รัฐอนุมัติเกือบ 7 พัน ล. ลงทุน สานโครงการบก ราง น้ำ อากาศ และหนุนอุตฯ ท่องเที่ยว
บ้านเมือง : คนพ.เห็นชอบโครงการเร่งด่วนภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกปี 2560 จำนวน 48 โครงการ วงเงินรวมเกือบ 7,000 ล้านบาท สานต่อโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บก ราง น้ำ อากาศ และหนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (คนพ.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เห็นชอบโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (ปี 2560-2564) โดยโครงการที่มีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในปี 2560 จำนวน 48 โครงการ วงเงินรวม 6,992 ล้านบาท ใช้งบกลางปี 2560 เพื่อเริ่มลงทุนโครงการต่างๆ ให้มีความคืบหน้าในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
โดยในปี 2560 ต้องเริ่มสร้างมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 ช่วงต่อขยายพัทยา-มาบตาพุด รองรับรถได้ 72,000 คันต่อวัน คาดแล้วเสร็จในปี 2561 การขยายช่องทางจราจรทั้งหมายเลข 3, 33, 304, 314, 331 เชื่อมต่อกันในภาคตะวันออกระยะทาง 1,000 กิโลเมตร การสร้างรางรถไฟทางคู่ ฉะเชิงเทรา-คลอง 19-ฉะเชิงเทรา การสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง เฟส 3 และท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 รองรับรถยนต์วิ่งผ่านท่า 2.95 ล้านคันต่อปี ขนส่งสินค้า 18 ล้าน TEU ต่อปี การเริ่มก่อสร้างท่าอากาศยาน อู่ตะเภา ทั้งรันเวย์ อาคารที่พักผู้โดยสาร
การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve เพื่อกำหนดให้เป็นอุตสาหกรรมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันได้มีนักลงทุนต่างชาติยื่นขอรับสิทธิ์การส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ประมาณ 18,354 ล้านบาท เพื่อเข้าไปลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยทุกหน่วยงานต้องเร่งระดมเข้าไปร่วมพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้บังเกิดผลโดยเร็วภายใน 1-3 ปี
เพื่อเดินหน้าสร้างเมืองใหม่รองรับการลงทุนในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง เพื่อปรับผังเมือง สิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เชื่อมโยงกับการพัฒนาเมืองและสิ่งแวดล้อมเมือง การท่องเที่ยว สาธารณสุขและระบบบริการที่เกี่ยวข้อง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนวัตกรรม การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ กระทรวงดิจิตอลจะเข้ามาช่วยวางโครงสร้างพื้นฐานระบบข้อมูล อินเตอร์เน็ต รองรับการสร้างเมืองสมาร์ทซิตี้โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการเพิ่มเติมในเรื่องการสร้างความรับรู้ความเข้าใจ การเตรียมแผนรองรับผลกระทบ ผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
"โครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกปี 60-64 มีมูลค่าโครงการรวม 7 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการจัดสรรจากงบประมาณประจำปี 1.5 แสนล้านบาท จากงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ งบทุนภาคเอกชน และPPP"
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมาย สศช. ปรับปรุงแผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (ปี 2560-2564) ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในระยะ 20 ปีแผนงบประมาณ พร้อมทั้งระบุผลประโยชน์ที่จะได้รับให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน เนื่องจากต้องใช้งบลงทุนทั้งจากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ การร่วมลงทุนกับภาคเอกชนกว่า 700,000 ล้านบาท ในช่วงระยะเวลา 5 ปี รวมทั้งเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม รองรับการลงทุนในปี 2560 ประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท และในช่วงต้นปีหน้ารัฐบาลได้เตรียมเดินหน้าจัดโรดโชว์ครั้งใหญ่ในประเทศ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2560 เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
"สำหรับ แผนงานใหม่ที่ประชุมได้เพิ่มเติมกระทรวงที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ประกอบด้วย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่จะเข้ามาช่วยในด้านนวัตกรรมและการพัฒนาบุคลากร ในด้านแรงงานฝีมือและนักวิจัยเพื่อรองรับ EEC และกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้ามาช่วยในการพัฒนาระบบและเครือข่ายเพื่อรองรับด้านอีคอมเมิร์ซและทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทยสร้างเมืองสมาร์ทซิตี้"
ลุยระเบียงเศรษฐกิจปี'60 งบ 6 พันล้าน 48 โครงการ
แนวหน้า : นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (คนพ.) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เห็นชอบโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (ปี 2560-2564) โดยโครงการที่มีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในปี 2560 จำนวน 48 โครงการ วงเงินรวม 6,992 ล้านบาท ใช้งบกลางปี 2560 เพื่อเริ่มลงทุนโครงการต่างๆ ให้มีความคืบหน้าในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
โดยในปี 2560 ต้องเริ่มสร้างมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 ช่วงต่อขยาย พัทยา-มาบตาพุด รองรับรถได้ 72,000 คันต่อวัน คาดแล้วเสร็จในปี 2561 การขยายช่องทางจราจร ทั้งหมายเลข 3,33,304,314,331 เชื่อมต่อกันในภาคตะวันออก ระยะทาง 1,000 กิโลเมตร การสร้างรางรถไฟทางคู่ ฉะเชิงเทรา-คลอง19-ฉะเชิงเทรา การสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง เฟส 3 และท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 รองรับรถยนต์วิ่งผ่านท่า 2.95 ล้านคันต่อปี ขนส่งสินค้า 18 ล้าน TEUต่อปี การเริ่มก่อสร้างท่าอากาศยานอู่ตะเภา ทั้งรันเวย์ อาคารที่พักผู้โดยสาร
นอกจากนี้ มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve เพื่อกำหนดให้เป็นอุตสาหกรรมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันได้มีนักลงทุนต่างชาติยื่นขอรับสิทธิ์การส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ประมาณ 18,354 ล้านบาท เพื่อเข้าไปลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยทุกหน่วยงานต้องเร่งระดมเข้าไปร่วมพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้บังเกิดผลโดยเร็วภายใน 1-3 ปี เพื่อเดินหน้าสร้างเมืองใหม่รองรับการลงทุนในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง เพื่อปรับผังเมือง สิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เชื่อมโยงกับการพัฒนาเมือง และสิ่งแวดล้อมเมือง การท่องเที่ยว สาธารณสุขและระบบบริการที่เกี่ยวข้อง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนวัตกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์
“ที่ประชุมได้มอบหมาย สศช. ปรับปรุงแผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (ปี 2560-2564) ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในระยะ 20 ปีแผนงบประมาณ พร้อมทั้งระบุผลประโยชน์ที่จะได้รับ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน เนื่องจากต้องใช้งบลงทุนทั้งจากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ การร่วมลงทุนกับภาคเอกชนกว่า 700,000 ล้านบาท ในช่วงระยะเวลา 5 ปี รวมทั้งเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม รองรับการลงทุนในปี 2560 ประมาณ 6-7 พันล้านบาท และต้นปีหน้ารัฐบาลได้เตรียมจัดโรดโชว์ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ”
สภาพัฒน์ เผยจีดีพี Q3/59 โต 3.2% หนุนทั้งปีโตที่ระดับเดียวกัน ส่วนปี 60 คาดโต 3-4% รับการใช้จ่ายครัวเรือน - ลงทุนภาครัฐ และศก.โลกหนุน
สภาพัฒน์ เผยศก.ไทย Q3/59 โต 3.2% จากไตรมาสก่อนขยายตัว 3.5% ส่วน 9 เดือนปี 59 โต 3.3% พร้อมคาดทั้งปีโต 3.2 % รับการใช้จ่ายครัวเรือน - การลงทุนภาครัฐหนุน ส่วนปี 60 คาดโต 3.0-4.0% ได้ศก.โลกเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ฟากส่งออก Q3/59 ขยายตัว 0.4% กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาส หลังราคาสินค้าในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด หนุนทั้งปี 59 กลับมาขยายตัว 0% จากเดิมคาดติดลบ 1.9% ส่วนปี 60 คาดขยายตัว 2.4% ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไปปี 59 อยู่ที่ 0.2% ส่วนปี 60 คาดอยู่ที่ 1-2% ด้านค่าเงินบาทปีนี้มองอยู่ที่ 35.3 บ./ดอลล์ ส่วนปี 60 คาดอ่อนค่าลงอยู่ที่ 35.3-36.3 บ./ดอลล์ หลังเฟดเตรียมขึ้นดอกเบี้ยธ.ค.นี้
นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2559 ขยายตัวได้ 3.2% ลดลงจากไตรมาส 2/2559 ที่ขยายตัวได้ 3.5% ขณะที่ 9 เดือนแรกขยายตัวได้ 3.3% เพิ่มขึ้นจาก 2.8% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวดีต่อเนื่องที่ 3.5% เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และวันหยุดยาวช่วง 16-20 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ขณะที่การส่งออกไตรมาส 3/2559 มีมูลค่า 54,907 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 0.4% เป็นบวกครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาส ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 45,934 ล้านดอลลาร์ ลดลง 2.4% จากการลดลงของราคานำเข้า 1% โดยเฉพาะราคาสินค้าหมวดน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม เป็นต้น
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/2559 คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวจากไตรมาส 3 เล็กน้อย เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวที่อาจชะลอตัวลงในระยะสั้น จากการที่นักท่องเที่ยวกังวลเรื่องการปฏิบัติตัวและกิจกรรมท่องเที่ยวในช่วงไว้ทุกข์ และผู้ประกอบการกังวลเกี่ยวกับทัวร์ศูนย์เหรียญ
นายปรเมธี กล่าวว่า สำหรับปี 2559 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.2% โดยมีขับเคลื่อนจากการบริโภคของครัวเรือนที่ขยายตัวได้ 3% และการลงทุนภาครัฐขยายตัวได้ 10% ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะขยายตัวได้ 0% เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่คาดว่าส่งออกทั้งปีจะติดลบ 1.9% ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกในไตรมาสที่ 3 ที่กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาส ราคาสินค้าในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด
ด้านการนำเข้าปี 2559 คาดว่าจะติดลบ 5.2% จากเดิมคาดติดลบ 6.1% ด้านดุลการค้าคาดเกินดุล 36.6ล้านดอลลาร์ ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดเกินดุล 45 พันล้านดอลลาร์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้คาดอยู่ที่ 0.2% จากเดิมคาดที่ 0.1-0.6%
ขณะที่ปี 2560 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3-4% ขณะที่การส่งออกคาดขยายตัวได้ 2.4% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ ส่วนนำเข้าคาดขยายตัวได้ 4.5% ตามการนำเข้าเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการฟื้นตัวของการส่งออกและการลงทุนภาครัฐและเอกชน ดุลการค้าปี 2560 คาดเกินดุล 33.7 พันล้านดอลลาร์ ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดเกินดุล 42.1 พันล้านดอลลาร์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดอยู่ที่ 1-2% สำหรับการบริโภคภาคเอกชนในปี 2560 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.7% การอุปโภคภาครัฐบาลขยายตัว 2.1%
อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2560 มาจากการส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง การฟื้นตัวของการผลิตในภาคการเกษตร การลงทุนของภาครัฐที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง และแรงขับเคลื่อนจากการท่องเที่ยว ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องจับตามอง คือ สถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป ปัญหาภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน เป็นต้น
ในส่วนของค่าเงินบาทเฉลี่ยทั้งปี 2560 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 35.3-36.3 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากปีนี้ที่คาดเฉลี่ยที่ 35.3 บาทต่อดอลลาร์ ตามแนวโน้มการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายธนาคารกลางสหรัฐในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นในภูมิภาคมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างช้าๆ ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบคาดอยู่ที่ 42-52 ดอลลาร์ต่อบาเรล สูงกว่าปีนี้ที่คาด 41 ดอลลาร์ต่อบาเรล
ด้านการเบิกจ่ายงบประมาณ ประกอบด้วยอัตราเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 คาดว่าจะอยู่ที่ 94.4% ของวงเงินงบประมาณ เป็นเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ 98% และเบิกจ่ายงบลงทุน 80% การเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 80% การเบิกจ่ายงบเหลื่อมปี 75% การเบิกจ่ายเงินนอกงบประมาณภายใต้โครงการน้ำและถนนอื่นๆ ประมาณ 12,000 ล้านบาท ลดลง 47,661 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2559
“ปีหน้ายังต้องรักษาการเงินการคลังให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีความผิดปกติโลกมากระทบอะไรเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเพื่อดูแล”นายปรเมธี กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สภาพัฒน์ เผยจีดีพี Q2/59 โต 3.5% ส่วนครึ่งปีแรกโต 3.4% คงเป้าปีโต 3.0-3.5% ชี้ประชามติหนุนศก.ครึ่งปีหลัง - เชื่อระเบิดใต้ไม่กระทบ
สภาพัฒน์ เผยจีดีพี Q2/59 โต 3.5% ส่วนครึ่งปีแรกโต 3.4% พร้อมคงเป้าจีดีพีปี 59 โต 3.0-3.5% ส่วนส่งออก ทั้งปีคาดติดลบ 1.9% จากเดิมคาด ติดลบ 1.7 % - เงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ 0.1-0.6% ด้านครึ่งปีหลัง จะมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบศก.ไทยกว่า 1 ล้านลบ. จากแผนกระตุ้นศก.รัฐ มองกรอบเงินบาท 35- 36 บ./ดอลลาร์ ชี้รธน.ผ่านประชามติ จะส่งผลดีต่อศก.ครึ่งปีหลัง ประเมินมีโอกาสโตสูงกว่าครึ่งแรก ยันเหตุระเบิดใต้กระทบท่องเที่ยวเล็กน้อย เชื่อรัฐบาลดูแลได้ ไม่เป็นความเสี่ยงต่อศก.
นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. (สภาพัฒน์) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ขยายตัวได้ 3.5% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 3.2% ซึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การส่งออกบริการและการลงทุนภาครัฐขยายตัวดีต่อเนื่อง ในขณะที่การส่งออกสินค้าลดลงตามการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ในด้านการผลิตสาขาอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัว ภาคเกษตรปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์ภัยแล้งผ่อนคลายลงและราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้เกษตรกรกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส
ด้านการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัว 2.2% ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับการขยายตัวในไตรมาสแรกที่ 8% เป็นผลมาจากทั้งการใช้จ่ายหมวดค่าตอบแทนแรงงานและหทวดค่าใช้จ่ายใช้สอยที่ชะลอลง ขณะที่การลงทุนภาครัฐยังขยายตัวได้ 10.4% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลงทุนของรัฐบาลที่ขยายตัวต่อเนื่องที่ 11.5% และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ขยายตัวได้ 8.2% ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ 0.1% ชะลอตัวลงจากการขยายตัวได้ 2.1% ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลงทุนในสิ่งก่อสร้างที่หดตัว 2.1% ในขณะที่การลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรยังขยายตัวต่อเนื่อง 0.7% ด้านดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจอยู่ที่ 50 สูงกว่าไตรมาสก่อนที่ 49.4
ขณะที่การส่งออกมีมูลค่า 51,029 ล้านดอลลาร์ ลดลง 3.1% ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่ลดลง 1.4% เนื่องจากการชะลอตัวลงทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และการลดลงของราคาสินค้าส่งออก โดยปริมาณการส่งออกลดลง 2.3% และราคาสินค้าส่งออกลดลง 0.8% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 41,282 ล้านดอลลาร์ ลดลง 7.8% ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของทั้งปริมาณและราคานำเข้า ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ในไตรมาส 2 ของปี 2559 เกินดุล 8,375 ล้านดอลลาร์ เทียบกับการเกินดุล 16,576 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสก่อนหน้า
นายปรเมธี กล่าวว่า ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ในไตรมาสที่สองของปีนี้ กลับมาขยายตัวเป็นบวก 0.3% หลังจากติดลบต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2558 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสดเป็นสำคัญ ขณะที่ครึ่งปีแรกอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 0.1% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.7%
สำหรับ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของไทยในปีนี้ สศช.ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยที่ 3-3.5% แต่มีโอกาสที่จะขยายตัวได้สูงถึง 3.3-3.5% ซึ่งเป็นผลจากการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ส่งผลต่อความเชื่อมั่น เห็นได้จากตลาดหุ้นให้ผลตอบรับในเชิงบวก ส่วนปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อไตรมาส 3-4 มากน้อยแค่ไหนนั้น มองว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสเติบโตได้ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก หรือสูงกว่าครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้ 3.4% และมีโอกาสสูงที่จะขยายตัวได้ถึง 3.5%
ในส่วนของค่าเงินบาท สศช.ได้ปรับประมาณการค่าเงินบาทในปีนี้คาดว่าจะมาอยู่ที่ 35-36 บาทต่อดอลลาร์ จากเดิมที่คาด 35.5-36.5 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากมองว่าในช่วงไตรมาส 2 จะมีเงินลลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และเงินไหลเข้าภูมิภาคและไทยจากผลการลงประชามติ Brexit และในช่วงครึ่งปีหลัง มีความจำเป็นที่จะต้องดูแลค่าเงินบาทให้มีทิศทางให้อยู่ในทิศทางเดียวกับภูมิภาค เพื่อไม่ให้กระทบกับการส่งออกโดยรวม โดยค่าเงินถือเป็นขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
ส่วนสถานการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 11-12 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น มองว่า สถานการณ์ดังกล่าว เชื่อว่า เป็นผลกระทบระยะสั้น เนื่องจากมองว่า เป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคง ยังดูแลและควบคุมสถานกาณณ์ได้ เชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ยืดเยื้อและจะไม่เป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่า จะมีเม็ดเงินภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 1.64 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะการเบิกจ่ายจากลงทุนรัฐวิสาหกิจ ด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน ซึ่งในปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 4 โครงการ วงเงิน 50,099 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการประกวดราคา 7 โครงการ วงเงิน 430,587 ล้านบาท อยู่ในขั้นตอนการนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก 5 โครงการ วงเงิน 249,890 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องจับตามองว่า เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลให้สศช.ปรับประมาณการส่งออกในปีนี้ จะติดลบเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.9% จากเดิมที่ 1.7% ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงจาก ความผันผวนท่ามกลางแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท ปัญหาการก่อเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่หลายจังหวัดภาคใต้ ด้านราคาน้ำมันดิบดูใบในปีนี้คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 35-45 ดอลลาร์ต่อบาเรล โดยมองว่าในช่วงที่เหลือของปีราคาน้ำมันจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบราคาสมมติฐาน
ด้านการนำเข้า มองว่าปีนี้จะลดลง 6.1% จากการประมาณการครั้งก่อนที่ 4.6% เนื่องจากการนำเข้าในช่วงครึ่งปีแรกยังอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งการปรับลดประมาณการขยายตัวการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนด้วย ซึ่งทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าปรับลดลง ด้านดุลการค้าคาดว่าจะเกินดุลประมาณ 41.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนที่ 39.1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากกาปรับลดประมาณการมูลค่าการนำเข้ามากกว่าการปรับลดประมาณการมูลค่าการส่งออก ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีที่ 0.1-0.6%
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
กรอ.เห็นชอบก.เกษตรฯพิจารณารายละเอียดโครงการแก้ภัยแล้งก่อนบรรจุในแผนงานงบปี 60
นายประพันธ์ มุสิกพันธ์ โฆษก สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2559 ได้มีการประชุมหารือของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กรอ.)ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (อุดรธานี หนองคาย เลย หนองบัวลำภู บึงกาฬ) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม และมีภาคเอกชน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมทั้งผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนในกลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เข้าร่วมประชุม เพื่อหารือและติดตามความก้าวหน้าการบริหารจัดการน้ำและการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง รวมทั้งการดำเนินนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล
สรุปสาระสำคัญของการประชุมได้ ดังนี้
1. โครงการด้านการบริหารจัดการน้ำ ประกอบด้วย (1) โครงการจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทานเพื่อส่งเสริมการเกษตร จ.หนองคาย (2) โครงการพัฒนาแก้มลิง จ.อุดรธานี (3) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อส่งเสริมการเกษตรและแก้ปัญหาภัยแล้ง จ.บึงกาฬ และ (4) โครงการประตูระบายน้ำลำพะเนียงหลวงปู่หลอด จ.หนองบัวลำภู ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน พิจารณาในรายละเอียดถึงความพร้อมและความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการฯ เพื่อบรรจุไว้ในแผนงานและดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2560 รวมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินโครงการอย่างเป็นระบบ
2. โครงการส่งเสริมนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และกระทรวงคมนาคม รับไปพิจารณาส่งเสริมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อเสนอการพัฒนาแหล่งน้ำหนองนาตาลของภาคเอกชนไปพิจารณาในรายละเอียดตามความเหมาะสม
3. โครงการพัฒนาพื้นที่ทำ Container yard ที่สถานีรถไฟหนองตะไก้ สำหรับคลังกระจายสินค้ากลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนบน เพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้าส่งออก ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคม รับข้อเสนอไปพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการดำเนินโครงการตามที่ภาคเอกชนเสนอต่อไป
อินโฟเควสท์
สภาพัฒน์ฯ เผยจีดีพีไทยปี 58 ขยายตัว 2.8% ส่วนปี 59 คาดขยายตัว 2.8-3.8% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 3-4%
สภาพัฒน์ฯ เผยจีดีพีไทยปี 58 ขยายตัวได้ 2.8% ส่วนปี 59 คาดขยายตัว 2.8-3.8% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3-4% พร้อมคาดส่งออกปีนี้ขยายตัว 1.2% จากปี 58 ที่ติดลบ 5.6% ส่วนนำเข้าคาดขยายตัว 1.3% จากติดลบ 11.3% ในปีที่ผ่านมา ด้านเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้คาดอยู่ที่ติดลบ 0.1% ถึงบวก 0.9% ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 3.21 หมื่นล้านดอลลาร์ ดุลการค้าเกินดุล 3.48 หมื่นล้านดอลลาร์ ประเมินน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 32-37 เหรียญ ส่วนเงินบาทคาดขยับในกรอบ 35.5-36.5 บ./ดอลล์ อ่อนค่าจากปี 58 ที่ 34.29 บ./ดอลล์ ด้านการลงทุนภาคเอกชนคาดขยายตัวได้ 3.2% จาก 2% ในปี 58 ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดขยายตัว 11.2% รับเม็ดเงินลงทุนภาครัฐในปีงบ 59
นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของไทยในปี 2559 คาดขยายตัวได้ 2.8-3.8% ปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ขยายตัวได้ 2.8% โดยมีแรงขับเคลื่อนจาก การเร่งขึ้นของเม็ดเงินการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ แรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ประกาศเพิ่มเติมในเดือนกันยายน 2558-มกราคม 2559 แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งจะช่วยให้มูลค่าการส่ออกในรูปเงินบาทขยายตัวและส่งผลให้รายรับและสภาพคล่องของผู้ประกอบการดีขึ้น
“การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ยังเป็นปัจจัยสนับสนุน โดยงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2559 คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำรวมอยู่ที่ 2,541,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายโดยรวมในปีงบ 2559 ที่ 93.4% งบลงทุนรัฐวิสาหกิจคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายเม็ดเงินลงทุนได้ 444,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 75% ของกรอบวงเงินรวม 592,435 ล้านบาท โดยจะมีความคืบหน้าของการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมระยะเร่งด่วน 2559 ที่มีความพร้อม 20 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะมีเงินเบิกจ่ายในปี 2559 ที่ 66,834 ล้านบาท”นายปรเมธี กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่าในปี 2558 โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปี 59 จะอยู่ที่ 32-37 ดอลลาร์ต่อบาเรล ซึ่งต่ำสุดในรอบ 13 ปี นับตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งเป็นผลดีต่อกำลังซื้อที่แท้จริงของประชาชน ลดต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจและเอื้ออำนวยให้สามารถดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะเริ่มปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ และการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวในปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทย 32.5 ล้านคน สร้างรายรับจากการท่องเที่ยวรวม 1.65 ล้านบาท
ด้านค่าเงินบาทเฉลี่ยทั้งปีคาดอยู่ที่ 35.5-36.5 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าจากปี 58 ที่ 34.29 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าช้ากว่าคาด ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่นมีแนวโน้มของการผ่อนคลายนโยบายการเงินท่ามกลางแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาท
ทั้งนี้ นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้การคาดการณ์จีดีพีอยู่ที่ 2.8-3.8% นั้น ถือว่าลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3-4% เนื่องจากข้อจำกัดที่ทำให้การส่งออกสินค้ายังขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ และไม่สามารถสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาพรวมได้ โดยการฟื้นตัวอย่างล่าช้าของเศรษฐกิจโลกและราคาสินค้าส่งออก ด้านการอ่อนค่าของสกุลเงินสำคัญๆในประเทศคู่ค้าและคู่แข่งที่มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะเงินหยวนที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามการไหลออกของเงินทุน การลดลงของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และการเข้าเก็งกำไรค่าเงินหยวนของนักลงทุนในตลาด
สำหรับ ภาคการส่งออกในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.2% ปรับตัวดีขึ้นจากปี 2558 ที่ติดลบ 5.6% แต่ทั้งนี้เป็นการปรับลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3% เนื่องจากการปรับลดสมมติฐานราคาส่งออกที่ต่ำลงตามราคาน้ำมัน และการปรับลดปริมาณการส่งออกตามสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าโลกที่ต่ำกว่าที่คาด ด้านการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัวได้ 1.3% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ติดลบ 11.3% ส่วนดุลการค้าในปีนี้คาดว่าจะเกินดุล 3.48 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เกินดุล 3.46 หมื่นล้านดอลลาร์ ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุล 3.21 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทย ยังได้รับแรงกดดันจากราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลก ฟื้นตัวช้า ผลผลิตในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันลดลง และสกุลเงินในประเทศผู้ส่งออกอ่อนค่าลง โดยคาดว่า ราคายางพารา ปาล์มน้ำมัน และราคาพืชพลังงานต่างๆ จะฟื้นตัวช้า จึงคาดว่าการฟื้นตัวอย่างล่าช้าของราคาสินค้าเกษตรจะยังเป็นข้อจำกัดสำหรับฐานรายได้ในภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลกระทบจากภัยแล้ง ยังมีแนวโน้มรุนแรงตามสถานการณ์ปริมาณน้ำที่ใช้การได้ในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศและปริมาณน้ำฝนในปีนี้ อย่างไรก็ตามมองว่าปัญหาภัยแล้งยังอยู่ในประมาณการและการรองรับแผนต่างๆของรัฐบาลที่วางไว้
นายปรเมธี กล่าวว่า ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจในปีนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปีคาดอยู่ในช่วง (-0.1)-0.9% เทียบกับติดลบ 0.9% ในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นการปรับลดจากค่าเฉลี่ยเดิมที่ 1-2% ตามการปรับลดลงของสมมติฐานราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม มองว่า ขณะนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและแผนการเดินหน้าการลงทุนในขณะนี้ จะเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงจากภายนอกได้ แต่อย่างไรก็ตามจะต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิดทั้งในเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนในส่วนของการควบคุมการชะลอตัว การสร้างความมั่นใจในภาคการเงิน เพราะช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนและมองว่าจะยังมีอยู่ต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมาคนขาดความมั่นใจ มีการโจมตีค่าเงิน ทุนสำรองของจีนจาก 4 ล้านล้านหยวน เริ่มลดลงไป เกือบจะเหลืออยู่ที่ 3.2 ล้านล้านหยวน ซึ่งทางไทยเองจะต้องติดตามเศรษฐกิจโลก
“ณ จุดนี้ในส่วนของมาตรการยังมีอยู่เยอะจากการใช้จ่ายภาครัฐ ในส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคต่างๆ เชื่อว่าจะช่วยรองรับความเสี่ยงได้ส่วนหนึ่ง ส่วนจะมีมาตรการอื่นหรือไม่คงต้องติดตามดู”นายปรเมธี กล่าว
สำหรับ การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.7% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 2.1% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ความเชื่อมั่นดีขึ้น การดำเนินนโยบายของภาครัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ อัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ด้านการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.7% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ 2.2%
ด้านการลงทุนภาคเอกชนปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.2%ปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 2% ขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวได้ 11.2% จากการเพิ่มขึ้นของกรอบเม็ดเงินลงทุนภาครัฐในปีงบประมาณ 2559
นายปรเมธี กล่าวถึงการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปีนี้ว่า เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับข้อจำกัด ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่การผลิตและฐานรายได้ของภาคประชาชนในภาคเตรกรรยังมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ดังนั้นภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการดูแลฐานรายได้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย การดูแลขับเคลื่อนการส่งออกและการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐและเอกชน เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศและการยกระดับศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ประเด็นเชิงนโยบายที่สำคัญ คือ การดำเนินการโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของภาครัฐให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้และสามารถเบิกจ่ายเม็ดเงินเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ตามแผนปฏิบัติการคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน ที่มีความพร้อมประกวดราคาและจะสามารถเริ่มเบิกจ่ายได้ภายในปีนี้ โครงการแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะเร่งด่วน และโครงการพัฒนาระบบขนส่งทางถนน
นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินการตามมาตรการที่อยู่ภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้อนุมัติไปแล้ว เพื่อดูแลรายได้เกษตรกรและประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้แล้วเสร็จตามกำหนด การสนับสนุนการฟื้นตัวและการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน โดยการผลักดันและส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการที่ ครม.อนุมัติไปแล้ว เป็นต้น
สำหรับ เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาขยายตัวได้ 2.8% ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวได้ 2.9% เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทำให้การส่งออกลดลง และเป็นข้อจำกัดค่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แต่อุปสงค์ในประเทศขยายตัวเร่งขึ้นทั้งในด้านการลงทุนภาครัฐ และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและภาครัฐ ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งรัดการเบิกจ่ายเม็ดเงินภาครัฐและการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม การลดลงของราคาน้ำมันเป็นต้น
ด้านการลงทุนรวมในปีที่ผ่านมาขยายตัวได้ 9.4% ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ลดลง 2.6% โดยการลงทุนภาครัฐขยายตัว 41.4% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 21.9% ในไตรมาสก่อน ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ 1.9% ปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ลดลง10.1%
ธปท.ยอมรับจีดีพีปี 58 ของสภาพัฒน์ที่ 2.8% เป็นไปตามคาด พร้อมจับตาการใช้จ่ายเอกชน - ส่งออก และศก.เอเชีย
นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากที่ สศช.แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 ปี 2558 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน และทั้งปี 2558 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 ถือว่าภาพรวมใกล้เคียงกับที่ ธปท. ประเมินไว้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ก.พ.59 ที่ผ่านมา ซึ่ง กนง. มองว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายของภาครัฐโดยเฉพาะการลงทุนที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามแนวโน้มการใช้จ่ายของภาคเอกชนในระยะต่อไป รวมทั้งการส่งออกสินค้าที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ จากทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและเอเชีย รวมถึงความผันผวนของตลาดการเงินโลก
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สภาพัฒน์ มั่นใจ GDP ปีนี้โต 3-4% ชี้หัวใจสำคัญคือการลงทุนภาครัฐ จับตา 3 ปัจจัยเสี่ยง
นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "เศรษฐกิจไทยปี 2559 มองไปข้างหน้าโอกาสและความท้าทาย"ว่า ในปี 2559 นี้สศช.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 3-4% ซึ่งจะเป็นการเติบโตที่ดีขึ้นกว่าปี 2558 อย่างแน่นอน โดยในปี 58 ที่ผ่านมา ตัวเลขอย่างเป็นทางการใน 3 ไตรมาสพบว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 2.9% และทั้งปีก็มีโอกาสจะใกล้เคียงกับระดับนี้ แต่อย่างไรก็ดี ต้องรอการประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการในเดือนก.พ.59
"ไตรมาส 4 ปี 58 GDP จะโตได้มากหรือน้อยกว่า 2.9% นั้น คงต้องมารอการรายงานอย่างเป็นทางการในเดือนก.พ.นี้ แต่จากตัวเลขล่าสุดใน 2 เดือน(ต.ค.-พ.ย.58) ก็ยังได้ภาคการท่องเที่ยวเป็นพระเอก และถือว่าช่วยเศรษฐกิจมาทุกปี ขณะที่มาตรการช้อปช่วยชาติก็น่าจะมีส่วนช่วยเรื่องการใช้จ่ายได้ รวมถึงการซื้อรถยนต์ในช่วงปลายปีก่อนที่จะปรับขึ้นภาษี แต่ที่ไม่ค่อยดี คือเรื่องส่งออกที่ล่าสุดเดือนพ.ย.ติดลบไป 6% คงไปบังคับได้ยากเพราะขึ้นกับเศรษฐกิจโลก ต้องรอดูตัวเลขเดือนธ.ค.อีก 1 เดือน"เลขาธิการ สศช.กล่าว
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญในปี 59 ประกอบด้วย 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.เศรษฐกิจโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ประเมินว่าในปีนี้เศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้ 3.6% ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตได้ 2.7% และเศรษฐกิจจีน เติบโต 6.7% ซึ่งหากสถานการณ์จริงไม่เป็นไปตามที่ IMF คาดการณ์ไว้ ก็จะถือว่าเศรษฐกิจโลกปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญปัจจัยหนึ่ง 2.ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งหากแนวโน้มราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ก็จะส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้ และ 3.ปัญหาภัยแล้งและสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะมีผลต่อราคาสินค้าเกษตร
นายปรเมธี กล่าวด้วยว่า สำหรับในด้านการบริโภคและการใช้จ่ายของประชาชนนั้น เชื่อว่าในปีนี้ความมั่นใจของผู้บริโภคในการออกมาจับจ่ายใช้สอยจะมีมากขึ้น และน่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อที่จะกลับมาเป็นบวกได้ 1% จากที่ในปี 58 เงินเฟ้อติดลบ 0.9% พร้อมมองว่า สิ่งที่ต้องการเห็นในปีนี้คือการลงทุนกลับเข้ามามากขึ้น โดยมองว่าหัวใจสำคัญคือการลงทุนของภาครัฐเองที่จะเป็นตัวนำให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนตามมา
ด้านนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงเป้าหมายสำหรับการท่องเที่ยวในปี 2559 โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในปีนี้ราว 32 ล้านคน คิดเป็นรายได้ 1.67 ล้านล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมรายได้ของทั้งนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศและในประเทศเองแล้วคาดว่าจะอยู่ที่ 2.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากในปี 2558 ที่มีรายได้รวมจากการท่องเที่ยว 2.2 ล้านล้านบาท ขณะที่ในปี 2560 ได้ตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 ล้านล้านบาท
รมว.ท่องเที่ยวฯ กล่าวว่า เป้าหมายด้านการท่องเที่ยวตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้คือ 1.สร้างการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เน้นคุณภาพเป็นหลัก และยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 2.เป็นการกระจายรายได้ และลดความเหลื่อมล้ำ และ 3.ปลูกจิตสำนึกรักบ้านเกิด สร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเองให้ดูแลรักษาภูมิลำเนา ตลอดจนรักและเข้าใจประเทศไทย
"เป้าหมายของเราคือจะเน้นเรื่องคุณภาพเป็นหลัก จะเพิ่มรายได้ต่อหัวจากนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น โดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น แต่จะไม่เน้นการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว" รมว.ท่องเที่ยวฯ ระบุ
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ราว 3.0-3.5% ขณะที่การส่งออกจะขยายตัวได้ 2% ซึ่งกลับมาเป็นบวกได้จากที่ในปี 58 คาดว่าจะติดลบราว 5% โดยมองว่าสถานการณ์ที่เงินบาทอ่อนค่าจะมีส่วนช่วยให้สินค้าของไทยยังสามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ขณะเดียวกันยังมีส่วนช่วยจูงใจในด้านการท่องเที่ยว เพราะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายและการซื้อสินค้าที่ถูกกว่าประเทศคู่แข่ง
ประธาน ส.อ.ท. แสดงความเห็นพ้องกับแนวคิดของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ประเทศไทยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับภาคเกษตรให้มากขึ้น เช่น การลงทุนในเรื่องของแหล่งน้ำ ฝาย การจัดสร้างโรงงานแปรรูปสินค้าการเกษตรขนาดเล็กในชุมชน เป็นต้น ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากในส่วนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ปัจจุบันภาครัฐได้ดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อให้ภาคเกษตรกรรมมีการพัฒนาที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะภาคเกษตรกรรมก็มีความเชื่อมโยงที่สำคัญกับภาคอุตสาหกรรม
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บมจ.สหพัฒนพิบูลย์(SPC) แสดงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และทีมเศรษฐกิจภายใต้การนำของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โดยเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่รัฐบาลได้ทยอยประกาศใช้นั้นจะส่งผลดีต่อทุกภาคส่วน และสามารถเพิ่มอำนาจการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนให้มากขึ้นได้ โดยมองว่าตั้งแต่นายสมคิด เข้ามาดูแลงานด้านเศรษฐกิจ ก็มีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนมากขึ้น ซึ่งดูได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เริ่มกลับมาดีขึ้น
"กำลังซื้อไม่ได้ขึ้นกับเงินในกระเป๋าอย่างเดียว แต่ขึ้นกับอารมณ์และความเชื่อมั่นในอนาคตด้วยถึงจะออกไปจับจ่ายใช้สอยกัน...กรณีช้อปช่วยชาติ ถือว่าเป็นมาตรการที่ดีที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย แต่น่าจะเพิ่มระยะเวลาให้นานกว่านี้ และมีการสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนล่วงหน้ามากกว่านี้ แนะนำว่าน่าจะทำไตรมาสละครั้ง" นายบุญชัย กล่าว
อย่างไรก็ดี คาดว่าในปีนี้ยอดขายของสหพัฒน์ฯ จะเติบโตได้ราว 10% เพิ่มขึ้นจากในปี 58 ที่เติบโตได้ 7.4%
พร้อมกันนี้ ยังแนะรัฐบาลว่าจากมาตรการและความช่วยเหลือผ่านการใช้จ่ายงบประมาณไปยังแต่ละภาคส่วนนั้น รัฐบาลควรจะมีการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นเพื่อทำหน้าที่ติดตามผลจากการใช้จ่ายเงินงบประมาณในแต่ละมาตรการว่ามีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด และมีประสิทธิผลอย่างไร ซึ่งอาจจะมอบหมายให้ผู้ว่าราชการของแต่ละจังหวัดรับผิดชอบในส่วนนี้
"น่าจะต้องมีหน่วยงานพิเศษเข้ามาติดตามดูแลผลการใช้เงินว่าไปถึงไหน อาจจะเป็นผู้ว่าฯ ก็ได้ ไม่ใช่แค่ส่งเงินไปแล้วก็ปล่อยไปตามยถากรรม ควรจะต้องติดตามด้วย เพราะถ้าเงินที่ส่งไปนั้นเกิดผลเป็นรูปธรรมก็เชื่อว่าปี 59 จะต้องดีกว่าปี 58 แน่นอน"นายบุญชัย กล่าว
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด