สภาพัฒน์ หั่นเป้าจีดีพีปี 58 เหลือโต 2.7-3.2 % จากเดิมคาดโต 3-4% หลังศก.โลกทรุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี ชี้ ค่าเงินบาทหากอ่อนค่าเกิน 7% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5-6% อาจกระทบศก.ไทย
สภาพัฒน์ หั่นเป้าจีดีพีปี 58 เหลือโต2.7-3.2 % จากเดิมคาดโต 3-4% หลังศก.โลกทรุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี พร้อมหั่นเป้าส่งออกปี 58 เป็น -3.5% จากเดิมคาดโต 0.2% คาดเงินเฟ้อปี 58 ติดลบ 0.2-0.7 % ลั่นยันไทยยังไม่อยู่ในภาวะเงินฝืด จี้ รัฐเบิกจ่ายงบลงทุนช่วงครึ่งปีหลังราว 1.6 ล้านลบ. แนะจับตาสงครามค่าเงินประเทศมหาอำนาจ ชี้ หากค่าเงินบาทอ่อนค่าเกิน 7% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5-6% อาจกระทบศก.ไทย
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมช.คมนาคม และเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ฯ เปิดเผยว่า สภาพัฒน์ฯปรับประมาณการจีดีพีลงเหลือ 2.7-3.2% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3-4% โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือ การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง การอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกตกต่ำ และผลกระทบจากภัยแล้ง
สำหรับ ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจมาจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐขยายตัวต่อเนื่องในครึ่งปีแรก การขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวที่อัตราการเข้าพักสูงสุดในรอบ 8 เดือน การอ่อนค่าของเงินบาทซึ่งจะทำให้มูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทในครึ่งปีหลังปรับตัวเพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันและเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ
นายอาคม กล่าวต่อถึง เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 หรือว่า ขยายตัว 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และครึ่งปีแรกของปี 58 ขยายตัว 2.9% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของนักลงทุนของภาครัฐและการส่งออกบริการ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว การขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายภาครัฐและภาคครัวเรือน
สำหรับ แนวโน้มการส่งออกมองว่ายังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้สภาพัฒน์ฯ ปรับลดประมาณการส่งออกปีนี้คาดติดลบ 3.5% จากเดิมคาดโต 0.2% และปรับประมาณการนำเข้าทั้งปี 58 เป็นติดลบตัว 5.5% จากเดิมคาดติดลบ 0.8% โดยคาดดุลการค้าปี 58 เกินดุล 27.7 พันล้านดอลลาร์ จากเดิมคาด เกินดุล 26.6 พันล้านดอลลาร์
ขณะที่การส่งออกไทยไตรมาส 2 ปีนี้มีมูลค่า 52,657 ล้านดอลลาร์หรือติดลบ 5.5% โดยปริมาณการส่งออกลดลง 3.8% ราคาสินค้าส่งออกลดลง 1.8% เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักขยายตัวต่ำและชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก การอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะเงินยูโร และเงินเยน ราคาสินค้าส่งออกลดลงตามราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก การลดลงของการส่งออกยานยนต์ เนื่องจากการปรับเปลี่ยนรุ่นรถกระบะ และการตัดสิทธิทางการค่า หรือ จีเอสพี ในสินค้าส่งออกของไทยไปยุโรป ส่วนครึ่งปีแรก มูลค่าการส่งออก 105,654 ล้านดอลลาร์ ลดลง 4.9%
ด้านการนำเข้าของไทยในไตรมาส 2 มีมูลค่า 44,810 ล้านดอลลาร์ ลดลง 10.1% โดยมีสาเหตุจากการลดลงของราคานำเข้า 9.7% ตามการลดลงของราคาน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรดลียม และเคมีภัณฑ์ ขณะที่ครึ่งปีแรกการนำเข้ามีมูลค่า 90,382 ล้านดอลลาร์ ลดลง 8.7% ขณะที่ดุลการค้าเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 โดยดุลการค้าไตรมาส 2 เกินดุล 7,847 ล้านดอลลาร์ ส่วนครึ่งปีแรกดุลการค้าเกินดุล 15,272 ล้านดอลลาร์
ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 2 เกินกุล 4,134 ล้านดอลลาร์ ครึ่งปีเกินดุล 12,322 ล้านดอลลาร์ ด้านทั้งปีคาดเกินดุล 18.8 พันล้านดอลลาร์ จาก 16.0 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ สภาพัฒน์ฯปรับลดประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้เป็นติดลบ 0.2-0.7 % จากเดิม จากเดิมคาดติดลบ 0.3-0.7%
ด้านเงินเฟ้อทั่วไปไตรมาส 2 อยู่ที่ติดลบ 1.1% ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนที่ -0.5% เนื่องจากการลดลงของราคาพลังงานและอาหารสด ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศมีการปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก การปรับลดค่าไหฟ้าผันแปร ในรอบพ.ค.-ส.ค. 58 ที่ลดลง 9.35 สตางค์ต่อหน่วย ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1.0% ส่วนครึ่งปีแรกอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ -0.8% เงินเฟ้อพื้นฐาน 1.2%
อย่างไรก็ตาม สศช.ยืนยันว่า แม้อัตราเงินเฟ้อที่ติดลบมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเพียงเงินฝืดทางเทคนิคเท่านั้น เนื่องจากเงินเฟ้อติดลบในปัจจุบันเกิดจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สภาพัฒน์มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะต้องเร่งผลักดันให้เติบโตเฉลี่ยไตรมาสละ 3% เพื่อผลักดันทั้งปีโต 3% จากรัฐเร่งเบิกจ่าย โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังภาครัฐจะมีการเบิกจ่ายอีก 1.60 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายประจำปีในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 58 ประมาณ 541,600 ล้านบาท และไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 59 ประมาณ 783,400 ล้านบาท งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 131,700 ล้านบาท งบเหลื่อมปี 119,700 ล้านบาท งบเบิกจ่ายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 4 รวม 4,200 ล้านบาท และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ภายใต้เงินกู้โครงการพัฒนาระบบขนส่งถนนและโครงการน้ำเร่งด่วน 16,000 ล้านบาท และเม็ดเงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 อีก 4,200 บาท
นายอาคม กล่าวถึงความเป็นห่วง เรื่องสงครามค่าเงินนั้น ว่า เป็นการสู้กันนอกทฤษฎีของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินบ้าง
"ในมุมของไทยนั้นจะต้องเร่งดูแลเสถียรภาพการเงิน เพื่อลดความผันผวนให้เอกชนให้สามารถแข่งขันได้ รวมถึงการหาตลาดใหม่ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งออกด้วย" นายอาคมกล่าว
นายอาคม กล่าวต่อถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทว่า หากค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าเกินระดับ 7% ค่อนข้างน่าเป็นห่วงจากปัจจุบันอ่อนค่า 5-6% เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อการขยาวตัวทางเศรษฐกิจได้ ส่วนเงินหยวนของจีนนั้นปัจจุบันอ่อนค่าที่ระดับ 2-3%
ส่วนค่าเงินบาทในปีนี้คาดอยู่ในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์
"เงินบาทไม่ว่าจะอ่อนค่า หรือ แข็งค่าเราก็ต้องดูแลทั้งหมด เพื่อให้กระทบกับผู้ประกอบการ แต่ในมุมผู้ประกอบการเองก็จะต้องเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของตัวเอง และมองหาตลาดใหม่ๆด้วย"นายอาคม กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
กนพ.เร่งขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะ 2 และพื้นที่ตอนใน พร้อมหนุน SME
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมช.คมนาคม และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ(กนพ.) ครั้งที่ 3/2558 ว่า ที่ประชุมมีมติสำคัญ 7 เรื่องในการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน ประกอบด้วย 1.เห็นชอบกิจการเป้าหมายรายพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 2 ที่จังหวัดหนองคาย, เชียงราย, กาญจนบุรี และนครพนม ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ระดับสูง โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)จะพิจารณาออกประกาศต่อไป ส่วนจังหวัดนราธิวาสได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดภายใต้เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนใต้
ส่วนการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ตอนในนั้น รัฐบาลจะเน้นการพัฒนาพื้นที่ในอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยจะเน้นในด้านอุตสาหกรรมเป้าหมายและส่งเสริมให้บริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศ เบื้องต้นมีแผนจะให้จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดปราจีนบุรีกำหนดเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตอนใน ซึ่งจะมีการออกประกาศและเสนอต่อที่ประชุม กนพ.ครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังจะมีการกำหนดกลุ่มนวัตกรรมที่จะกำหนดพื้นที่ที่ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม เบื้องต้นกำหนด จังหวัดปทุมธานี เนื่องจากมีความพร้อมด้านโรงงาน มหาวิทยาลัย และอุทยานวิทยาศาสตร์รองรับ
2.เห็นชอบการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้ผ่อนปรนเงื่อนไข เช่น ลดเงินลงทุนขั้นต่ำจาก 1 ล้านบาทเหลือ 5 แสนบาท และอนุญาตให้นำเครื่องจักรที่ใช้แล้วในประเทศ มาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้มีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท
3.ให้คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรและสำนักงบประมาณ ทบทวนแผนพัฒนาตามความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการ โดยกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะแรกและระยะที่ 2 4.ให้กระทรวงพานิชย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย บีโอไอ และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) พิจารณาแนวทางศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อเผนแพร่ข้อมูลในแนวทางเดียวกัน 5.ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักพิจารณาเปิดจุดผ่านแดนในพื้นที่บ้านป่าไร่ จ.สระแก้ว และช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี เสนอต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) และเร่งศึกษารายละเอียดภูมิประเทศ
6.เห็นชอบการจัดสรรที่ดินให้หน่วยงานราชการใช้ประโยชน์ และให้เอกชนนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเช่า ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 5+1 ประกอบด้วย ตาก สระแก้ว มุกดาหาร ตราด สงขลาและหนองคาย ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ขอให้กระทรวงการคลังทบทวนหลักเกณฑ์กำหนดอัตราเช่าที่ดินและผลประโยชน์ตอบแทนการเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อเพิ่มแรงจูงใจในเขตเศรษฐกิจพิเศษและเสนอคณะกรรมการ กนพ.ต่อไป และ 7.ให้อนุกรรมการด้านจัดหาที่ดินและบริหารจัดการกำหนดพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ในระยะที่ 2 และให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดำเนินการถอนสภาพที่ดินของรัฐเพื่อให้กรมธนารักษ์ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษต่อไป
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก 4 จังหวัด คือ หนองคาย, เชียงราย, กาญจนบุรี และนครพนม ขณะเดียวกันได้กำหนดความชัดเจนในรายละเอียดของโครงการที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ที่จะทำเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรม และกำหนดพื้นที่ที่ให้เอกชนเช่าเพื่อทำธุรกิจ
ที่ประชุมได้มีการรายงานความคืบหน้าการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เกี่ยวกับที่ดินและสิทธิประโยชน์ต่างๆ และประเภทกิจการ การเชื่อมโยงเศรษฐกิจจากในประเทศไปนอกประเทศ ซึ่งจะให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ แต่ภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง โดยจะมีการตั้งเศรษฐกิจเพื่อสังคม ซึ่งเป็นการส่งเสริมจากธุรกิจของชุมชนที่เข้มแข็งในรูปแบบสหกรณ์ ซึ่งรัฐจะส่งเสริมงบประมาณ เพื่อให้รับซื้อสินค้าจากเกษตรกรโดยตรง ลดปัญหาพ่อค้าคนกลาง รวมถึงการกำหนดเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และเศรษฐกิจชายแดน เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยได้มีการกำหนดให้เป็นจุดผ่านแดนพิเศษ แต่จะไม่มีผลกับการปักปันเขตแดนในอนาคต
ขณะเดียวกันต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ ไม่ให้เกิดการต่อต้าน พร้อมทั้งมีการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และทุกโครงการจะมีการจัดทำประชาพิจารณ์ ส่วนปัญหาที่ดินราคาแพงนั้น ยืนยันว่าต้องเป็นไปตามราคาประเมินกฎหมายที่ดิน จะไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้ใครทั้งสิ้น
อินโฟเควสท์
กนพ.เร่งขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะ 2 และพื้นที่ตอนใน พร้อมหนุน SME
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมช.คมนาคม และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ(กนพ.) ครั้งที่ 3/2558 ว่า ที่ประชุมมีมติสำคัญ 7 เรื่องในการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน ประกอบด้วย 1.เห็นชอบกิจการเป้าหมายรายพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 2 ที่จังหวัดหนองคาย, เชียงราย, กาญจนบุรี และนครพนม ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ระดับสูง โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)จะพิจารณาออกประกาศต่อไป ส่วนจังหวัดนราธิวาสได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดภายใต้เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนใต้
ส่วนการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ตอนในนั้น รัฐบาลจะเน้นการพัฒนาพื้นที่ในอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยจะเน้นในด้านอุตสาหกรรมเป้าหมายและส่งเสริมให้บริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศ เบื้องต้นมีแผนจะให้จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดปราจีนบุรีกำหนดเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตอนใน ซึ่งจะมีการออกประกาศและเสนอต่อที่ประชุม กนพ.ครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังจะมีการกำหนดกลุ่มนวัตกรรมที่จะกำหนดพื้นที่ที่ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม เบื้องต้นกำหนด จังหวัดปทุมธานี เนื่องจากมีความพร้อมด้านโรงงาน มหาวิทยาลัย และอุทยานวิทยาศาสตร์รองรับ
2.เห็นชอบการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้ผ่อนปรนเงื่อนไข เช่น ลดเงินลงทุนขั้นต่ำจาก 1 ล้านบาทเหลือ 5 แสนบาท และอนุญาตให้นำเครื่องจักรที่ใช้แล้วในประเทศ มาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้มีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท
3.ให้คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรและสำนักงบประมาณ ทบทวนแผนพัฒนาตามความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการ โดยกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะแรกและระยะที่ 2 4.ให้กระทรวงพานิชย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย บีโอไอ และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) พิจารณาแนวทางศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อเผนแพร่ข้อมูลในแนวทางเดียวกัน 5.ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักพิจารณาเปิดจุดผ่านแดนในพื้นที่บ้านป่าไร่ จ.สระแก้ว และช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี เสนอต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) และเร่งศึกษารายละเอียดภูมิประเทศ
6.เห็นชอบการจัดสรรที่ดินให้หน่วยงานราชการใช้ประโยชน์ และให้เอกชนนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเช่า ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 5+1 ประกอบด้วย ตาก สระแก้ว มุกดาหาร ตราด สงขลาและหนองคาย ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ขอให้กระทรวงการคลังทบทวนหลักเกณฑ์กำหนดอัตราเช่าที่ดินและผลประโยชน์ตอบแทนการเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อเพิ่มแรงจูงใจในเขตเศรษฐกิจพิเศษและเสนอคณะกรรมการ กนพ.ต่อไป และ 7.ให้อนุกรรมการด้านจัดหาที่ดินและบริหารจัดการกำหนดพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ในระยะที่ 2 และให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดำเนินการถอนสภาพที่ดินของรัฐเพื่อให้กรมธนารักษ์ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษต่อไป
สภาพัฒน์ เผยหนี้ครัวเรือน Q1/58 ชะลอลง ชี้ ธุรกิจนาโนไฟแนนซ์อาจส่งผลหนี้สินครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น
นางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) เปิดเผยรายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาส 1 ปี 2558 พบว่า แนวโน้มหนี้สินครัวเรือนชะลอตัวลง โดย ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2558 ยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 ในไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว โดยหนี้สินที่ที่ก่อให้เกิดสินทรัพย์ และกึ่งสินทรัพย์ (ที่ดิน ที่อยู่อาศัย และรถยนต์และรถจักรยานยนต์) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 ในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
ส่วนหนึ่งเนื่องจากการก่อหนี้เพื่อซื้อรถยนต์ลดลงต่อเนื่องร้อยละ 4.0 จากการปล่อยสินเชื่อไปก่อนหน้านี้ในช่วงที่มีมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ทำให้เกิดอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเกินความเป็นจริง สำหรับหนี้เพื่อการบริโภคอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ12.4 ชะลอลงจากร้อยละ 17.6 ในช่วงเดียวกันปีที่แล้วมูลค่าหนี้เสียเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2558 หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีมูลค่า 92,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.0 และมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมร้อยละ 2.6 สินเชื่อภายใต้การกำกับผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.4 คิดเป็นมูลค่า 15,469 ล้านบาท และเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.9 ของสินเชื่อภายใต้การกำกับรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ยอดคงค้างชำระบัตรเครดิตเกิน 3 เดือน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 22.0 คิดเป็นมูลค่า 8,933 ล้านบาท และเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.1 ต่อยอดคงค้างรวมเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
หนี้สินครัวเรือน ณ สิ้นปี 2557 มีมูลค่า 10,432,529 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 ชะลอตัวลง และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 79.3 ต่อ GDP
ทั้งนี้ ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน รัฐบาลมีมาตรการบรรเทาผลกระทบปัญหาหนี้สินครัวเรือน โดยมีโครงการปลดหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ และขยายระยะเวลาชำระหนี้สำหรับเกษตร การชะลอการฟูองร้องดำเนินคดี การพักหนี้และการลดดอกเบี้ยสำหรับหนี้สินครู การจัดตั้งนาโนไฟแนนซ์และโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ และโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย
ทั้งนี้ การเปิดดำเนินการของธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ซึ่งเป็นช่องทางเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับผู้กู้รายย่อยอาจส่งผลให้มูลค่าของการกู้ยืมนอกระบบปรากฏในระบบบัญชีหนี้สินครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องติดตามผลการดำเนินงานของธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ในระยะต่อไป อย่างไรก็ดีการกู้ยืมเงินนอกระบบที่ถูกนำเข้าสู่ระบบบัญชีหนี้สินครัวเรือน ก็จะทำให้มีการบริหารจัดการและการติดตามอย่างเป็นระบบมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้การตรวจสอบและการคุ้มครองลูกหนี้สามารถดำเนินการได้อย่างครอบคลุมทั่วถึง และมีความเป็นธรรมกับลูกหนี้มากขึ้น
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สภาพัฒน์ หั่นเป้าเป้าจีดีพีปี 58 เหลือโต 3-4% ส่งออกเหลือโต 0.2% มอง Q2/58 ศก.ฟื้นหลังรัฐเร่งลงทุน ลั่นศก.ไทยยังไม่เกิดภาวะเงินฝืด
พิษศก.ทรุดฉุดสภาพัฒน์ หั่นเป้าเป้าจีดีพีปี 58 เหลือโต 3-4 % ส่งออกเหลือโต 0.2% มองQ2/58 ศก.ฟื้นหลังรัฐเร่งลงทุน แถมกนง.ลดดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นส่งออกฟื้น พร้อมลั่นศก.ไทยยังไม่เกิดภาวะเงินฝืด
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เปิดเผยว่า สศช.ปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ปี 58 ลงเหลือ 3-4% จากเดิมที่ 3.5-4.5% เนื่องจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การอ่อนค่าของเงินยูโรและเงินเยน ความตกต่ำของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของการส่งออก อุปสงค์ภาคเอกชนและเศรษฐกิจในภาพรวมขยายตัวได้ต่ำกว่าประมาณการไว้
สำหรับ ปัจจัยที่สนับสนุนต่อการขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้ คือการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
ส่วนเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2558 ที่ผ่านมา จีดีพีขยายตัวได้ 3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกบริการ
ทั้งนี้ สศช.ปรับประมาณการส่งออกปี 58 เหลือโต 0.2% จากเดิมคาดโต 3.5% ขณะที่ไตรมาสแรกที่ผ่านมาการส่งออกติดลบ 4.3% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ซบเซาในประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ที่การฟื้นตัวยังไม่มีแนวโน้มชัดเจน โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง อุปสงค์ในประเทศญี่ปุ่นที่ยังอ่อนแอและเศรษฐกิจยุโรปที่ฟื้นตัวล่าช้า รวมทั้งเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์
นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากการอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะในไตรมาสแรกเงินเยนอ่อนค่าลง 13.7% และยูโรอ่อนค่าลง 17.8%เมื่อเทียบกับเงินบาทภาวะตกต่ำของราคาสินค้าในตลาดโลก การผลิตภาคเกษตรยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะตกต่ำชองราคาสินค้าในตลาดโลก
ด้านการนำเข้า สศช.ปรับลดประมาณการทั้งปีลงเหลือ -0.8% จากเดิมที่ 1.8% และไตรมาสแรก -7.2% เนื่องจากการลดลงของราคานำเข้า เช่น น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ทองคำ และเคมีภัณฑ์ ส่วนในไตรมาสแรกปี 2558 ดุลการค้าเกินดุล 7,425 ล้านดอลลาร์ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 8,238 ล้านดอลลาร์
สำหรับ ดุลการค้าในปี 2558 คาดว่าดุลการค้าจะเกินดุล 26.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเกินดุล 24.6 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2557 แต่ต่ำกว่าประมาณการในครั้งก่อน เนื่องจากการปรับลดมูลค่าการส่งออกสินค้าที่มากกว่าการปรับลดมูลค่าการนำเข้า และเมื่อรวมกับการปรับเพิ่มการเกินดุลบริการ ตามการปรับเพิ่มสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 16.0 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ สศช.ปรับลดประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2558 อยู่ที่ -0.3-0.7% จากเดิมคาดอยู่ที่ 0-1% เนื่องจากการปรับลดสมมติฐานราคานำเข้าและอุปสงค์ในประเทศที่ขยายตัวต่ำกว่าประมาณการครั้งก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสแรกอยู่ที่ -0.5% ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 4 ที่ 1.1% และเป็นการลดลงต่ำสุดในรอบ 22 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2552 เนื่องจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศยังลดลงต่อเนื่อง รวมทั้งราคาอาหารสดชะลอตัวลง
โดยดัชนีราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 1.8% ชะลอลงจากการเพิ่มขึ้น 3.3% ในไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากราคาไข่และผลิตภัณฑ์นมลดลง เช่นเดียวกับราคาผักและผลไม้ในช่วงฤดูกาลที่มีปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ดัชนีราคาในหมวดที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลง 1.7% เนื่องจากราคาพลังงานลดลง ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศมีการปรับลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และการปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปรหรือ FT ในรอบเดือน ม.ค.-เม.ย.2558 ที่ลดลง 10 สตางค์ต่อหน่วย ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1.5% ชะลอลงจาก 1.7% ในไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ นายอาคมยืนยันว่า แม้อัตราเงินเฟ้อจะมีการปรับลดต่อเนื่อง รวมไปถึงการปรับประมาณการทั้งปีลง แต่ยืนยันว่าสถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่เข้าข่ายภาวะเงินฝืด เนื่องจากในขณะนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมในการอุปโภคบริโภค โดยคาดว่าประชาชนจะเริ่มใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น และจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในช่วงหลังจากนี้ไปจะสามารถกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 คาดว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐที่จะสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของการใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ ตามความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม รวมไปถึงการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นและสามารถสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ ยังเป็นผลมาจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง 2 ครั้ง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวลดลงและช่วยกระตุ้นให้ค่าเงินบาทมีการปรับตัวอ่อนค่า ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ภาคการส่งออกกลับมาขยายตัวได้ รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ยังมีมาตรการผ่อนคลายเงินทุนไหลออก ส่งผลให้การส่งออกน่าจะฟื้นตัวได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2558 และในระยะยาวยังมีข้อจำกัด ดังนั้นการแก้ไขไทยจะต้องเร่งปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภาพการผลิต และเพิ่มสัดส่วนอุตสาหกรรม เช่น การดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเร็วกว่าประเทศคู่แข่ง การประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆของภาครัฐและภาคเอกชนในการแสวงหาตลาดและเพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าที่สำคัญ การดูแลราคาสินค้าในกลุ่มที่เป็นวัตถุดิบนำเข้าสำคัญ การลดปัญหาอุปสรรคความล่าช้า และข้อจำกัดในกระบวนการทำงานและระเบียบปฏิบัติของภาครัฐ เพื่อลดต้นทุนทางธุรกรรมของผู้ส่งออก เป็นต้น
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สศช.ฟุ้งเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว คาดจีดีพีไตรมาสแรกพุ่ง 3%
แนวหน้า : นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) หรือ สศช. แถลงผลงานรอบ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. 57-12 มี.ค.58 ภายใต้การบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า เห็นภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นจากอัตราขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่ติดลบร้อยละ 0.5 ในไตรมาสแรกปี 57 เริ่มกลับมาขยายตัวได้จากการขับเคลื่อนของ 4 เครื่องยนต์หลัก คือ ความเชื่อมั่นของการบริโภคและเกษตรกรที่ดีขึ้นจากการได้รับเงินค้างจ่ายจากโครงการรับจำนำข้าว ความเชื่อมั่นทางธุรกิจฟื้นตัวขึ้น ความเชื่อด้านการท่องเที่ยว จากการดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และความเชื่อมั่นการลงทุนภาครัฐ จากการเร่งรัดงบประมาณ และการส่งเสริมการลงทุน
ซึ่งส่งผลทำให้เศรษฐกิจช่วง 2 เดือนแรกปี 58 (ม.ค.-ก.พ.58) ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า โดย สศช. คาดว่า จีดีพีไตรมาสแรกปี 58 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 3 ซึ่งจะแถลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 พ.ค.58 ซึ่ง สศช. เชื่อว่า กลไกต่างๆ กำลังทำงานตามปกติ เศรษฐกิจจะดีขึ้นต่อเนื่อง มั่นใจ จีดีพีปีนี้ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย คือ ร้อยละ 3.5-4.5
ส่วนการท่องเที่ยว การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนภาครัฐ กลับมาขยายครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เดือน ก.พ.58 ขยายตัวร้อยละ 3.8 เป็นครั้งแรกในรอบ 23 เดือน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัญหาความต้องการเทียมในโครงการรถคันแรกเริ่มลดลงตามลำดับ อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังเข้าสู่ภาวะปกติ ด้านการท่องเที่ยวขยายตัวสูง และเร่งขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ส่งผลให้นักท่องเที่ยว 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.58) ขยายตัวร้อยละ 22.5 ในขณะที่การเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 71.9 สูงที่สุดในรอบ 23 เดือน ด้านการใช้จ่าย ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนเริ่มกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน การลงทุนภาครัฐปรับตัวดีขึ้นตามความคืบหน้าการเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 123.2
อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกยังคงซบเซาจากภาวะเศรษฐกิจโลก และการลดลงของสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย แต่หากหักการส่งออกน้ำมัน และทองคำออก การส่งออกไทยติดลบน้อยลง ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี 2 เดือนแรกของปี เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.5 และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.6 การว่างงานอยู่ในระดับต่ำ คือ ร้อยละ 0.9
สศช.เผยศก.ไทยมีสัญญาณฟื้น หลัง 4 เครื่องยนต์เริ่มทำงาน คาดทั้งปีโต 3.5-4.5%
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) แถลงผลงานรอบ 6 เดือน (12 ก.ย.57-12 มี.ค.58) ภายใต้การบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า เห็นภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจาก GDP ที่ติดลบร้อยละ 0.5 ในไตรมาสแรกปี 57 ซึ่งภายหลังจากการวางนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของภาคครัวเรือน เช่น เร่งรัดเบิกจ่ายเงินที่ค้างจากโครงการรับจำนำข้าว การกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนและนักท่องเที่ยว ความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นการลงทุนภาครัฐ ส่งผลให้เศรษฐกิจปรับดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2557 ต่อเนื่องจนถึงไตรมาสแรกปี 2558 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3 เนื่องจากการฟื้นตัวของเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยทั้ง 4 เครื่องยนต์ปรับดีขึ้น
ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจล่าสุดนั้น เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจช่วง 2 เดือนแรกปี 2558 แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า และขยายตัวเร่งขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว การผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนภาครัฐซึ่งคาดว่าจะเริ่มกลับมาขยายครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวต่อเนื่อง ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวช้าลดลง และกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 23 เดือน ในอัตราร้อยละ 3.8 ในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นผลจากโครงการรถคันแรกเริ่มลง ทำให้เห็นความต้องการซื้อจริงในอุตสาหกรรมรถยนต์ถือว่ากำลังเข้าสู่ภาวะปกติ
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวสูงและเร่งขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ส่งผลให้ยอดนักท่องเที่ยว 2 เดือนแรก ขยายตัวร้อยละ 22.5 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 71.9 สูงที่สุดในรอบ 23 เดือน
ขณะที่สถานการณ์ด้านราคาสินค้าในด้านการใช้จ่าย ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน การลงทุนภาครัฐปรับตัวดีขึ้นตามความคืบหน้าการเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 123.2 และ 104.8 ตามลำดับ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 แต่ยอมรับว่า ราคาพืชผลการเกษตรที่ตกต่ำเป็นอุปสรรคต่อการบริโภคในประเทศและภาคการส่งออกที่ซบเซา ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ดังนั้น สศช.จะติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด พร้อมมองว่าสินค้าไทยจำเป็นต้องกลับมาปรับปรุงโครงสร้างสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มการส่งออก และในระยะยาวจำเป็นต้องพัฒนาบุคคลากรและการศึกษาให้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ
ส่วนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง โดย 2 เดือนแรกของปี 2558 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -0.5 และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.6 การว่างงานอยู่ในระดับต่ำเฉลี่ย 2 เดือนแรกของไตรมาสแรก อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ดุลบัญชีเดินสะพักเกินดุล 6,015 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลจากดุลการค้าและดุลบริการที่เกินดุล ตามรายรับจากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนก.พ.58 อยู่ที่ 5.72 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 46.83 ต่อ GDP
สศช. ประเมินว่าปัจจัยที่ส่งผลทำให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นนั้น การเมืองจะต้องมีเสถียรภาพ และหากการส่งออกกลับมาดีขึ้นได้ เชื่อว่า GDP ปี 2558 จะเป็นไปตามเป้าที่ร้อยละ 3.5-4.5 อย่างไรก็ดี ต้องรอการแถลงประมาณการณ์เศรษฐกิจอีกครั้งในวันที่ 18 พฤษภาคม 2558 นี้
นายอาคม ยังกล่าวถึงการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายว่า โครงการทวายจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยโดยเป็นประตูการค้าฝั่งตะวันตกของภูมิภาค สร้างทางลัดโลจิสติกส์เชื่อมโยงไทยกับโลกตะวันตก ลดระยะเวลาและประหยัดต้นทุนการขนส่งสินค้า เป็นโอกาสในการขยายฐานการผลิตอุตสาหกรรมเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานกับพื้นที่อุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออก
โดยโครงการทวายการดำเนินงานโครงการทวาย แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 1.การพัฒนาโครงการทวายระยะแรก (Initial Phase Development) และ 2.การพัฒนาโครงการทวายระยะสมบูรณ์ (Full Phase Development) ระยะแรก คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2558 เป็นก้าวสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นานาประเทศ สร้างภาพลักษณ์โครงการที่เป็นสากล และวางรากฐานสู่การพัฒนาโครงการระยะสมบูรณ์ที่มีความยั่งยืน โดยโครงการระยะแรกจะเป็นการพัฒนาพื้นที่ขนาดเล็ก ได้แก่ พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมระยะแรก 27 ตารางกิโลเมตร จากพื้นที่โครงการทั้งหมด 196 ตารางกิโลเมตร และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาโครงการทวายและเกิดการจ้างงานประชาชนในท้องถิ่นโดยเร็ว
ทั้งนี้ สศช.ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา (Joint - High level Committee: JHC) และคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย - เมียนมา (Joint Coordinating Committee: JCC) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม ฯลฯ ได้ทำงานร่วมกับฝ่ายเมียนมาเพื่อขับเคลื่อนโครงการทวายให้บังเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าเอกชนไทยและภาครัฐเมียนมาจะลงนามในสัญญาสัมปทานโครงการทวายระยะแรกในเดือนพ.ค.58 หลังจากผ่านการพิจารณาของ ครม.เมียนมา
โดยโครงการระยะแรก ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมระยะแรก ซึ่งเน้นอุตสาหกรรมแรงงานเข้มข้น เนื้อที่ 27 ตารางกิโลเมตร ภายใต้กรอบระยะเวลา 8 ปี, ถนนสองช่องทางจากเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายถึงชายแดนไทย ที่บ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี ความยาว 138 กิโลเมตร (สัมปทานเฉพาะในส่วนการดำเนินงานและการบำรุงรักษาถนน), ท่าเรือเล็กขนาด 2 ท่า รองรับเรือบรรทุกสินค้าอเนกประสงค์ความจุ 400 TEU และเรือ Feeder Vessel ความจุ 1,600 TEU, โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (ได้แก่ โรงไฟฟ้าชั่วคราวขนาด 15 MW ใช้ระหว่างการก่อสร้าง/โรงไฟฟ้าแบบ Boil-off Gas/และโรงไฟฟ้าแบบ Combined Cycle Gas Turbine ขนาด 450 MW), อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก, ระบบโทรคมนาคมแบบ Landline สำหรับอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์, ที่อยู่อาศัยสำหรับแรงงานในพื้นที่ รองรับประชากรประมาณ 126,000 คน, คลังเชื้อเพลิง LNG สำหรับใช้ในโรงไฟฟ้าและนิคมอุตสาหกรรม
ส่วนการพัฒนาโครงการทวายระยะสมบูรณ์ ประกอบด้วย 1.นิคมอุตสาหกรรมสำหรับอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมขนาดกลาง ขนาดเบา รวมทั้งอุตสาหกรรมบริการ รวมพื้นที่ขายทั้งหมดประมาณ 132 ตารางกิโลเมตร 2.ท่าเรือน้ำลึก สามารถรับเรือบรรทุกขนาดใหญ่และรองรับปริมาณสินค้ากว่า 170 ล้านตัน และ 5 ล้าน TEU ต่อปี 3.ถนนสี่ช่องทางจากเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายถึงชายแดนไทยที่บ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี ความยาว 132 กิโลเมตร 4.ระบบน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและครัวเรือน ขนาด 900,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน รวมทั้งระบบบำบัดน้ำเสีย และ 5.ระบบไฟฟ้าและการพัฒนาเมือง ที่พักอาศัย ศูนย์ราชการ สำนักงานที่พักผ่อนหย่อนใจ โรงแรม และศูนย์การค้า
ปัจจุบัน สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน(องค์การมหาชน) ร่วมกับ สศช.อยู่ระหว่างการศึกษาจัดทำแผนแม่บทโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิ.ย.58 โดยประสานข้อมูลผลการศึกษาและความเห็นจากประเทศญี่ปุ่นทั้งในด้านการวางแผนแม่บทโครงการ และการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด