สภาพัฒน์ เตรียมชงร่างทิศทางการพัฒนาภาคใต้-ชายแดนใต้ในครม.สัญจร 28 พ.ย.นี้
รายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ที่ จ.สงขลา (ครม.สัญจร) ในวันที่ 28 พ.ย. นี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เตรียมเสนอ ร่างทิศทางการพัฒนาภาคใต้ และร่างทิศทางการพัฒนาภาคใต้ชายแดน
โดยร่างทิศทางการพัฒนาภาคใต้ ตามกรอบแนวคิด ภาคใต้มีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มีชื่อเสียงระดับโลก และแหล่งท่องเที่ยวที่มี ศักยภาพสามารถสร้างรายได้ให้กับภาคทั้งพื้นที่ตอนในและชายฝั่งทะเลทั้งสองด้าน รวมทั้งมีระบบนิเวศชายฝั่งที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำตามธรรมชาติและเหมาะ กับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ในขณะที่การผลิตภาคเกษตร ได้แก่ ยางพาราและ ปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นแหล่งผลิตและแปรรูปที่สำคัญของประเทศยังเป็นแบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ ภาคใต้มีความได้เปรียบด้านสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ใกล้เส้นทาง การค้าโลก สามารถเชื่อมโยงการพัฒนากับพื้นที่ภาคอื่นๆ ของประเทศ รวมทั้งภูมิภาค เอเชียใต้และเอเชียตะวันออก มีเป้าหมาย ให้ภาคใต้เป็นเมืองท่องเที่ยวพักผ่อนตากอากาศระดับโลก เป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางพาราและปาล์มน้ำมันของประเทศ และเมืองเศรษฐกิจเชื่อมโยงการค้าการลงทุนกับภูมิภาคอื่นของโลก
ดังนั้น การพัฒนาภาคใต้ควรพัฒนาการท่องเที่ยวให้เป็นมาตรฐานสากลเพื่อรักษา ความมีชื่อเสียงของแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก พร้อมกับพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต และแปรรูปภาคเกษตรควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพัฒนาการเชื่อมโยงการค้า การลงทุน กับภูมิภาคต่างๆ ของโลก
สำหรับ ยุทธศาสตร์การพัฒนา ประกอบด้วย 1. พัฒนาการท่องเที่ยวของภาคให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว คุณภาพชั้นนำของโลก 2. พัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปยางพาราและปาล์มน้ำมันแห่งใหม่ของประเทศ 3.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการท่องเที่ยว และ 4. การพัฒนาเขตอุตสาหกรรม และการเชื่อมโยงการค้าโลก
ทั้งนี้ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวของภาคให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว คุณภาพชั้นนำของโลก ประกอบด้วย 1.ยกระดับคุณภาพบริการ และส่งเสริมธุรกิจต่อเนื่องในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของภาค เช่น ภูเก็ต สมุย พะงัน และหลีเป๊ะ เป็นต้น โดยคำนึงความสามารถในการรองรับของพื้นที่ (Carrying Capacity)อย่างยั่งยืน 2.พัฒนาและสนับสนุนรูปแบบการท่องเที่ยวเรือสำราญ และการท่องเที่ยวเชิงอาหาร เพื่อการ ท่องเที่ยวของภาคไปสู่แหล่งท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก
3.พัฒนาเมืองท่องเที่ยวหลัก (ภูเก็ต) ให้เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และมีระบบขนส่งมวลชน (Monorail)เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการนักท่องเที่ยว 4.พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบนบกบริเวณตอนในของภาค อาทิ เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี และอุทยานแห่งชาติเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช และแหล่งท่องเที่ยวชายหาดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำแห่งใหม่ เพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มีชื่อเสียงทั้งด้านตะวันตกและตะวันออกของภาค และเขต The Royal Coast ของภาคกลาง
5.พัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวให้มีความหลากหลายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวสำคัญของ ภาค อาทิ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและ สปา (ระนอง กระบี่ สตูล สุราษฎร์ฯ และพัทลุง) ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม (วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีฯ เมืองเก่า จ.สงขลา และ ตะกั่วป่า จ.พังงา) และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (Satun Geo Park) การท่องเที่ยวผจญภัย (พัทลุง นครศรีฯ และสุราษฎร์ฯ) และการท่องเที่ยวเชิงกีฬา และ 6.ส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวโดยชุมชนให้เข้มแข็งและสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่เพื่อเป็นแหล่ง สร้างอาชีพใหม่และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
แผนพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปยางพาราและปาล์มน้ำมันแห่งใหม่ของประเทศ ประกอบด้วย 1.พัฒนาเขตพื้นที่อุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราหาดใหญ่–สะเดา ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเชื่อมโยง การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและนิคมอุตสาหกรรมยาง (Rubber City)ให้เป็นฐานเศรษฐกิจที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืน 2.พัฒนาเขตอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีแบบครบวงจร จ.กระบี่ สุราษฎร์ฯ และชุมพร เพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของภาค 3.พัฒนาและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีชีวภาพและนวัตกรรมการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิต และเพิ่มคุณภาพ และแปรผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อาทิ เครื่องสำอาง ยาสมุนไพร เวชสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปภาคเกษตร
แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1.ส่งเสริมการทำการเกษตรแบบผสมผสานเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านรายได้ของเกษตรกรรายย่อย โดยเฉพาะยางพาราและปาล์มน้ำมัน 2.ส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่ให้มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต และบริหารจัดการฟาร์มอย่างเป็นระบบเพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นเกษตรกร มืออาชีพ (Smart Farmer) 3.ยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอัตลักษณ์และเหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ของภาค เช่น ข้าว ไม้ผล และปศุสัตว์ ให้เป็นสินค้ามูลค่าสูงและ ได้มาตรฐานส่งออก 4.ยกระดับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งและสัตว์น้ำชายฝั่งให้เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม และได้มาตรฐานสุขอนามัยและเป็นไปตามกฎกติกาสากล
แผนการพัฒนาเขตอุตสาหกรรม และการเชื่อมโยงการค้าโลก ประกอบด้วย 1.พัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำแห่งใหม่กับ แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง อาทิ พัฒนาถนนเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทยสายชุมพร –สุราษฎร์–นครศรีฯ–สงขลา เชื่อมโยงกับสาย The Royal Coast ของภาคกลาง 2.พัฒนาเส้นทางรถไฟเพื่อการท่องเที่ยวเชื่อมโยงฝั่งอันดามันและอ่าวไทย (สายท่านุ่น–พังงา–พุนพิน –ดอนสัก) (สายระนอง –ชุมพร) (สายระนอง –พังงา –กระบี่ –ตรัง) 3.พัฒนาและสนับสนุนท่าเรือสำราญในจังหวัดภูเก็ตให้เป็นท่าเรือหลัก (Homeport)ของโลก รวมทั้งพัฒนาท่าเรือแวะพัก (Port of Call)และท่าเรือมารีน่าให้มีมาตรฐานในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มีศักยภาพของภาค (กระบี่ พังงา สมุย)
4.พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมแปรรูปยาง หาดใหญ่–สะเดา อาทิ รถไฟฟ้าหาดใหญ่- ปาดังเบซาร์ ทางหลวงพิเศษ (Motorway) หาดใหญ่-ด่านพรมแดนสะเดา รถไฟทางคู่ชุมพร-สุราษฎร์ฯ- หาดใหญ่ และพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าทุ่งสง ท่าเรือสงขลาแห่งที่ 2 ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และ 5.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงภาคใต้กับเส้นทางการค้าโลก อาทิ การพัฒนาท่าเรือ ชายฝั่งอันดามัน สนามบินภูเก็ต และโครงข่ายรถไฟเชื่อมโยงท่าเรือสงขลา 2–หาดใหญ่–ปาดังเบซาร์–บัตเตอร์เวอร์ธ (มาเลเซีย)
แผนพัฒนาภาคใต้ชายแดน พัฒนาควบคู่พัฒนาเศรษฐกิจมาเลเซีย/สิงคโปร์
สำหรับ ร่าง ทิศทางการพัฒนาภาคใต้ชายแดน ภายหลังรัฐบาลมีโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร อ.หนองจิก การพัฒนาด้านการค้าและการท่องเที่ยว อ.สุไหงโก-ลก และ อ.เบตง เพื่อสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชน
"ดังนั้น การพัฒนาภาคใต้ชายแดน จึงควรมุ่งการพัฒนาขยายผลการ ดำเนินโครงการเมืองต้นแบบ โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร พัฒนาเมืองชายแดนให้เป็นเมือง การค้าและท่องเที่ยว ควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน"
เป้าหมายให้เป็นแหล่งผลิตภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปที่สำคัญของประเทศ และเป็นเมืองชายแดนเชื่อมโยงการค้าและการท่องเที่ยวกับ พื้นที่ภาคใต้และการพัฒนาเศรษฐกิจของมาเลเซียและสิงคโปร์ ทั้งนี้มียุทศาสตร์การพัฒนา ประกอบด้วย 1.พัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรเพื่อความมั่นคงให้กับภาคการผลิต 2.พัฒนาเมืองสุไหงโก-ลก และเมืองเบตง ให้เป็นเมืองการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน และ 3.เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน
โดย แผนพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรเพื่อความมั่นคงให้กับภาคการผลิต ประกอบด้วย 1.พัฒนาพื้นที่ อ.หนองจิก ต่อเนื่อง อ.เมืองปัตตานี ให้เป็นเขตอุตสาหกรรมเกษตร แปรรูปปาล์มน้ำมัน ยางพารา มะพร้าว และอุตสาหกรรมแปรรูปประมงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้เป็นแหล่งรายได้ให้กับภาค 2.พัฒนาและส่งเสริมการขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมัน ยางพารา มะพร้าว พืชและผลไม้ เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร
3.พัฒนาและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีชีวภาพและนวัตกรรมในการ เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก รวมทั้งการทำปศุสัตว์ และประมง เพื่อเพิ่มผลผลิต และคุณภาพ ตลอดจนแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่การผลิตให้กับภาคการเกษตร 4.ส่งเสริมการสร้างตราสินค้าผลผลิตทางการเกษตรที่มีชื่อเสียงของภาค และ 5.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ อาทิ การพัฒนาท่าเทียบขนส่งสินค้าชายฝั่งและท่าอากาศยานปัตตานี
แผนพัฒนาเมืองสุไหงโก-ลก และเมืองเบตง ให้เป็นเมืองการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน ประกอบด้วย 1.พัฒนาด่านชายแดนเพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการขนส่งสินค้าและการเดินทางข้ามแดน อาทิ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลกแห่งที่ 2 และ สะพานข้ามแม่น้ำโก-ลกที่ด่านตากใบ เร่งรัดโครงการพัฒนาด่านบูเก๊ะตา ระยะที่ 2 และจัดหาที่ดินรองรับการพัฒนาด่านฯ ระยะที่ 3
2.พัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์เชื่อมโยงเมืองชายแดน (สุไหงโก-ลก และ เบตง) อาทิ ยกระดับมาตรฐานเขตทาง (เมืองนราธิวาส-สุไหงโก-ลก) และขยายช่องทางจราจร (เมืองยะลา-เบตง) การปรับปรุงท่าอากาศยานนราธิวาส และเร่งรัด การก่อสร้างสนามบินเบตง และการเชื่อมต่อการเดินรถไฟข้ามพรมแดนประเทศมาเลเซีย 3.พัฒนาและส่งเสริมธุรกิจการค้าชายแดน อาทิ การจัดหาที่ดินรองรับการพัฒนาการ ค้าชายแดน และการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร
4.พัฒนาการท่องเที่ยวของภาคใต้ชายแดนให้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ อาทิ การ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวป่าบาลา-ฮาลา การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเชิงอาหาร และ 5.ส่งเสริมความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนของภาคกับการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจด้านตะวันออกของประเทศมาเลเซีย
แผนเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ประกอบด้วย 1.พัฒนาและสนับสนุนทักษะฝีมือแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปและเมืองการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน 2.ส่งเสริมการให้ความรู้และความเข้าใจในการดูแลอนามัยแม่และเด็ก 3.สนับสนุนการรวมกลุ่มในชุมชนเพื่อพัฒนาอาชีพและยกระดับเศรษฐกิจครัวเรือน โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการผลิตสินค้าและบริการ อาทิ สินค้า OTOP สินค้าอัตลักษณ์ท้องถิ่น อาหารและบริการฮาลาล และกลไกประชารัฐเพื่อเชื่อมโยง ตลาดการท่องเที่ยวทั้งภายในและภายนอกภาค และ 4.ส่งเสริมและสนับสนุนการอยู่ร่วมกันแบบสังคมพหุวัฒนธรรมเพื่อสร้างความ เข้มแข็งชุมชนและอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติ.
อินโฟเควสท์
สภาพัฒน์ เผยจีดีพี Q3/60 โต 4.3% สูงสุดรอบ 4 ปีครึ่ง พร้อมปรับคาดการณ์ปี 60 เป็นโต 3.9% จากเดิม 3.5-4% ส่วนปี 61 คาดโต 3.6-4.6%
สภาพัฒน์ เผยศก.ไทย Q3/60 โต 4.3% สูงสุดในรอบ 18 ไตรมาส หรือ 4 ปีครึ่ง รับส่งออกโตถึง 12.5% หลังการลงทุนเอกชนฟื้นตัว พร้อมปรับคาดการณ์จีดีพีปี 60 เป็นโต 3.9% จากเดิม 3.5-4% ส่วนปี 61 คาดโต 3.6-4.6% ด้านส่งออกปีนี้เพิ่มเป้าเป็นโต 8.6% จากเดิมที่ 5.7% ปีหน้าคาดโต 5% ฟากนำเข้าปีนี้คาดโต 13% จากเดิม 10.7% ปีหน้าคาดโต 7% ด้านเงินเฟ้อทั่วไปปี 60 อยู่ที่ 0.7% ส่วนปี 61 อยู่ที่ 0.9-1.9% ชี้ยังไม่จำเป็นต้องขึ้นดบ.นโยบาย เหตุต้องรอดูเสถียรภาพทางศก.เป็นหลัก
นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2560 ขยายตัว 4.3% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวได้ 3.8% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 18 ไตรมาส ขณะที่การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 61,633 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวสูงสุดในรอบ 19 ไตรมาส หรือขยายตัว 12.5% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 7.9% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 51,490 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13% เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคานำเข้าสินค้าที่ 3.8% และปริมาณการนำเข้าสินค้าที่ 8.8% โดยปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า สอดคล้องกับการขยายตัวของการส่งออก การปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนเอกชน และการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายภายในประเทศ
นอกจากนี้ ได้ปรับเพิ่มประมาณการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2560 ว่าะขยายตัว 3.9% เพิ่มขึ้นจากค่ากลางเดิมที่ 3.7% จากประมาณการเดิมที่อยู่ในกรอบที่ 3.5-4% ส่วนจีดีพี ปี 2561 คาดจะเติบโต 3.6-4.6%
ด้านตัวเลขส่งออกสินค้าปี 2560 คาดจะขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8.6% จากเดิมคาดขยายตัวได้ 5.7% ส่วนปี 2561 คาดส่งออกจะชยายตัว 5% ขณะที่การนำเข้าปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 13% จากเดิมคาดขยายตัว 10.7% และคาดว่าจะขยายตัวได้ 7% ในปี 2561 ด้านดุลการค้าปี 2561 คาดว่าจะเกินดุล 29.4 พันล้านดอลลาร์ จากปีนี้คาดว่าจะเกินดุล 31.9 พันล้านดอลลาร์ จากเดิมที่คาดเกินดุล 28.9 พันล้านดอลลาร์
“เศรษฐกิจไทยปี 2561 จะมีแรงส่งจากการขยายตัวดีของเศรษฐกิจโลกที่ยังเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนของภาครัฐที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน สาขาเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องจากปีก่อน และการปรับตัวดีของการจ้างงานและฐานรายได้ของประชาชนในระบบเศรษฐกิจ ขณะที่มาตรการดูแลเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยเป็นปัจจัยสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2561 คาดว่าการส่งออกจะขยายตัว 5% ลดลงจากปีนี้ เนื่องจากฐานค่อนข้างสูง”นายปรเมธี กล่าว
ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2561 คาดว่าจะเกินดุล 38.1 พันล้านดอลลาร์ ลดลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะเกินดุล 46.5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2561 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.9-1.9% เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 0.7% ขณะที่การลงทุนเอกชน คาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 2.2% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.7% ในปีหน้า ด้านการลงทุนภาครัฐคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 1.8% ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาด 8% และปีหน้าคาดว่าการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวได้ 11.8% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวได้ 3.7% เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.2%
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ต่อเนื่องถึงปีหน้า ควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการขยายตัวการผลิตนอกภาคเกษตร โดยดูแลการส่งออกให้ขยายตัวได้เต็มศักยภาพและต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงการสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนทั้งในด้านการดำเนินการตามโครงการลงทุน การชักจูงนักลงทุนในสาขาเป้าหมาย รวมถึงการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และการสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนในความต่อเนื่องของนโยบายและมาตรการที่สำคัญในช่วงหลังการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเลือกตั้ง การสนับสนุนการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาการขับเคลื่อนโครงการลงทุนภาครัฐให้สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง การขับเคลื่อนโครงกาพรัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC การขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม การดำเนินการตามมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ผ็ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นต้น
ทั้งนี้ ในปี 2561 สศช.คาดค่าเงินบาทเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ในช่วง 34-35 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อย จากปีนี้ที่คาด 34 บาทต่อดอลลาร์ ตามแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการลดขนาดงบดุลอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัญ และการส่งสัญญาณการปรับทิศทางของนโยบายการเงินของประเทศสำคัญอื่นๆ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2561 คาดว่าจะอยู่ที่ 50-60 ดอลลาร์ต่อบาเรล เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆจากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 52.5 ดอลลาร์ต่อบาเรล จากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น การปรับเพิ่มขึ้นของปริมาณความต้องการใช้น้ำมันตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เป็นต้น
สำหรับ มาตรการช้อปช่วยชาติจะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ถึง 4% หรือไม่นั้น มองว่า มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการเพื่อช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และคาดว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคมากกว่า โดยมองว่ามาตรการดังกล่าวไม่ใช่มาตรการที่ออกมาเพื่อมุ่งหวังให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวได้ 4% ด้านมาตรการที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักย์ รองนายกรัฐมนตรี ประกาศว่า จะต้องทำให้คนจนหมดประเทศนั้น มองว่า เป็นเป้าหมายที่ท้าทาย ดังนั้นจะต้องหาแนวทางว่าจะทำอย่างไรให้ผู้มีรายได้น้อยมีอาชีพ ให้ความช่วยเหลือและดูแลผู้มีรายได้ต่ำให้พ้นจากเส้นความยากจน
ขณะที่สถานการณ์ด้านดอกเบี้ยนั้น มองว่า แม้ว่าประเทศอื่นจะส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ประเทศไทยนั้นมองว่า ยังไม่มีความจำเป็นดังกล่าว ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์ ภาวะของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า โดยนโยบายการเงินจะต้องดูแลด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วย ขณะที่ไตรมาส 4 มองว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้สูงต่อเนื่อง จากการเร่งลงทุนโดยเฉพาะจากภาครัฐ ที่เตรียมความพร้อมในการลงทุนในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2561
'สมคิด' พอใจจีดีพี Q3/60 โต 4.3% แย้มหาก Q4/60 โตถึง 4-5% จะสร้างความมั่นใจต่อศก.ไทยมากขึ้น
สมคิด' พอใจศก.ไทย Q3/60 โต 4.3% แย้มหากจีดีพี Q4/60 โตได้ถึง 4-5% จะสร้างความมั่นใจต่อภาพรวมศก.ไทยมากขึ้น ประกาศปี 61 เดินหน้ากระตุ้นศก.ฐานราก ปี 61 เป็นปีแห่งการพัฒนาท้องถิ่นให้เข้มแข็ง พร้อมเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง หนุนศก.โตก้าวกระโดด
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังหารือกับภาคเอกชน ในงาน Workshop on Compettiveness and inclusive Growth : Navigation towards Thailand 4.0 ในวันนี้ว่า วันนี้ได้หารือกับภาคเอกชน ร่วมกับ World Economic Forum (WEF) ถึงตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยวันนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช.ประกาศตัวเลขออกมาที่ 4.3% สูงสุดในรอบ 18 ไตรมาสนั้น เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ เนื่องจากไทยเติบโตจากระดับ 0.8% มาจนถึงระดับ 4.3% ได้นั้น ถือว่าเกิดกว่าที่คาดไว้ที่ 4% ซึ่งยอมรับว่า ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่มีเม็ดเงินลงทุนค่อนข้างมาก
“ถ้าไตรมาส 4 ปีนี้ตัวเลขการเติบโตทำได้ถึง 4-5% ก็จะยิ่งเสริมสร้างความมั่นใจ เกิดโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง ตอนนี้มันสะท้อนแล้วว่า ภาพของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ไปได้ดีมาก โดยเฉพาะตอนนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเดินหน้าสร้างความเข้มแข็งให้กับท้องถิ่น ซึ่งเมื่อเราลงไปท้องถิ่นได้ ก็จะทำให้อำนาจซื้อแข็งแกร่งมากขึ้น ท้องถิ่นจะมีอำนาจมากขึ้น นอกจากนี้ไม่ว่าเรื่องการแก้ไขปัญหาราคา การพัฒนาชุมชน เอสเอ็มอี จะต้องแข็งแกร่งแน่นอน เราจะพยายามต่อยอดไปให้ได้”นายสมคิด กล่าว
นอกจากการสร้างความแข็งแกร่งให้กับท้องถิ่นในปี 2561 จะมีโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ที่จะเป็นแรงดึงนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนไทยจำนวนมาก ประกอบกับภาครัฐมีแผนเร่งรัดการใช้จ่ายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้นั้น จะส่งผลดีต่อเนื่องไปยังภาคการส่งออก และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าอย่างแน่นอน
“EEC ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องการอุ้มรายใหญ่ เราต้องฟังให้จบ EEC คือตัวเชื่อมไปยังซัพพลายเชญ ก่อให้เกิดการจ้างงาน เกษตรภาคตะวันออกขายผลไม้ได้ เส้นทางสัญจร โครงสร้างพื้นฐานสะดวก ดังนั้นเวลาจะฟังต้องฟังให้จบ และคิดให้ทะลุ และก็ยังยืนยันว่า เราพยายามทำท้องถิ่นให้แข็งแกร่ง เราพยายามจูน พยายามเชื่อมกับ องค์การบริหารส่วนตำบล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อร่วมกันพัฒนา ให้ไปคิดโครงการ เดินหน้าเงินลงทุนงบประมาณที่มีอยู่ เพราะมันจะก่อให้เกิดการจ้างงานในชุมชนต่อไป ขณะที่สังคมเราก็ต้องดูล ด้านเกษตรก็พยายามดำเนินการ ซึ่งยอมรับว่า การยกระดับ ไม่ใช้เรื่องง่าย ด้านผู้มีรายได้น้อยเราก็พยายามเข้าไปช่วยเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดได้ เราต้องการให้คนไทยมีรายได้ ซึ่งกระทรวงการคลังก็มีนโยบายเรื่องนี้ชัดเจน”นายสมคิด กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้พยายามชักชวนให้ WEF เดินทางมาจัดเวทีสัมมนาในเมืองไทย โดยเน้นการสร้างคนรุ่นใหม่ให้เติบโตได้อย่างมีศักยภาพ เนื่องจากในอนาคตจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่ 4.0
“วันนี้ภาคเอกชน รวมถึงภาครัฐเองจะต้องเตรียมความพร้อม ว่าเราจะสู่ภายนอกประเทศได้ แข่งขันได้ หากวันนี้เราไม่เตรียมความพร้อมอะไรเลย อนาคตจะสู้คนอื่นไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่เราทำวันนี้ก็หวังว่า จะส่งผลดีต่อการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทย Index WEF ดีขึ้นในอนาคต จากปีนี้อยู่อันดับ 32 จาก 137 ประเทศทั่วโลก จากปี 2559 อยู่อันดับที่ 34 ซึ่งต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือทำให้เกิดความก้าวหน้าขึ้น”นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ประยุทธ์ 5 ว่า เรื่องดังกล่าว ขอให้เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา ซึ่งเชื่อว่าท่านจะพิจารณาจากความเหมาะสมเป็นหลัก และขอยืนยันว่า การปรับครม.นั้นไม่ใช่เพราะว่า บุคคลที่ถูกปรับไม่ดี แต่ปรับเพื่อความเหมาะสมมากกว่า
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สมคิด' ลุ้นสภาพัฒน์เพิ่มเป้าจีดีพีไทยปีนี้จากเดิม 3.5-4% ตามคลัง-ธปท. เหตุส่งออกฟื้นตัวดี
'สมคิด' ลุ้นสภาพัฒน์ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ หลังคลัง-ธปท. นำร่องปรับเพิ่มแล้ว เหตุการส่งออกฟื้นตัวดีต่อเนื่อง เผยนายกรัฐมนตรีเตรียมเยือนสหรัฐ 2-4 ต.ค.นี้ เป็นการเปิดมิติใหม่ความสัมพันธ์ 2 ประเทศ เชื่อส่งผลดีต่อการค้า-ลงทุนในอนาคต
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงาน 'สานพลังบริษัทจดทะเบียนเพื่อสังคมไทยยั่งยืน' ว่า ทางรัฐบาลคาดหวังที่จะเห็นสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับเพิ่มประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้เพิ่มขึ้น หลังที่ผ่านมาทางกระทรวงการคลัง และ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. มีการปรับเพิ่มประมาณการแล้ว หลังได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่เติบโตดีต่อเนื่อง รวมถึงการท่องเที่ยว และ เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีกว่าคาด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลต้องแก้ไข คือปัญหาการเหลื่อมล้ำ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพียงฝ่ายเดียว แต่ทุกๆส่วนต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ประชาชน มหาวิทยาลัย จะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งจะทำให้ประเทศก้าวข้ามปัญหา หรือ อุปสรคคต่างๆ โดยขณะนี้ว่า ด้านสุขภาพ และ การศึกษาของไทยตกไปอยู่ที่ 90 ของโลก จากเดิมอันดับที่ 70 ซึ่งสะท้อนถึงโครงสร้างประเทศที่ยังอ่อนแอ
“ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นทำให้หลายส่วนมีการปรับจีดีพีขึ้น แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ปรับทีเดียวเลย ปรับทำไม 2-3 รอบ ซึ่งตอนนี้รัฐบาลก็ไม่ได้ห่วงเรื่องตัวเลขจีดีพีแล้ว เพราะมองว่ายังไงปีนี้ก็โต และ โตได้ดีมากด้วย ซึ่งสิ่งที่ต้องแก้ต่อไป คือ ความเหลื่อมล้ำ และ การกระจายรายได้ไปสู่ฐานล่างให้มากขึ้น”นายสมคิด กล่าว
สำหรับ โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ต.ค.นี้พบว่า หลายฝ่ายยังติดขัดปัญหา และ ความล่าช้าในการเข้ามาลงทะเบียนของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ได้รับทราบมาจากทางกระทรวงการคลังแล้ว โดยต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งทางกรมบัญชีกลาง และ ธนาคารกรุงไทย ก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ และ อยากให้ทุกฝ่ายทำออกมาให้ดี
ส่วนการที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะเดินทางเยือนสหรัฐฯ ตามคำเชิญของผู้นำสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 2 - 4 ต.ค.นี้นั้น นายสมคิด กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดี และ เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดมิติใหม่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะส่งผลดีต่อการค้า และ การลงทุน โดยอยากให้ทุกคนมองโลกในแง่ดี
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สมคิด สะกิดสศช.ปรับจีดีพีเงินเริ่มไหลออกฉุดบาทอ่อนธปท.ชี้ศก.ยังฟื้นแบบกระจุก
ไทยโพสต์ * 'สมคิด' ส่งสัญญาณรัฐบาลอยากเห็น สศช.ปรับเพิ่ม จีดีพีไทยปีนี้ หลังหลายหน่วยงานเริ่มขยับขึ้น ธปท.แจงดอลลาร์กลับมาแข็งค่า ดึงเงินทุนนอกไหลออกจากไทย ฉุดบาทอ่อนค่าลง ชี้เป็นเรื่องที่ดี มองเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวกระจุก กลุ่มผู้มีรายได้น้อยยังไม่ได้รับผลดีเต็มที่
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยใน งาน "สานพลังบริษัทจดทะเบียน เพื่อสังคมไทยยั่งยืน" ที่ตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า รัฐบาลมีความคาดหวังว่าสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะมีการปรับเพิ่มประมาณ การอัตราขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2560
หลังจากที่ผ่านมา กระ ทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับจีดีพีปีนี้ขึ้นไปแล้ว โดยได้รับแรงหนุน จากภาคการส่งออก การท่องเที่ยว ที่เติบโตดีต่อเนื่อง และเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีกว่าที่คาด
"ในหลายๆ ภาคส่วนได้มีการปรับจีดีพีขึ้น แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ปรับทีเดียวเลย ปรับทำไม 2-3 รอบ แต่ตอนนี้รัฐบาลก็ไม่ได้ห่วงเรื่องตัวเลขจีดีพีแล้ว เพราะมองว่ายังไงปีนี้ก็โต และสามารถโตได้ดีมากด้วย โดยสิ่งที่รัฐบาลต้องแก้ต่อไป คือความเหลื่อมล้ำและการกระจายรายได้ไปสู่ฐานล่างให้ได้มากขึ้น" นายสมคิดกล่าว
สำหรับกรณีที่ พล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะเดินทางเยือนตามคำเชิญของผู้นำสหรัฐ ระหว่างวันที่ 2-4 ต.ค.นี้ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดมิติใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะส่งผลดีต่อการค้าและการลงทุน รวมถึงจะช่วยให้รัฐบาลทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีการอ่อนค่าลงของเงินบาท โดยเคลื่อนไหวประมาณ 33.39 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 33.19 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ว่าขณะนี้เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่ามากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ ธปท.ไม่ได้รู้สึกกังวลหากจะมีเงินทุนไหลออกบางส่วน โดยเฉพาะหากเป็นเงินทุนจากต่างชาติที่เข้าเก็งกำไร มองว่าหากมีการไหลออกบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
"ธปท.มองว่า การไหลเข้าของเงินทุนในระยะนี้อาจจะน้อยลงบ้าง แต่ยังคงเห็นการไหลเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรอยู่ เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อพื้นฐานเศรษฐกิจของไทย" นายดอนกล่าว
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีปีนี้เป็น 3.8% จากเดิม 3.5% ถือเป็นอัตราที่ไม่น้อย และสอดคล้องกับข้อมูลของ สศช.ที่ประกาศจีดีพีไตรมาส 2 ปี 2560 มีอัตราการ เติบโตที่ดี รวมทั้งภาพรวมเศรษฐ กิจในเดือน ก.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะ เป็นการขยายตัวที่ไม่ทั่วถึง เนื่อง จากกลุ่มผู้มีรายได้น้อยยังไม่ได้รับ ผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สำหรับ เศรษฐกิจไทยเดือน ส.ค.ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยการส่งออกสินค้าขยายตัว 15.8% ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมยกเว้นยานยนต์ โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตดีขึ้นในอุตสาหกรรมเพื่อส่งออก ทำให้การผลิตขยายตัว 3.7% ส่วนการท่องเที่ยวขยายตัวที่ 8.7% อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการใช้จ่ายภาคเอกชนที่ยังชะลอตัว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง หรือประมาณต้นปี 2561 จึงจะเริ่มดีขึ้น.
อนาคตประเทศไทย กับสังคมสูงวัย มุ่งขับเคลื่อน Aging 4.0 สู่ Thailand 4.0
ในงาน'15 ปี ธนาคารสมอง พลังอาสาพัฒนาประเทศ' นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานและได้ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘อนาคตประเทศไทยกับสังคมสูงวัย’ณ โรงแรมเซนทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับ มูลนิธิพัฒนาไท โดยมี กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมอภิปรายเพื่อเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเผยแพร่พระเกียรติคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้ทรงริเริ่มแนวคิดธนาคารสมอง ร่วมพัฒนาประเทศ และเพื่อเผยแพร่บทบาทการดำเนินงานธนาคารสมองผ่านรูปธรรมเชิงประจักษ์
ตลอดจนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคต ตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560–2564) ให้วุฒิอาสาธนาคารสมองและภาคีเครือข่ายต่างๆ เห็นถึงความสำคัญและสามารถเชื่อมโยงสู่แนวทางการขยายบทบาท พร้อมเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศสู่ Thailand 4.0
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าปัจจุบันธนาคารสมอง มี วุฒิอาสา กว่า 4,000 คน ถือเป็นทรัพย์สินที่มีค่าของแผ่นดิน ด้วยการทำความดีเพื่อผู้อื่น ส่งต่อความรู้และประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น และส่งต่อหลักความคิดที่ถูกต้องให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นแบบในศตวรรษที่ 21 ความร่วมมือของวุฒิอาสาและธนาคารสมอง คือ พลังสำคัญที่จะทำงานอย่างบูรณาการและเป็นเครือข่ายร่วมกับภาคีการพัฒนาในพื้นที่ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำความเข้าใจและเข้าถึงการพัฒนานั้นจำเป็นต่อโลกศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นโลกแห่งความสุดโต่ง โลกแห่งความย้อนแย้ง และโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามโลกศตวรรษที่ 21 นั้น คือ 1.วัฒนธรรมในการเรียนรู้ ที่ต้องมีการเรียนรู้มากขึ้น เรียนรู้ตลอดชีวิต และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อรองรับวัฒนธรรมแห่งการเปลี่ยนแปลง 2.วัฒนธรรมการดำรงอยู่ของมนุษย์ การรู้จักแชร์ความรู้จากการสะสมองค์ความรู้และประสบการณ์ถือเป็นพลังมหาศาลที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทย ทำให้เกิดการพัฒนาขึ้น เป็นการรื้อฟื้นสังคมไทยในอดีตที่มีการเกื้อกูลและแบ่งปันกันกลับมา และ3.วัฒนธรรมการทำงาน การเรียนรู้ที่ขาดคนสอน และขาดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมากกว่าเรียนรู้กับคน นอกจากนี้ประเทศไทยยังเผชิญกับดักเชิงซ้อนของมนุษย์ คือ ปัญหาเชิงพื้นฐานที่มีผู้สูงวัยเยอะ แต่โครงสร้างของสังคมและคุณภาพคนอ่อนด้อย ปัญหาสำคัญ คือ คุณภาพคนมีโอกาสแย่ลงและมีผู้สูงวัยมากขึ้น (ปัญหาเชิงซ้อน) จึงต้องปรับทัศนคติคนกับผู้สูงวัยใหม่
ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ในอนาคตไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) ด้วยโครงสร้างประชากรของไทยในปีพ.ศ.2560 มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 17%, ปีพ.ศ.2564 มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 20%, ปีพ.ศ.2569 มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 24% และปีพ.ศ.2579 มีผู้สูงอายุเพิ่มถึง 30% ซึ่งประเด็นโครงสร้างจะเปลี่ยนแปลงได้ยาก ทุกคนจึงต้องตระหนักถึงและช่วยกันเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ มีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ยังอยากทำงาน กำลังคนของประเทศไทยมีทั้งหมด 65.729 ล้านคน โดย 40.3% ของผู้สูงอายุทั้งหมด หรือ 7% ของคนไทยรวมทั้งประเทศ หรือ ผู้สูงอายุ 4.7 ล้านคน ยังคงทำงานอยู่ในปัจจุบัน ส่วน 59.7% ของผู้สูงอายุทั้งหมด หรือ 10% ของคนไทยทั้งประเทศ หรือ ผู้สูงอายุ 6.97 ล้านคน เกษียณอายุ สูงวัยมากไม่สามารถทำงานได้ สูงวัยและพิการ สมัครใจไม่ทำงาน และบางส่วนอยากทำงานแต่หางานทำไม่ได้ จุดนี้จึงควรเสริมทางเลือกให้กับผู้สูงวัย ด้วยการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงวัย, ส่งเสริมทักษะ เช่น เรื่องดิจิตอล อิเล็กทรอนิค และขยายอายุเกษียณ เพื่อแก้ปัญหาแรงงานหดตัว
อีกทั้ง ทำอย่างไรให้ผู้สูงวัยมีชีวิตชีวาเป็นทรัพย์สินของสังคม อย่างไรก็ตามมีผู้สูงวัยบางกลุ่มไม่ได้ต้องการเงิน แต่อยากทำงานเพื่อสังคม ตรงนี้ต้องเตรียมพร้อมและช่วยเหลือผู้สูงวัยเหล่านี้ให้มีส่วนร่วมกับสังคม และมีผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน อายุ 40-50 ปี หรือ ผู้ที่จะเข้าสู่อายุสูงวัย (Young Old) ทำอย่างไรให้กลุ่มดังกล่าวเป็น Pro Active พร้อมที่จะเป็นผู้สูงวัยอย่างมีประสิทธิภาพ มีความสามารถ และมีส่วนร่วมกับสังคม
ปัจจุบันประชากรไทยเกิดน้อย อายุยืนมากขึ้น คนทำงานน้อย และยังไม่รวย จึงต้องมองอนาคตประเทศไทยกับผู้สูงวัยถึงความท้าทายและโอกาส ประเทศไทยเผชิญความท้าทายสำคัญ คือ การขาดแคลนแรงงานคุณภาพ, ปัญหาแรงงานที่ดึงตัว เนื่องจากในอีก 20 ปีข้างหน้า คนวัยทำงานอาจลดลง 5.7 ล้านคน, ประเทศไทยจะต้องเพิ่มผลิตภาพแรงงานมหาศาล เพื่อชดเชยกำลังแรงงานจำนวนมากที่หายไป ยกระดับสู่ประเทศรายได้สูง, การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (STI) และบุคลากรทักษะสูง (Talents) และการสร้างความมั่นคงในชีวิตผู้สูงอายุ ไม่ให้ยากจน หรือ เกษียณไม่พอกิน ส่วนโอกาสจากสังคมสูงวัย คือ ตลาดผู้สูงอายุ (Silver Market) เติบโตมากขึ้นทั้งในไทยและทั่วโลก และมี demand สูงในสินค้าบริการต่างๆ อาทิ บริการเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี สินค้าและบริการเพื่อผู้สูงอายุ ระบบอัตโนมัติ สุขภาพและความปลอดภัย ที่อยู่อาศัย และการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นต้น เมื่อทุกคนระดมสมองและช่วยกัน สังคมผู้สูงอายุจะมีพลัง และจะเป็นสังคมที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง เกิดความมั่นคงของผู้สูงอายุ
ดังนั้น ทิศทางอนาคต 20 ปีที่พึงประสงค์ ช่วงก่อนสูงวัย (Pre Aging) คือการเตรียมตนเองสู่สังคมสูงวัยที่มีคุณภาพและเป็นผู้สูงอายุอย่างตื่นรู้ (Active Aging) โดยเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงที่ Smart Home เป็น Smart City และเป็นผู้สูงอายุอย่างมีส่วนร่วม (Engaged Aging) เปลี่ยนจากผู้สูงอายุอย่างเฉื่อยชา (Passive Aging) พร้อมที่จะสร้างความสมดุลให้แก่ผู้สูงอายุ ภายใต้ปรัญชาเศรษฐกิจพอเพียง
ทั้งนี้ เรื่องของนโยบายยังคงเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดและระดมสมองช่วยกัน Thailand 4.0 ไม่ใช่เรื่องเฉพาะของคนรุ่นใหม่ แต่ยังต้องรวมถึงผู้สูงอายุ จะต้องมี Aging 4.0 การสูงอายุไปอย่างมีประสิทธิภาพ ชราอย่างมั่นคงและยั่งยืน วุฒิอาสาและธนาคารสมองเป็นกำลังสำคัญของการขับเคลื่อน Thailand 4.0 และเป็นตัวอย่างของ Active Aging ที่แม้มีอายุเกิน 60 ปีแล้ว แต่ยังอยู่ในกำลังแรงงาน เน้นการทำงานที่ยืดหยุ่น สร้างประโยชน์แก่สังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการนำประสบการณ์ที่มีมาช่วยพัฒนาคนไทยและประเทศของเรา
นายธรรมรักษ์ การพิศิษฏ์ กรรมการมูลนิธิพัฒนาไท กล่าวถึงบทบาทวุฒิอาสาธนาคารสมองกับไทยแลนด์ 4.0 ว่า กระบวนการคิดที่สำคัญในการหาทางออก คือ การมองสถานการณ์ของสังคมในภาพรวมด้วยการเปลี่ยนแปลงของโลกและของสังคม ซึ่งต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงด้วยความเข้าใจ ยอมรับ และจัดการให้ถูกต้อง โดยปัจจุบันมีปัญหาสำคัญในเรื่อง 1.หารายได้เข้าประเทศไม่ได้ เนื่องจากแรงงานหมดศักยภาพ สินค้ามีราคาสูง และผู้สูงวัยถือเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจึงจำเป็นต้องอาศัยคนเหล่านี้หารายได้เข้าประเทศ และ2.ความไม่เท่าเทียมที่มาจากช่องว่างของรายได้ คนรวยกระจุกตัวรวมกัน ส่วนคนจนนั้นกระจายตัวจึงจำเป็นต้องสร้างการเรียนรู้ และเสริมทักษะให้แก่คนจน เพื่อสามารถสร้างอาชีพที่จะก่อให้เกิดการกระจายรายได้ และช่วยเหลือตนเองได้ โดยเป็นการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ เพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ยั่งยืนในอนาคต
สภาพัฒน์ แจงพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติเปิดให้ปชช.มีส่วนร่วมตรวจสอบการดำเนินนโยบายสาธารณะ เพิ่มประสิทธิภาพการประเมินผล
นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เปิดเผยถึงการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะเป็นเครื่องมือให้การพัฒนาประเทศมีความต่อเนื่อง สามารถเตรียมการล่วงหน้าไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต เพราะการคาดการณ์ภาวะล่วงหน้านั้นเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งเป็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสำคัญในด้านต่าง ๆ ที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นด้วยแนวโน้มต่าง ๆ กัน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ที่มีการดำเนินการกันอยู่โดยทั่วไป ทั้งในภาคธุรกิจและการกำหนดนโยบายของภาครัฐทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว อาทิ การวิเคราะห์ถึงแนวโน้มอนาคตการพัฒนาเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแข่งขันในตลาด การรวมตัวและการตกลงทางการค้า และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เป็นต้น การวิเคราะห์จะแสดงให้เห็นว่าอนาคตมีทั้งสิ่งที่มีความไม่แน่นอนและสิ่งที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นสูง เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์ในการก้าวเดินไปข้างหน้าที่เหมาะสม
การมียุทธศาสตร์ชาติและกำหนดวิสัยทัศน์ประเทศไทยในระยะยาวจะเป็นเครื่องมือให้การพัฒนามีความต่อเนื่อง สามารถเตรียมการล่วงหน้าไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต คนในชาติมองเห็นเป้าหมายในอนาคตร่วมกัน และช่วยเป็นกรอบในการจัดทำแผนต่าง ๆ ให้เกิดการปฏิบัติที่สอดคล้องและบูรณาการกัน ส่งผลให้การบริหารราชการแผ่นดินและการใช้งบประมาณแผ่นดินมีประสิทธิภาพ ขณะนี้มีหลายประเทศที่มีการกำหนดเป้าหมายและแผนระยะยาวของประเทศหรืออยู่ระหว่างการจัดทำให้มีขึ้น ขณะที่การแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติคำนึงถึงความหลากหลายของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและความหลากหลายของช่วงอายุ
เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า ในมาตรา 12 วงเล็บ 5 พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดให้ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นกรรมการ
ส่วนการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 17 คน มาตรา 12 วงเล็บ 6 ของ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ให้คำนึงถึงความหลากหลายของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและความหลากหลายของช่วงอายุด้วย ทั้งนี้องค์ประกอบของกรรมการที่มีผู้แทนจากหลายภาคส่วนทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน มีอยู่ในกลไกคณะกรรมการต่างๆ ของภาครัฐอยู่เป็นปกติอยู่แล้วไม่ต่างกับกรรมการระดับชาติอื่นๆ
นอกจากนั้น มาตรา 8 ในกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติก็เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ เพื่อให้ได้รับข้อมูลความเห็นและความต้องการจากทุกภาคส่วนประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติมีความยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์
อีกทั้ง ตามมาตรา 11 ของ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดให้คณะกรรมการจัดให้มีการทบทวนยุทธศาสตร์ชาติทุก 5 ปี หรือในกรณีที่สถานการณ์ของโลกหรือสถานการณ์ของประเทศเปลี่ยนแปลงไปจนไม่สามารถหรือไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการตามเป้าหมายหรือยุทธศาสตร์ด้านหนึ่งด้านใดได้ หากคณะกรรมการเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ให้คณะกรรมการขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนดำเนินการ ซึ่ง พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดเป็นขั้นเป็นตอนของการติดตาม ตรวจสอบ และการประเมินผล
เลขาธิการฯ กล่าวว่า ตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดว่ายุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่างๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกัน อันจะก่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งจะต้องไม่น้อยกว่า 20 ปี บนหลักการและแนวคิดที่สำคัญคือ
1.การดำเนินงานตามแผนพัฒนา/แผนปฏิบัติงาน หรือแผนงานใด ๆ ก็ตามต้องมีการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ และเพื่อที่จะนำผลการติดตามและประเมินมาปรับแผนหรือปรับแนวทางการดำเนินงานให้ตรงและสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องบรรลุได้อย่างแท้จริงไม่บิดเบือน ดังนั้น ภายใต้หลักการและแนวคิดข้อนี้ก็ถือว่าเป็นการกำหนดตามหลักการและแนวทางการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของภาครัฐที่ต้องดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน
2.การกำหนดให้การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลอย่างเป็นขั้นตอน โดยที่ในแต่ละขั้นตอนได้กำหนดเป็นระยะเวลาให้ได้ดำเนินการและรายงานอย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถมีข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ไขปรับปรุงที่จะสนับสนุนให้สามารถดำเนินงานให้สอดคล้องและเกิดความก้าวหน้าได้
และ 3.ในกรณีที่การดำเนินงานไม่สอดคล้องกับกรอบกว้าง ๆ ของยุทธศาสตร์ชาติหรือหลีกเลี่ยงที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบที่กำหนด พ.ร.บ.ได้กำหนดมาตราต่าง ๆ ไว้รองรับให้เกิดขั้นตอนของการพิจารณาอย่างระมัดระวัง/รอบคอบ และเปิดช่องทางให้สามารถชี้แจงและปรับปรุงแก้ไขได้
อย่างไรก็ดี การติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลในปัจจุบันนับว่ายังขาดประสิทธิภาพและไม่สามารถทำให้เกิดความรับผิดรับชอบที่เหมาะสมได้ โดยเฉพาะในการดำเนินเรื่องสำคัญๆ ที่จะผลักดันให้ประเทศไปสู่เป้าหมายที่ควรจะเป็น กระบวนที่กำหนดตาม พ.ร.บ.นี้จึงเป็นแนวทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของการติดตามผลการดำเนินงานและสนับสนุนให้การดำเนินงานสามารถเกิดประสิทธิผลได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ได้กำหนดเป็นขั้นเป็นตอนของการติดตาม ตรวจสอบ และการประเมินผล ซึ่งมีการหารือ ทักท้วง ตักเตือน และให้เวลาปรับปรุงแก้ไข ซึ่งคณะกรรมการไม่ได้มีอำนาจมากในการกล่าวโทษแต่อย่างใด โดยมาตรา 24 ให้หน่วยงานจัดทำรายงานผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติภายในเวลาที่กำหนดเพื่อเสนอต่อรัฐสภาทราบ ในมาตรา 26 หากหน่วยงานของรัฐดำเนินการใดที่ไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทให้คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติแจ้งให้หน่วยงานนั้นทราบถึงความไม่สอดคล้องและข้อเสนอแนะให้แก้ไขปรับปรุง และเมื่อหน่วยงานดำเนินการแก้ไขปรับปรุงแล้วให้แจ้งคณะกรรมการทราบภายใน 60 วัน
ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงหรือไม่แจ้งการดำเนินการให้คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติทราบภายในกำหนดเวลาไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติรายงานให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติทราบเพื่อพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและสั่งการต่อไป และถ้าคณะรัฐมนตรีแจ้งแล้วหน่วยงานยังไม่ดำเนินการโดยไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งถือว่าจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติจึงจะแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบเพื่อพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป มาตรา 27 กำหนดให้สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเผยแพร่รายงานที่ได้รับจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งข้อกำหนดนับว่าเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนเข้ามารับรู้ร่วมกัน และในฐานะที่ประชาชนเป็นผู้รับบริการจากนโยบายสาธารณะด้วยจึงเป็นผู้ตรวจสอบที่สำคัญ
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด