเคี้ยวเลี้ยวลด
และใช้เวลายาวนาน
ไม่รวบรัดฉับไวเหมือนตอนยึดอำนาจ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ สภา และองค์กรต่างๆ ในเวลาอันรวดเร็ว
สถานการณ์เหล่านี้ จะอยู่ภายใต้รัฐบาลที่เพิ่งจัดทัพใหญ่ ทั้งปรับ ครม.เปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ โยกย้ายทหาร 3 เหล่าทัพ จัดแถวตำรวจและกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ และยังผุด "สภาขับเคลื่อนการปฏิรูป" มาแทน "สภาปฏิรูปฯ" ที่สิ้นสภาพหลังวันที่ 6 ก.ย. เป็นแผงอำนาจอันเข้มแข็ง
แผงอำนาจนี้จะเข้มแกร่งรับมือสถานการณ์ต่างๆ ได้หรือไม่ ขึ้นกับหลายปัจจัยที่ซับซ้อน รวมถึงการแก้ปัญหา สร้างผลงาน สร้างความพึงพอใจให้กับคนส่วนใหญ่ได้หรือไม่
ขณะที่แรงกดดันจากมหาอำนาจ จากต่างประเทศให้ประเทศไทยคืนสู่สภาพปกติ แข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ
ความพยายามร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยเนื้อหาดังที่กล่าวมา จะทำให้รัฐบาลเข้มแข็งขึ้น ผลักดันการปฏิรูปได้อย่างสบายมือ หรือจะออกมาในทางตรงกันข้าม
น่าจะได้เห็นจากสัญญาณที่ปรากฏชัดขึ้นและมากขึ้นเรื่่อยๆ ในเวลาต่อไปนี้
มติชนออนไลน์ : หมายเหตุ - นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ "มติชน" ถึงแนวทางด้านต่างประเทศของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเฉพาะการชี้แจงทำความเข้าใจกับนานาชาติหลังถูกวิจารณ์ในการเข้ามาควบอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งยังอธิบายแนวทางการปฏิรูปประเทศ
@การที่ไทยยังอยู่เทียร์ 3 ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือทิปรีพอร์ต ถูกมองว่าเป็นมาตรการกดดันอย่างหนึ่งของสหรัฐ
หากมีมาตรการอื่นมาเสริมอาจมองอย่างนั้นได้ แต่ปรากฏว่าไม่มี การกำเนิดทริปรีพอร์ต การกำหนดกฏเกณฑ์ว่าประเทศใดอยู่ในกลุ่มใด การที่เรายังอยู่ในเทียร์ 3 ในแง่ของภาพลักษณ์อาจจะมีความรู้สึก แต่กี่คนจะสนใจเรื่องนี้ นอกจากไทยแล้วไม่มีประเทศไหนสนใจหรอก มีไทยเท่านั้นที่แคร์ความรู้สึกของตัวเอง แต่ประเทศอื่นเขาไม่ได้พูดถึงเทียร์ใดทั้งสิ้น เพราะโดยพื้นฐานแล้วเป็นการจัดอันดับโดยประเทศอื่น หลายประเทศเขาไม่ยอมรับ ไม่ใส่ใจ ดังนั้นการที่เรารู้สึกอ่อนไหวตื่นเต้นไปด้วย เป็นเรื่องของเราที่อ่อนไหวและตอบสนอง ดังนั้น เราอย่าได้ตื่นเต้น แต่ให้รับรู้ว่าต้องกำจัดการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ เพื่อคนไทยและประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อตอบสนองทิปรีพอร์ต แต่ดีที่มีปัจจัยภายนอกเข้ามากระตุ้นให้เราได้แก้ไขปัญหาปัจจัยภายใน เป็นที่รู้กันดีว่าส่วนประกอบในการพิจารณานั้นมีหลายด้าน เราอย่าไปกังวลมาก เพราะจะเป็นเป้าและสร้างพันธนาการให้กับตัวเองไปโดยปริยาย รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นก็ต้องทำต่อไป
@รัฐบาลถูกกดดันจากนานาชาติมาโดยตลอดหลังเข้ามาควบอำนาจ
ผมได้พบกับผู้นำต่างชาติหลายๆ ประเทศ ไม่พบว่ามีใครยกประเด็นเรื่องความไม่เป็นประชาธิปไตยมาพูดคุยกัน ไม่มีใครมาถามว่าประชาธิปไตยของคุณเป็นอย่างไร เพราะประเทศได้ก้าวข้ามจุดนั้นไปแล้ว เขารู้การรัฐประหารของเรามาจากความจำเป็นของสถานการณ์ จำเป็นที่ต้องกอบกู้ประเทศ ป้องกันปัญหารุนแรง สุดท้ายแล้วเมื่อมีการรัฐประหาร ประชาชนต่างมีความเป็นอยู่ที่ดี บ้านเมืองสงบสุข ผมคุยกับประธานแบงก์ต่างประเทศที่อยู่ในเมืองไทยหลายแห่ง เขาบอกว่ารู้ว่ามีกฎอัยการศึกอยู่ในหนังสือพิมพ์ กลับไม่ได้รู้สึกในชีวิตประจำวัน ทั้งยังมองไม่เห็นเส้นแบ่งระหว่างการยกเลิกกฎอัยการศึกกับการใช้มาตรา 44 เพื่อดูแลบ้านเมือง ต่างประเทศมีความเข้าใจสถานการณ์ไทยดี มีแต่คนไทยบางคนที่ไม่เข้าใจ จำนวนหนึ่งมาจากการกระตุ้นให้แสดงออกว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องเอาคืนมาให้ได้ โดยไม่ยอมรับว่าวันต่อวันเรามีมากกว่าประชาธิปไตย แม้จะไม่มีการเลือกตั้ง แต่ผมผ่านมาเลือกตั้งมาไม่รู้กี่ครั้ง ยังไม่เห็นความแตกต่างของบ้านเมือง สิ่งที่ต้องการจริงๆ คือความสงบ เสถียรภาพ ความมั่นคง ความเจริญก้าวหน้า ความอยู่ดีกินดี ความผาสุกของบ้านเมือง ผมเรียนรัฐศาสตร์มาพบว่าในตำราเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โลกของความเป็นจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
@การแสดงท่าทีต่อองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่งออกแถลงการณ์กดดันไทยอย่างต่อเนื่อง
เรื่องการชี้แจงต่อต่างประเทศ เราอย่าเป็นจำเลยต่อสังคมโลก สิ่งที่เราทำคือสิ่งดีของประเทศชาติ ถ้าเรามัวแต่คิดว่าจะต้องไปชี้แจง จะตกเป็นจำเลยไปโดยปริยาย อย่างแอมเนสตี้ ยูเอ็น ก่อนที่ผมจะเข้าร่วมรัฐบาลรู้จักคนเหล่านี้ การออกแถลงการณ์ถือเป็นงานของเขา เขาไม่ได้ดื่มด่ำอะไรด้วยหรอก งานของเขาคือต้องเรียกร้องไปตามนั้น หัวใจของเขาเป็นคนธรรมดา บางครั้งพวกเขาถูกกระตุ้นให้ออกมา บางคนที่อยู่ในแวดวงเดียวกันมีความเข้าใจในความเป็นจริง สมัยหนุ่มๆ ผมออกไปเดินขบวนตอนพฤษภาทมิฬ 2535 เมื่อเราโตมากขึ้นจึงรู้ว่าของจริงเป็นอย่างไร ที่พูดกันในตำราเรียนก็ดี หรือถูกปลุกด้วยกระแสการเมืองก็ดี เมื่อเรามีประสบการณ์มากขึ้นจึงรู้ว่าประเทศเราต้องการอะไร ลูกหลานควรได้อะไร ไม่ใช่เลือกตั้งแล้วไม่ได้คนที่จะมาช่วยจรรโลงประเทศ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า การปฏิรูปประเทศครั้งนี้เป็นหัวใจสำคัญ ต้องทำเพื่อไม่ให้กลับไปอยู่ในวงจรแบบเดิม ตลอดชีวิตที่ผมเป็นนักการทูตมาทำให้รู้ว่า ผมต้องปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ใช่ของรัฐบาล ถ้าคนเข้าใจลักษณะแบบนี้ จะทำให้คนไทยไม่อิงตำราเรียนจนถูกชักจูงเข้าไปสู่ความเป็นวิชาการมากกว่าความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงกับในตำรามันคนละเรื่องกัน แต่ส่วนใหญ่จะมองแค่ในตำราโดยไม่รับรู้ว่าความเป็นจริงของโลกเป็นอย่างไร
@หากทุกฝ่ายยืนอยู่บนหลักการปัญหาจะไม่เกิดขึ้นหรือไม่
กติกาทั้งหลายเป็นเรื่องดี ทุกเรื่องต้องมีกติกา บ้านเมืองอยู่ด้วยกติกามาโดยตลอด แต่มาถึงจุดหนึ่งที่มีบางฝ่ายไม่เดินตามกติกา มีการประท้วง กติกาไม่ได้หมายความว่าเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วจะสามารถทำอะไรก็ได้ หลายประเทศเกิดปัญหาเพราะคิดว่าเมื่อถือเสียงข้างมากแล้วจะทำอะไรก็ได้ เหตุการณ์ในประเทศเอกวาดอร์ อุรุกวัย มาจากเรื่องลักษณะนี้ ทุกอย่างต้องมีความสมดุล ใครที่ได้รับเลือกต้องใช้อำนาจอย่างเหมาะสมบนฐานแห่งความถูกต้องชอบธรรม แต่บ้านเมืองเราไร้กติกาจึงเกิดปัญหาตามมาจนมีการรัฐประหาร ทั้งที่รัฐประหารไม่มีใครอยากทำ คิดหรือว่าคนที่ทำรัฐประหารจะมีความสุขในวันต่อวัน คิดหรือไม่หรือว่ารัฐมนตรีแต่ละคนจะมีความสุข แต่ทั้งหมดที่มาเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน ผมเป็นข้าราชการอยู่กับรัฐบาลมามาก จึงกล่าวได้ว่ารัฐบาลนี้ได้ทุ่มเทให้ประชาชนอย่างเต็มที่
@รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารถูกมองว่ามีเป้าหมายเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม
ถ้าจะกำจัดเขาคงทำไปนานแล้ว ถ้าในตำราเรียนผู้ที่มีกระบอกปืน มีอำนาจ รัฐบาลจากรัฐประหารจะไม่ปล่อยฝ่ายตรงข้ามเด็ดขาด แต่รัฐบาลนี้ทำอะไรบ้าง ไม่มี แม้กระทั่งการเปลี่ยนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามยังไม่มี มีการเปลี่ยนบ้างในบางกระทรวง แต่มีอีกจำนวนมากมายที่ไม่ได้แตะต้อง เพราะถือว่าต้องมาช่วยกันทำงาน หากเป็นในทฤษฎีอาจใช่ รัฐบาลต้องกำจัดฝ่ายตรงข้าม แล้วเราก็มักนำทฤษฎีมาอ้างเพื่อให้เกิดปัญหา แต่นี่ไม่ใช่ทฤษฎี นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ส่วนการปฏิรูปจะทำได้มากน้อยเพียงใดเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง รัฐบาลนี้ไม่ได้มีเวลามาก แม้มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลอยู่ต่อเพื่อปฏิรูป แต่เราไม่ได้ต้องการแบบนั้น รัฐบาลตั้งใจจะวางรากฐานให้ใครหน้าไหนก็ได้ที่จะมาเป็นรัฐบาลต้องทำอย่างจริงจัง คนจำนวนไม่น้อยที่มองรัฐบาลในแง่ลบตลอดเวลา โดยไม่นึกเลยว่ามีทหารจำนวนหนึ่งต้องการทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ หากมีคนที่ไม่ตั้งใจจริงมาทำงานให้ประเทศ อย่าหวังอะไรมากกับประเทศนี้ แล้วเราจะอยู่ตรงไหน เพราะคนจะเข้ามาเอาผลประโยชน์จากประเทศ ขอให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจและช่วยกันสนับสนุนความเป็นเอกภาพของบ้านเมือง
@การเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนปฏิรูปประเทศ นอกจากเดินเกมชี้แจงต่างประเทศแล้ว ยังสนับสนุนให้รัฐบาลอยู่ต่อ มีนัยยะอย่างไร
ต่างประเทศที่รับรู้เรื่องราวต่างทราบว่านายสุเทพเป็นประธานมูลนิธิฯ ไม่ใช่รัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้รู้สึกถูกลดบทบาทลง ผมคิดว่าคนไทยในภาคส่วนต่างๆ สามารถช่วยเหลือประเทศได้ในรูปแบบต่างๆ ตามความถนัดของตัวเอง รัฐบาลไม่ได้ห้าม เพราะถือเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้ยากมากที่คนไทยจะได้ช่วยเหลือเปลี่ยนแปลงชาติให้ดีขึ้น เป็นเรื่องไม่ดีอย่างไรคนไทยทั้งมวลถึงไม่ออกมาสนับสนุนรัฐบาล จากที่ผมทำงานทั้งในและต่างประเทศเห็นความก้าวหน้าของหลายประเทศ ชัดเจนว่าหลายอย่างต้องเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เราต้องเดินต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทว่าหากคนมองการปฏิรูปเหมือนเป็นของเล่นก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
รัฐบาลไม่ต้องการอยู่ไปเรื่อยๆ เราต้องการให้รัฐธรรมนูญที่กำลังร่างอยู่ได้เดินหน้าต่อไปตามกระบวนการ มีการกำกับอย่างชัดเจนว่า การปฏิรูปเป็นหัวใจหลัก หากพลาดโอกาสนี้ไปวังวนเก่าๆ จะกลับมา น้ำเน่าจะกลับมา และสิ่งที่ได้ช่วยกันสร้างมาจะไม่มีคุณค่าเลย ไทยจะกลายเป็นประเทศรองบ่อนของเพื่อนบ้าน เราไม่ได้ต้องการแบบนั้น ดังนั้นต้องสร้างคนไทยให้มีคุณภาพ คนไทยเป็นเจ้าของอนาคตตัวเอง แม้ผู้ใหญ่จะเป็นไม้แก่เปลี่ยนความคิดลำบาก แต่ต้องดูแลเยาวชนอนาคตของชาติ ให้เขาเจริญวัยขึ้นมาเป็นผู้ที่มีความเข้มแข็ง วันนี้บ้านเมืองต้องเป็นเอกภาพ หากมีแต่การยั่วยุ ไม่เพียงแต่คนในชาติจะเบื่อหน่าย นอกประเทศที่เขาเฝ้ามองก็จะส่ายหน้า ถ้าไม่มีการปฏิรูปบ้านเมืองจะถดถอย คนไทยไม่เข้าใจว่าการปฏิรูปสำคัญอย่างไร ที่ประเทศอื่นๆ ไม่ได้เน้นการปฏิรูปเพราะอาจมีเรื่องดีๆ อยู่ในสัดส่วนที่โอเค แต่บ้านเราล้มลุกคลุกคลานมาหลายรอบ มีปัญหาภายในหลายครั้ง จึงเห็นช่องทางการปฏิรูปเป็นสำคัญ
@คาดหวังอะไรกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ มี 2 ขั้นตอน คือ 1.สมาชิกปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) รับหรือไม่รับร่างฯ 2.การลงประชามติ ส่วนตัวหวังว่าเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลหมดหน้าที่ไป สิ่งที่ได้วางพื้นฐานการปฏิรูปเอาไว้ต้องมีการทำต่ออย่างจริงจัง ผมคาดหวังว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้จะฝังรากลึกการปฏิรูปเอาไว้ ใครก็ตามที่จะมาบริหารประเทศต้องมีพันธะ ทำหน้าที่นี้อย่างจริงจัง แต่นักการเมืองมักมองอะไรก็ไม่รู้ นักการเมืองคือผู้ที่เอาประโยชน์ใส่ตัวและพรรคพวกของตัวเองเป็นหลัก ถ้าเรามีนักการเมืองที่ดูแลผลประโยชน์ของบ้านเมืองจริงๆ เราคงไม่เป็นแบบนี้ นักการเมืองที่ดีก็มี แต่มีน้อย จึงถูกกลุ่มใหญ่ครอบงำ
ชะตากรรม...Tier 3...ICAO...IUU
บ้านเมือง : หมายเหตุ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ 'คืนความสุขให้คนในชาติ'ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2558
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผมคิดว่าหลายท่านคงได้เห็นข่าว การที่มีพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ไปเข้าแถวรอรับเสื้อและเข็มกลัดพระราชทาน เพื่อจะเตรียมการเข้าร่วมกิจกรรม "Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่" นะครับ ก็เป็นที่น่ายินดี คนจำนวนมากมายที่ไปเข้าแถวรอคอย ตั้งแต่ตีหนึ่งตีสองจนกระทั่งบางทีก็ถึงบ่ายเพราะฉะนั้นก็จะแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีที่มีต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนะครับ แล้วร่วมกิจกรรมของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาส "วันแม่ของแผ่นดิน" แล้วก็แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของปวงชนชาวไทยของเราด้วยนะครับ ก็อย่าลืมเตรียมร่างกาย อุปกรณ์ ในเรื่องของความปลอดภัยศึกษากติกา มารยาทในการปั่นจักรยานกันนะครับ สมเด็จพระบรมฯ ท่านทรงเป็นห่วงมากในเรื่องนี้นะครับ เรื่องความปลอดภัยของพวกเราทุกคนนะครับจะได้มีความสุขกัน แล้วก็ในวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม ที่กำลังจะมาถึงนี้ทุกคนก็คงจะได้ร่วมกิจกรรมที่ว่านั้นด้วยความสุขนะครับ
เมื่อต้นสัปดาห์ ที่ผ่านมานั้นได้มีการออกรายงานประจำปี ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในเรื่อง "สถานการณ์การค้ามนุษย์" (TIP Report) ประจำปี 2558 ซึ่งรัฐบาลได้ติดตามและรับทราบผลก่อนหน้านี้แล้วนะครับ ซึ่งเราไม่รู้สึกท้อ ไม่ผิดหวังใดๆ เราต้องมีความหวังนะครับ อย่าไปผิดหวังในเรื่องใดทั้งสิ้น เป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับในกติกาของสากลนะครับ รัฐบาลไทยก็จะเดินหน้าต่อไปนะครับในเรื่องของการแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ เพราะว่าเราก็ต้องสงสารคนเหล่านี้ที่ถูกหลอกลวงที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ มีผู้ได้รับผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจะต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมดนะครับรัฐบาลนี้ถือว่าเป็น "วาระแห่งชาติ" เราต้องมีหน้าที่ต่อประชาชนทั่วไปทั้งโลก นะครับ ไม่เฉพาะคนไทยด้วยกันเท่านั้นเอง เราก็พร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศ ทุกองค์กร ในการที่จะมีการปราบปรามการค้ามนุษย์ อย่างจริงจัง ให้หมดไปจากแผ่นดินไทย ให้ได้ แล้วก็สนับสนุนในเรื่องของการต่อต้านแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในอาเซียนทั้งหมดด้วย ในฐานะที่เราเป็นประเทศอาเซียนด้วยกัน เพราะวันนี้เราว่าบ้านเมืองเรานั้นมีปัญหาหลายอย่าที่ต้องแก้ไขนะครับ เพราะงั้นถ้าใครจะมาว่าเราอย่างไรก็ตามเราก็อย่าท้อแท้นะครับ เราก็ต้องยึดมั่นในเจตนาของเราในสิ่งที่เราต้องทำให้เพื่อประเทศไทยและเพื่อให้สังคมไทยนั้นปลอดภัยแล้วก็ไม่เสียชื่อเสียงของต่างประเทศด้วยนะครับ เรื่องความเข้าใจนั้นเป็นเรื่องที่ยากนะครับ ที่จะต้องอธิบายกัน แต่ถ้าคนไทยด้วยกัน ฟัง แล้วก็คิดนะครับ ใคร่ครวญให้ดีการที่เราจะทำอะไรให้ใครเขายอมรับได้ ก็ต้องพิสูจน์ทราบให้เขาเห็นให้ได้ก่อนนะครับ เขาจะได้เข้าใจเรานะครับ การจัดลำดับของเราใน "Tier 3" ก็เราได้รับมาแล้ว ตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับ เพราะงั้นวันนี้เราก็ทำอะไรหลายอย่างที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะงั้นการที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้กำหนดมาแล้ว ก็เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกานะครับ
เราก็ทำของเราเรารู้อยู่แล้วว่ามันดีขึ้น ไม่ดีขึ้นอย่างไรนะครับ เราผมไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความพยายามในการแก้ปัญหาแต่เพียงแต่ว่าผลการดำเนินการนั้นไม่สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำในช่วงที่เขามาดู แล้วอย่าลืมว่าเขามาดูในช่วงต้นๆ ที่เราเพิ่งแก้ไขไป วันนี้เราแก้ไขมาหลายเดือนแล้ว แล้วก็ถ้ามันเลยไปอีกนี่มันก็ต้องดีขึ้น วันนี้ก็ชัดเจนขึ้นหลายอย่าง การลงโทษเจ้าหน้าที่ การลงโทษผู้เกี่ยวข้อง 100 กว่ารายนะครับ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ประเทศอื่นเขาน้อยกว่าเรามาก คดีความก็นำเข้าสู่ขบวนการพิจารณานะครับ วันนี้เราต้องแก้ไขให้ได้ทั้งระบบโดยเร็วนะครับ เพราะงั้นถ้าหากว่าเรามี ความพยายามอย่างชัดเจนแล้ว วันหน้าเราก็จะได้มีผลงานปรากฏออกมาแล้วการยกระดับขึ้นมาเป็น "Tier 2" ได้ในอนาคตโดยเร็วนะครับ ในส่วนของปัญหาที่มีซับซ้อนกันอยู่มีหลายเรื่องด้วยกันนะครับ ทั้งค้ามนุษย์ ICAO เหล่านี้ แล้วก็ IUU นี่ ก็เช่นเดียวกัน ปัญหาเดียวกัน เพราะงั้นถ้าจะตัดสินยังไงก็เรื่องของเขา เราก็ต้องทำของเราให้ดีที่สุด แล้วกัน เพื่อคนไทย เพื่อทรัพยากรไทย เพื่อสิทธิมนุษยชน ดูแลทุกคนในโลกใบนี้นะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาเซียนด้วยกันนะครับ ที่มีผลกระทบโดยรวมทั้งสิ้น นะครับ ใครจะว่าเราก็แก้ไข ใครชมเราเราก็ดีใจชื่นใจ แล้วก็เก็บไว้เงียบๆ นะ เพราะปัญหาหลายอย่างมันทับซ้อนกันอยู่นะ เรารู้ตัวเองเราดีอยู่แล้ว ก็ขอความร่วมมือนะครับ ความร่วมแรงร่วมใจจากพี่น้องประชาชน คนไทยทุกคนนะ ก็อย่าพูดกันถึงเรื่องนี้อีกเลยนะครับ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลแล้วก็ส่วนที่เกี่ยวข้องต้องแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ประกอบการ รวมทั้งแรงงานด้วย ก็อย่าตกเป็นเหยื่อเขานะครับ ก็ต้องซื่อสัตย์ต่อกันนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ใกล้ตัวเรามากนะครับ ประเทศเรามีผลกระทบหลายอย่าง การค้า การลงทุนต่างๆ มันต้องทำให้สิ่งเหล่านี้มันหายไปให้ได้จากสังคมไทยนะครับ
ก็ขอเน้นย้ำเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้นะ ว่ารัฐบาลไทยมุ่งมั่นต่อไปนะครับทุกเรื่อง การต่อต้านการค้ามนุษย์ IUU, ICAO อะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ที่มันมีปัญหาทับซ้อนมายาวนานจากหลายๆ รัฐบาลที่ผ่านมา รัฐบาลนี้จะจริงจังทุกเรื่องนะครับ ให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรมของโลก และการรักษาความมั่นคงของประเทศ บรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทั้งคนไทยและคนอาเซียนทั้งหมด นะครับ ก็ขอร้องให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ต้องเข้าใจเรานะ เรากำลังแก้ปัญหาอยู่แล้วก็มีการขยายความร่วมมือกับนานาประเทศด้วย องค์การระหว่างประเทศ ชี้แจง ทำความเข้าใจส่งหลักฐาน ผลการดำเนินงานให้อย่างต่อเนื่องนะครับ
ในส่วนที่รัฐบาลให้ความเร่งด่วนอีกอันหนึ่งก็คือ การแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจนะครับ วันนี้เราจำเป็นต้องวางรากฐานการสร้างความเข้มแข็งในภาคเศรษฐกิจ แล้วก็เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคตให้ได้ ทั้งนี้ ก็จะทำให้ประเทศไทยนั้นซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมมายาวนานนั้นแล้วเราก็ต้องพึ่งพาการส่งออก เป็นสำคัญในเรื่องของการรายได้ที่เข้ามาสู่รัฐนะครับ เพราะงั้นเราต้องแสวงประโยชน์จาก "ภูมิรัฐศาสตร์" ที่เรามีอยู่แล้วเดิมในการเชื่อมโยงในการจะสร้างผลประโยชน์ ร่วมกันของไทยและของมิตรประเทศ เข้ากับภูมิภาคหลายๆ ภูมิภาคด้วยกัน ทิศทางเดียวกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกันนะครับ เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้วย เราก็ต้องหันมามองตัวเองก่อนว่าจะทำยังไงให้ถึงจุดนั้นได้ ก็ต้องทำความเข้าใจนะครับ แล้วก็จัดระบบ ระเบียบ ต่างๆ ให้ได้ กฎหมาย พันธกรณี ขีดความสามารถของเราเอง เราก็มุ่งเน้นการลงทุนโดยเอกชนไทยก่อนนะครับ ต่างประเทศเราก็มาเสริมให้นะครับ แต่มันจำเป็นนะ ถ้าเราไม่เอาต่างประเทศมาเลยก็ไม่ได้ เพราะงั้นเราก็ต้องดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักอยู่แล้วนะครับ แล้วก็ประชาชนโดยรวม ในการแข่งขันในเรื่องด้านเศรษฐกิจนี้
วันนี้ ถ้าจะเห็นสังเกตดูจะเห็นว่าทุกประเทศเขาปรับรูปแบบการทางด้านธุรกิจใหม่แล้ว เป็นเศรษฐกิจแนวใหม่นะครับ คือไม่พึ่งพากิจการที่มีรายได้อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวเช่นพึ่งการส่งออกอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ ต้องไปดูในคลัสเตอร์อื่นๆ ด้วย การท่องเที่ยว การลงทุนในเรื่องของการขนส่งขั้นพื้นฐานอะไรต่างๆ เราต้องเชื่อมโยงทั้งหมด มันจะทำให้ทุกคนเพิ่มการลงทุนมา เมื่อลงทุนมาก็มีภาษี มีผลประโยชน์ที่มันเป็นธุรกิจต่อเนื่อง มันต่อเนื่องเชื่อมโยงกันหมด เรามีศักยภาพหลายอย่างเป็นภูมิรัฐศาสตร์ตรงกลางเรามีเส้นทางการคมนาคมที่ถือว่าดีมากในอาเซียนในวันนี้นะครับตรงกลางแล้วเราพัฒนาไปสู่การทันสมัยอีกด้วย รถไฟ รถไฟฟ้าอะไรก็แล้วแต่นะครับ
นอกจากนั้น แล้วเรามีศักยภาพหลายอย่าง เรื่องผลิตผลทางการเกษตรเรื่องการรักษาพยาบาลเรื่องการท่องเที่ยว เรื่องการอุตสาหกรรมสิ่งทอนะครับ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับเรื่องเครื่องสำอางเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรนะครับ แล้วก็การบริการต่างๆ นะ เพราะงั้นเหล่านี้ มันต้องเอามาหาว่าจะทำกันยังไงให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด มีรายได้เข้าประเทศมาก มันจะได้ไปลดในกรณีที่เศรษฐกิจโลกมันมีปัญหา นะครับ ทำให้รายได้เราตกต่ำ ถ้าพึ่งการส่งออกอย่างเดียว แล้วก็ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเกษตรกรรมด้วยนะ มีปัญหาหมด
เราได้ตั้งคณะทำงานแล้วนะครับ คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ก็ได้หารือนะครับร่วมกับภาคเอกชน กำหนดแนวทางการดำเนินงาน เป็นแผนปฏิบัติการ 6 ด้าน คือ
1.ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค เน้นการแสวงหาพันธมิตรและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการสร้างความสอดคล้องในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศนะครับ
2.ก็คือด้านการพัฒนาคลัสเตอร์ ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่ผมกล่าวไปแล้วเมื่อสักครู่ เช่น ภาคการเกษตร ท่องเที่ยว การบิน การรักษาพยาบาล นำมาเชื่อมโยงกัน และผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกัน ในระดับท้องถิ่น-ประเทศ-ภูมิภาคให้มันเกื้อกูลต่อกันนะครับ
3.คือการพัฒนาเชิงศักยภาพ ประกอบด้วยการจัดทำศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Center) เพื่อจะให้มีการพัฒนาการเข้าถึงเทคโนโลยี อย่างทั่วถึง เพื่อส่งเสริมการนำไปใช้ประโยชน์ ในด้านการค้า-การลงทุน-อุตสาหกรรม การส่งเสริมประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการบริหารจัดการขยะมูลฝอย และการวิจัยและพัฒนา ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐ-เอกชน-สถาบันการศึกษาเราอยากให้มีการจัดตั้ง 'ศูนย์วิจัย'ซึ่งมีทั้งในส่วนของ สถาบันการศึกษา และในส่วนของ "ศูนย์ส่งเสริมการลงทุน" ภาคเอกชน ร่วมกับสถานศึกษาในปัจจุบันของรัฐอยู่แล้วในปัจจุบันนี้ด้วยนะครับมันจะได้ใช้เงินที่ไม่ซ้ำซ้อนกัน แล้วก็สามารถที่จะบังคับวิถีได้ว่าเราจะเดินหน้าประเทศไปอย่างไร วิจัยเรื่องอะไร แล้วนำสู่การผลิตในเรื่องอะไร ให้ชัดเจนขึ้นนะครับ
4.คือในเรืองของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เราต้องปฏิรูปการศึกษาให้ผลิตคนให้ตรงกับความต้องของตลาดแรงงาน รวมทั้งการพัฒนาฝีมือแรงงาน ทั้งด้านทักษะวิชาชีพ รวมความถึงด้านภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้าน หรือภาษาของประเทศที่มาลงทุนในบ้านเรานะครับมีหลายประเทศ หลายภาษาด้วยกัน เพื่อจะรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานในปีหน้านี้นะครับ ในการลงทุนของประชาคมอาเซียนด้วยนะครับ กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้วางรากฐานการปฏิรูปด้านการศึกษาของประเทศไว้แล้วนะครับ ใช้คำว่า เน้นการ "สร้างคนดี มีคุณธรรม" คนดีนี่บางทีตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนนะจะดียังไงอีกเอาง่ายๆ มีคุณธรรมแล้วกัน รู้อะไรดีไม่ดี ถึงจะเป็นคนดี ถ้าเป็นคนดีแล้วไม่รู้อะไรดี ไม่ดีก็คงไม่ใช่ ผมเลยให้เตอมคำว่ามีคุณธรรมเข้าไปด้วย ดีก็ทำ ไม่ดีก็อย่าทำ แล้วก็ห้ามคนอื่นเขา ไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่ดีด้วย
5.ก็คือการพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐ อาทิ มาตรการอำนวยความสะดวก-ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) วันนี้ก็ก้าวหน้าไปตามลำดับนะครับ ในทุกกิจกรรมการให้บริการภาครัฐ สำหรับประชาชนทั่วไป ก็ดูแลเจ้าหน้าที่เขาด้วยนะครับ เพราะว่าเหน็ดเหนื่อยเรื่อง เข้ามาวันๆ เป็นหลายร้อย หลายพันเรื่อง รวมๆ กันแล้วเป็นจะหลายอสนเรื่องแล้วตอนนี้นะ เพราะงั้นก็จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งการพัฒนากระบวนการทางศุลกากร อาทิ การขึ้นทะเบียนผู้เสียภาษี มีการเชื่อมโยงบัตรประชาชนกับข้อมูลการเสียภาษี
และก็ในเรื่องที่ 6.คือการจัดการข้อมูลภายใต้แผนปฏิบัติการ เพื่อบริหารจัดการข้อมูล ในการที่จะสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลภาครัฐ สร้างความรู้-ความเข้าใจ ในลักษณะเชิงรุก เพื่อจะใช้ในการบูรณาการ และก็เพื่อสร้างความประสานสอดคล้องเกื้อกูลซึ่งกันและกันในทุกมิติที่กล่าวมาครับ
เราต้องยอมรับว่า ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศเกษตรกรรม มีพี่น้องเกษตรกรเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้การที่จะยกระดับประเทศจากประเทศเกษตรกรรมอย่างเดียว ให้พัฒนาไปเป็นประเทศ 'อุตสาหกรรมการเกษตร' หรืออื่นๆ นั้น ทรัพยากร'น้ำ'นับว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะงั้นเราจำเป็นที่จะต้องสร้างความยั่งยืนความมั่นใจโดยการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสม ปัจจุบันคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ของรัฐบาล ระยะแรกเป็นของ คสช. นะครับวันนี้ได้ส่งแผนมาแล้ว และก็ปรับปรุงแผนดังกล่าวในการประชุมไปเรียบร้อยแล้วนะครับ ก็ได้รับช่วงแผนยุทธศาสตร์มาจากของ คสช.นะครับ ที่เราทำไว้ ในเรื่องของ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2558-2569 ของคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (คสช.) นะครับ โดยให้กระทรวงหน่วยงานปกติของรัฐได้มีการบูรณาการ ขับเคลื่อน'แผนน้ำ'ทั้งหมด ทั้ง 6 เรื่อง และ 12 กิจกรรม อันที่จริงแล้วหน่วยงานเหล่านี้ก็ทำงานมากับ คสช. ด้วยตลอดอยู่แล้ว วันนี้เพีงแต่ปรับให้มันตรง ตรงเข้ามาในกรอบของรัฐบาลเท่านั้นเองนะครับ ก็ต่อเนื่องกันนั่นแหละไม่ได้ขัดแย้งอะไรกันเลย เราก็ต้องครอบคลุมทั้ง 6 เรื่องนะครับ น้ำทุกประเภท ทั้ง 12 กิจกรรม มากว่าเราจะไปมุ่งเน้นการป้องกันน้ำท่วมอย่างเดียวนะ หรือขาดน้ำอย่างเดียว มันต้องแก้ทั้ง ทุกกิจกรรมนั่นแหละ 6 ยุทธศาสตร์ด้วยกันนะ
เพราะงั้นเราจะประกอบด้วย ประปาหมู่บ้านให้ครบของชุมชน ของโรงเรียน การขุดสระน้ำในไร่นา การบริหารแหล่งน้ำในและนอกเขตชลประทาน การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรช่วยภัยแล้ง การขุดลอกลำน้ำสายหลัก การป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมือง การฟื้นฟูผืนป่า รวมทั้งการทำพื้นที่ป้องกันและลดการพังทลายนะครับ เหล่านี้เป็นต้นนะครับ
ก็หลายเรื่องที่เราเอาปัญหาที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมามีน้ำท่วมนะครับ ช่วงแรกๆ ท่วมครั้งที่แล้วนะมหาศาล เสียหายมาก เราก็เอาอันนั้นมาแก้ไขหมดนะ เพียงแต่ต้องใช้เวลา ใช้งบประมาณเดินไปตามสเต็ป ตามขั้นตอนของเรา ตามโรดแม็พของเรานะครับ การดำเนินงานในระยะเร่งด่วนครั้งนี้ วันนี้ก็เป็นการแก้ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นมาโดยที่เราก็คาดการณ์ไว้แล้วว่ามันจะเกิด แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมากขนาดนี้ เผอิญมันเป็นเรื่องของเอลนินโญเข้ามาด้วยนะ เพราะงั้นทุกประเทศเดือดร้อนหมดรอบบ้านเราเดือดร้อน เว้นเมียนมาอย่างเดียวที่ฝนตกนะ เพราะป่าไม้เขายังดีอยู่มั้งนะ เพราะงั้นเราต้องเตรียมการให้พร้อมรับมือปัญหาภัยแล้งให้ได้นะครับ ในปีนี้ และในอนาคตนะครับ อันนี้เป็นงานเร่งด่วนนะเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้
สำหรับ ระยะปานกลางและระยะยาว ที่ถึงปี 69 นั่นก็ได้จัดให้มีคณะอนุกรรมการที่เหมาะสม ให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้ม-ติดตาม-ประเมินสถานการณ์น้ำ ในการที่กำหนดนโยบายในระดับชาติ ทั้งในด้าน "อุปสงค์และอุปทาน" ให้มีความสอดคล้องกันก็เป็นไปตามสถานการณ์ของภูมิอากาศโลกด้วยนะ ต้องการศึกษาความเป็นไปได้ พร้อมทั้งจัดทำข้อเสนอใหม่ๆ สำหรับการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบอย่างบูรณาการ อาทิ (1) การนำน้ำจากฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานครมาใช้ให้มากขึ้น เพื่อแทนการใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา (2) การตัดน้ำโดยตรงจากแม่น้ำเจ้าพระยาลงไปที่คลองสำแล ที่จะสามารถช่วยลดน้ำที่จะผลักดันน้ำเค็มเพื่อรักษาระบบนิเวศ (3) การหาแหล่งน้ำต้นทุนมาเพิ่มให้การประปานครหลวง (4) การกำหนดมาตรการ-ข้อพิจารณาในการใช้ "น้ำก้นอ่าง"(Dead Storage) ในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ที่มีรวมกันราว 7,500 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อมีความจำเป็น (5) การเจรจา-ทำความตกลงในการขอผันน้ำจากแม่น้ำสาละวิน-เมย-โขง ในฤดูน้ำหลากมาใช้ประโยชน์สูงสุดภายในประเทศด้วยนะครับ
รัฐบาลต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย ในทุกกลุ่มที่ยังประสบปัญหาปากท้อง โดยรัฐบาลนี้ได้เดินหน้ากองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งจะเปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ของกองทุนฯ ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ เป็นวันแรก เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนช่วงอายุ 15-60 ปี ราว 30 ล้านคนนะครับ ซึ่งประกอบอาชีพอิสระ ไม่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญของรัฐ หรือกองทุนเอกชนที่มีนายจ้างจ่ายสมทบ เช่น เกษตรกร ค้าขาย รับจ้างทั่วไป คนขับรถแท็กซี่ แม่บ้าน สถาปนิก แพทย์ ทนายความ ลูกจ้างรายวัน ลูกจ้างชั่วคราว นักการเมือง (ส.ส.) นักการเมืองท้องถิ่น นักเรียน นิสิต นักศึกษา เป็นต้น รวมทั้งผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณ แต่ยังไม่มีระบบใดๆ รองรับด้วยนะครับ โดยหวังสร้าง "นิสัยการออม" ทุกช่วงวัย ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล โดยรัฐจะช่วยจ่าย "เงินสมทบ" ให้ส่วนหนึ่ง และเมื่อผู้ออมมีอายุครบ 60 ปี ก็จะได้รับเงินบำนาญเป็น "รายเดือนตลอดชีพ" ถือเป็นการสร้างหลักประกันให้กับชีวิตในยามที่ไม่มีรายได้ประจำ นับเป็นส่วนหนึ่งของการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามสอบถามข้อมูล "เงินสะสม-เงินสมทบจากภาครัฐ-อัตราผลตอบแทนต่างๆ"และสมัครเข้าร่วมกองทุนฯ ได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทุกสาขาทั่วประเทศครับ
เรื่องสุดท้าย เรื่องการท่องเที่ยวนะครับ วันหยุดราชการนี่ วันนี้ก็หยุดหลายวัน 4 วันนะ 4 วัน ผมก็ห่วงเหมือนเดิมเรื่องอุบัติเหตุ ขี่รถ ขับรถ ดื่มสุรา อะไรทำนองนี้นะ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ ผมฝากไว้คำหนึ่งแล้วกัน ในปีนี้นะ ถ้าหากว่าคนที่ชอบกินเหล้า แล้วขับรถ ขับรถเร็วนะ ถ้าท่านไม่รักชีวิตท่านเอง ท่านก็นึกถึงคนอื่นเขาบ้างนะ ให้รู้ว่าคนอื่นเขารักชีวิตอยู่นะ เพราะงั้นท่านไม่รักของท่านก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คนอื่นเขารักชีวิตเขา อย่าทำให้เขาบาดเจ็บสูญเสีย เป็นความโศกเศร้าเสียใจของครอบครัวเขา นะตัวท่านเองผมไม่รู้จะว่ายังไงนะ ห้ามไปห้ามมาก็หลายครั้งแล้วก็ไม่ดีขึ้นเท่าไรนะ ท่านไม่รักตัวท่านเองก็ไม่เป็นไรหรอกนะ อย่าทำความเสียหายกับชาติบ้านเมือง ให้กับคนอื่นๆ เขาเท่านั้นเองนะครับ ให้รู้ว่าชีวิตนั้นมีค่าแค่ไหน อย่างไรนะครับ
ขอบคุณนะครับ ขอให้มีความสุขในวันหยุดราชการหลายวัน ขอให้ปลอดภัยนะครับ และขอให้ฝนตกเยอะๆ น้ำลงเขื่อนเยอะๆ นะ พืชไร่พืชสวนต่างๆ ประมงน้ำจืดอะไรก็แล้วแต่ก็ขอให้ผ่านพ้นภัยดังกล่าวเหล่านี้ให้ได้โดยเร็วนะครับ
ขอบคุณนะครับ ด้วยความเป็นห่วง สวัสดีครับ...
มติชนออนไลน์ : คอลัมน์ โครงร่างตำนานคน
ที่สุด สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ลาจากผ้าเหลืองมาใส่เสื้อหน้าอกธงชาติไทย ซึ่งคล้ายกับเป็นเครื่องแบบของ "ผู้นำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" หรือที่มีชื่อย่อๆ ว่า "กปปส."
คราวนี้มาในนาม "ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ"
ซึ่งมีคำถามเกิดขึ้นทันทีว่ามีอะไรหรือไม่ที่ทำให้ "ประธาน กปปส." ลาสิกขาในช่วงนี้
คำตอบเบื้องต้นแบบที่คิดกันเอาเองคือ เพราะจะเข้าช่วงเข้าพรรษาหากอยู่ในผ้าเหลืองต่อ เป็นภาคบังคับให้ต้องอยู่ต่ออีก 3 เดือน ต้องรอให้ออกพรรษา หากสึกช่วงยังเข้าพรรษาจะได้ชื่อว่า "แหกพรรษา" ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องดี
ที่บอกว่าเป็นเรื่องคิดเอาเองเพราะอันที่จริงการบวชพระยุคนี้ที่คนเป็นพนักงานส่วนใหญ่บวช 7 วัน 15 วัน คงต้องถือว่าแหกพรรษากันทั้งนั้น
ย่อมเป็นปกติไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมากังวลว่าใครจะติฉินนินทาอะไรอีก
พับความคิดแบบนั้นไป
มีบางฝ่ายมองอีกมุมโดยย้อนกลับไปก่อนที่ "คณะรักษาความสงบแห่งชาติ" หรือ "คสช." จะทำรัฐประหารควบคุมอำนาจจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกแรงเต็มที่ให้รัฐบาลเข้าสู่ทางตันหมดสภาพที่จะบริหารประเทศ
ปิดทางไม่ให้มีการเลือกตั้ง ด้วยข้อเรียกร้อง "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง"
และเมื่อ "คสช." เข้ามาควบคุมอำนาจ รับหน้าที่จัดการปฏิรูปประเทศ จัดตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติขึ้นมาทำงาน
สุเทพ เทือกสุบรรณ และ "หมู่มวลแกนนำ กปปส." ก็ยุติบทบาทชักแถวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
แต่วันนี้พวกเขากลับมาแล้ว
ท่ามกลางแรงกดดันอย่างหนักหน่วงให้ประเทศไทยเร่งคืนอำนาจให้ประชาชน กลับสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอันเป็นระบอบประชาธิปไตย
แบบสากล
ที่ออกแรงกดดันอย่างหนักคือนานาชาติ มาตรการต่างๆ ที่ออกมาส่งผลสาหัสต่อการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศ
เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขเริ่มดังถี่ขึ้น
ขณะเดียวกัน การกำหนดโครงสร้างอำนาจใหม่ของประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามที่วาดหวังกันไว้ ยังไปไม่ถึงไหน กติกาสูงสุดคือรัฐธรรมนูญที่ตั้งอกตั้งใจออกแบบโครงสร้างอำนาจตามที่อยากจะให้เป็นถูกต่อต้านคัดค้าน และทำท่าว่าจะไปไม่รอด
ขณะที่รัฐบาลแม้จะมีอำนาจเต็มแต่นับวันยิ่งถูกกดดันรุนแรง
ที่สุด สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็มาแล้ว
มาในนาม "ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศ"
ประกาศภารกิจชัดเจนเรื่องการจัดตั้งเครือข่ายทั่วประเทศ ระดมทุน ระดมคนครั้งใหญ่อีกครั้งเพื่อ
หนึ่ง ทำให้เกิดการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง โดยไม่กำหนดเวลา
สอง ทำหน้าที่ทำความเข้าใจ ตอบโต้กับนานาชาติที่กดดันประเทศเรา ด้วยเหตุผลว่าเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
ไม่ว่าจะเรียกว่าเป็นการคืนเวทีการเมืองหรือไม่ก็ตาม
แม้เจ้าตัว สุเทพ เทือกสุบรรณ จะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง
แต่ที่สุดแล้วนี้คือการชี้ทิศชี้ทางและเคลื่อนไหวนำให้รับรู้กันว่าประเทศต้องเดินไปทางไหน อย่างไร
ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังระอุ
อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
ย่อมน่าติดตามยิ่ง ....
คืออย่างเป็นทางการ เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ควบนายกรัฐมนตรี อย่างไม่เป็นทางการคือน้องเล็กแห่ง "บูรพาพยัคฆ์"
แต่หากถือเอาภาระในตำแหน่งเป็นงานที่ต้องแบกรับ ดูเหมือนว่ายิ่งนับวันภาระนั้นเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น จนเห็นได้ว่าแม้จะเข้มแข็งดั่ง "คนเหล็ก" ยังยากจะซ่อนเร้นความอ่อนล้าไม่ให้ปรากฏในการแสดงออก
ตำแหน่ง "ท่านผู้นำ" ที่จะต้องรับผิดชอบความเป็นไปของประเทศ แม้จะมีอำนาจพิเศษที่สามารถใช้แบบเต็มๆ ได้ทันทีในฐานะหัวหน้า คสช. แต่ใช่ว่าจัดการกับทุกเรื่องราวได้เด็ดขาด
ประเทศที่แวดล้อมอยู่ด้วยเพื่อนร่วมโลกที่เชื่อมต่อด้วยกลไกโลกาภิวัตน์ที่นับวันจะมีอิทธิพลต่อการกำหนดความเป็นไปภายในประเทศ ได้เพิ่มแรงบีบคั้นมากมาย ต่อเนื่อง และดูท่าจะไม่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เห็นถึงพลังของการไม่ยอมรับการบริหารประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
ผลของการกดดันต่อการส่งออก การลงทุน การท่องเที่ยว และทุกการเจรจาระหว่างประเทศ กระทบต่อเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาโลกภายนอก
ขณะที่การหวังกำลังซื้อภายในประเทศช่วยขับเคลื่อนบรรเทาไม่ให้สาหัสเกินไป กลับมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง ที่มาเพิ่มเติมความเดือดร้อนที่สะสมมาเรื่อยๆ ของเกษตรกร
การตัดสินใจของนักลงทุนที่เริ่มหวั่นไหวในความเชื่อมั่น ลดกำลังผลิต เลิกผลิต หรือกระทั่งย้ายฐานการผลิต ส่งผลต่อรายได้ที่ลดลง หรือว่างงานของแรงงานในภาคอุตสาหกรรม
ซ้ำเติมกำลังซื้อมากยิ่งขึ้นไปอีก
และเมื่อผลผลิตทางการเกษตรมีปัญหาย่อมกระทบต่อสินค้าโดยเฉพาะข้าวปลาอาหารที่ราคาสูงขึ้น
เรื่อง "ปากท้อง" นับวันจะเป็นปัญหาชัดขึ้น และแรงขึ้นเรื่อยๆ
และในสภาวะแบบนี้เองที่ทำให้เกิดภาวะอลหม่านไม่น้อย
"รัฐบาล คสช." มีภารกิจหลักคือ "ควบคุมให้ประเทศเกิดความมั่นคง"
มีหลายเรื่องราวที่จะต้องจัดวางโครงสร้างการบริหารจัดการกันใหม่ทั้งหมด เป็นการรื้อของเก่าและสร้างของใหม่เกือบทั้งหมดให้เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงในรูปแบบที่ต้องการซึ่งวางเป้าหมายไว้แล้ว
การจัดการโครงสร้างอำนาจในประเทศที่เกี่ยวข้องเป็นโครงข่ายกว้างขวางและลึกซึ้ง จำเป็นต้องใช้รัฐบาลที่เข้มแข็ง เด็ดขาด
และ "รัฐบาล คสช." เป็นที่คาดหวังว่าจะมีคุณสมบัตินั้นมากที่สุด
ทว่าในความเป็นประเทศของโลกยุคใหม่ "อำนาจ" ไม่ว่าจะเป็นแบบใดล้วนแล้วแต่ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชน
หากประชาชนอยู่สุขสบาย จะจัดการอย่างไรในทางการเมืองคงเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว
แม้จะมีการต่อต้านคัดค้านก็เป็นเพียงบางกลุ่มที่ในที่สุดแล้ว ใช้อำนาจกองทัพควบคุมได้ไม่ยากนัก
ทว่าปัญหา "ปากท้อง" ที่จ่อวิกฤต ระดับจะดำเนินชีวิตได้ยากลำบาก กลายเป็นตัวแปรใหญ่ที่จะทำให้เกิดการลุกขึ้นมาตั้งคำถาม
โครงสร้างที่กำลังจัดการปฏิรูปกันมโหฬารในทุกด้านซึ่งอาจจะส่งผลดี แต่นั่นเป็นผลระยะยาว
"ปากท้อง" เป็นความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
และนี่คือภาระในตำแหน่งเก่า อำนาจเดิม ทว่าคนที่ต้องแบกไว้สองบ่าอย่าง "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นับวันจะรู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยพลังที่แท้จริงของอำนาจในโลกยุคใหม่คือ "การยอมรับจากประชาชน"
คำถามจากประชาชน ย่อมเป็นเรื่องลดทอนพลังของอำนาจให้อ่อนล้า
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด