สภาพัฒน์ หั่นเป้าจีดีพีปีนี้เหลือโต 1.5-2% หลังมองศก.โลกฟื้นช้า ฉุดส่งออก ขณะที่จีดีพีQ2โต 0.4% หลังคสช.คืนความสุข
สภาพัฒน์ หั่นเป้าจีดีพีปีนี้เหลือโตในกรอบ 1.5-2% จากก่อนหน้าโตในกรอบ 1.5-2.5% หลังมองศก.โลกฟื้นตัวช้า ฉุดส่งออกทั้งปีคาดเหลือโต 2% จากเดิมคาดโต 3.7% ขณะที่ จีดีพีQ2/57 โต 0.4% จากติดลบในไตรมาสก่อน หลังคสช. คืนความสุขกระตุ้นบริโภค แต่ 6 เดือนแรกยัง -0.1% ส่วนปีหน้า หวังจีดีพีโต 3.5-4.5% ส่งออกโต 5-7%
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ได้ปรับลดประมาณการ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หรือจีดีพีปี 2557 เหลือเติบโต ในกรอบ 1.5-2.0% ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตในกรอบ 1.5-2.5% แม้ว่าการปรับตัวดีขึ้นของสถานการณ์ทางการเมืองจะทำให้ความเชื่อมั่นของภาคครัวเรือนปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งสามารถทำให้การจัดทำงบประมาณปี 2558 และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 ซึ่งจะทำให้อุปสงค์ในประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก รวมถึงการส่งออกในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นก็ตาม เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังมีข้อจำกัดการฟื้นตัวอย่างล่าช้าของเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวอย่างช้าๆของการลงทุนภาคเอกชน แนวโน้มการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยว และจำกัดการลดลงจากฐานที่สูงของการผลิตและจำหน่ายรถยนต์นั่ง เป็นต้น
"แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียหลายประเทศยังมีแนวโน้มต่ำกว่าสมมติฐาน ซึ่งทำให้ความต้องการสินค้าส่งออกขยายตัวช้า อีกทั้งปัจจัยภายนอกประเทศกรณีสถานการณ์ในยูเครนและรัสเซียยังถือเป็นปัจจัยเสี่ยง" นายอาคม กล่าว
นอกจากนี้ สภาพัฒน์ ได้ปรับลดประมาณการ มูลค่าการส่งออกในปี 2557 เติบโต 2% ลดลงจากเดิมที่คาดเติบโต 3.7% ซึ่งเป็นการปรับลดตามสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก จากเดิมที่คาดโต 3.4% และ 4.2% ตามลำดับ จึงเหลือโต 3.3% และ 4.0% ตามลำดับ โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการโตเพียง 1.7% ต่ำกว่าในการประมาณการครั้งก่อนที่คาดโต 3.6%
ส่วนมูลค่าการนำเข้าในปี 2557 คาดว่าจะติดลบ 4.9% ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ 0.5% ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับลดประมาณการ การส่งออกที่จะทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบน้อยลง โดยคาดว่าปริมาณการนำเข้าสินค้าจะลดลง 4.4% จากเดิมที่คาดว่าจะโตได้ 4% ส่งผลดุลการค้าในปีนี้คาดเกินดุล 21.8 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดเกินดุล 13.6 พันล้านเหรียญ
และในปีนี้คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดปี 2557 เกินดุล 9.9 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 2.6% ต่อจีดีพี เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะเกินดุล 1.9 พันล้านดอลลาร์ จากเดิมที่คาดเกินดุล 0.5% ต่อจีดีพี
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2557 คาดว่าเติบโตในกรอบ 1.9-2.4% ลดลงจากเดิมที่คาดอยู่ที่ 1.9-2.9% โดยประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีอยู่ในระดับใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกตามสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มทรงตัว รวมถึงการขยายระยะเวลามาตรการลดค่าครองชีพและการฟื้นตัวอย่างช้าๆของเศรษฐกิจในภาพรวม
ขณะที่เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ปี 2557 ที่ผ่านมา ขยายตัว 0.4% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ติดลบ 0.6% โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากการขยายตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออก ส่วนในด้านการผลิตสาขาเกษตรขยายตัว ในขณะที่สาขาอุตสาหกรรมและการก่อสร้างปรับตัวลดลงและเป็นอัตราที่ชะลอตัว ขณะที่ด้านการโรงแรมและภัตตาคารปรับตัวลงต่อเนื่องตามทิศทางการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยว แต่เมื่อรวมกับไตรมาสแรกส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปีนี้ติดลบ 0.1%
"เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปรับตัวดีขึ้น แต่ก็เป็นการฟื้นตัวช้าๆ หลังจากภาวะความไม่แน่นอนของการเมืองไทย จนกระทั่งคสช.เข้ามาแก้ปัญหาในด้านต่างๆ ซึ่งส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐ รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการจับจ่ายใช้สอยปรับตัวดีขึ้น" นายอาคม กล่าว
โดยในไตรมาส 2 ของปี 2557 ไทยมีมูลค่าการส่งออก 5.57 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโต 0.4% เพิ่มขึ้น จากไตรมาสแรกที่ติดลบ 0.8% โดยเป็นการปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจในสหรัฐฯและยุโรป ที่เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ปริมาณการส่งออกโต 1.5% โดยสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าขยายตัว ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ปิโตรเคมี เครื่องจักรและอุปกรณ์ ส่วนสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง คือ ยางพารา กุ้ง ยานยนต์ และผลิตภัณฑ์โลหะ
สำหรับ ในช่วงครึ่งแรกของปี มูลค่าการส่งออกติดลบ 0.2% ส่วนปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 1.2%
ส่วนการนำเข้าในไตรมาส 2 ของปี 2557 มีมูลค่า 4.98 หมื่นล้านดอลลาร์ ติดลบ 11.8% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ติดลบ 14.8% แต่โดยปริมาณการนำเข้าลดลงในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าวัตถุดิบและสินค้าทุน ขณะที่ราคานำเข้าลดลง 0.2% ซึ่งถือว่าดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ติดลบ 1.4% รวมครึ่งแรกของปีนี้การนำเข้าสินค้าติดลบ 13.3% ส่งผลดุลการค้าในไตรมาส 2 ของปีนี้เกินดุล 5.93 พันล้านดอลลาร์ ลดลงจากไตรมาสก่อนที่เกินดุล 6.51 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลจากมูลค่าการส่งออกที่เริ่มขยายตัว ขณะที่มูลค่าการนำเข้ายังปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ นายอาคม คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2558 จะเติบโตในกรอบ 3.5-4.5% โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ และการส่งออกที่ฟื้นตัว รวมทั้งมีการจัดทำงบประมาณปี 2558 ซึ่งจะส่งผลให้ด้านการลงทุนและการจับจ่ายใช้สอยปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เป็นต้นไป และน่าจะทำให้การส่งออกของไทยในปีหน้าเติบโตได้ 5-7%
"ส่วนตัวถ้าทุกภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชนร่วมมือร่วมใจกัน เชื่อว่าปีหน้าตัวเลขเศรษฐกิจของไทยโตได้ 4-5% และการส่งออกโตได้มากกว่า 10%" นายอาคม กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สภาพัฒน์ปรับคาดการณ์ GDP ปี 57 เหลือโต 1.5-2.0% จากเดิม 1.5-2.5%
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ปรับคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 57 เหลือเติบโต 1.5-2.0% จากเดิม 1.5-2.5% แม้ว่าครึ่งปีแรกเศรษฐกิจจะติดลบเพียง 0.1% ถือว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น แต่ สศช.ประเมินว่าการลงทุนโดยรวมจะติดลบเพิ่มขึ้น รวมทั้งการส่งออกคงจะขยายตัวได้เพียง 2.0% จากเดิมคาดโต 3.7%
"เศรษฐกิจไทยในปี 57 คาดว่าจะขยายตัว 1.5-2.0% โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัว 2.0% การบริโภคของครัวเรือนขยายตัว 0.8% การลงทุนรวมหดตัว 2.0% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วง 1.9-2.4% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.6% ของ GDP"รายงาน สศช.ระบุ
สศช. มองว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในครึ่งหลังของปีตามการใช้จ่ายภาครัฐ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้นและส่งผลดีต่อการใช้จ่ายและการลงทุน รวมทั้งการส่งออกจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ได้ปรับลดประมาณการทั้งปีนี้ลง เนื่องจากเศรษฐกิจในไตรมาสที่สองขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองยืดเยื้อต่อเนื่อง การส่งออกขยายตัวช้า และการหดตัวของการจำหน่ายรถยนต์
ประกอบกับการขยายตัวในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มต่ำกว่าศักยภาพ เพราะยังมีข้อจำกัดสำคัญ 4 ประการ คือ ประการแรก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ล่าช้า และราคาสินค้าส่งออกลดลง ประการที่สอง การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวยังต้องใช้เวลาและตลาดท่องเที่ยวมีการแข่งขันกันมากขึ้นทำให้นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเปลี่ยนจุดหมายการเดินทางท่องเที่ยว ประการที่สาม อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ยังอยู่ในระดับต่ำและความล่าช้าในการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกยังเป็นข้อจำกัดที่สำคัญต่อการขยายตัวของการลงทุน และ ประการที่สี่ การจำหน่ายรถยนต์และการผลิตรถยนต์ยังคงปรับตัวลงจากฐานการจำหน่ายที่สูงในปีก่อน
"ข้อจำกัดดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่ำ แม้ว่าการแก้ไขปัญหาทางการเมืองจะทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจและการเบิกจ่ายของภาครัฐดีขึ้นก็ตาม"สศช.ระบุ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2557 นั้นควรให้ความสำคัญกับ 6 ด้านสำคัญ คือ 1.การเร่งรัดการส่งออกให้สามารถขยายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มรายได้จากตลาดหลักและตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ รวมทั้งส่งเสริมการค้าชายแดนและการค้าในภูมิภาค ตลอดจนเร่งรัดแก้ไขปัญหาข้อจำกัดในด้านการผลิตของสินค้าที่สำคัญ 2.การฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว โดยการสร้างความเชื่อมั่นและแก้ไขปัญหาสำคัญในภาคการท่องเที่ยว 3.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2557 ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 91.3% และการเบิกจ่ายในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2558 ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 31% รวมทั้งการเร่งรัดการเบิกจ่ายและการดำเนินโครงการสำคัญของรัฐวิสาหกิจ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี
4.การเร่งรัดอนุมัติส่งเสริมการลงทุนและสนับสนุนให้การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสิรมแล้วเริ่มการลงทุน และมีเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่เศรษฐกิจโดยเร็ว รวมทั้งการเร่งรัดการประกาศใช้นโยบายส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ 5. การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและภาคธุรกิจโดยการเร่งรัดดำเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมในช่วงที่เหลือของปี 57 และในปี 58 และ 6.การดำเนินนโยบายการเงินที่เอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการดูและรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท
เลขาธิการสศช. กล่าวว่า การที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้เข้ามาสานต่อโครงการต่างๆ ที่ยังค้างอยู่นั้น รวมถึงการปรับนโยบายต่างๆ ให้เข้าสู่การใช้นโยบายพื้นฐานโดยไม่ใช่งบประมาณไปในโครงการที่เป็นภาระของงบประมาณ ก็น่าจะมีส่วนในการสร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้น ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจเองนั้นต่างเห็นตรงกันว่า ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยคงที่มานาน และไม่ค่อยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ เพิ่มเติม ดังนั้นหากได้เห็นความชัดเจนของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ก็เชื่อว่านักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นประเทศไทยมากขึ้นเป็นลำดับ
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/57 ที่ผ่านมาขยายตัว 0.4% ปรับตัวดีขึ้นจากการหดตัว 0.5% ในไตรมาสแรก ในด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออก แต่การลงทุนภาคเอกชนหดตัว ในด้านการผลิต สาขาเกษตรขยายตัว ในขณะที่สาขาอุตสาหกรรม และก่อสร้างหดตัวช้าลง แต่สาขาโรงแรมและภัตตาคารหดตัวต่อเนื่องตามการหดตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว
เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/57 ขยายตัวจากไตรมาสแรกของปี 57 ที่ 0.9% (QoQ_SA %) เมื่อรวมกับไตรมาสแรก เศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี 57 หดตัว 0.1% โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้ 4%
อินโฟเควสท์
สภาพัฒน์ คาด จีดีพีปีนี้อาจโตได้ถึง 3% จากก่อนหน้าคาด 1.5-2.5% หากส่งออกครึ่งปีหลังโตได้ 6-7%
นายปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2557 หรือจีดีพีอาจจะขยายตัวได้ในระดับ 3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 1.5-2.5% หากการส่งออกสามารถขยายตัวได้ในระดับ 3-5% อย่างไรก็ตามปัจจัยที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตไปได้อีกประเด็นหนึ่งก็คือการรับผลบวกจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกที่ผ่านมาติดลบ 0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยการบริโภค การลงทุนและการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2/57 โดยเฉพาะเดือนมิ.ย. จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือน อยู่ที่ 75.1 เพิ่มขึ้นจาก 70.7 ในเดือน พ.ค. 57 ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 65.3 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเช่นกัน เนื่องด้วยมีความมั่นใจต่อสถานการณ์ในประเทศที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
"ปัจจัยที่ยังต้องจับตามองในครึ่งหลังของปี คือ การส่งออก ที่ได้รับแรงผลักดันของเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัวจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไปได้มากน้อยเพียงใด โดยคาดว่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะขยายตัวได้ 6-7% ขณะที่การส่งออกในเรื่องของการลดความสัมพันธ์ของสหภาพยุโรป ที่ให้ประเทศสมาชิกอียูระงับการเยือนอย่างเป็นทางการ รวมถึงไม่ให้ลงนามกรอบความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือกับไทยจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจหรือความร่วมมือระหว่างเอกชนทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากยังไม่ได้มีการห้ามธุรกิจและธุรกรรมระหว่างประเทศหรือกีดกันทางการค้าโดยตรง แต่ก็อาจทำให้ข้อตกลงทางการค้าการลงทุนและเศรษฐกิจระหว่างประเทศชะลอออกไป" นายปรเมธี กล่าว
อย่างไรก็ดี หากไม่มีการลงนามข้อตกลงเขตการค้าเสรี ก่อนถูกยกเลิกสิทธิพิเศษ GSP จะส่งผลให้ภาคธุรกิจส่งออกไทยเสียภาษีขาเข้าในอัตราปกติ ทำให้ต้นทุนการส่งออกของไทยไปยุโรปสูงขึ้น และอาจสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันในตลาดยุโรป สำหรับสินค้าที่ถูกยกเลิก GSP ในปี 57 มีจำนวน 50 รายการ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 723 รายการในปี 58 โดยสินค้าที่ใช้สิทธิ GSP ได้แก่ รถบัสและรถบรรทุก เลนซ์ที่ทำด้วยวัสดุอื่นๆ (พลาสติก) เครื่องปรับอาการศแบบติดหน้าต่าง ถุงมือยาง กุ้งแปรรูป และรถจักรยานยนต์ โดยสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเนื่องจากสหภาพยุโรปเป็นตลาดส่งออกหลัก คือ เลนซ์ที่ทำด้วยวัสดุอื่นๆ มีสัดส่วนของการส่งออกเลนซ์ทั้งหมด 45.8% และรถจักรยานยนต์มีสัดส่วน 41.4% ของการส่งออกรถจักรยานยนต์ทั้งหมด
ส่วนการปรับลดอันดับการค้ามนุษย์ของไทยลงสู่ระดับ Tier 3 สินค้าที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และสินค้าส่งออกมีประมาณ 5.3% ของการส่งออกรวมของไทย ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องนุ่งห่ม น้ำตาลทราย และกุ้ง โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการกีดกันการส่งออกไปสหรัฐฯ คือการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.2 พันล้านเหรีญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 24.5% ของการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปทั้งหมด และกุ้ง ที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯราว 941 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่าการส่งออก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 35.4% ของการส่งออกเครื่องนุ่งห่มทั้งหมด
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สศช.คาดส่งออก H2/57 ฟื้นโต 6-7% รับ ศก.โลกฟื้น-บาทอ่อน ดัน GDP ทั้งปีโตได้ 3%
นายปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 57 จะขยายตัวได้ในระดับ 3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 1.5-2.5% เนื่องจากประเมินว่าครึ่งปีหลังการส่งออกจะฟื้นขึ้นมาเติบโตในระดับสูงถึง 6-7% ซึ่งจะทำให้การส่งออกทั้งปีนี้ขยายตัวได้ราว 3-5% อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตไปได้อีกประเด็นหนึ่งคือรับผลบวกจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับตัวอ่อนค่า
สำหรับ ปัจจัยที่ต้องจับตามองในครึ่งหลังของปี คือ เรื่องของการส่งออกที่ได้รับแรงผลักดันของเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัวว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไปได้มากน้อยเพียงใด ขณะที่นัยเรื่องของการลดความสัมพันธ์ของสหภาพยุโรป(อียู)จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งนั้น มองว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจหรือความร่วมมือระหว่างเอกชนทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากยังไม่ได้มีการห้ามธุรกิจและธุรกรรมระหว่างประเทศ หรือกีดกันทางการค้าโดยตรง
แต่กรณีดังกล่าวอาจทำให้ข้อตกลงทางการค้าการลงทุนและเศรษฐกิจระหว่างประเทศชะลอออกไป ซึ่งหากไม่มีการลงนามข้อตกลงเขตการค้าเสรีก่อนถูกยกเลิกสิทธิพิเศษ GSP จะส่งผลให้ภาคธุรกิจส่งออกไทยเสียภาษีขาเข้าในอัตราปกติ ทำให้ต้นทุนการส่งออกของไทยไปยุโรปสูงขึ้น และอาจสูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน
สำหรับสินค้าที่ถูกยกเลิก GSP ในสิ้นปี 57 มีจำนวน 50 รายการ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 723 รายการในปี 58 โดยสินค้าที่ใช้สิทธิ GSP ได้แก่ รถบัสและรถบรรทุก, เลนส์ที่ทำด้วยวัสดุอื่นๆ(พลาสติก), เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่าง, ถุงมือยาง, กุ้งแปรรูป และรถจักรยานยนต์ ขณะที่สินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเนื่องจากอียูเป็นตลาดส่งออกหลัก คือ เลนส์ฯ มีสัดส่วนของการส่งออกไปอียูทั้งหมด 45.8% และรถจักรยานยนต์ สัดส่วน 41.4%
นายปรเมธี กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกที่ผ่านมาติดลบ 0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยภาคการบริโภค การลงทุนและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากที่สุดจกาสถานการณ์ทางการเมือง จากนั้นเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2/57 โดยเฉพาะเดือน มิ.ย.57 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือนมาอยู่ที่ 75.1 เพิ่มขึ้นจาก 70.7 ในเดือน พ.ค.57 ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 65.3 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเช่นกัน เนื่องด้วยมีความมั่นใจต่อสถานการณ์ในประเทศที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
ส่วนกรณีที่สหรัฐฯ ปรับลดอันดับการค้ามนุษย์ของไทยลงสู่ระดับ Tier 3 นั้น สินค้าที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และสินค้าส่งออกมีประมาณ 5.3% ของการส่งออกรวมของไทย ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, เครื่องนุ่งห่ม, น้ำตาลทราย และกุ้ง โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการกีดกันการส่งออกไปสหรัฐฯ คือ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.2 พันล้านเหรีญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 24.5% และกุ้ง ที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ ราว 941 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่าการส่งออก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 35.4% ของการส่งออกเครื่องนุ่งห่มทั้งหมด
นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ยังเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่จะเป็นลักษณะของการค่อยๆ ฟื้นขึ้น จากนั้นจะเริ่มกลับมาขยายตัวในระดับที่ดีได้ อย่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งจะเห็นได้จากที่มีการดำเนินการลดมาตรการ QE สะท้อนเศรษฐกิจที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น โดยไทยก็จะได้รับอานิสงสฺ์จากการส่งออกสินค้าไทยไปด้วย
ปีนี้มองว่ายังเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่จะไม่เร็วมากนัก และจะเริ่มกลับมาขยายตัวได้ในระดับที่ดีขึ้น โดยมองเรื่องของการที่สหรัฐฯลด QE นับว่าเป็นข่าวดี เนื่องด้วยเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเข้มแข็งขึ้น ซึ่งจะไม่มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบจนกว่าอัตราการว่างงานจะอยู่ในระดับต่ำ โดยรวมยังคิดว่าการลด QE เป็นสัญญาณที่ดี"นายปรเมธี ระบุ
อินโฟเควสท์
สภาพัฒน์เตรียมปรับจีดีพีใหม่ หลังพบสัญญาณเศรษฐกิจตัว จับตาส่งออก
นายปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ผ่านการบริโภคภายในประเทศ และการขับเคลื่อนการลงทุนของภาคเอกชน จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 1.2 ล้านล้านบาท จากวงเงินเดิม 2 ล้านล้านบาท เนื่องจากบางโครงการลงทุนสามารถเดินหน้าได้ทันที เช่น รถไฟทางคู่ การก่อสร้างรถไฟฟ้า
นายปรเมธี กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วง คือการส่งออกที่ยังฟื้นตัวได้ช้ากว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะด้านมูลค่าการส่งออกไม่ได้สูงขึ้นมากนัก เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรยังไม่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังพัฒนาแข่งกับต่างประเทศไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องติดตามการส่งออกในครึ่งปีหลัง หากสามารถเติบโตได้อย่างน้อยร้อยละ 6-7 ต่อเดือน มีโอกาสที่การส่งออกในปีจะเติบโต 3-5 % จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ 2.5% หรืออยู่ในกรอบ 1.5-2.5% ทั้งนี้ สศช.เตรียมจะประกาศตัวเลขเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง ในวันที่ 18 สิงหาคมนี้
อินโฟเควสท์
กรอ.นัดแรกเห็นชอบมาตรการฟื้นศก. 5 ด้านตามข้อเสนอเอกชน-ตั้งกรรมการเพิ่ม
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 1/2557 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานว่า ที่ประชุมพิจารณาข้อเสนอของภาคเอกชน 5 สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สมาคมธนาคารไทย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย รวม 5 เรื่อง 14 ประเด็น ดังนี้
1. รับทราบข้อเสนอด้านการส่งเสริมการค้าและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยที่ประชุมมีมติ 1.1 การขยายเวลามาตรการสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นชอบการขยายเวลา โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ไปพิจารณาในรายละเอียด และนำเสนอต่อ คสช.ภายในเดือนกรกฎาคม 2557
1.2 การแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการแรงงานแห่งชาติ มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ (กนร.) ดำเนินการแก้ไขปัญหาแรงงาน โดยให้ภาคเอกชนร่วมพิจารณา และให้กระทรวงแรงงานพิจารณาปรับกระบวนการต่อใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ของคนต่างด้าวให้คล่องตัวขึ้น และในระยะต่อไป ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเหมาะสมในการออกวีซ่าประเภทต่างๆ เพื่อความรอบคอบในทุกมิติ
1.3 การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดน มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) พิจารณารายละเอียดการปรับปรุงด่านสะเดา จังหวัดสงขลา และการขยายเวลาเปิด-ปิดของด่านชายแดนที่สำคัญ และให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแก้ไขปัญหาการขนส่งทางถนนระหว่างไทย-มาเลเซีย
1.4 การส่งเสริมและผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ มอบหมายให้ สศช.ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนพ.รับไปดำเนินการให้เป็นไปตามมติ กนพ.ครั้งที่ 1/2557 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2557
1.5 การขับเคลื่อนสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงานทดแทนจากสินค้าเกษตร มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับข้อเสนอยุทธศาสตร์ข้าวและชาวนาไทยไปพิจารณาในรายละเอียด รวมทั้งในเรื่องการปรับกลไกตลาดการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว(นบข.) และคสช. ภายใน 15 วัน ในส่วนของสินค้าเกษตรอื่น ให้ใช้กลไกการบริหารจัดการที่มีอยู่แล้วจัดทำข้อเสนอยุทธศาสตร์ให้ชัดเจน เสนอต่อคณะกรรมการ กรอ. ในการประชุมครั้งต่อไป
2. รับทราบข้อเสนอด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้ 2.1 โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ SMEs ไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ระยะที่ 2 (2557-2559) รับทราบข้อเสนอและเห็นควรสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการในปี 2558 จำนวน 500 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประเมินผลการดำเนินโครงการ ก่อนพิจารณาขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินการในระยะต่อไป รวมทั้งให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรับไปพิจารณาสมทบค่าใช้จ่ายในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของงบประมาณโครงการที่ได้รับการอนุมัติ เพื่อให้สามารถสนับสนุน SMEs ได้มากขึ้น
2.2 การพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขปัญหาจากการวางและจัดทำผังเมือง รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการของกรมโยธาธิการและผังเมือง และมอบหมายให้กรมโยธาธิการและผังเมืองรับข้อเสนอด้านการพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขปัญหาการวางและจัดทำผังเมืองของภาคเอกชนไปเสนอคณะกรรมการผังเมืองพิจารณาในประเด็นที่สามารถดำเนินการได้ทันที สำหรับประเด็นที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ ให้เสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาภายใน 1 เดือน นอกจากนั้น ยังได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาประเด็นให้การกำหนดผังเมืองรวมไม่มีอายุการบังคับใช้
3. รับทราบข้อเสนอด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยที่ประชุมมีมติดังนี้ 3.1 การฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวมาตรการระยะเร่งด่วน (1-3 เดือน ก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลท่องเที่ยว High Season) มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและไต้หวัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามกฎหมายกับสถานที่พักที่ประกอบธุรกิจขัดต่อ พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ. 2547 อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังได้ให้กระทรวงการคลังแจ้งเวียนหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจให้เพิ่มกิจกรรมการประชุมสัมมนา และฝึกอบรมภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ สอดคล้องกับมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐของ คสช.
3.2 การสนับสนุนบทบาทของคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2551 มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดำเนินการสนับสนุนบทบาทของคณะกรรมการนโยบายท่องเที่ยวแห่งชาติ โดยให้มีการจัดประชุมอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งให้พิจารณามาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ครอบคลุมในทุกมิติ
4. รับทราบข้อเสนอการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โดยที่ประชุมมีมติดังนี้ 4.1 การปรับแนวทางการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ รับทราบข้อเสนอของภาคเอกชนและการขับเคลื่อนโครงการลงทุนภาครัฐด้านโครงสร้างพื้นฐานของหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ และมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเร่งรัดการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. .... 4.2 การใช้ Infrastructure Fund เป็นทางเลือกหนึ่งในการระดมทุน มอบหมายกระทรวงการคลังรับไปพิจารณา เพื่อเสนอหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาตามขั้นตอน 4.3 การแก้ไขปัญหาน้ำภาคตะวันออก มอบหมายให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรับไปพิจารณาข้อเสนอของภาคเอกชน
5. รับทราบข้อเสนอการแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ โดยที่ประชุมมีมติดังนี้ 5.1 การปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจ การค้า และการลงทุนของประเทศไทย มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมรับไปพิจารณา ทั้งนี้ให้ภาคเอกชนจัดทำข้อสังเกตต่อกฎหมายฉบับต่างๆ เสนอฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อประกอบการพิจารณา 5.2 การขยายระดับการค้ำประกันความสูญเสียของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมของการดำเนินโครงการให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันและในอนาคต
6. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการ กรอ.เพิ่มเติมดังนี้ 1.รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง 2.รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและหัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยา 3.เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 4.รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ และ 5.หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป
อินโฟเควสท์
กรอ.พิจารณาข้อเสนอภาคเอกชน 5 ด้าน เว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและไต้หวัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน รับ High Season
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พร้อมด้วย นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าไทย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ส.ท.ท.) และนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ร่วมแถลงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐ และเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 1/2557 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน โดยที่ประชุมรับทราบข้อเสนอของภาคเอกชน ประกอบด้วย
ที่ประชุมพิจารณาข้อเสนอของภาคเอกชน 5 สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สมาคมธนาคารไทย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย รวม 5 ด้าน 14 ประเด็น ดังนี้
1. รับทราบข้อเสนอด้านการส่งเสริมการค้าและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยที่ประชุมมีมติ
1.1 การขยายเวลามาตรการสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นชอบการขยายเวลา โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ไปพิจารณาในรายละเอียด และนำเสนอต่อ คสช.ภายในเดือนกรกฎาคม 2557
1.2 การแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการแรงงานแห่งชาติ มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ (กนร.) ดำเนินการแก้ไขปัญหาแรงงาน โดยให้ภาคเอกชนร่วมพิจารณา และให้กระทรวงแรงงานพิจารณาปรับกระบวนการต่อใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ของคนต่างด้าวให้คล่องตัวขึ้น และในระยะต่อไป ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเหมาะสมในการออกวีซ่าประเภทต่างๆ เพื่อความรอบคอบในทุกมิติ
1.3 การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดน มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) พิจารณารายละเอียดการปรับปรุงด่านสะเดา จังหวัดสงขลา และการขยายเวลาเปิด-ปิดของด่านชายแดนที่สำคัญ และให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแก้ไขปัญหาการขนส่งทางถนนระหว่างไทย-มาเลเซีย
1.4 การส่งเสริมและผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ มอบหมายให้ สศช.ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนพ.รับไปดำเนินการให้เป็นไปตามมติ กนพ.ครั้งที่ 1/2557 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2557
1.5 การขับเคลื่อนสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงานทดแทนจากสินค้าเกษตร มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับข้อเสนอยุทธศาสตร์ข้าวและชาวนาไทยไปพิจารณาในรายละเอียด รวมทั้งในเรื่องการปรับกลไกตลาดการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว(นบข.) และคสช. ภายใน 15 วัน ในส่วนของสินค้าเกษตรอื่น ให้ใช้กลไกการบริหารจัดการที่มีอยู่แล้วจัดทำข้อเสนอยุทธศาสตร์ให้ชัดเจน เสนอต่อคณะกรรมการ กรอ. ในการประชุมครั้งต่อไป
2. รับทราบข้อเสนอด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
2.1 โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ SMEs ไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ระยะที่ 2 (2557-2559) รับทราบข้อเสนอและเห็นควรสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการในปี 2558 จำนวน 500 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประเมินผลการดำเนินโครงการ ก่อนพิจารณาขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินการในระยะต่อไป รวมทั้งให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรับไปพิจารณาสมทบค่าใช้จ่ายในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของงบประมาณโครงการที่ได้รับการอนุมัติ เพื่อให้สามารถสนับสนุน SMEs ได้มากขึ้น
2.2 การพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขปัญหาจากการวางและจัดทำผังเมือง รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการของกรมโยธาธิการและผังเมือง และมอบหมายให้กรมโยธาธิการและผังเมืองรับข้อเสนอด้านการพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขปัญหาการวางและจัดทำผังเมืองของภาคเอกชนไปเสนอคณะกรรมการผังเมืองพิจารณาในประเด็นที่สามารถดำเนินการได้ทันที สำหรับประเด็นที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ ให้เสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาภายใน 1 เดือน นอกจากนั้น ยังได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาประเด็นให้การกำหนดผังเมืองรวมไม่มีอายุการบังคับใช้
3. รับทราบข้อเสนอด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
3.1 การฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวมาตรการระยะเร่งด่วน (1-3 เดือน ก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลท่องเที่ยว High Season) มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและไต้หวัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามกฎหมายกับสถานที่พักที่ประกอบธุรกิจขัดต่อ พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ. 2547 อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังได้ให้กระทรวงการคลังแจ้งเวียนหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจให้เพิ่มกิจกรรมการประชุมสัมมนา และฝึกอบรมภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ สอดคล้องกับมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐของ คสช.
3.2 การสนับสนุนบทบาทของคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2551 มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดำเนินการสนับสนุนบทบาทของคณะกรรมการนโยบายท่องเที่ยวแห่งชาติ โดยให้มีการจัดประชุมอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งให้พิจารณามาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ครอบคลุมในทุกมิติ
4. รับทราบข้อเสนอการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
4.1 การปรับแนวทางการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ รับทราบข้อเสนอของภาคเอกชนและการขับเคลื่อนโครงการลงทุนภาครัฐด้านโครงสร้างพื้นฐานของหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ และมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเร่งรัดการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. ...
4.2 การใช้ Infrastructure Fund เป็นทางเลือกหนึ่งในการระดมทุน มอบหมายกระทรวงการคลังรับไปพิจารณา เพื่อเสนอหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาตามขั้นตอน 4.3 การแก้ไขปัญหาน้ำภาคตะวันออก มอบหมายให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรับไปพิจารณาข้อเสนอของภาคเอกชน
5. รับทราบข้อเสนอการแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
5.1 การปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจ การค้า และการลงทุนของประเทศไทย มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมรับไปพิจารณา ทั้งนี้ให้ภาคเอกชนจัดทำข้อสังเกตต่อกฎหมายฉบับต่างๆ เสนอฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อประกอบการพิจารณา
5.2 การขยายระดับการค้ำประกันความสูญเสียของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมของการดำเนินโครงการให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันและในอนาคต
กรอ.ขยาย'ซอฟต์โลน' ช่วยเศรษฐกิจภาคใต้
ไทยโพสต์ : ทำเนียบฯ * กรอ.ประชุมนัดแรกอนุมัติขยายสินเชื่อซอฟต์โลนในจังหวัดชายแดนใต้ออกไปอีก 3 ปี พร้อมอนุมัติงบ 500 ล้านบาท ช่วยพัฒนาเอสเอ็มอี
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วม ภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ หรือ กรอ. ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัว หน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธาน ที่ประ ชุมได้รับทราบข้อเสนอใน 5 เรื่อง ประกอบด้วย การส่งเสริมการ ค้าและการลงทุนทั้งในและต่าง ประเทศ, ส่งเสริมอุตสาหกรรม, เร่งฟื้นฟูด้านการท่องเที่ยว, พัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิส ติกส์ และแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติขยายระยะเวลาให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟต์โลน สำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปอีก 3 ปี จนถึงเดือน ธ.ค.2560 รวมถึงแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ การสนับสนุนงบดำเนินโครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จำนวน 500 ล้านบาท และยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีนและไต้หวัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน
สำหรับ ข้อเสนอของภาคเอกชน ที่คณะกรรมการ กรอ.ได้รับทราบ และนำไปพิจารณา อาทิ ส่งเสริมการค้าชายแดน ขับ เคลื่อนสินค้าเกษตร อาหาร และ พลังงานทดแทน การฟื้นฟูเศรษฐ กิจและการท่องเที่ยวมาตรการระยะเร่งด่วน ในระยะ 1-3 เดือน ก่อนเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น
นายอาคม กล่าวว่า ส่วนเรื่องการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพิจารณาผังเมือง และ มาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ต้อง นำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณา และนำกลับมาเสนอในที่ประชุมครั้งหน้า ซึ่งการประชุมคณะกรรม การ กรอ.จะมีการประชุมกันในทุกเดือน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ พร้อมให้มีการแต่งตั้ง กรอ.จังหวัดเพื่อทำงานเชื่อมโยงกับ กรอ.ชุดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ กรอ.เพิ่มเติม คือ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคมเป็นต้นไป.
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด