วิเคราะห์
ดูเหมือนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่รอบที่สองไม่ใช่ของง่ายๆ แบบปอกกล้วยเข้าปาก
เริ่มตั้งแต่การค้นหาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. จำนวน 21 คน ซึ่งหลายคนตั้งเงื่อนไขเอาไว้เยอะ
อาทิ ขอดูตัวประธาน กรธ.ว่าเป็นใคร หรือดูว่าใครบ้างที่จะมาร่วมนั่งเป็น กรธ.
แม้แต่ตัวประธาน กรธ.ก็ยังไม่มีข้อยุติ จากเดิมที่มีชื่อผู้คนออกมามากมาย เช่น นายอมร จันทรสมบูรณ์ นายอานันท์
ปันยารชุน นายคณิต ณ นคร นายลิขิต ธีรเวคิน นายวิษณุ เครืองาม นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ฯลฯ
กระทั่งล่าสุดมีชื่อเหลือเพียง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ นายวิษณุออกปากชวนให้มานั่งคุมงานร่าง รธน.
แต่นายมีชัยก็ยัง "ขอคิดดูก่อน" ซึ่งเป็นอาการที่เดาได้ว่ายังลังเล
หรือมีอีกกระแสข่าวหนึ่งคือกำลังหาทีมงาน
ทั้งนี้ นายมีชัยรับปากว่าจะให้คำตอบชัดเจนสิ้นเดือนนี้
กำหนดเวลาตัดสินใจสิ้นเดือนกันยายน ตรงกับเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กำหนดไว้
เสร็จสิ้นภารกิจประชุมที่สหประชาชาติจะกลับมาแต่งตั้ง กรธ.
ดังนั้นในห้วงเวลาอันกระชั้น และการเอ่ยชื่อผ่านสื่อจากปากนายวิษณุ จึงเชื่อว่าคนที่จะได้นั่งประธาน กรธ. คงไม่ใช่ใครที่ไหน
เขาคนนั้นคือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ นี่แหละ
ทุกอย่างน่าจะเป็นไปตามนี้ ยกเว้นเสียแต่ว่านายมีชัยจะมีข้อเสนออื่นที่ดีกว่า
ภารกิจร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ครั้งนี้ไม่ง่ายไปกว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างฯ
ทั้งนี้ เพราะหลังจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับก่อนไม่ผ่านการพิจารณาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. เท่ากับว่ามีหลายปมในร่างรัฐธรรมนูญกลายเป็น "จุดเสี่ยง"
อาทิ คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและปรองดองแห่งชาติ หรือ คปป. ซึ่งกลายเป็นชนวนสำคัญในการปลุกให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับก่อนคว่ำ
หัวใจสำคัญของ คปป. คือการยึดโยงอำนาจกับเหล่าทัพ ทำให้ฝ่ายทหารเข้ามาชี้แนวยุทธศาสตร์ และพร้อมจะมีอำนาจเหนือรัฐบาลจากการเลือกตั้งได้ หากประเทศก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤต
การตั้ง คปป.จึงเหมือนกับการวางอำนาจกองทัพแทรกเข้าไปอยู่ในรัฐธรรมนูญ
ตอกย้ำให้ผู้คนเชื่อว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะ "สืบทอด" อำนาจคณะรัฐประหารให้คงอยู่ต่อไป
อย่างน้อยก็ 5 ปี!
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการกัดเซาะพลังพรรคการเมืองและนักการเมืองให้ผุกร่อนลง อาทิ ลดจำนวนสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง เพิ่มอำนาจคณะกรรมการที่มาจากการสรรหาให้เหนือกว่าตัวแทนประชาชน ปิดหนทางแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
แนวคิดตามรัฐธรรมนูญที่บั่นทอนบทบาทของตัวแทนประชาชนนี้ ยังลุกลามไปถึงบทบัญญัติของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
เป็นบทบัญญัติของกฎหมายพรรคการเมืองที่ต้องการ "ล้างไพ่"
บังคับให้ทุกพรรคเริ่มต้นจดทะเบียนกันใหม่
เปิดโอกาสให้กลุ่มการเมืองใหม่หรือพรรคการเมืองใหม่เข้ามาสู้พรรคใหญ่เดิมอย่างเสมอภาค
หรือเปิดโอกาสให้นักการเมืองไปตั้งพรรคใหม่กันนั่นเอง
บทบัญญัติดังกล่าว นายวิษณุให้คำนิยามว่า "พิสดาร"
ทั้งร่างรัฐธรรมนูญที่ออกแบบแล้วโดนตีความว่า ต้องการให้ คสช. "สืบทอดอำนาจ" การควบคุมประเทศได้ต่อไป และการวางบทบัญญัติ "พิสดาร" ไว้เพื่อสกัดพรรคใหญ่เดิม ซึ่งย่อมหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ในด้านลบ
พรรคการเมืองใหญ่และเล็กต่างไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว
นักวิชาการเองก็ไม่เห็นด้วยในหลายประเด็น
ทำให้ "การสืบทอดอำนาจ คสช." การสอดไส้ "อำนาจเบ็ดเสร็จ" ไว้ในรัฐธรรมนูญ และการสกัดพรรคการเมืองและนักการเมืองเดิมเริ่มถูกจับตามอง
จับตามองว่าจะโผล่เข้ามาอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ กรธ.จะร่างขึ้นหรือไม่
อย่าลืมว่า ทั้ง "การสืบทอดอำนาจ คสช." รวมถึงการสอดไส้อำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในรัฐธรรมนูญ กลายเป็น "ของเสีย" ในสายตาคนไทยไปแล้ว
เพราะการสืบทอดอำนาจ คสช.และการบรรจุอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในร่างรัฐธรรมนูญนั้น หมายถึงการเดินสวนทางกับประชาธิปไตย
ดังนั้น หาก กรธ.จะดื้อแพ่งดึงดันบรรจุองค์กรเฉกเช่น คปป.ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ
หรือ กรธ.จะมีบทบัญญัติพิสดารออกมาเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
โอกาสสุ่มเสี่ยงในช่วงทำประชามติย่อมมีสูง
เสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้ง และเสี่ยงที่จะไม่ผ่านประชามติ
ขณะเดียวกัน กระแสโลกที่จับตาการ "คืนความสุข" ให้แก่ประเทศไทยเริ่มมีการแสดงออก
ในจังหวะที่ คสช.พยายามรักษาความสงบ โดยเริ่มเรียกนักการเมืองที่ออกมาให้สัมภาษณ์เข้าค่ายทหารเพื่อปรับทัศนคติ
มีนักวิชาการหลายคนได้รับโทรศัพท์ หรือมีทหารไปขอพบเนื่องจากให้สัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมือง
การดำเนินการดังกล่าวเป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นข่าวบ้าง
แต่สัมผัสได้ถึงการเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
กระทั่งล่าสุดสำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์
แถลงการณ์ฉบับนั้นสรุปได้ว่า ในช่วงเวลาที่ไทยกำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเคารพเสรีภาพในการพูดและการชุมนุม การอภิปรายสาธารณะที่ทำได้อย่างเต็มรูปแบบและเสรีเท่านั้นที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จะสามารถได้ยินได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการปฏิรูปและความสมานฉันท์ที่แท้จริง
สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยเชื่อว่า หลักนิติธรรมการปกป้องและการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญแก่ความมั่นคงและความก้าวหน้า
และขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ทางการไทยปฏิบัติตามข้อผูกพันของไทยภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง
เฉกเช่นเดียวกับการปฏิเสธการผ่อนผันการตรวจสอบการแก้ปัญหาไอยูยูของไทย
เช่นเดียวกับการเขียนบทความของทูตอังกฤษวิจารณ์ประชาธิปไตยไทย
และเช่นเดียวกับท่าทีของทูตอเมริกาประจำประเทศไทยที่ตอกย้ำเรื่องประชาธิปไตยอย่างไม่รู้เบื่อ
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หาก คสช.ยังยืนยันยุทธศาสตร์ "สืบทอดอำนาจ" และลดอำนาจตัวแทนประชาชนอยู่เหมือนเดิม
คณะกรรมการ กรธ.ชุดนี้คงทำงานด้วยความเหนื่อยยาก
เพราะทั้งการ "สืบทอดอำนาจ" และกฎหมาย "พิสดาร" ที่ต้องการบั่นทอนพลังของพรรคการเมืองนั้นกลายเป็น "ของเสีย" ไปแล้ว
เป็น "ของเสีย" ที่คนในประเทศไทยเองก็เริ่มไม่เอา
และยังเป็น "ของเสีย" ที่โลกเขาไม่ต้องการอีกด้วย
ดังนั้น การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จึงเป็นโจทย์ยาก ยิ่งถ้าต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใส่กลไกตามที่คนโจมตีกันทั่วบ้านเมือง
ยิ่งเพิ่มภาระหนักให้แก่ กรธ.เข้าไปอีก
ณ เวลานี้ จึงเป็นอีกห้วงเวลาที่น่าเฝ้ามอง
มองว่า กรธ.จะร่างรัฐธรรมนูญตอบสนองแนวทางของ คสช.ได้มากหรือน้อยประการใด....
คอลัมน์ โครงร่างตำนานคน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะไม่ใช่กระแสรุนแรงอะไร แต่น้ำเสียงที่ตั้งคำถามต่อโครงการ single gateway จุดชนวนให้เกิดความกังขาอยู่ไม่น้อยต่อทิศทางเสรีภาพประชาชนไทย
มีการให้ความรู้กันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในโลกออนไลน์ว่า "Single Gateway" เป็นการให้ใช้ช่องทางเดียวในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจากเครือข่ายหนึ่งไปอีกเครือข่ายหนึ่ง
ที่เป็นเรื่องเป็นราวให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดตั้ง single gateway ตามนโยบายเร่งรัดโครงการสำคัญให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปีงบประมาณ 2558 โดยให้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนกันยายนนี้
เมื่อมติ ครม.นี้หลุดออกมาสู่ความรับรู้ของประชาชน
มีการหยิบเรื่องนี้มาพูดถึงในทำนองว่าจะเป็นการจำกัดเสรีภาพในการใช้อินเตอร์เน็ตของประเทศไทย โดยรัฐบาลจะเป็นผู้เข้ามาควบคุมอย่างเข้มงวด เหมือนที่รัฐบาลจีนและเกาหลีเหนือกระทำ
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังเตือนว่าเรื่องดังกล่าวนี้จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยชี้ให้เห็นปัญหาที่จะตามมาว่า
จะทำให้อินเตอร์เน็ตช้าลง และหากเกตเวย์ล่มจะล่มหมดทั้งประเทศ เพราะมีเกตเวย์เดียว
ทำผู้ใช้บริการเกตเวย์สามารถดักจับข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ได้ง่ายๆ เพราะมีอยู่เจ้าเดียว
ผู้ให้บริการสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ผู้ใช้บริการจะเข้าไปค้นหาได้อย่างรวดเร็ว
จะทำให้บริษัทต่างประเทศกังวลในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากความไม่แน่ใจด้านความปลอดภัยของข้อมูล
และที่สำคัญคือ จะเป็นข้อโจมตีว่ารัฐบาลมีแนวโน้มจะบริหารประเทศไปในทิศทางปิดกั้นเสรีภาพของประชาชน
ในเรื่องนี้ แม้จะยังไม่มีการต่อต้านหรือโจมตีที่รุนแรงมากนัก แต่เริ่มมีการขยายวงการวิพากษ์วิจารณ์ออกไปอย่างกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ
จนมีแนวโน้มว่าจะเป็นเหตุให้ภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาโลกเสรีมีปัญหาเรื่องเสรีภาพ
ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลด้านนี้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ออกมาชี้แจงว่า ยังเป็นแค่แนวคิดของที่ให้ไปศึกษาเพื่อให้เกิดการรวมทรัพย์สินกับขีดความสามารถในการให้บริหารระหว่าง กสท.กับทีโอที ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ใช้บริการ ยังไม่มีผลในทางปฏิบัติ
ส่วนข้อกังวลว่า หากใช้ซิงเกิลเกตเวย์แล้วเกิดการล้วงข้อมูลขึ้นจะเกิดความเสียหายทั้งประเทศ
"เราต้องระมัดระวังในการทำเรื่องนี้ ต้องมุ่งเน้นการให้บริการประชาชน ไม่ได้เน้นในเรื่องของการเข้าไปควบคุม" พล.อ.อ.ประจินกล่าว
ในเสียงวิพากษ์วิจารณ์นั้น เหมือนกับว่าปฏิบัติการในแนวคิดควบคุมเสรีภาพการสื่อสารของประชาชนนั้นไปไกลแล้ว จนใกล้จะถึงจุดที่การใช้เครือข่ายออนไลน์จะถูกควบคุมตรวจสอบอย่างเข้มงวด และปิดกั้นในสิ่งที่รัฐบาลเห็นว่าจะกระทบกับความมั่นคงอย่างจริงจัง โดยไม่ห่วงผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่จะตามมา
แต่ที่ พล.อ.อ.ประจินชี้แจง เหมือนกับเป็นคนละเรื่องกับความวิตกกังวล
เป็นแค่เรื่องรัฐบาลกำลังทดลองหาวิธีการทำให้บริการอินเตอร์เน็ตมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เหมือนกับว่า รัฐบาลห่วงใจเสรีภาพของประชาชนเสมอ
ไม่ได้เป็นเหมือนรัฐบาลเกาหลีเหนืออย่างที่โจมตีกัน....
อดีตนายกฯ เสนอ 4 องค์ประกอบ เติบโตยั่งยืน-ลดเหลื่อมล้ำ-ยึดนิติธรรม- สมดุลอำนาจรัฐ-ปชช. พัฒนาปท.สู่บริบทใหม่
นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2558 ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หัวข้อ'สู่บริบทใหม่ของประเทศด้วยธรรมาภิบาลในระบอบประชาธิปไตย' โดยได้เสนอองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศในบริบทใหม่ (New Normal) ได้แก่ 1. การเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ 2.การก้าวไปสู่สังคมเปิดและมีส่วนร่วมของคนในสังคมด้วยการให้สิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดการพัฒนาประเทศ 3. การทำให้สังคมไทยปกครองด้วยหลักนิติธรรม และ 4. การปรับสมดุลในโครงสร้างเชิงอำนาจระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน
องค์ประกอบการข้อที่ 1 คือการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการที่ไทยจะต้องเน้นเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว มากกว่าที่จะสนใจเฉพาะตัวเลขจีดีพี แต่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริงของประเทศ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การพัฒนาแรงงาน และการยกระดับการศึกษามากกว่าที่จะกระตุ้นระยะสั้นด้วยนโยบายประชานิยม เช่น รถคันแรก โครงการจำนำข้าว
องค์ประกอบข้อที่ 2 การนำไปสู่สังคมเปิดและการมีส่วนร่วมในสังคมจะต้องกระจายรายได้อย่างสม่ำเสมอ การให้สิทธิเสรีภาพและทัดเทียมแก่ทุกภาคส่วน ทุกกลุ่ม ทุกศาสนาและทุกพื้นที่ในสังคมในการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางพัฒนาประเทศเพื่อให้ทุกคนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศและตรวจสอบการทำงานของภาครัฐตลอดเวลา นอกจากนี้การทำงานของสื่อนับว่ามีบทบาทสำคัญมากในการเป็นตัวกลางนำเสนอความคิดเห็นต่างๆ ให้เกิดความสมดุลและไม่บิดเบือน
องค์ประกอบที่ 3 การทำให้สังคมไทยปกครองโดยหลักนิติธรรม กฎหมายไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง ลำดับขั้นตอนการทำงานของรัฐบาลต้องคงเส้นคงวา
"รัฐบาลไม่ควรดำเนินการตามอำเภอใจ จับกุมผู้คนที่คัดค้านนโยบายของตนและริดรอนสิทธิเสรีภาพที่บุคคลนั้นพึงมีตามกฎหมายมนุษยชน ของราษฏรทุกคนควรได้รับการปกป้องอย่างเคร่งครัดและเท่าเทียมกัน"นายอานันท์ กล่าว
องค์ประกอบที่ 4 คือ การกระจายอำนาจอย่างสมบูรณ์แบบ หัวใจของการกระจายอำนาจ คือการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดสิ่งที่กระทบเขาโดยตรงมากที่สุด เพราะในแต่พื้นที่ แต่ละจังหวัด แต่ละภาคความต้องการในการแก้ปัญหาอาจจะเหมือนหรือต่างกัน ความสำเร็จของการกระจายอำนาจ ขึ่นอยู่กับกระบวนการกลั่นกรองและนำเสนอข้อมูลที่รอบด้าน และเป็นที่มาของบทบาทของภาคประชาสังคมที่สำคัญยิ่ง
"ดังนั้น เราจึงต้องเร่งปฏิรูประบบการศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อเสริมสร้างความสามารถของประชาชนในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่ดีของสังคม ทั้งนี้ มองว่าการศึกษาจะต้องเปลี่ยนจากการเน้นท่องจำไปสู่การคิดอย่างสร้างสรรค์ เริ่มต้นด้วยการให้ครูสอนน้อยลง ให้นักเรียนอ่านหนังสือหลากหลายมากขึ้น มีการคุยกันระหว่างครูกับนักเรียนมากขึ้น ไม่ใช่การเน้นหาคำตอบที่ถูกหรือผิด แต่เน้นให้เด็กกล้าคิด"นายอานันท์ กล่าว
นายอานันท์ กล่าวต่อว่าการปฏิรูประบบการศึกษาถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นได้ เพราะการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะต้องเริ่มต้นการแก้ของตัวบุคคลต่อให้มีแก้กฎหมายดีเพียงใด แต่สุดท้ายกฎหมายก็ไม่เคยตามกลโกลของมนุษย์ได้ทัน
ทั้งนี้ องค์ประกอบทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมา เป็นบริบทของไทยที่ตั้งอยู่บนธรรมาภิบาลในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งธรรมาภิบาลเป็นกุญแจดอกสำคัญในการบริหารเศรษฐกิจที่ดี ยกตัวอย่างในอดีตที่ผ่านมาการกำกับดูแลกิจการในภาครัฐมีพัฒนาการที่น่าเป็นห่วง เห็นได้จากความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอย รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ขาดทุน ต้นตอของปัญหาเกี่ยวเนื่องโดยตรง ดังนั้นปัญหานี้จำเป็นต้องแก้ไขโดยเร็ว
"รัฐวิสาหกิจที่ไร้ประสิทธิภาพไม่เพียงจะบั่นทอนผลประกอบการของตัวเอง แต่จะเหนี่ยวรั้งธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวเนื่องทั้งหมด ซึ่งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่กำลังทำอยู่ รวมทั้งการจัดบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ จึงอาจเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ ความสำเร็จย่อมขึ้นอยู่กับความซื่อตรงและความสามารถในตัวบุคคลที่บริหารษรรษัทนี้ด้วย"นายอานันท์ กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
อนิจจัง อนัตตา ของ 'ร่า'? รัฐธรรมนูญ 36 มหาปราชญ์
แม้กระบวนการของการ "ร่าง" รัฐธรรมนูญ
จะเป็นเรื่องในทาง "โลกย์" อย่างที่เรียกกันว่าเป็น "โลกียะ" กระนั้น ก็สามารถมองอย่างเป็น "โลกุตระ" ได้
โลกียะ เท่ากับ เกี่ยวกับ "โลก"
นั่นก็คือ ทางโลก 1 เนื่องในโลก 1 เรื่องของชาวโลก 1 ยังอยู่ในภพสาม 1 ยังเป็นกามาวจร รูปาวจร หรืออรูปาวจร 1
โลกุตระ เท่ากับ พ้นจาก "โลก"
นั่นก็คือ เหนือโลก 1 พ้นวิสัยของโลก 1 ไม่เนื่องในภพทั้งสาม 1
ถามว่าเหตุปัจจัยอะไรทำให้สามารถมองเห็นกระบวนการของการ "ร่าง"
รัฐธรรมนูญมิได้จำกัดเพียงในกรอบแห่ง "โลกียะ" หากแต่เหยียบเข้าสู่พรมแดนแห่ง "โลกุตระ"
1 มองเห็นถึงกระบวนการของ "อนิจจัง"
เป็นการเปลี่ยนจากนามธรรมแห่งมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2557 ไปสู่รูปธรรมอันปรากฏผ่านแนวทางของการร่าง
จากนั้น ก็ผ่านจากมือ "กรรมาธิการ" ไปสู่ "สปช."
จาก "คสช." ไปยัง "กรรมาธิการ" จาก "กรรมาธิการ" ไปสู่ "สปช." รูปแห่งร่างรัฐธรรมนูญยังดำรงอยู่ แต่กระบวนการในทางความคิดแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
ในที่สุด 1 ก็นำไปสู่ภาวะแห่ง "อนัตตา"
กล่าวในทางธรรมอันสัมพันธ์กับธรรมชาติ เรื่องของ "อนิจจัง" มิได้ค้นพบโดย
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากแต่ดำรงอยู่ในทางความคิดมาก่อนหน้านี้แล้ว
ในกลุ่มนักปราชญ์กรีกก็มีการพูดถึง
อย่าลืมอุปมาอันคมคายของปราชญ์กรีกที่ว่า ภายในสายน้ำมีการแปรเปลี่ยน ระหว่างก่อนหน้านี้กับเดี๋ยวนี้มิได้เป็นสายน้ำเดียวกัน
นั่นก็คือ กระบวนการไหลเรื่อยแห่ง "สายน้ำ"
ในกลุ่มของนักปราชญ์จีนอย่างเช่น เล่าจื่อ ปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋าก็ยอมรับในจุดต่างแห่งหยางกับหยิน ภายในจุดต่างนั้นก็มิได้ดำรงอยู่อย่างเสถียร
หากแต่มีการแปรเปลี่ยน พลิกผัน
กระนั้น จุดต่างอย่างสำคัญขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ 1 ยอมรับในความเป็นอนิจจัง ไหลเรื่อยอย่างเป็นนิรันดร์
ขณะเดียวกัน 1 พัฒนาไปสู่ขั้นแห่ง "อนัตตา"
สภาวะแห่งอนัตตามิได้หมายความว่า "ไม่มี" หรือ "ไม่เหลืออะไร" เพียงแต่เป็นการมีอยู่เหลืออยู่อย่างมิได้เป็น "ของเรา"
เช่นเดียวกับ "ร่าง" รัฐธรรมนูญซึ่งถูก’คว่ำ’ ไปแล้ว
จากความเป็นจริงในทางธรรมเช่นนี้เท่ากับหมายความว่า สิ่งที่’36 มหาปราชญ์’ได้กระทำเอาไว้เสมอเป็นเพียงร่องรอย 1 ในทางความคิด
เป็น "ร่องรอย" อันดำรงอยู่อย่าง ‘อิสระ’
หากมีความพยายามจะนำมาสถาปนาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นในประเด็น 1 นายกรัฐมนตรีมาจากคนนอก ไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการของการเลือกตั้ง
1 สมาชิกวุฒิสภา 200 เป็นเลือกตั้งเพียง 77 เป็นลากตั้ง 123
1 องค์กรอิสระมากด้วยอำนาจ วางกลไก เครือข่ายเอาไว้อย่างยุบยับ รวมทั้งที่รวมศูนย์อยู่ในรูปของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.)
ก็ดำรงอยู่เหมือนกับเป็น ‘สินสงคราม’
เพราะในที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 กันยายน ได้ลงมติด้วย 135 ต่อ 105 และงดออกเสียง 7 ให้ปฏิเสธไปแล้ว
สะท้อนว่า "ร่าง" นั้นมิได้เป็นของ ‘กรรมาธิการ’
สะท้อนว่า ‘ร่าง’ นั้นหมดพันธะไม่เพียงแต่ต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญ หากกระทั่ง’คสช.’ ก็มิอาจอ้างกรรมสิทธิ์ได้
หากคนใน’คสช.’ รู้ว่าตนได้ ‘สั่งการ’ อะไรออกไป
ทั้งหมดนี้คืออาการแห่ง "อนิจจัง" และ "อนัตตา" ของร่างรัฐธรรมนูญ
อาการเศร้าหมองจาก 105 คนที่ลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ สะท้อนความอาวรณ์ ถวิลหา ต่อสิ่งที่เคยอยู่ในมือ
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมิได้มีเพียง 105 คนเท่านั้นที่สูญเสีย หาก 36 มหาปราชญ์ก็สูญเสีย ยิ่งกว่านั้น คสช.และรัฐบาลก็มิอาจไขว่คว้ามาอยู่ในมือได้
จากมาแล้วหายไป เหมือนรอยเท้าของนกในพาหิรากาศ….
มติชนออนไลน์ : วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558
มติชนออนไลน์ : เหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 กันยายน เป็นอีกเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญในยุครัฐบาล คสช. เมื่อ 247 สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โหวต "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ ไปด้วยคะแนนเสียง 135 ต่อ 105 และงดออกเสียง 7 คน
ผิดความคาดหมายของหลายเสียงที่วิเคราะห์กันว่า "ยังไงก็ผ่าน สปช.อยู่แล้ว"
เป็นที่น่าสังเกตว่า เสียง "ไม่รับ" ในหมู่ สปช.เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงท้าย โดยเฉพาะไม่กี่วันก่อนการลงมติเห็นชอบ
*พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ* ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล แห่งสถาบันพระปกเกล้า และอดีตสมาชิก สปช. คือ 1 ใน 7 ที่ลงมติงดออกเสียง บอกว่าเป็น "เหตุผลส่วนตัว" ก่อนจะแจกแจงเป็นรายข้อ
ประการแรก ผมเป็น สปช.ลำดับที่ 248 พูดง่ายๆ จริงๆ ก็คือคนสุดท้าย เพราะคนที่ต่อผมไป คือ คุณเอกราช ช่างเหลา ที่ไม่รับ และอาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่โหวตรับ ถ้าคะแนนเท่ากันก็อยู่ที่ผมเป็นคนตัดสินว่าจะเลือกผ่านหรือไม่ผ่าน
ประการที่สอง ผมดูว่ากรณีที่คะแนนไม่ผ่านมามาก เราจะต้องทำยังไง และกรณีผ่านมามากจะทำยังไง แต่ในเหตุผลส่วนตัว เราดูรัฐธรรมนูญแล้ว มีส่วนดีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนไม่ดีที่อาจเกิดปัญหาในอนาคตก็มี ซึ่งส่วนไม่ดีเราอยากให้แก้ไขเหมือนกัน วิธีการแก้ไขก็ไม่สามารถที่จะเสนอให้แก้ไขได้ เพราะว่าเขารับข้อเสนอมาจากหลายที่
"ผมเลยต้องพิจารณาว่าถ้าเกิดแก้ไขไม่ได้จะทำอย่างไร ต่อไปก็จะมีปัญหาเรื่องปรองดองต่างๆ แค่เขียนเป็นตัวหนังสือคงทำอะไรไม่ได้ จะต้องขับเคลื่อนเรื่องการปรองดองอะไรต่างๆ เยอะ แต่พอก่อนจะถึงผมสัก 2 แถว ปรากฏว่าเสียงไม่รับเริ่มชนะแล้ว เริ่มคลายใจ ชนะขาดเลย ผมนั่งนับตลอดเวลา เขียนตัวเลขไว้และใส่ชื่อแต่ละคนที่โหวต นับตลอดเวลาและเห็นว่าเยอะมากเกินพอแล้ว"
พล.อ.เอกชัยอธิบายต่อว่า ดูแล้วเหตุผลของผมคล้ายที่ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง พูดกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของรัฐธรรมนูญเขียนไว้ดี แต่มีบางส่วนที่ควรแก้ไข ปล่อยไปแล้วจะมีปัญหา ผมเลยงดออกเสียง ไม่มีเสียงที่จะไปสนับสนุนตรงนั้น แล้วอีกอย่างหนึ่ง แม้ผมใส่เสียงสนับสนุนก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
ผอ.สำนักสันติวิธีฯตั้งข้อสังเกตว่า เกิดข้อแปลกใจหลายข้อ ระหว่างโหวต ผมเห็นปลัด 2 กระทรวงเขาโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และเห็นทหารทั้งหมดเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ไม่รับ ยกเว้นคนที่เป็นกรรมาธิการยกร่างฯเขารับ
และแปลกใจมากที่สุด มีทหารคนหนึ่งเป็นกรรมาธิการยกร่างฯแต่งดออกเสียง อันนี้น่าแปลกใจในตัวเขามากเลย เพราะเขาร่างมากับมือ แต่เขาไม่ออกเสียง คือไม่สนับสนุนนั่นแหละ เกิดอะไร
กลุ่มแรก กลุ่มทหารทั้งหมดกับตำรวจจะเป็นกลุ่มที่ไม่รับ กลุ่มใหญ่
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มการเมืองและยุติธรรมของผม เป็นกลุ่มที่เท่าๆ กับทหารและตำรวจ กลุ่มการเมืองที่ผมอยู่มีประมาณ 20 คน และกลุ่มยุติธรรม 10 กว่าคน เป็นกลุ่มที่ไม่รับ
กลุ่มสุดท้ายที่มาแรงคือกลุ่มที่มาจากต่างจังหวัด เดิมทีแรกๆ เห็นเหมือนกับเขายังรับอยู่ แต่ช่วง 3-4 วันหลัง ปรากฏว่าไปพลิกผันอย่างไรไม่รู้ ส่วนใหญ่ประมาณ 2 ใน 3 ไม่รับ ก็เลยกลายออกมาเป็นคะแนนอย่างนี้
ส่วนกลุ่มปลัดกระทรวงและอธิบดี พล.อ.เอกชัยมองว่า น่าจะล่วงรู้ถึงความพอใจหรือไม่พอใจจากรัฐมนตรีอยู่แล้ว จึงออกมาเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่ารัฐมนตรีต้องการทางหนึ่ง แต่ปลัดกระทรวงออกมาอีกทาง ก็ดูยังไงชอบกล ไม่น่าเป็นไปได้
"พอเขาส่งสัญญาณอย่างนี้ ผมก็เริ่มเห็นแล้วล่ะ"
พลิกโผแบบเหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะ พล.อ.เอกชัยที่ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า "ยังไงก็ผ่านแน่นอน"
"ผมมองว่าจะผ่านมาตลอดเลย แต่คาดผิดมากเลย ก่อนโหวต 1-2 วัน ฟังเสียงใครก็จะไม่ผ่านซะส่วนใหญ่ เห็นเลย เยอะขนาดนี้เชียวเหรอ เช้าขึ้นมาเจอคุณวันชัย สอนศิริ ถามก่อนเลย เพราะคุณวันชัยบอกว่าจะไม่ผ่าน 137 คน แล้วแบ่งเป็นเกรดเอ เกรดบี ผมถามว่าตัวผมอยู่เกรดเอหรือเกรดบี (หัวเราะ) คุณวันชัยบอกว่า 'โอ๊ย พี่เป็นบิ๊กต้องอยู่เกรดบี เกรดเอเขาอยู่ใน 137 ไปแล้วแหละ'
แต่ก็เชื่อได้ว่าในเกรดเอ 137 คน มีคนเปลี่ยนแปลงไปทางโหวตรับ ทำให้อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นเกรดบีขึ้นมาแทนที่ ก็เลยออกมาอย่างนี้ ที่จริงไม่คาดคิดว่าจะชนะกันถล่มทลาย น่าจะชนะสักไม่เกิน 10 คะแนน ไม่น่าจะถึง 30 คะแนนอย่างนี้"
ส่วนเรื่องกระแสการล็อบบี้ อดีต สปช.บอกว่า มีการคุยกันโดยตลอดในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
"มีเลี้ยงส่งก็ได้นั่งคุยกัน ผมก็ไปเยี่ยมสังสรรค์กับ 2-3 กลุ่ม เขาก็นั่งคุยกัน แต่เรื่องการทำแผนแล้วเดินสาย เขาก็อาจทำอย่างนั้นจริง แต่เขาเข้ามาไม่ถึงผม เขาอาจเห็นว่าผมเป็นคนเดินสายกลางมากกว่ามั้ง (หัวเราะ) ก็เลยไม่ค่อยกล้ามา ทหารก็ไม่กล้ามาบอกผม ไม่มีใครกล้าบอก"
การที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน พล.อ.เอกชัยมองว่าผลดี คือ สิ่งที่น่ากังวลในรัฐธรรมนูญจะได้ถูกแก้ไข และเป็นบทเรียนสำหรับคนที่จะเข้ามาเป็นคณะกรรมาธิการยกร่างฯใหม่ที่จะนำความเห็นมาแก้ไข
"3-4 เดือนนี้น่าจะมีการเปิดพื้นที่พูดคุยกัน โดยเฉพาะกับกลุ่ม สปช.คณะต่างๆ เราจะได้เห็นความชัดเจนขึ้น เพราะว่ามีน้อยมากเลยที่ กมธ.ยกร่างฯจะคุยกับกรรมาธิการแต่ละคณะเป็นกิจลักษณะ มีบ้าง แต่ใน 8 เดือนมานี้น้อยมาก"
ส่วนข้อดีในรัฐธรรมนูญที่ตกไปแล้ว พล.อ.เอกชัยมองว่ามีกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ คือส่วนการปฏิรูป ส่วนการปรองดองที่จะมาเขียนเป็นกฎหมายลูก ส่วนเศรษฐกิจที่มีเยอะมากพอสมควรที่เปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างใหม่ให้ดีขึ้น และส่วนสุดท้ายคือเรื่องสังคม เด็กเยาวชน และคนชราต่างๆ
ส่วนข้อเสีย คือ เรื่องคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (ศปป.) ที่เอา ผบ.เหล่าทัพ เอาอดีตนายกฯมาอยู่ใน คปป. น่าจะเป็นข้อที่ถูกโจมตีมากที่สุด และเป็นเงื่อนไขที่ถูกมองมากที่สุดว่าไม่เป็นประชาธิปไตย อันนี้ต้องถูกแก้ไข
บทเรียนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ตกไป พล.อ.เอกชัยบอกว่า หากจะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมตั้งแต่แรกน่าจะดี
"ผมดูที่ อ.เจิมศักดิ์ได้ให้ข้อเสนอไว้ ตอนนี้ไม่มี สปช.แล้ว แต่ว่าที่ผ่านมาเขาบอกว่าใน กมธ.ยกร่างฯเขาจะมีสภายกร่างฯ สภายกร่างฯจะช่วยกลั่นกรองแล้วโหวตทีละมาตราเลย แต่ต่อไปนี้ กมธ.ยกร่างฯจะไม่มีสภาแล้ว สภาขับเคลื่อนฯก็ไม่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมาธิการยกร่างฯ การตรวจสอบต่างๆ และให้ข้อคิดเห็นก็จะไม่มี
"การทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างฯชุดที่ผ่านมา ภายในไม่มีอะไรขัดแย้งกันมากเท่าที่เห็น อาจจะมีบ้างช่วงต้นที่คุณทิชา ณ นคร ได้ลาออกไป นั่นคือการไม่ยอมรับความคิดเห็นของเพื่อนๆ เขาก็ระมัดระวังในตอนหลังนี้ เพื่อไม่ให้มีปัญหา แต่อันหนึ่งที่มองเห็น คือ เขาประชุมลับเกินไป เลยทำให้ไม่มีจุดร่วมมาจากภายนอกเท่าที่ควร นี่เป็นจุดเสีย"
พล.อ.เอกชัยเสนอความเห็น ก่อนจะปิดท้าย
"ถ้าเกิดไม่มีฮิดเด้น ถ้าโปร่งใสแล้วเปิดให้เข้าฟังได้ อย่างนั้นน่าจะดี หรือถ่ายทอดออกไปได้เลยก็น่าจะดีเช่นกัน"
มติชนออนไลน์ : เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 7 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 135 เสียง ลงมติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญต้องเริ่มนับหนึ่งกระบวนการยกร่างใหม่ โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 21 คน ภายใน 30 วัน เพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน แล้วเข้าสู่กระบวนการลงประชามติ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ว่า
ขณะนี้ ยังไม่ทราบเพราะเรื่องดังกล่าว คสช.จะพิจารณาแต่งตั้ง เข้าใจว่าคงยังไม่ได้มีการเตรียมการ เพราะยังมีเวลาอีก 30 วัน บุคคลที่จะเข้ามาไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ส่วนจะมีการทาบทามบุคคลใน กมธ.ยกร่างฯชุดเดิมหรือไม่นั้นยังไม่ทราบ การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการร่างฯชุดใหม่ว่าจะนำร่างรัฐธรรมนูญเดิมมาแก้ไขหรือไม่ คงจะมีการประชุมกำหนดแนวทางว่าจะใช้วิธีใดเพื่อให้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
"ปล่อยให้เขาเป็นคนพูดก่อนดีกว่า ถ้าเราพูดตอนนี้เหมือนจะเป็นใบสั่งอีก แต่วันนี้เสียงบางพวกที่ออกมาต้องการให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้ หรือบางพวกบอกให้นำปี 2550 มาใช้ หรือแม้แต่เสนอให้นำร่างล่าสุดที่มีทั้งข้อดีข้อเสียมาแก้ไข สามารถเสนอได้" นายวิษณุกล่าว
ใช้เวลาร่างรธน.ใหม่จนถึงเลือกตั้ง
"ผมยังไม่เห็น คสช.เรียกประชุมหารือในเรื่องดังกล่าวยังถือว่าเร็วไป สปช.เพิ่งโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญไปเมื่อวันที่ 6 กันยายน จากวันนี้ไปอาจจะมีการขยับ ผมเข้าใจว่าน่าจะมีการหารือเรื่องนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงแนวทางโดยจะสรุปและชี้แจงให้ที่ประชุมรับทราบอีกครั้งว่าโรดแมปย่อยๆ หลังจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะจะได้ขมวดให้ทราบในเรื่องการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ 21 คน หรือการตั้งสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไม่เกิน 200 คน หรือการบริหารเวลาที่มีต่อจากนี้" นายวิษณุกล่าว
นายวิษณุ กล่าวต่อว่า ทุกอย่างจะใช้สูตร 6-4-6-4 คือ ใช้เวลาร่างรัฐธรรมนูญ 6 เดือน จากนั้นเตรียมการทำประชามติ 4 เดือน ถ้าผ่านประชามติจะมีการทำกฎหมายลูกและเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รวมถึงส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ใช้เวลา 6 เดือน กระทั่งใช้เวลารณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอีก 4 เดือน รวมแล้วระยะเวลาหลังจากนี้ 20 เดือน ของอย่างนี้มันจัดการให้สั้นลงได้ แต่ต้องพูดให้มันยาวไว้ก่อน อย่างที่พูดไว้ว่าขั้นตอนที่ใช้เวลา 6 เดือน จริงๆ อาจจะใช้เวลาสั้นกว่านั้นได้ ยกเว้นบางเรื่องที่ไม่สามารถขยายระยะเวลาได้ เช่นการหาเสียงเลือกตั้ง
ตั้งกก.ยกร่างฯ-ใช้สเปกง่ายๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่จะหาคนมาทำยากหรือไม่นายวิษณุกล่าวว่า"ยาก แต่ต้องหาจนได้ สเปกง่ายๆ แค่ร่างรัฐธรรมนูญเป็น แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักกฎหมาย อย่างใน กมธ.ยกร่างฯชุดเดิม 36 คน มีนักกฎหมายเพียง 2-3 คน นอกนั้นไม่ใช่ แต่ผมว่าเร็วไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เข้าใจว่าคนที่เป็นแมวมองคงมองใครเอาไว้บ้างแล้ว แต่ยังไม่ถึงขนาดทาบทาม ดีไม่ดีอาจมองไว้เกิน 21 คนด้วยซ้ำไป แต่พอถึงเวลา คสช.ทั้งคณะต้องเอารายชื่อคนเหล่านี้มาพูดคุยกันอีกครั้งว่ามีท่าทีไปอย่างไร จะว่างหรือไม่ ที่ผ่านมาเคยมีปัญหาเรื่องการคัดคนเป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ผมเคยเจอปัญหามาแล้ว"
นายวิษณุ กล่าวว่า "คนที่เหมาะสมน่าจะเอามาเป็นมาก แต่ดันติดขัดเพราะทำหน้าที่อะไรบางอย่างอยู่ หากเขามาร่างรัฐธรรมนูญ แต่ต้องลาออกจากตำแหน่งนั้นๆ ไม่เอาดีกว่า เหมือนหาคนมาเป็นรัฐมนตรีที่สื่อก็คิดและทราบว่าคนนี้น่าจะเข้ามาเป็น แต่อาจติดภารกิจอะไรบางอย่างอยู่ แล้วไม่อาจจะเสียสละตำแหน่งนั้นมาได้ มีภาระที่ผูกมัดกันอยู่ ดีไม่ดีอาจทำให้ประเทศเสียหายในทางอื่นหากลาออก การหากรรมการร่างธรรมนูญอาจจะเสียหายในลักษณะเดียวกัน แต่ในที่สุดต้องหาจนได้ภายในวันที่ 6 ตุลาคมนี้ แต่จะภายในสัปดาห์นี้หรือไม่นั้นผมไม่ทราบ หรือใครจะมาเป็นประธานยังไม่ทราบ และไม่มีชื่อใครในใจเลยเพราะไม่มีหน้าที่เรื่องนี้ ขณะนี้ยังไม่ได้รับมอบหมายให้ช่วยเลือกเพราะยังเร็วไป"
ไม่จำเป็นต้องตั้งยกร่างฯถึง 21 คน
เมื่อถามว่า คนเป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญต้องเป็นหัวหน้า คสช.เลยหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า "ถ้าจริงมันก็ดีน่ะสิ แต่มันเป็นไปไม่ได้ จะได้รู้แล้วรู้รอด หมดเรื่องหมดราวกันไปเลย แต่มันไม่จริง เพราะผมไปเป็นยังไม่ได้เลยเพราะเขาห้ามรัฐมนตรีไปเป็น"
นายวิษณุ กล่าวว่า ความจริงไม่ต้องตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญถึง 21 คน ข้อกฎหมายระบุว่าประธาน 1 คน กรรมการไม่เกิน 20 คน เพราะฉะนั้นอาจไม่ถึง 20 คน ส่วนคุณสมบัติทั้ง 21 คนคือต้องมีความรู้ความสามารถในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักกฎหมาย อาจเป็นนักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ หรือคนที่เข้าใจเรื่องการเมือง วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย หรือที่สำคัญต้องเข้าใจสภาพบ้านเมืองไทยแบบทุกมิติ ทั้งมิติความมั่นคง มิติเสรีภาพ มิติการเมือง มิติภาคประชาชน อย่างไรก็ตามคงไม่อาจเอาคนที่มีแนวคิดตรงกันข้าม แต่ประเภทที่ต้องมีแนวคิดเดียวกันคงหายากเพราะสุดท้ายไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร
เมื่อถามว่า การยกร่างรัฐธรรมนูญในอดีตไม่เห็นจะมีความวุ่นวายหรือมีคณะกรรมการต่างๆ ตั้งขึ้นตามมาเลย นายวิษณุกล่าวว่า อันที่จริงก็ไม่เคยวุ่นวาย ครั้งที่แล้วก็ไม่ได้วุ่นวาย ส่วนที่มีการระบุว่าให้มีการตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศนั้น มันทำงานขับเคลื่อนของมันไป คนละเส้นทางกันเพราะสภาขับเคลื่อนฯทำเฉพาะเรื่องปฏิรูป สานต่อจากแผนแม่บทของ สปช.ทั้ง 37 ด้าน สภาขับเคลื่อนฯเลี้ยวซ้ายเข้าซอยทำเรื่องปฏิรูป อย่าออกมายุ่งเรื่องรัฐธรรมนูญ ส่วนคณะกรรมการร่างฯ ก้มหน้าก้มตาร่างของเขาไป เป็นแนวทางมาตั้งแต่ปี 2475 ไม่ได้มีปัญหาอะไร
โจทย์ใหม่หาอะไรแทนคปป.
นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ที่ถูกบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญเดิม และมีหลายฝ่ายไม่พอใจนั้น จะกลับเข้ามาอยู่ในร่างฉบับใหม่หรือไม่นั้นไม่ทราบ เรื่องแบบนี้คนที่เป็นกรรมการร่างฯคงจะต้องใส่ใจแล้วนำมาคิดดู ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าถ้าไม่เอา คปป.แล้ว ปัญหาที่ยังอยู่ซึ่งเริ่มต้นมาจาก กมธ.ยกร่างฯชุดเดิมได้หยิบยกปัญหากรณีที่บ้านเมืองจะเกิดปัญหา แล้วจะมีมาตรการใดมารองรับ บัดนี้เมื่อมาตรการดังกล่าวปรากฏว่าคนไม่ยอมรับ จึงเป็นปัญหาต่อว่าปัญหาที่กลัวว่าจะเกิดขึ้นนั้นยังกลัวกันอยู่หรือไม่ ถ้าไม่กลัวไม่ต้องมีมาตรการ แต่ถ้ากลัวต้องคิดมาตรการอื่น ถือเป็นเรื่องธรรมดา สุดแต่สติปัญญาของกรรมการร่างฯ
นายวิษณุ กล่าวว่า เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ.2557 โดยเฉพาะมาตรา 44 จะหมดไป และเกิดรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งไม่มีมาตราอะไรให้ กมธ.ยกร่างฯชุดเดิม จึงคิดให้มี คปป.ขึ้นมาแทนมาตรา 44 แม้แต่คำสั่ง คสช.ที่อาศัยมาตรา 44 อาจจะหมดไปด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นต้องมีอะไรมารองรับต่อ ส่วนจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้มีการมองว่าสืบทอดอำนาจนั้น ทุกฝ่ายคงต้องช่วยกัน จะไปโยนให้กรรมการร่างฯชุดใหม่ไม่ได้ แต่กรรมการร่างฯชุดใหม่ต้องเป็นพระเอกที่จะนำให้เห็นว่าไม่ได้สร้างกลไกสำหรับการสืบทอดอำนาจ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด