สศช.ทำนายอีก 26 ปีคนไทยแก่เพิ่มขึ้น
บ้านเมือง : นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยในงานสัมมนา "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรกับอนาคตของการพัฒนาประเทศ" ว่า ใน 26 ปีข้างหน้าหรือปี 2583 สศช.คาดว่าผู้สูงอายุไทย 60 ปีขึ้นไปจะมีจำนวนสูงถึง 20.5 ล้านคน หรือ 32% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่วัยแรงงานลดลงเหลือเพียง 35.18 ล้านคน จากปี 53 มีจำนวน 42.7 ล้านคน นับว่าวัยแรงงานได้ลดลงมากจนหวั่นกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรมและบริการ เนื่องจากกำลังแรงงานเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยการผลิต ทุกภาคส่วนจึงต้องเตรียมรับมือปัญหาดังกล่าว โดยขณะนี้ไทยเร่งเข้าสู่สังคมวัยชราไปแล้ว อาจกระทบต่อภาระทางการคลังในอนาคต ในการจ่ายเงินเข้ากองทุนประเภทต่างๆ เพื่อดูแลสมาชิกวัยชรา สศช.จึงได้วางกรอบแนวคิดในการพัฒนาประชาชนของประเทศในระยะยาว 20 ปี ข้างหน้า เพื่อนำกรอบเสนอ ครม.พิจารณาใน 3 ยุทธศาสตร์หลัก คือ การเพิ่มศักยภาพของประชากรไทยให้สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและหลักประกันทางสังคมให้กับประชาชน การสร้างความอยู่ดีกินดีมีสุขให้สังคมไทย เมื่อกำลังแรงงานลดลงอาจจึงต้องหันมาพัฒนาด้านเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้นแทนกำลังคน ภาคอุตสาหกรรมและบริการ ต้องผลักดันสังคมให้ใช้แนวทางเศรษฐกิจฐานความรู้มากขึ้นแทนการใช้แรงงานหรือรับจ้างผลิต โดยเน้นเศรษฐกิจแนวใหม่ การพัฒนาผ่านนวัตกรรม หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านฐานความรู้
นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและแผนประชากร สศช. กล่าวว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย จากสัดส่วนวัยเด็กและวัยแรงงานเริ่มลดลง ประชากรวัยสูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประเทศยังมีรายได้ระดับปานกลาง จึงเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาประเทศในอนาคต การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร จะก่อให้เกิดความท้าทายที่สำคัญ ทั้งศักยภาพการเติบโตของประเทศที่ชะลอตัว เนื่องจากกำลังแรงงานที่ลดลง ซึ่งจำเป็นต้องทดแทนด้วยคุณภาพของประชากร การออมครัวเรือนที่มีไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวไทย
สภาพัฒน์ เผยรัฐบาลไฟเขียวร่วมลงทุนกลุ่มแม่น้ำโขง 1.77 แสนลบ.
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมช.คมนาคม และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ในการประชุมสุดยอดผู้นำประเทศ ครั้งที่ 5 เรื่องแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ระหว่างวันที่ 19-20 ธ.ค.57 ที่กรุงเทพฯ ในส่วนของไทย จะมีโครงการลงทุนและความช่วยเหลือทางวิชาการ 78 โครงการ มูลค่ารวม 5,475.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 177,960 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการที่ไทยจะเข้าร่วมตามกรอบความร่วมมือด้วยนั้น เป็นแผนงานด้านการคมนาคมมากที่สุด ประมาณ 158,392 ล้านบาท โดยมีโครงการสำคัญ คือ โครงการก่อสร้างถนนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เพื่อเชื่อมท่าเรือแหลมฉบัง-กรุงเทพฯ-ท่าเรือทวาย รองลงมาเป็นด้านพลังงาน ด้านการเกษตร และด้านสิ่งแวดล้อม
อนึ่ง ในการประชุมครั้งนี้ กลุ่มผู้นำจะร่วมกันให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการตามกรอบการลงทุนภูมิภาค โดยมีโครงการตามแผน 10 สาขา 215 แผนงาน มูลค่ารวม 51,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท จะดำเนินการภายใน 5-10 ปี
อินโฟเควสท์
เศรษฐกิจทรุดฉุดจ้างงานลด คาดจีดีพีอุตฯ 58 โต 6%-สศอ.ส่อปรับใหม่เหตุส่งออกหด
ไทยโพสต์ : หลานหลวง * สศช.ชี้ไตรมาส 3 เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว ฉุดการจ้างงานหด 1.8% ขณะที่หนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มชะลอตัวลดลง แต่ต้องเฝ้าระวังการผิดชำระหนี้เพิ่ม "จักรมณฑ์" ตั้งเป้าจีดีพีอุตสาหกรรม 58 โตกระฉูด 6% ขณะสิ้นปี 57 ส่อโตไม่ถึงเป้า 2% ด้าน สศอ.เตรียมประกาศปรับลดดัชนีอุตฯ ลง เหตุส่งออกที่ยังซบ
นางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิด เผยว่า ในไตรมาสที่ 3/57 สถาน การณ์การจ้างงานยังคงลดลง 1.8 % และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง เช่น เดียวกับอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นเป็น 0.84% จากเดิมที่ปีก่อนอยู่ที่ 0.77% เนื่องจากภาวะเศรษฐ กิจไทยยังชะลอตัว ส่วนค่าจ้างแรงงาน และเงินเดือนภาคเอก ชนที่หักเงินเฟ้อแล้ว แม้จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 9.2% ก็ตาม แต่ยังมีแรงงานมากถึง 2.8 ล้านคน ที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท หรือมีค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 7,800 บาท
สำหรับ การก่อหนี้ครัวเรือน ในไตรมาส 3 แม้มีแนวโน้มชะ ลอลงก็ตาม แต่ยังต้องติดตามเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ด้วย โดยหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพิ่มขึ้น 31.8% ขณะที่สินเชื่อที่ผิดนัดชำ ระหนี้เกิน 3 เดือน เพิ่มขึ้น 48.9% ส่วนยอดคงค้างชำระบัตรเครดิตเกิน 3 เดือน เพิ่มขึ้น 28.1% โดยคนที่มีรายได้ต่ำมีหนี้บัตรเครดิตต่อรายได้ในสัดส่วนที่สูงและมีภาระการจ่ายคืนหนี้ต่อรายได้สูงเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังพบว่าการผลิตแรงงานในทุกสาขาเพิ่มขึ้นช้ากว่า การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงาน ทั้งด้านการผลิต การก่อสร้าง ค้าปลีก-ค้าส่ง ขนส่ง การเงินการธนาคาร ยกเว้นสาขาโรงแรมภัตตาคารและการศึกษา ที่คุณภาพของแรงงานเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าจ้าง ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องเร่งสนับสนุนและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานอย่างต่อเนื่อง
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ในงานสัมมนา 'ปฏิรูปอุตสาหกรรม : ปฏิรูปเศรษฐกิจไทย'ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในส่วนของภาคอุตสาหกรรม (จีดีพี อุตสาหกรรม) ในปี 2558 ไว้ประ มาณ 6% ซึ่งเติบโตตามทิศทางเศรษฐกิจประเทศคาดว่าอยู่ที่ 4% ส่วนในปี 2557 นี้จีดีพีของ ประเทศเติบโตแค่กว่า 1% เท่า นั้น ซึ่งปัจจัยหลักมาจากเศรษฐ กิจที่ปรับตัวดีขึ้น เพราะราคาน้ำมันมีเริ่มทรงตัวในระดับต่ำจน ถึงกลางปี 2558 รวมทั้งปัญหาการเมืองที่สงบลง และการแก้ปัญหาจำนำข้าว รวมถึงการบิด เบือนราคาจากโครงการรถยนต์คันแรกจะเริ่มหมดลง ทำให้กำลังซื้อในประเทศจะกลับคืนมา
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ โครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค (เมกะโปรเจ็กต์) ที่รัฐบาลได้ประ กาศไว้ คาดว่าจะเริ่มลงนามในสัญญากันปี 2558 จะเป็นตัวกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งยอดขอ รับการส่งเสริมการลงทุนเริ่มทยอยกลับเข้ามา
แหล่งข่าวกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในวันที่ 28 พ.ย.2557 นี้ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จะประกาศตัวเลขดัชนีฯ 10 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) และแนวโน้มทั้งปี 2557 ซึ่งจาก ข้อมูลที่ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า อาจมีการประกาศปรับลดเป้าหมายดัชนีฯ ลงอีก จากเดิมตั้งเป้าโต 1- 1.5% เนื่องจากการส่งออกปี 2557 ยังไม่ดี หากทั้งปีนี้ไม่ติดลบถือว่า ดีมากแล้ว และตัวเลขที่จะประ กาศออกมาน่าจะเกือบติดลบ หรือ เป็นบวกเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้จะ ส่งผลให้เป้าหมายจีดีพีอุตสาห กรรมทั้งปี 2557 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% ได้ด้วย ซึ่งคงต้องรอให้หน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ประกาศเอง.
สภาพัฒน์หั่นเป้าจีดีพีปี’57 โตแค่ 1% เหตุส่งออกนิ่งเหลือ 0%
แนวหน้า : สภาพัฒน์หั่นเป้าจีดีพีปี’57 โตแค่ 1% เหตุส่งออกนิ่งเหลือ 0% ลุ้นปีหน้าเศรษฐกิจฟื้น
สภาพัฒน์ เผยจีดีพีไตรมาส 3 ขยายตัว 0.6% ปรับลดจีดีพีทั้งปีโตแค่ 1% ขณะที่ปีหน้าคาดขยายตัว 3.5-4.5% จากการลงทุนภาครัฐ น้ำมันดิบตลาดโลกลดราคา การส่งออกฟื้นตัว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่าเศรษฐกิจไตรมาส 3 ขยายตัว 0.6% รวม 9 เดือนขยายตัว 0.2% จึงคาดว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ทั้งปี ขยายตัวได้ 1% ปรับลดลงจากประมาณการ 1.5-2.0% ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2557 โดยมองว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 2 จากปัจจัย ภาคเอกชนเริ่มกลับมาลงทุนโดยการลงทุนขยายตัว 3.9% หลังจากติดลบ 4 ไตรมาสติดต่อกันในช่วงที่ผ่านมา เพราะได้มีการนำเข้าเครื่องจักร เพื่อขยายการลงทุนเพิ่ม การขยายตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน 2.2% จากที่เคยขยายตัว 0.2% ในไตรมาส 3
สำหรับ การส่งออก ไตรมาส 3 มีมูลค่า 56,934 ล้านดอลาร์สหรัฐ ลดลง 1.7% เนื่องจากประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐ จีน การส่งออกขยายตัวได้น้อย ขณะที่ญี่ปุ่นและยุโรปยังต้องอัดฉีดเงินออกสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจมีความเสี่ยงต่อไทยให้ทำเงินบาทเทียบกับเงินเยนและอียูแข็งค่าขึ้น ยอดปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งยังหดตัวต่อเนื่อง 41.9% หดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และส่งผลให้ปริมาณการผลิตรถยนต์ต่ำกว่าเป้าหมาย
ดังนั้น จึงส่งผลกับการขยายตัวของภาคการส่งออกในปีนี้ที่จะทำให้เติบโตได้เพียง 0% เท่านั้น นอกจากนี้ ภาคการส่งออกยังมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายเศรษฐกิจ และต้นทุนการผลิตในประเทศที่สำคัญที่จะส่งผลต่อภาคการส่งออก
“เราต้องเร่งพัฒนาการส่งออกให้กลับมาขยายตัวได้ มิเช่นนั้นจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เนื่องจากการส่งออกมีมากถึง 70% ต่อจีดีพี” นายอาคมกล่าว
การเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2557 อยู่ที่ 20.8% ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนด 25.0% และอัตราเบิกจ่าย รวมทั้งปีงบประมาณอยู่ที่ 89.0% ต่ำกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายที่ตั้งไว้ที่ 95.0% ส่วนการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ช้า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 2.1% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.9% ของจีดีพี สำหรับปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปลายปีนี้ คือการจ่ายเงินชดเชยให้ชาวนา 4 หมื่นล้านบาท และชาวสวนยางเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะทำให้มีการใช้จ่ายของเกษตรกรเพิ่ม รวมถึงการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ
สำหรับ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2558 คาดว่าขยายตัว 3.5-4.5% โดยมีปัจจัยบวกสนับสนุน เช่น การส่งออกที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การปรับตัวดีขึ้นของการท่องเที่ยว จากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านต่างๆ การลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมไปแล้วในปี 2557 จะเริ่มโครงการลงทุนในปีหน้า โดยมีปัจจัยบวกมาจากแนวโน้มการลดลงของราคาน้ำมันดิบตลาดโลก จากปัจจุบันน้ำมันดิบราคา 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มองว่ามีโอกาสปรับลดลงได้อีกปกติในช่วงนี้ราคาน้ำมันจะปรับสูงขึ้นเพราะเริ่มเข้าสู่ในช่วงปลายปี
เมื่อราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องไปถึงปีหน้า จึงส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ต้นทุนการเดินทางลดลง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจะช่วยให้การลงทุนภาคเอกชนลงทุนเพิ่มหลายโครงการ การปรับเพิ่มเงินข้าราชการจะเริ่มมีผลในเดือนเมษายน ส่วนค่าครองชีพจะให้มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม จึงทำให้ข้าราชการมีเงินใช้จ่ายมากขึ้น การส่งออกกลับมาเริ่มดีขึ้นในปีหน้า รวมถึงยอดขายของรถยนต์จะกลับมาเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง
ส่วนทางด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัว 4.0% การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัว 2.6% และ 5.8%ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วง 1.4-2.4% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.2% ของจีดีพี
สศช.ฟันธง GDP ปี 58 โต 4.5% ฝากรัฐระดมนโยบายการคลัง-การเงินช่วยหนุน
บ้านเมือง : สภาพัฒน์ คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 58 ขยายตัวราว 3.5-4.5% จากปีนี้ที่เติบโตเพียง 1% เพราะยังมีข้อจำกัดเรื่องการส่งออก อัตราแลกเปลี่ยนและการเคลื่อนย้ายเงินทุน จึงต้องการเห็นนโยบายด้านการคลัง และนโยบายทางการเงินที่คอยสนับสนุน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศและการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ในปี 58 คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ 4.0% เทียบกับ 0% ในปี 57 ตามแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก ซึ่งเมื่อรวมกับการส่งออกบริการที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว จะทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัว 4.4% ดีขึ้นจากการหดตัว 0.3% ในปี 57
ส่วนการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัว 4.8% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและนักลงทุนตามทิศทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ความชัดเจนของโครงการลงทุนภาครัฐ และผลจากการเร่งรัดอนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 57 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินโครงการในปี 58 ขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 9.8% ดีขึ้นจากปี 57 เนื่องจากการเร่งรัดงบประมาณรายจ่ายลงทุน และการดำเนินการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง
ส่วนการบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัว 2.6% ดีขึ้นจากปี 57 ตามปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งที่เข้าสู่ภาวะปกติ และคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวในปี 58 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ อัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำเนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง รายได้ครัวเรือนที่ขยายตัวขึ้นอย่างช้าๆ เป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ อย่างไรก็ดี จากการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 58 ไว้ที่ 3.5-4.5% นั้น ได้รวมปัจจัยเรื่องการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการไว้แล้ว ซึ่งคาดว่าเริ่มปรับขึ้นตั้งแต่ เม.ย.58 เป็นต้นไป
"กรณีของ GDP ปี 58 ที่ทางสภาพัฒน์คาดว่าจะโตได้ 3.5-4.5% นั้น เราได้รวมปัจจัยเรื่องการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการไว้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีผลตั้งแต่ เม.ย.58 รวมถึงปัจจัยเรื่องค่าครองชีพ ที่น่าจะมีผลตั้งแต่ ม.ค.58 แต่ทั้งนี้คงต้องรอความชัดเจนจากมติ ครม.ก่อนว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจเท่าไร" นายอาคม กล่าว
อย่างไรก็ดี ในปี 58 ยังมีปัจจัยที่อาจจะเป็นข้อจำกัดอยู่ 3-4 ประการ คือ เรื่องแรก ภาคส่งออก ซึ่งปีนี้ผู้ส่งออกได้ประโยชน์จากที่เงินบาทอ่อนค่าลง แต่ทั้งนี้คงต้องพิจารณาเรื่องโครงสร้างราคาด้วย จะต้องมีนวัตกรรมในการผลิตสินค้าส่งออกกลุ่มใหม่ๆ
ให้มากขึ้น เรื่องที่ 2.การลงทุน ขณะนี้มีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนที่ค้างอยู่ ซึ่งผลการเร่งรัดจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นใจในการลงทุนในประเทศต่อไป 3.รายได้ภาคเกษตร คาดว่าในปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้าภาวะภัยแล้งจะสร้างปัญหาเรื่องผลผลิต และ 4.ความไม่แน่นอนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้าย จากที่คาดว่าสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยราวกลางปี 58 ซึ่งเมื่อมีข่าวนี้ออกมานักลงทุนก็เริ่มรับข่าว แต่ก็จะมีทั้งเงินทุนไหลเข้าและไหลออกซึ่งต้องคอยติดตาม
ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันควรจะต้องปรับลดลง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจหรือไม่นั้น วันนี้สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเริ่มชัดเจนขึ้น ซึ่งดูได้จาก GDP ไตรมาส 3/57 ขยายตัว 0.6% ซึ่งดีขึ้นจากไตรมาส 2/57 ที่ขยายตัว 0.4% แต่อย่างไรก็ดียังเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเราต้องการความมั่นใจเพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามศักยภาพที่แท้จริง
"ศักยภาพของประเทศไทยจริงๆ แล้วจีดีพี อยู่ที่ 5-6% จึงถือว่าปกติ ดังนั้นปีหน้าที่เราคาดการณ์ไว้ก็ยังต่ำกว่าศักยภาพของไทย ดังนั้นเราจึงอยากจะเห็นนโยบายด้านการคลังที่ทำอยู่แล้ว และนโยบายทางการเงินที่คอยสนับสนุนและดูแลเรื่องค่าเงินบาท เพื่อให้เกิดประโยชน์กับสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศของเราเป็นหลัก" นายอาคม กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับ การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ และปี 58 ว่า ควรให้ความสำคัญกับ 8 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย 1.การดูแลเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย 2.การจัดทำมาตรการเพื่อดูแลแรงงานผู้มีรายได้น้อย 3.การส่งเสริมการส่งออกให้สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ 4.การเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินงานตามมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวต่อเนื่อง 5.การเร่งรัดการพิจารณาอนุมัติโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน และติดตามให้โครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนแล้ว 6.การเร่งรัดปรับโครงสร้างของราคา 7.ลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ และสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น และ 8.การเร่งรัด ติดตาม ประเมินผลการใช้จ่ายภาครัฐและดำเนินโครงการ ต่างๆ
สภาพัฒน์ คาด GDP ปี 58 โต 3.5-4.5% จาก 1% ปีนี้หลังส่งออกฟื้นชัด
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)หรือสภาพัฒน์ คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 58 ขยายตัวราว 3.5-4.5% จากปีนี้ที่เติบโตเพียง 1% โดยปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลักดันเศรษฐกิจในปีหน้าคือ การส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากปีนี้คาดว่าจะไม่เติบโต รวมทั้งการปรับตัวดีขึ้นของการท่องเที่ยว การลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะโครงการที่ได้รับการส่งเสริมกามรลงทุนในปีนี้จะเริ่มดำเนินการ การเร่งใช้จ่ายและดำเนินโครงการลงทุนที่สำคัญของภาครัฐ การเริ่มกลับมาขยายตัวของการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ การลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ช่วยเพิ่มอำนาจซื้อ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการ สศช. ระบุว่า ในปี 58 คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ 4.0% เทียบกับ 0% ในปี 57 ตามแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก ซึ่งเมื่อรวมกับการส่งออกบริการที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว จะทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัว 4.4% ดีขึ้นจากการหดตัว 0.3% ในปี 57
ส่วนการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัว 4.8% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและนักลงทุนตามทิศทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ความชัดเจนของโครงการลงทุนภาครัฐ และผลจากการเร่งรัดอนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 57 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินโครงการในปี 58 ขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 9.8% ดีขึ้นจากปี 57 เนื่องจากการเร่งรัดงบประมาณรายจ่ายลงทุน และการดำเนินการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง
ส่วนการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัว 2.6% ดีขึ้นจากปี 57 ตามปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งที่เข้าสู่ภาวะปกติ และคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวในปี 58 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ อัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำเนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง รายได้ครัวเรือนที่ขยายตัวขึ้นอย่างช้าๆ เป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ
อย่างไรก็ดี จากการประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 58 ไว้ที่ 3.5-4.5% นั้น ได้รวมปัจจัยเรื่องการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการไว้แล้ว ซึ่งคาดว่าเริ่มปรับขึ้นตั้งแต่ เม.ย.58 เป็นไป
"กรณีของ GDP ปี 58 ที่ทางสภาพัฒน์คาดว่าจะโตได้ 3.5-4.5% นั้น เราได้รวมปัจจัยเรื่องการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการไว้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีผลตั้งแต่เม.ย.58 รวมถึงปัจจัยเรื่องค่าครองชีพ ที่น่าจะมีผลตั้งแต่ม.ค.58 แต่ทั้งนี้คงต้องรอความชัดเจนจากมติ ครม.ก่อนว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจเท่าไร" นายอาคมกล่าว
อย่างไรก็ดี ในปี 58 ยังมีปัจจัยที่อาจจะเป็นข้อจำกัดอยู่ 3-4 ประการ คือ เรื่องแรก ภาคส่งออก ซึ่งปีนี้ผู้ส่งออกได้ประโยชน์จากที่บาทอ่อนค่าลง แต่ทั้งนี้คงต้องพิจารณาเรื่องโครงสร้างราคาด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่งในสินค้าประเภทเดียวกัน เพราะคู่แข่งผลิตได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่า ดังนั้นจะต้องมีนวัตกรรมในการผลิตสินค้าส่งออกกลุ่มใหม่ๆ ให้มากขึ้น เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรปลอดสารพิษ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สินค้าในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์
2.การลงทุน ขณะนี้มีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนที่ค้างอยู่ ซึ่งผลการเร่งรัดจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ซึ่ง จะทำให้เกิดความมั่นใจในการลงทุนในประเทศต่อไป 3.รายได้ภาคเกษตร คาดว่าในปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้าภาวะภัยแล้งจะสร้างปัญหาเรื่องผลผลิต และ 4.ความไม่แน่นอนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้าย จากที่คาดว่าสหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ยราวกลางปี 58 ซึ่งเมื่อมีข่าวนี้ออกมานักลงทุนก็เริ่มรับข่าว แต่ก็จะมีทั้งเงินทุนไหลเข้าและไหลออกซึ่งต้องคอยติดตาม
ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันควรจะต้องปรับลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจหรือไม่นั้น นายอาคม กล่าวเพียงว่า วันนี้สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเริ่มชัดเจนขึ้น ซึ่งดูได้จาก GDP ไตรมาส 3/57 ขยายตัว 0.6% ซึ่งดีขึ้นจากไตรมาส 2/57 ที่ขยายตัว 0.4% แต่อย่างไรก็ดียังเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเราต้องการความมั่นใจเพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามศักยภาพที่แท้จริง
"เราอยากเห็นเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภาวะปกติ ที่บอกว่าปีหน้า 3.5-4.5% นั้น ศักยภาพของประเทศไทยจริงๆ แล้วอยู่ที่ 5-6% จึงถือว่าปกติ ดังนั้นปีหน้าที่เราคาดการณ์ไว้ก็ยังต่ำกว่าศักยภาพของไทย ดังนั้นเราจึงอยากจะเห็นนโยบายด้านการคลังที่ทำอยู่แล้ว และนโยบายทางการเงินที่คอยสนับสนุนและดูแลเรื่องค่าเงินบาท เพื่อให้เกิดประโยชน์กับสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศของเราเป็นหลัก" นายอาคม กล่าว
ส่วนกรณีหนี้ที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าวในช่วงที่ผ่านมานั้น นายอาคม กล่าวว่า ตามแผนงานของรัฐบาลก่อน ได้มีการตั้งชำระเงินจากงบประมาณไว้แล้วส่วนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ยอดขาดทุนที่ค่อนข้างสูงตามที่มีการรายงานการปิดบัญชีไว้ที่ 6.8 แสนล้านบาทนั้น ก็จะเป็นภาระการชำระหนี้ที่ยาวนานขึ้น เนื่องจากในช่วงนี้สินค้าเกษตรในตลาดโลกราคาไม่สูง เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ได้ฟื้นตัวอย่างที่คาดไว้ ขณะที่สินค้าเกษตรในประเทศรอบๆ บ้านเริ่มมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และทยอยออกสู่ตลาดมากขึ้น ดังนั้นราคาสินค้าเกษตรปีนี้และปีหน้าอาจจะยังไม่สูงมาก จึงส่งผลให้ภาระหนี้ที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าวในช่วงที่ผ่านมาอาจจะต้องใช้ระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปนานขึ้น
สำหรับ ภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 57 นี้ สภาพัฒน์ คาดว่าจะขยายตัวได้ 1% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 1.5-2.0% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/57 ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ เป็นผลมาจากปัจจัยสำคัญ 4 ประการ คือ 1.เศรษฐกิจโลกไตรมาส 3 ขยายตัวต่ำกว่าไตรมาส 2 โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐและจีน ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นและยุโรปอยู่ในภาวะอ่อนแอ ประกอบกับราคาส่งออกสินค้าเกษตรลดลงมาก ทำให้มูลค่าการส่งออกกลับมาหดตัวอีกครั้งหลังจากที่เริ่มขยายตัวในไตรมาสที่ 2
2.ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งที่ยังหดตัวต่อเนื่อง 41.9% โดยหดตัวมากกว่าที่คาดไว้ และส่งผลให้ปริมาณการผลิตรถยนต์ต่ำกว่าที่ประมาณการ 3.การเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 57 อยู่ที่ 20.8% ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 25% และอัตราเบิกจ่ายรวมทั้งปีงบประมาณอยู่ที่ 89% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 95% และ 4.การท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ช้า โดยจำนวนนักท่องเที่ยวไตรมาส 3 ลดลงมากกว่าที่คาดไว้
อย่างไรก็ดี การที่จะให้ GDP ในปี 57 เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ 1% นั้น GDP ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะต้องขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 1% ซึ่งสภาพัฒน์ยังมีความหวังกับภาคการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้
เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า สำหรับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ และปี 58 ว่า ควรให้ความสำคัญกับ 8 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย 1.การดูแลเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย 2.การจัดทำมาตรการเพื่อดูแลแรงงานผู้มีรายได้น้อย แรงงานที่จำนวนชั่วโมงการทำงานน้อยลง แรงงานที่ถูกเลิกจ้าง และผู้ว่างงาน โดยส่งเสริมการอบรมพัฒนาทักษะ และเพิ่มศักยภาพของแรงงานเพื่อก่อให้เกิดอาชีพเสริมหรือทางเลือก 3.การส่งเสริมการส่งออกให้สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพและลดอุปสรรคทางการค้า 4.การเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินงานตามมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว และดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้การท่องเที่ยวได้ฟื้นต่อเนื่อง
5.การเร่งรัดการพิจารณาอนุมัติโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน และติดตามให้โครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนแล้ว ดำเนินการลงทุนโดยเร็ว 6.การเร่งรัดปรับโครงสร้างของราคาพลังงาน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการลดลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในการเพิ่มอำนาจซื้อของประชาชน ลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ และสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น และ 8. การเร่งรัด ติดตาม ประเมินผลการใช้จ่ายภาครัฐและดำเนินโครงการ/แผนงานสำคัญตามแผนปฏิบัติการ
อินโฟเควสท์
สศช.เชื่อการเปิด AEC-เร่งเบิกจ่ายภาครัฐดัน GDP ไทยปี 58 โต 3.5-4.5%
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมช.คมนาคมและเลขาธิการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) คาดว่า ในปี58 GDP จะเติบโต 3.5-4.5% โดยมีปัจจัยบวกจากที่เปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) จะมีกำลังซื้อใหม่เข้ามาตามชายแดนของไทย
นอกจากนี้ การเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐชัดเจนมาก โดยมีการใช้จ่ายภาครัฐไตรมาสละ 3 แสนล้านบาทมาจากภาคราชการ 1.2 แสนล้านบาทและส่วนรัฐวิสากิจ 1.8 แสนล้านบาท ทั้งนี้รัฐบาลจะเข้มงวดการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามแผน
ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปี 57 GDP จะเติบโต 1-2% แต่จะทบทวนตัวเลขอย่างไรต้องรอดูตัวเลขในเดือนก.ย. หลังจากตัวเลขส่งออกในเดือนส.ค.ออกมาไม่ดี
ตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจ(GDP) ในไตรมาส 3/57 นี้ คาดว่าน่าจะเป็นบวกฟื้นตัวจากไตรมาส 1/57 GDP ติดลบ 0.5% และในไตรมาส 2/57ที่GDP ขยายตัว 0.4% โดยจะประกาศในวันที่ 17 พ.ย.นี้
"ดูเดือนต่อเดือน ดัชนีความเชื่อมั่นเริ่มฟื้นตัวนเดือนพ.ค. และดีขึ้นตามลำดับ" นายอาคมกล่าว
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด