รองนายกฯ สมคิด ประชุมหารือ สศช. แนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 63 แนะจัดลำดับโครงการสำคัญ
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมาตรวจเยี่ยมและประชุมหารือแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สศช. ให้การต้อนรับและร่วมประชุมหารือ ณ ห้องประชุม 521 สศช.
รองนายกฯ กล่าวว่า เหตุที่เลือกมาตรวจเยี่ยมช่วงใกล้สิ้นปี เพื่อขอบคุณสภาพัฒน์ ด้วยรู้ว่า ทุกคนทำงานหนัก ย้ำว่าหน้าที่ของสภาพัฒน์คือการวางพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ประเทศ ว่าบ้านเมืองควรไปทางไหน และจะไปด้วยวิธีหรือกลไกใด ปัจจุบันมีทั้งแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 แต่จะทำอย่างไรให้สิ่งที่คิดและเขียนเกิดขึ้นได้จริง โดยหลังผ่านพ้นช่วงปีใหม่ ขอให้สภาพัฒน์ร่วมกันคิดว่าในปีหน้ามีโครงการใดบ้างที่ต้องเร่งผลักดันเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและลดความเหลื่อมล้ำ ประสานหน่วยงานต่างๆ ให้ผลักดันโครงการและขับเคลื่อนงานไปตามแผนที่วางไว้
รองนายกฯ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นสำคัญที่ขอหารือ ได้แก่ (1) โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งขอให้ สศช. พิจารณาว่าจะมีโครงการใดบ้างที่สามารถเชื่อมโยงอีอีซีไปกับการพัฒนาด้านสังคมอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การพัฒนาการเกษตร การท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อม เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับอานิสงส์ ดังนั้น ต้องมีผู้ที่ดูแลเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ (2) การลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ชนบทเข้มแข็ง ทันสมัย สภาพัฒน์ต้องคิดล่วงหน้า มีทีมงานร่วมวางแผนเพื่อให้การเสนอโครงการเป็นไปอย่างสอดคล้อง ไม่เช่นนั้นต่างกระทรวงจะต่างคิดต่างทำ (3) การพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
โดยมีขั้นตอนคือทำให้พวกเขาหลุดจากภาระหนี้สิน อยู่ได้อย่างเข้มแข็ง และใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ (4) การพัฒนาคน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการต้องเดินตามแนวทางของสภาพัฒน์ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องอื่นๆที่ต้องให้ความสำคัญ เช่น การท่องเที่ยว การช่วยเหลือคนตัวเล็กในภาคเศรษฐกิจต่างๆ และการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต
ด้าน เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า เป้าหมายในการบริหารการพัฒนาในปี 2563 จะเน้นการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ รวมถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ จากการพึ่งพิงการส่งออกมาเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจภายในประเทศ โดยในช่วงปี 2563-2565 นั้น จะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่เกิดขึ้นมูลค่ากว่าหนึ่งล้านล้านบาท ซึ่งสภาพัฒน์จะพยายามผลักดันให้กระทรวงต่างๆเดินตามแผนงานที่วางไว้ ส่วนข้อเสนอการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ของประเทศเพื่อกระจายความมั่งคั่งสู่ทุกภูมิภาคนั้น จะทำให้ประเทศไทยเติบโตด้วยเครื่องยนต์กลไกหลายตัว นอกจากอีอีซีแล้ว ในอนาคตจะมีพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน(SEC) เขตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ล้านนา (LCC) เขตพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ (BEC) และเมืองนวัตกรรมเกษตรมูลค่าสูง (Agl) โดยกลไกการขับเคลื่อนพื้นที่เศรษฐกิจใหม่นั้นในระยะแรกคือคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ สำนักงานขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ภายใต้ สศช.
นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล จากปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในลำดับ 4 ของภูมิภาค รองจากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยประเทศเหล่านี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนสูงกว่าไทยมาก ส่วนแนวทางการลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำนั้น สศช. ใช้แนวทาง Personalized approach มากขึ้น โดยอาศัยการระบุเป้าหมายครัวเรือนยากจนด้วยระบบ TPMAP เพื่อระบุความยากจนเป็นรายพื้นที่และสามารถระบุสถานะความยากจนรายครัวเรือนทำให้รู้ว่าความยากจนอยู่ตรงไหนและยากจนเพราะอะไร ซึ่งจะช่วยให้แก้ไขปัญหาความยากจนได้ตรงจุดและตรงตามสภาพปัญหา
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
สภาพัฒน์ แจงที่มาของรายงานความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ 2019
สภาพัฒน์ ชี้รายงานความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจของสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) เป็นผลการสำรวจความคิดเห็นจากผู้บริหารภาคธุรกิจ ด้านความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจใน 10 ปีข้างหน้า เพื่อหารือในเวที ดาวอส ซึ่งภาครัฐได้มีมาตรการดำเนินการรองรับมาอย่างต่อเนื่อง
นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานฯ ชี้แจงว่า สภาเศรษฐกิจโลก หรือ WEF มีการจัดทำรายงาน Regional risks for doing business report โดยร่วมกับธุรกิจด้านประกันภัยและบริหารความเสี่ยง Marsh & McLennan Companies and Zurich Insurance Group เป็นครั้งแรกในปี 2018 ซึ่งรายงานในปี 2019 นี้ เป็นการจัดทำครั้งที่ 2 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการหารือของผู้บริหารจากทั่วโลกที่จะเข้าร่วมการประชุมประจำปีของสภาเศรษฐกิจโลกที่เมือง ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในเดือน ม.ค. 2563
รายงานนี้ใช้วิธีการสำรวจความคิดเห็นจากผู้บริหารภาคธุรกิจ ในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2562 โดยใช้คำถามว่า ‘From the following list, check the five global risks that you believe to be of most concern for doing business in your country within the next 10 years’ สำหรับ แบบสอบถามภาษาไทยที่ดำเนินการในประเทศไทยโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (WEF Partner Institute) ใช้ข้อความว่า ‘จากรายการด้านล่างนี้ โปรดเลือกความเสี่ยงระดับโลกมา 5 รายการ ที่คุณเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดในการทำธุรกิจในประเทศของคุณใน 10 ปีข้างหน้า’ โดยให้เลือกจากรายการความเสี่ยง 30 ประการ
ทั่วโลกมีผู้ตอบแบบสอบถาม 12,000 กว่าคน ขณะที่ ในประเทศไทยมีผู้ตอบแบบสอบถามรวม 102 คน ซึ่งอาจไม่สะท้อนความจริงในภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบัน โดยความเสี่ยงที่นักธุรกิจไทยแสดงความกังวลมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) Asset bubble 2) Failure of national governance 3) Cyberattacks 4) Manmade environmental catastrophes และ 5) Profound social instability
นายดนุชา ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในห้วงเวลาของการสำรวจแบบสอบถามเป็นห้วงเวลาที่ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเตรียมการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลต่อการตอบแบบสอบถามโดยเฉพาะในเรื่องของความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ โดยความเสี่ยงในประเด็น Asset bubble นั้น ในห้วงเวลาดังกล่าว อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงและราคาของอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ภาคธุรกิจมีความกังวล ซึ่งในเรื่องนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงที่เข้มงวดรองรับอยู่แล้ว
ในประเด็น Failure of national governance เป็นตัวชี้วัดที่มีนิยามกว้าง และในบริบทของรายงานนี้ หมายถึงระบบธรรมาภิบาล การทุจริตคอร์รัปชั่น การบริหารจัดการเชิงสถาบันมากกว่าการเจาะจงไปที่การบริหารงานของรัฐบาลในภาพรวม ในขณะที่ประเทศมาเลเซียเองมีข้อกังวลในด้านนี้เช่นกัน โดยอยู่ที่อันดับที่ 4 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้วและมีการเร่งขับเคลื่อนนโยบายอย่างเต็มที่ ซึ่งไม่มีอะไรน่ากังวล และรัฐบาลมีความพยายามในการปฏิรูปและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐมาอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลากว่าจะเห็นผล โดยมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น สำหรับประเด็น Cyberattacks ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แล้ว ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้กับภาครัฐและเอกชนมากขึ้น
ในส่วนประเด็น Manmade environmental catastrophes เนื่องจากประชาชนรับทราบและมีความตระหนักและรับรู้ในเรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งมีความรุนแรงในช่วงต้นปีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีมาตรการรองรับแล้ว เช่น เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคุณภาพรถขนส่ง ส่วนปัญหาขยะพลาสติก สังคมได้มีการตื่นตัวในการลดการใช้พลาสติกมากขึ้น
นอกจากนี้ ประเด็น Profound social instability การรับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อาจทำให้ประชาชนมีการตีความไปในหลายด้าน มีความหลากหลายทางความคิด เกิดการถกเถียงในสังคมเป็นวงกว้าง ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสื่อสารสร้างความเข้าใจให้กับภาคประชาชน รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับรายได้เกษตรกรด้วยการประกันราคาสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์ม เป็นต้น และมีมาตรการบัตรสวัสดิการประชารัฐเพื่อช่วยเหลือในด้านค่าครองชีพ
นายดนุชา กล่าวโดยสรุปว่า ความเสี่ยงทั้ง 30 รายการเป็นความท้าทายที่ทุกประเทศและนักธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญอยู่แล้ว แต่มีมิติความรุนแรงแตกต่างกันไปตามบริบทของการพัฒนาของแต่ละประเทศ รายงานดังกล่าวนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะใช้เปิดประเด็นการหารือของผู้เข้าร่วมการประชุมที่เมือง ดาวอส ซึ่งมาจากหลายประเทศทั่วโลก เพื่อทำความเข้าใจและหาทางออกร่วมกันในการลดความเสี่ยงและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ในส่วนของประเทศไทย มีผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง และภาครัฐเองได้ตระหนักถึงความสำคัญ พร้อมทั้งมีการรับมือในเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ สภาพัฒน์เป็นหน่วยงานหลักในการติดตามความเคลื่อนไหวของการจัดอันดับโดยองค์กรระหว่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ และมีความระมัดระวังในการนำข้อมูลมาเผยแพร่ โดยคำนึงถึงความน่าเชื่อถือ หลักการที่มีมาตรฐาน แนวทางในการปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 4/61 โต 3.7% ส่วนทั้งปี 61 โต 4.1% ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อยที่ 4.2% ส่วนปี 2562 นี้ คาดโต 4% หรือในกรอบ 3.5-4.5% เป้าส่งออก 4.1% จาก 4.6% จากสงครามการค้า - เลือกตั้ง
ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ไตรมาสที่ 4/2561
เรื่อง เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2561 ทั้งปี 2561 และแนวโน้มปี 2562
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ ขอแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(GDP) ในไตรมาสที่สี่ของปี 2561 ทั้งปี2561 และแนวโน้มปี2561 - 2562 โดยมีรำยละเอียด ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2561
เศรษฐกิจไทยในไตรมำสที่สี่ของปี 2561 ขยำยตัวร้อยละ 3.7 เร่งขึ้นจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 3.2
ในไตรมำสก่อนหน้ำ และเมื่อปรับผลของฤดูกำลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมำสที่สี่ของปี 2561 ขยำยตัว
จำกไตรมำสที่สำมของปี 2561 ร้อยละ 0.8 (QoQ_SA)รวมทั้งปี 2561 เศรษฐกิจไทยขยำยตัวร้อยละ 4.1
เร่งขึ้นจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 4.0 ในปี 2560 และเป็นกำรขยำยตัวสูงสุดในรอบ 6 ปี
ด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจำกกำรขยำยตัวเร่งขึ้นของกำรบริโภคภำคเอกชน กำรลงทุนภำคเอกชน
และกำรปรับตัวดีขึ้นของกำรส่งออกสินค้ำและบริกำร ในขณะที่กำรใช้จ่ำยของรัฐบำลชะลอตัว และกำรลงทุนภำครัฐ
ปรับตัวลดลง การบริโภคภาคเอกชนขยำยตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 5.3 ต่อเนื่องจำกร้อยละ 5.2 ในไตรมำสก่อนหน้ำ
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจำกกำรปรับตัวดีขึ้นของฐำนรำยได้และกำรจ้ำงงำนในระบบเศรษฐกิจ อัตรำดอกเบี้ยและ
อัตรำเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ ำ กำรด ำเนินมำตรกำรดูแลผู้มีรำยได้น้อยของภำครัฐ และกำรสิ้นสุดลงของข้อจ ำกัด
จำกมำตรกำรรถยนต์คันแรก โดยกำรใช้จ่ำยซื้อสินค้ำคงทนขยำยตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับยอดขำยรถยนต์นั่ง
ส่วนบุคคลที่ขยำยตัวร้อยละ 9.8 ในขณะที่กำรใช้จ่ำยซื้อสินค้ำกึ่งคงทน และสินค้ำไม่คงทน ขยำยตัวเร่งขึ้น
สอดคล้องกับกำรขยำยตัวของดัชนีปริมำณค้ำปลีกสินค้ำกึ่งคงทน ดัชนีปริมำณกำรน ำเข้ำสินค้ำหมวดสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม
และดัชนีปริมำณกำรจ ำหน่ำยน้ ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และน้ ำมันดีเซล ที่ขยำยตัวร้อยละ 6.8 ร้อยละ 23.2 และ
ร้อยละ 5.8 ตำมล ำดับ ควำมเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภำวะเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 67.4การใช้จ่ายเพื่อ
การอุปโภคของรัฐบาลขยำยตัวร้อยละ 1.4 อัตรำกำรเบิกจ่ำยงบประมำณรำยจ่ำยรวมในไตรมำสนี้อยู่ที่ร้อยละ 29.8
การลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ4.2 เร่งขึ้นจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 3.9ในไตรมำสก่อนหน้ำ โดยการลงทุนภาคเอกชน
ขยำยตัวร้อยละ 5.5 เร่งขึ้นจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 3.8 ในไตรมำสก่อนหน้ำ และเป็นกำรขยำยตัวเร่งขึ้นต่อเนื่อง
เป็นไตรมำสที่ 3 เป็นผลจำกกำรลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยำยตัวร้อยละ 5.6 และกำรลงทุนในสิ่งก่อสร้ำง
ที่ขยำยตัวร้อยละ5.1ส่วนการลงทุนภาครัฐลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.1ตำมกำรลดลงของกำรลงทุนของรัฐบำลขณะที่
กำรลงทุนของรัฐวิสำหกิจขยำยตัวร้อยละ 4.6
ในด้ำนภำคต่ำงประเทศ การส่งออกสินค้ามีมูลค่ำ 62,538 ล้ำนดอลลำร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3
ชะลอลงจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 2.6 ในไตรมำสก่อนหน้ำ โดยปริมำณกำรส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ปรับตัวดีขึ้น
อย่ำงช้ำ ๆ จำกกำรลดลงร้อยละ 0.4 ในไตรมำสก่อนหน้ำ ในขณะที่รำคำส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 กลุ่มสินค้า
ส่งออกที่มูลค่าขยายตัว เช่น น้ ำตำล (ร้อยละ 19.0) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ร้อยละ 20.1) ปิโตรเคมี (ร้อยละ 8.4)
ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยำนยนต์(ร้อยละ 5.6) และเครื่องจักรและอุปกรณ์(ร้อยละ 3.2) เป็นต้น กลุ่มสินค้าส่งออก
ที่มูลค่าลดลง เช่น ข้ำว (ร้อยละ -5.0) มันส ำปะหลัง (ร้อยละ -7.5) ยำงพำรำ (ร้อยละ -25.5) รถยนต์นั่ง (ร้อยละ
-16.8) รถกระบะและรถบรรทุก (ร้อยละ -1.2) และชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ -12.7) อุปกรณ์สื่อสำร
โทรคมนำคม (ร้อยละ -4.7) และกุ้ง ปู กั้งและล็อบสเตอร์ (ร้อยละ -6.3) เป็นต้น กำรส่งออกไปยังตลำดสหรัฐอเมริกำ
ญี่ปุ่น และอำเซียน (9) ขยำยตัว ขณะที่ตลำดจีน สหภำพยุโรป (15) ออสเตรเลีย และตะวันออกกลำง (15) ปรับตัว
ลดลง เมื่อหักกำรส่งออกทองค ำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่ำกำรส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เมื่อคิดในรูปของ
เงินบำท มูลค่ำกำรส่งออกสินค้ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9ส่วนการน าเข้าสินค้ามีมูลค่ำ58,134ล้ำนดอลลำร์ สรอ. ขยำยตัว
ร้อยละ 7.5ต่อเนื่องจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 17.0ในไตรมำสก่อนหน้ำสอดคล้องกับกำรขยำยตัวของกำรส่งออก และ
อุปสงค์ภำยในประเทศเป็นผลจำกกำรเพิ่มขึ้นของรำคำน ำเข้ำร้อยละ 2.7และปริมำณกำรน ำเข้ำร้อยละ 4.6
การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกและเศรษฐกิจของประเทศส าคัญ
ประเทศ
การส่งออก (%YoY) GDP (%YoY)
2560 2561 2560 2561
ทั้งปี ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 ทั้งปี ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4
สหรัฐฯ 6.6 8.5* 8.0 11.3 8.1 5.7** 2.2 - 2.6 2.9 3.0 -
ยูโรโซน 9.4 8.3 17.7 12.9 3.6 0.5 2.5 1.8 2.4 2.2 1.6 1.2
ญี่ปุ่น 8.3 5.7 10.1 9.4 2.4 1.5 1.9 0. 7 1.3 1.5 0.1 0.0
จีน 6.7 9.7 13.0 10.9 11.6 4.4 6.8 6.6 6.8 6.7 6.5 6.4
ฮ่องกง 7.6 6.8 8.8 8.1 8.7 2.1 3.8 - 4.6 3.5 2.9 -
อินเดีย 13.1 8.8 5.5 14.5 10.0 5.7 6.2 - 7.7 8. 2 7.1 -
อินโดนีเซีย 16.3 6.7 8.7 11.3 8.5 -0.7 5.1 5.2 5.1 5.3 5.2 5.2
เกำหลีใต้ 15.8 5.4 9.8 3.1 1.7 7.7 3.1 2.7 2.8 2.8 2.0 3.1
มำเลเซีย 14.7 13.6 19.6 18.8 9.5 7.8 5.9 4.7 5.4 4.5 4.4 4.7
ฟิลิปปินส์ 19.7 -1.8 -5.5 -1.3 1.5 -2.1 6.7 6.2 6.6 6.2 6.0 6.1
สิงคโปร์ 10.4 10.3 9.7 14.1 12.1 5.5 3.9 3.2 4.7 4.2 2.4 1.9
ไต้หวัน 13.2 5.9 10.6 11.2 3.0 0.1 3.1 2.6 3.2 3.3 2.4 1.8
ไทย 9.8 7.7 12.6 14.4 2.6 2.3 4.0 4.1 5.0 4.7 3.2 3.7
เวียดนำม 21.8 13.0 24.5 9.5 14.3 6.4 6.8 7.1 7.5 6.7 6.8 7.3
หมำยเหตุ: * ข้อมูล 11 เดือนแรกของปี 2561
** ข้อมูล 2 เดือนแรกของไตรมำสที่สี่ของปี 2561
ที่มำ: CEIC รวบรวมโดยส ำนักงำนสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ
ด้านการผลิต กำรผลิตสาขาอุตสำหกรรม สำขำกำรขำยส่ง การขำยปลีก และกำรซ่อมแซม สาขาโรงแรม
และภัตตำคำร และสำขำกำรขนส่งและกำรคมนำคมขยำยตัวเร่งขึ้น ส่วนกำรผลิตภำคเกษตรและสำขำก่อสร้ำง
ชะลอตัว โดยภาคเกษตรขยำยตัวร้อยละ 1.4 ชะลอตัวลงจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 2.7 ในไตรมำสก่อนหน้ำ
ตำมกำรลดลงของผลผลิตสินค้ำส ำคัญ เนื่องจำกข้ำวและอ้อยได้รับผลกระทบจำกสภำพอำกำศที่ไม่เอื้ออ ำนวย
ในบำงพื้นที่ ผลผลิตสินค้าเกษตรส าคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น ยำงพำรำ (ร้อยละ 2.9) กลุ่มไม้ผล (ร้อยละ 3.8)
มันสำปะหลัง (ร้อยละ 12.2) กุ้งขำวแวนนำไม (ร้อยละ 2.6) และข้ำวโพดเลี้ยงสัตว์ (ร้อยละ 2.5) อย่ำงไรก็ตำม
ผลผลิตไก่เนื้อ อ้อย และข้ำวเปลือกลดลง ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ 1.2 ตำมกำรลดลงของรำคำ
สินค้ำบำงรำยกำร โดยเฉพำะรำคำยำงพำรำ รำคำอ้อย รำคำกุ้งขำวแวนนำไม และรำคำปำล์มน้ำมัน อย่ำงไรก็ตำม
รำคำสินค้ำเกษตรสำคัญหลำยรำยกำรปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น รำคำข้ำวเปลือก (ร้อยละ 13.0) รำคำมันสำปะหลัง
(ร้อยละ 45.0)และรำคำสุกร (ร้อยละ 13.5) กำรชะลอตัวของดัชนีผลผลิตสินค้ำเกษตรและกำรลดลงของรำคำ
ดัชนีรำคำสินค้ำเกษตร ส่งผลให้รายได้เกษตรกรโดยรวมลดลงร้อยละ 1.2 สาขาอุตสาหกรรมขยำยตัวร้อยละ
3.3 เร่งขึ้น จำกกำรขยำยตัวร้อยละ 1.6 ในไตรมำสก่อนหน้ำ โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อ
บริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ขยำยตัวร้อยละ 2.7 ปรับตัวดีขึ้นจำกกำรลดลง
ร้อยละ 0.6 ในไตรมำสก่อนหน้ำ และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60
เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 ปรับตัวดีขึ้นจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 2.2 ในไตรมำสก่อนหน้ำ ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม
การผลิตเพื่อการส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60)ลดลงร้อยละ 4.8อัตราการใช้ก าลังการผลิตเฉลี่ย
อยู่ที่ร้อยละ 68.4 เพิ่มขึ้นจำกร้อยละ 66.4 ในไตรมำสก่อนหน้ำ และร้อยละ 67.4 ในไตรมำสเดียวกันของปีก่อน
ดัชนี ผลผลิตอุตสาหกรรมส าคัญๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น ยำนยนต์ (ร้อยละ 13.5) น้ ำตำล (ร้อยละ 54.4) กระเป๋ำเดินทำง
และกระเป๋ำถือ(ร้อยละ 131.4) ผลิตภัณฑ์จำกยำสูบ (ร้อยละ 41.0) และเครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้ในงำนทั่วไป (ร้อยละ
13.7) ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมส าคัญ ๆ ที่ลดลง เช่น ผลิตภัณฑ์ยำง (ร้อยละ -22.4) คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
ต่อพ่วง (ร้อยละ -11.5) มอเตอร์ไฟฟ้ำและเครื่องก ำเนิดไฟฟ้ำ (ร้อยละ -12.0) น้ ำมันและไขมันจำกพืชและสัตว์
(ร้อยละ -10.7) และเครื่องใช้ในครัวเรือน (ร้อยละ -7.3) สาขาโรงแรมและภัตตาคารขยำยตัวร้อยละ 5.3 เร่งขึ้น
จำกกำรขยำยตัวร้อยละ 4.1 ในไตรมำสก่อนหน้ำ ตำมจ ำนวนและรำยรับจำกนักท่องเที่ยวต่ำงประเทศที่เริ่มปรับตัว
เข้ำสู่ภำวะปกติโดยในไตรมำสนี้มีจ ำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 9.74ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 ปรับตัวดีขึ้น
จำกกำรขยำยตัวร้อยละ 1.9 ในไตรมำสก่อนหน้ำ
เมื่อรวมกับกำรขยำยตัวของนักท่องเที่ยวชำวไทยที่ขยำยตัวเร่งขึ้น
ตำมกำรปรับตัวดีขึ้นของภำวะเศรษฐกิจและมำตรกำรสนับสนุนจำกกำรส่งเสริมกำรท่องเที่ยวในเมืองรองของ
ภำครัฐ ส่งผลให้ในไตรมำสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 793.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 ปรับตัวดีขึ้น
จำกกำรขยำยตัวร้อยละ 2.7 ในไตรมำสก่อนหน้ำ ประกอบด้วย (1) รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 513.2
พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เร่งขึ้นจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 1.3 ในไตรมำสก่อนหน้ำ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจำก
รำยรับจำกนักท่องเที่ยวมำเลเซีย ฮ่องกง อินเดีย สหรัฐอเมริกำ และญี่ปุ่น เป็นส ำคัญ และ (2) รายรับจาก
นักท่องเที่ยวชาวไทย 280.2 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.3อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 71.12 เพิ่มขึ้น
จำกร้อยละ65.38ในไตรมำสก่อนหน้ำ และร้อยละ69.44ในไตรมำสเดียวกันของปีก่อน
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตรำกำรว่ำงงำนอยู่ในระดับต่ ำที่ร้อยละ 0.9 (ต่ ำสุดในรอบ
12 ไตรมำส) อัตรำเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.8 บัญชีเดินสะพัดเกินดุล 8.5 พันล้ำนดอลลำร์ สรอ. (280.1
พันล้ำนบำท) หรือคิดเป็นร้อยละ 6.6 ของ GDP เงินทุนส ำรองระหว่ำงประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวำคม 2561 อยู่ที่
205.6 พันล้ำนดอลลำร์ สรอ. และหนี้สำธำรณะ ณ สิ้นเดือนธันวำคม 2561 มีมูลค่ำทั้งสิ้น 6,833.6 พันล้ำนบำท
คิดเป็นร้อยละ 41.9 ของ GDP
เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี 2561
เศรษฐกิจไทยรวมทั้งปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 4.1 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 4.0 ในปี 2560
และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 ปี โดยในด้านการใช้จ่าย กำรบริโภคภำคเอกชน และกำรลงทุนภำคเอกชน
ขยำยตัวร้อยละ 4.6 (สูงสุดในรอบ 6 ปี) และร้อยละ 3.9 (สูงสุดในรอบ 6 ปี) เร่งขึ้นจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 3.0
และร้อยละ 2.9 ในปี 2560 ตำมล ำดับ ขณะที่มูลค่ำกำรส่งออกขยำยตัวร้อยละ 7.7 ต่อเนื่องจำกกำรขยำยตัว
ร้อยละ 9.8 ในปี 2560 ส่วนกำรลงทุนภำครัฐขยำยตัวร้อยละ 3.3 ปรับตัวดีขึ้นจำกกำรลดลงร้อยละ 1.2 ในปี 2560
ในด้านการผลิต กำรผลิตภำคเกษตรขยำยตัวร้อยละ 5.0 ปรับตัวดีขึ้นจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 3.7 ในปี 2560
กำรผลิตสำขำอุตสำหกรรม สำขำค้ำส่งและค้ำปลีก สำขำขนส่งและกำรคมนำคมขยำยตัวร้อยละ 3.0 ร้อยละ 7.3
และร้อยละ 6.3 ต่อเนื่องจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 2.9 ร้อยละ 7.0 และร้อยละ 7.3 ในปี 2560ตำมล ำดับ ในขณะที่
สำขำโรงแรมและภัตตำคำรขยำยตัวร้อยละ 7.9ต่อเนื่องจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 10.6ในปี2560 รวมทั้งปี 2561
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)อยู่ที่ 16,316.4 พันล้ำนบำท (505.2 พันล้ำนดอลลำร์ สรอ.) รายได้ต่อหัวเฉลี่ย
ของคนไทยอยู่ที่ 240,544.9 บำทต่อคนต่อปี (7,447.2ดอลลำร์ สรอ. ต่อหัวต่อปี) เพิ่มขึ้นจำก 228,398.4 บำทต่อคน
ต่อปี (6,729.8ดอลลำร์ สรอ. ต่อหัวต่อปี) ในปี 2560 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี อัตรำเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.1 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 7.4 ของ GDP
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2562
เศรษฐกิจไทยปี 2562 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.5 – 4.5 โดยมีแรงสนับสนุนจำก (1) กำรใช้จ่ำย
ภำคครัวเรือนยังมีแนวโน้มขยำยตัวในเกณฑ์ดีและสนับสนุนกำรขยำยตัวทำงเศรษฐกิจอย่ำงต่อเนื่อง ตำมกำรปรับตัว
ดีขึ้นและกระจำยตัวมำกขึ้นของฐำนรำยได้และกำรจ้ำงงำนในระบบเศรษฐกิจ (2) กำรปรับตัวดีขึ้นอย่ำงต่อเนื่อง
ของกำรลงทุนภำคเอกชน ตำมกำรเพิ่มขึ้นของอัตรำกำรใช้กำลังกำรผลิต กำรเพิ่มขึ้นของมูลค่ำกำรขอรับ
กำรส่งเสริมกำรลงทุน และควำมคืบหน้ำของโครงกำรลงทุนที่สำคัญ ๆ (3) กำรเร่งตัวขึ้นของกำรลงทุนภำครัฐ
ตำมกำรเพิ่มขึ้นของกรอบงบลงทุนภำยใต้งบประมำณรำยจ่ำยประจำปี และกำรเร่งตัวขึ้นของกำรเบิกจ่ำยจำก
โครงกำรลงทุนโครงสร้ำงพื้นฐำนของภำครัฐ (4) กำรเพิ่มขึ้นของแรงขับเคลื่อนจำกภำคกำรท่องเที่ยว ตำมกำรปรับตัว
เข้ำสู่ภำวะปกติของจำนวนและรำยได้จำกนักท่องเที่ยวจีนและยุโรป และ (5) กำรเปลี่ยนแปลงทิศทำงกำรค้ำกำรผลิต
และกำรลงทุนระหว่ำงประเทศ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจำกกำรชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ คำดว่ำมูลค่ำ
กำรส่งออกสินค้ำจะขยำยตัวร้อยละ 4.1 กำรบริโภคภำคเอกชน และกำรลงทุนรวมขยำยตัวร้อยละ 4.2 และร้อยละ 5.1
ตำมลำดับ อัตรำเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5 –1.5 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 6.2 ของ GDP
รำยละเอียดของกำรประมำณกำรเศรษฐกิจในปี2562 ในด้ำนต่ำง ๆ มีดังนี้
1. การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของเอกชน คำดว่ำ
จะขยำยตัวร้อยละ 4.2 เท่ำกับกำรประมำณกำรครั้งก่อน ชะลอตัวลงจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 4.6 ในปี 2561
ตำมฐำนกำรขยำยตัวที่สูงขึ้น โดยเฉพำะในหมวดสินค้ำคงทน แต่ยังเป็นกำรขยำยตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง
โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจำก (1) กำรปรับตัวดีขึ้นของฐำนรำยได้ในระบบเศรษฐกิจที่มีควำมชัดเจนมำกขึ้น
โดยเฉพำะฐำนรำยได้ในภำคกำรจ้ำงงำนสอดคล้องกับกำรปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่ำงต่อเนื่องของจำนวนผู้มีงำนท ำ
นับตั้งแต่ไตรมำสแรกของปี 2561 และเร่งตัวขึ้น รวมทั้งเป็นกำรขยำยตัวของจำนวนผู้มีงำนทำทั้งในภำคเกษตร
และนอกภำคเกษตรซึ่งครอบคลุมเกือบทุกสำขำกำรผลิต และส่งผลให้อัตรำกำรว่ำงงำนปรับตัวลดลงเป็นร้อยละ
0.9 ในไตรมำสสุดท้ำยของปี 2561 และเป็นอัตรำกำรว่ำงงำนต่ำสุดในรอบ 12 ไตรมำส เช่นเดียวกับฐำนรำยได้
ในภำคเศรษฐกิจส ำคัญ ๆ ซึ่งคำดว่ำฐำนรำยได้จำกภำคกำรท่องเที่ยวและบริกำรเกี่ยวเนื่องจะขยำยตัวเร่งขึ้น
ในขณะที่ฐำนรำยได้ในภำคอุตสำหกรรม กำรส่งออก และฐำนรำยได้ภำคเกษตรมีแนวโน้มขยำยตัวต่อเนื่อง
(2) อัตรำดอกเบี้ยและอัตรำเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ และ (3) กำรด ำเนินมำตรกำรดูแลผู้มีรำยได้น้อย
ของภำครัฐการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาลคำดว่ำจะขยำยตัวร้อยละ 2.2 เท่ำกับกำรประมำณกำรครั้งก่อน
และเร่งขึ้นจำกร้อยละ 1.8 ในปี 2561 สอดคล้องกับกำรเพิ่มขึ้นของกรอบงบประมำณและอัตรำกำรเบิกจ่ำย
ที่คำดว่ำจะปรับตัวดีขึ้น
2. การลงทุนรวม คำดว่ำจะขยำยตัวร้อยละ 5.1 เท่ำกับกำรประมำณกำรครั้งก่อน และเร่งขึ้นจำก
กำรขยำยตัวร้อยละ 3.8 ในปี 2561 โดยการลงทุนภาครัฐคำดว่ำจะขยำยตัวร้อยละ 6.2 เท่ำกับกำรประมำณกำร
ครั้งก่อน และเร่งขึ้นจำกร้อยละ 3.3 ในปี 2561 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจำกกำรเพิ่มขึ้นในเกณฑ์สูงของกรอบวงเงิน
งบลงทุนภำยใต้กรอบงบประมำณรำยจ่ำยประจ ำปีงบประมำณ 2562 ร้อยละ 19.9 เทียบกับกำรลดลงร้อยละ 0.4
ในปีงบประมำณ 2561 รวมทั้งควำมคืบหน้ำของโครงกำรลงทุนที่ส ำคัญ ๆ ของภำครัฐที่มีโครงกำรลงทุนเข้ำสู่
กระบวนกำรก่อสร้ำงเพิ่มขึ้นอย่ำงชัดเจน ซึ่งจะท ำให้กำรก่อสร้ำงและกำรเบิกจ่ำยของรัฐวิสำหกิจเร่งตัวขึ้นโดยเฉพำะ
โครงกำรที่มีกำหนดแล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริกำรในช่วงปี 2563 –2564 ส่วนการลงทุนภาคเอกชน คำดว่ำ
จะขยำยตัวร้อยละ 4.7 เท่ำกับกำรประมำณกำรครั้งก่อน และเร่งขึ้นจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 3.9 ในปี 2561
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจำก (1) กำรเพิ่มขึ้นของอัตรำกำรใช้ก ำลังกำรผลิตตำมกำรส่งออกที่ยังมีแนวโน้มขยำยตัว
ได้ต่อเนื่องแม้จะชะลอตัวลงจำกปีก่อนหน้ำ และกำรปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภำยในประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้น
ให้มีกำรลงทุนเพื่อขยำยก ำลังกำรผลิตมำกขึ้น โดยเฉพำะในกลุ่มอุตสำหกรรมที่มีกำรใช้อัตรำกำลังกำรผลิต
ในปัจจุบันสูงกว่ำร้อยละ 75.0 และกลุ่มอุตสำหกรรมที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์จำกกำรเปลี่ยนทิศทำงกำรค้ำ
ระหว่ำงประเทศ (2) ควำมคืบหน้ำของมำตรกำรและโครงกำรลงทุนขนำดใหญ่ของภำครัฐที่ร่วมลงทุนกับภำคเอกชน
(PPP) ซึ่งจะช่วยสร้ำงควำมเชื่อมั่นและสนับสนุนกำรลงทุนภำคเอกชน (3) กำรปรับตัวดีขึ้นของมูลค่ำกำรขอรับ
กำรส่งเสริมกำรลงทุนในปี 2561 ซึ่งมีมูลค่ำกำรขอรับกำรส่งเสริมกำรลงทุนรวม 901 พันล้ำนบำท เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 42.8 โดยเฉพำะมูลค่ำกำรขอรับกำรส่งเสริมกำรลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภำคตะวันออก
(Eastern Economic Corridor: EEC) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 137.4 ซึ่งคำดว่ำจะมีโครงกำรส่วนหนึ่งเริ่มลงทุนในปี 2562
และ (4) กำรย้ำยฐำนกำรผลิตและกำรลงทุนของบริษัทต่ำงชำติที่ได้รับผลกระทบจำกมำตรกำรกีดกันทำงกำรค้ำ
ที่คำดว่ำจะมีควำมชัดเจนมำกขึ้น โดยเฉพำะในกรณีที่มำตรกำรกีดกันทำงกำรค้ำระหว่ำงสหรัฐฯ กับจีน
มีควำมยืดเยื้อและทวีควำมตึงเครียดมำกขึ้น
3. มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คำดว่ำจะขยำยตัวร้อยละ 4.1 เทียบกับ
กำรขยำยตัวร้อยละ 7.7 ในปี 2561 และเป็นกำรปรับลดลงจำกกำรขยำยตัวร้อยละ 4.6 ในกำรประมำณกำร
ครั้งที่ผ่ำนมำ โดยมีสำเหตุจำกกำรปรับลดสมมติฐำนรำคำสินค้ำส่งออกจำกร้อยละ 1.0 - 2.0 ในกำรประมำณกำร
ครั้งก่อนเป็นร้อยละ 0.5 – 1.5 ตำมกำรปรับลดสมมติฐำนรำคำน้ ำมันดิบในตลำดโลก ในขณะที่ปริมำณ
กำรส่งออกสินค้ำคำดว่ำจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เท่ำกับกำรประมำณกำรครั้งก่อน และเมื่อรวมกับกำรส่งออก
บริกำรที่ยังมีแนวโน้มขยำยตัวในเกณฑ์ดีอย่ำงต่อเนื่องตำมรำยรับจำกนักท่องเที่ยวต่ำงประเทศ คำดว่ำจะส่งผลให้
ปริมำณกำรส่งออกสินค้ำและบริกำรเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เทียบกับกำรเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 ในปี 2561
ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2562
กำรบริหำรนโยบำยเศรษฐกิจมหภำคในปี2562 ควรให้ควำมส ำคัญกับ (1) การขับเคลื่อนการส่งออก
ทั้งปีให้สำมำรถขยำยตัวได้ไม่ต่ ำกว่ำร้อยละ 5.0 โดยให้ควำมส ำคัญกับ (i) กำรขับเคลื่อนกำรส่งออกสินค้ำที่มี
โอกำสได้รับประโยชน์จำกมำตรกำรกีดกันทำงกำรค้ำ และให้ควำมช่วยเหลือผู้ส่งออกสินค้ำที่ได้รับผลกระทบ
รวมทั้งติดตำมกำรเปลี่ยนแปลงของสินค้ำน ำเข้ำที่ส ำคัญ ๆ (ii) กำรปฏิบัติตำมกรอบกติกำกำรค้ำโลก ข้อก ำหนด
และแนวทำงกำรปฏิบัติในประเทศคู่ค้ำ (iii) กำรขยำยควำมร่วมมือทำงกำรค้ำโดยเฉพำะในภูมิภำคอย่ำงต่อเนื่อง
และ (iv) กำรสนับสนุนให้ผู้ประกอบกำรส่งออกบริหำรควำมเสี่ยงจำกควำมผันผวนของอัตรำแลกเปลี่ยน และ
กำรลดต้นทุนและอ ำนวยควำมสะดวกด้ำนกำรส่งออก (2) การสนับสนุนการฟื้นตัวและการขยายตัวของ
ภาคการท่องเที่ยวเพื่อให้มีจ ำนวนและรำยรับจำกนักท่องเที่ยวต่ำงชำติไม่ต่ ำกว่ำ 41.0 ล้ำนคน และ 2.24 ล้ำนล้ำนบำท
ตำมล ำดับ โดยให้ควำมส ำคัญกับกำรดูแลรักษำควำมสงบเรียบร้อยภำยในประเทศ กำรรักษำควำมปลอดภัย
กำรอ ำนวยควำมสะดวกและลดควำมแออัดของนักท่องเที่ยว กำรส่งเสริมกำรขำยในตลำดนักท่องเที่ยวระยะไกล
และกลุ่มนักท่องเที่ยวรำยได้สูง กำรกระจำยรำยได้ลงสู่เมืองรองและชุมชน กำรสร้ำงควำมเชื่อมโยงกำรท่องเที่ยวไทย
กับประเทศในภูมิภำค และกำรรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวชำวไทยกลับมำนิยมท่องเที่ยวในประเทศมำกขึ้น (3) การรักษา
แรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ โดยให้ควำมส ำคัญกับ
(i) กำรเบิกจ่ำยงบประมำณรำยจ่ำยลงทุนประจ ำปีงบประมำณ 2562 ให้มีอัตรำกำรเบิกจ่ำยไม่ต่ ำกว่ำร้อยละ 70.0
และกำรเบิกจ่ำยงบลงทุนรัฐวิสำหกิจในปี 2562 ไม่ต่ ำกว่ำร้อยละ 80.0 งบประมำณกันไว้เบิกเหลื่อมปีไม่ต่ ำกว่ำ
ร้อยละ 75.0 (4) การสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน โดย (i) กำรขับเคลื่อนกำรส่งออกเพื่อเพิ่ม
อัตรำกำรใช้ก ำลังกำรผลิตและกระตุ้นกำรลงทุนในภำคอุตสำหกรรม (ii) กำรสนับสนุนให้ผู้ประกอบกำรที่ได้รับ
ผลกระทบจำกมำตรกำรกีดกันทำงกำรค้ำเพิ่มกำรใช้ก ำลังกำรผลิตในประเทศไทย รวมทั้งชักจูงนักลงทุน
ที่ได้รับผลกระทบจำกมำตรกำรกีดกันทำงกำรค้ำให้ย้ำยฐำนกำรผลิตเข้ำมำลงทุนในประเทศไทยมำกขึ้น และ
(iii) กำรขับเคลื่อนโครงกำรลงทุนของภำครัฐอย่ำงต่อเนื่อง (5) การดูแลเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยและการสร้าง
ความเข้มแข็งให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และเศรษฐกิจฐานรากและ (6) การเตรียมความพร้อมด้าน
ก าลังแรงงานและคุณภาพแรงงานให้มีเพียงพอต่อกำรรองรับกำรขยำยตัวของภำคกำรผลิตและกำรลงทุน
รวมทั้งกลุ่มอุตสำหกรรมที่มีโอกำสในกำรขยำยตัวจำกกำรย้ำยฐำนกำรผลิตระหว่ำงประเทศ
สำนักงำนสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ
ตารางที่ 1 GDP ด้านการผลิต
หน่วย: ร้อยละ
2560 2561 2560 2561
ทั้งปี ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4
ภาคเกษตร 3.7 5.0 3.5 14.4 7.1 -4.5 6.5 10.0 2.7 1.4
ภาคนอกเกษตร 4.1 4.0 3.5 3.4 4.3 5.0 4.8 4.2 3.2 4.0
อุตสำหกรรม 2.9 3.0 2.3 1.7 4.3 3.5 3.8 3.2 1.6 3.3
ไฟฟ้ำ ก๊ำซ และกำรประปำ 2.3 2.6 1.9 -0.8 4.2 4.4 2.3 1.7 1.1 5.7
ก่อสร้ำง -2.8 2.7 3.1 -6.3 -2.3 -5.9 1.2 1.9 4.5 3.4
ค้ำส่งและค้ำปลีก 7.0 7.3 5.9 6.7 7.2 8.2 7.0 7.3 7.3 7.5
โรงแรมและภัตตำคำร 10.6 7.9 7.0 9.6 9.4 16.5 13.1 8.8 4.1 5.3
กำรขนส่งและกำรคมนำคม 7.3 6.3 6.3 8.0 6.8 8.3 7.1 6.5 5.3 6.1
กำรเงิน 5.4 3.3 5.4 6.9 5.4 3.6 3.6 4.6 3.1 1.8
GDP 4.0 4.1 3.5 4.2 4.5 3.9 5.0 4.7 3.2 3.7
GDP_SA (QoQ) 1.1 1.4 1.1 0.3 2.1 1.1 -0.3 0.8
ที่มำ: ส ำนักงำนสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ
ตารางที่ 2 GDP ด้านการใช้จ่าย
หน่วย: ร้อยละ
2560 2561 2560 2561
ทั้งปี ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4
การบริโภคภาคเอกชน 3.0 4.6 2.7 2.5 3.4 3.2 3.8 4.1 5.2 5.3
การอุปโภคภาครัฐบาล 0.1 1.8 -1.3 0.6 2.0 -1.0 1.8 2.3 1.9 1.4
การลงทุนรวม 1.8 3.8 2.2 1.5 2.0 1.5 3.3 3.6 3.9 4.2
ภำคเอกชน 2.9 3.9 -0.5 4.7 3.5 4.0 3.1 3.1 3.8 5.5
ภำครัฐ -1.2 3.3 10.0 -6.9 -1.6 -6.0 4.0 4.9 4.2 -0.1
การส่งออก 5.4 4.2 2.5 4.1 7.8 7.4 8.0 9.6 -0.9 0.6
สินค้ำ 5.7 4.1 2.8 4.9 8.5 6.6 7.2 9.5 -0.5 0.8
บริกำร 4.6 4.4 1.6 1.4 5.2 10.3 9.9 10.3 -2.2 -0.2
การน าเข้า 6.2 8.6 5.2 6.3 6.4 7.0 9.1 8.8 11.0 5.6
สินค้ำ 7.4 8.1 5.9 7.8 8.7 7.3 10.4 7.9 9.9 4.5
บริกำร 1.3 10.7 2.5 0.3 -3.5 5.7 3.9 12.8 16.1 10.1
GDP 4.0 4.1 3.5 4.2 4.5 3.9 5.0 4.7 3.2 3.7
ที่มำ: สำนักงำนสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ
ตารางที่ 3 ประมาณการเศรษฐกิจ ปี25621
ข้อมูลจริง ประมาณการปี 2562
ปี 2560 ปี2561 ณ 19 พ.ย. 61 ณ 18 ก.พ. 62
GDP (ณ รำคำประจำปี: พันล้ำนบำท) 15,452.0 16,316.4 17,330.1 17,197.5
รำยได้ต่อหัว (บำทต่อคนต่อปี) 228,398.4 240,544.9 254,891.8 252,941.6
GDP (ณ รำคำประจำปี: พันล้ำนดอลลำร์ สรอ.) 455.3 505.2 525.2 537.4
รำยได้ต่อหัว (ดอลลำร์ สรอ. ต่อหัวต่อปี) 6,729.8 7,447.2 7,724.0 7,904.4
อัตรำกำรขยำยตัวของ GDP (CVM, %) 4.0 4.1 3.5 - 4.5 3.5 – 4.5
กำรลงทุนรวม (CVM, %)2/ 1.8 3.8 5.1 5.1
ภำคเอกชน (CVM, %) 2.9 3.9 4.7 4.7
ภำครัฐ (CVM, %) -1.2 3.3 6.2 6.2
กำรบริโภคภำคเอกชน (CVM, %) 3.0 4.6 4.2 4.2
กำรอุปโภคภำครัฐบำล (CVM, %) 0.1 1.8 2.2 2.2
ปริมำณกำรส่งออกสินค้ำและบริกำร (ปริมำณ, %) 5.4 4.2 3.9 3.9
มูลค่ำกำรส่งออกสินค้ำ (พันล้ำนดอลลำร์ สรอ.) 235.3 253.4 263.8 263.8
อัตรำกำรขยำยตัว (มูลค่ำ, %)3/ 9.8 7.7 4.6 4.1
อัตรำกำรขยำยตัว (ปริมำณ, %)3/ 6.0 4.2 3.1 3.1
ปริมำณกำรน ำเข้ำสินค้ำและบริกำร (ปริมำณ, %) 6.2 8.6 4.2 4.3
มูลค่ำกำรน ำเข้ำสินค้ำ (พันล้ำนดอลลำร์ สรอ.) 201.1 229.8 248.9 243.8
อัตรำกำรขยำยตัว (มูลค่ำ, %)
3/ 13.2 14.3 6.5 6.1
อัตราการขยำยตัว (ปริมาณ, %)3/ 7.2 8.2 4.5 4.6
ดุลกำรค้ำ (พันล้ำนดอลลำร์ สรอ.) 34.2 23.6 14.9 20.0
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้ำนดอลลำร์ สรอ.) 50.2 37.7 30.7 33.5
ดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP (%) 11.0 7.4 5.8 6.2
เงินเฟ้อ (%)
ดัชนีรำคำผู้บริโภค 0.7 1.1 0.7 - 1.7 0.5 – 1.5
GDP Deflator 2.1 1.4 1.5 - 2.5 0.9 – 1.9
ที่มำ: ส ำนักงำนสภำพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติณ วันที่ 18 กุมภำพันธ์2562
หมำยเหตุ:
1/ เป็นข้อมูลที่ค ำนวณบนฐำนบัญชีประชำชำติอนุกรมใหม่ ซึ่ง สศช. เผยแพร่ทำง www.nesdb.go.th
2/กำรลงทุนรวม หมำยถึง กำรสะสมทุนถำวรเบื้องต้น
3/ตัวเลขกำรส่งออกและกำรน ำเข้ำเป็นไปตำมฐำนของธนำคำรแห่งประเทศไทย
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไตรมาสที่ 4
สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 3/61 โต 3.3% ชะลอตามอุปสงค์ต่างประเทศ คาดทั้งปีนี้โตตามกรอบล่างที่ 4.2%
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/61 ขยายตัว 3.3% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวถึง 4.6% เป็นไปตามอุปสงค์ภาคต่างประเทศ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่สภาพัฒน์ ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยทั้งปี 61 มาที่เติบโต 4.2% หรืออยู่ที่กรอบล่างของคาดการณ์เดิมที่ 4.2-4.7% เนื่องจากคาดว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวเหลือเพียง 7.2% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวได้ 10% ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะเติบโต 16.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 15.4%
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ชะลอตัวลงจากไตรมาส 2 ตามการชะลอตัวของอุปสงค์ภาคต่างประเทศ ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้น ส่วนด้านการใช้จ่ายมีปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งตัวขึ้นของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
โดยการบริโภคภาคเอกชน พบว่าในไตรมาสนี้ขยายตัวได้ 5% ถือเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 22 ไตรมาส โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของฐานรายได้ในระบบเศรษฐกิจ การดำเนินมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐ รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นผู้บริโภค การใช้จ่ายซื้อสินค้าในหมวดคงทนขยายตัวเร่งขึ้น ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล ขยายตัว 2.1% โดยการใช้จ่ายในหมวดค่าใช้สอย เพิ่มขึ้น 4.5% และหมวดค่าใช้จ่ายสวัสดิการสังคม 14.5% อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ 20.5% เทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ซึ่งอยู่ที่ 21.7%
ส่วนการลงทุนรวมในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 3.9% โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 3.9% สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส เป็นผลจากการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยายตัว 3.4% การลงทุนในสิ่งก่อสร้างขยายตัว 5.4% ส่วนการลงทุนภาครัฐ ขยายตัว 4.2% เป็นผลจากการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ขยายตัว 9.9% และการลงทุนของรัฐบาลที่ขยายตัว 0.7%
ในขณะที่การส่งออกสินค้าชะลอตัวลง ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และการปรับตัวของผู้ประกอบการในต่างประเทศต่อมาตรการกีดกันการค้า ในด้านการผลิต พบว่าการผลิตสาขาก่อสร้างขยายตัวเร่งขึ้น สาขาการขายส่ง ขายปลีก และการซ่อมแซมขยายตัวในเกณฑ์ดี ส่วนการผลิตภาคเกษตร สาขาอุตสาหกรรม สาขาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาการขนส่ง และการคมนาคมชะลอตัว
ขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ 1% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5% ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 4.2 พันล้านดอลลาร์ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน ก.ย.61 อยู่ที่ 204.5 พันล้านดอลลาร์ และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน ก.ย.61 อยู่ที่ระดับ 41.5% ของ GDP ซึ่งจากทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้แล้ว 4.3%
นายทศพล กล่าวว่า สำหรับในปีนี้สภาพัฒน์คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.2% ซึ่งยังอยู่ในกรอบล่างตามที่สภาพัฒน์เคยประเมินไว้ในรอบที่แล้ว 4.2-4.7% โดยมีการปรับองค์ประกอบของการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับข้อมูลจริงในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 61 และการปรับเปลี่ยนสมมติฐานการประมาณการที่สำคัญ ดังนี้
1. เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณไว้ 2.การขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวและรายรับจากการท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าที่คาด ซึ่มีสาเหตุจากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีนและยุโรป จากผลของเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต และการแข่งขันฟุตบอลโลกที่รัสเซีย
ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าระบบการค้าและสายพานการผลิตระหว่างประเทศยังอยู่ในระหว่างการปรับตัว และสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ในกรณีที่ไม่มีมาตรการกีดกันการค้าเพิ่มเติม คาดว่าแรงกดดันดังกล่าวจะผ่อนคลายลงตามความคืบหน้าในการปรับตัวของระบบการค้าและสายพานการผลิตระหว่างประเทศ ซึ่งจะเห็นได้จากการขยายตัวเร่งขึ้นของมูลค่าการส่งออกและนำเข้าของจีนในเดือนต.ค.
ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนรุ่นรถยนต์ในตลาดส่งออกมีแนวโน้มผ่อนคลายลงเมื่อรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากการเริ่มปรับตัวดีขึ้นของปริมาณการจำหน่ายรถยนต์กระบะที่มีการนำเข้าจากประเทศไทยในตลาดออสเตรเลียเดือนต.ค.
2. การปรับเปลี่ยนสมมติฐานประมาณการที่สำคัญ เช่น การปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงเหลือ 4.0% จากประมาณการในครั้งก่อนที่ 4.1% ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของแรงกดดันจากมาตรการกีดกันทางการค้าและสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ปรับลดสมมติฐานรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เหลือ 2.05 ล้านล้านบาท จากประมาณการในครั้งก่อนที่ 2.15 ล้านล้านบาท ตามการลดลงที่มากกว่าคาดของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและยุโรปในช่วงไตรมาส 3 และแนวโน้มการฟื้นตัวที่คาดว่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ ในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งส่งผลให้แรงขับเคลื่อนจากการส่งออกภาคบริการลดลงจากประมาณการในครั้งก่อน
การปรับลดการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐ ให้สอดคล้องกับผลการเบิกจ่ายที่เกิดขึ้นจริงในไตรมาส 4 ของปีงบประมาณ 61 ซึ่งมีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ 19.9% ต่ำกว่าสมมติฐานการเบิกจ่ายที่ 23.5% แต่ปรับเพิ่มประมาณการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนซึ่งขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์ และยังมีแนวโน้มการขยายตัวในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
สภาพัฒน์ คาด GDP ปี 62 โต 3.5-4.5% จับตาความผันผวนศก.-การเงินโลก มาตรการกีดกันทางการค้า
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สภาพัฒน์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 62 จะขยายตัวได้ 4.2% หรืออยู่ในกรอบ 3.5-4.5%
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1.การใช้จ่ายในภาคครัวเรือนยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี และสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง 2. การปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนรวม โดยการลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง 3. การปรับตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยว 4. การขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกที่สามารถสนับสนุนการขยายตัวของการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง และ 5.การเปลี่ยนแปลงทิศทางการค้า การผลิตและการลงทุนระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ในปีหน้าคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ 4.6% การนำเข้าขยายตัว 6.5% ดุลการค้าเกินดุล 14.9 พันล้านดอลลาร์ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 30.7 พันล้านดอลลาร์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 0.7-1.7% การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัว 4.7% การลงทุนภาครัฐ 6.2% การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว 4.2% และการอุปโภคภาครัฐบาล ขยายตัว 2.2%
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ คาดว่าจะอยู่ที่ 39.8 ล้านคน รายรับจากการท่องเที่ยว 2.24 ล้านล้านบาท ซึ่งเหตุที่ยังมองว่าการท่องเที่ยวในปีหน้ายังมีทิศทางที่ดี เพราะเชื่อว่าภาครัฐมีความพยายามอย่างเต็มที่ในการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อจะเร่งฟื้นฟูตลาดนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเป็นปกติ
"ปี 62 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในช่วง 3.5-4.5% มีค่ากลางที่ 4.0% เป็นผลมาจากที่เรามองว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้าอาจจะขยายตัวได้ชะลอตัวลง แต่ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยจะยังอยู่ในเรื่องการลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคภาคเอกชน เรามองว่าปีหน้า จากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้ออกมาทั้งการท่องเที่ยว การลงทุน จะทำให้สถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวกลับขึ้นมาอยู่ในระดับปกติ...ดังนั้นตัวที่เราต้องเน้นมาก คือการส่งออกและการท่องเที่ยว ส่วนการลงทุนภาคเอกชน บริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐ จะเป็นตัวช่วยดึงเศรษฐกิจไทยในปีหน้าได้พอสมควร" นายทศพร กล่าว
เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า ในปี 62 ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทย คือ ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก โดยเฉพาะแนวโน้มการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกที่โตเร็วกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ รวมถึงจับตามาตรการกีดกันทางค้าระหว่างสหรัฐและจีน
สำหรับ การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 61 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 62 นั้น สศช.มองว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับ 1.การสนับสนุนการฟื้นตัวและการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดจีนให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในไตรมาแรกของปี 62 ควบคู่กับการฟื้นฟูภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย การส่งเสริมการขยายในตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล และนักท่องเที่ยวรายได้สูง ตลอดจนการกระจายรายได้ลงสู่เมืองรองและชุมชน
2.การขับเคลื่อนการส่งออกให้สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่กำหนด โดยให้ความสำคัญกับการใช้โอกาสจากมาตรการกีดกันทางการค้า การติดตามการเปลี่ยนแปลงของสินค้านำเข้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า การปฏิบัติตามกรอบกติกาการค้าโลก รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ผลิตและผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบ
3.การสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่มีฐานการผลิตทั้งในประเทศไทยและในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า เพิ่มการใช้กำลังการผลิตในประเทศให้มากขึ้น ชักจูงนักลงทุนในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ขับเคลื่อนโครงการลงทุนของภาครัฐ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
4.การดูแลเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย และการสร้างควมเข้มแข็งให้กับ SMEs และเศรษฐกิจฐานราก โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว การดำเนินการตามโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งมาตรการสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์ในการลดภาระการชำระหนี้ และข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน
5.การขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐให้สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้กรอบงบประมาณต่างๆ และการขับเคลื่อนโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง และภายใต้แผนพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
6.การเตรียมความพร้อมด้านกำลังแรงงานและคุณภาพแรงให้มีเพียงพอต่อการรองรับการขยายตัวของภาคการผลิตและการลงทุน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสในการขยายตัวจากการย้ายฐานการผลิตระหว่างประเทศ และอุตสาหกรรมสำคัญที่เป็นเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ
ด้านนายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการ สศช. ยังกล่าวถึงปัจจัยการเลือกตั้งต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้าว่า ยอมรับว่า ปัจจัยการเมืองยังประเมินได้ยาก เพราะต้องขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนจะให้ความสำคัญกับมุมมองไหน เช่น ในช่วงหลังจากเกิดรัฐประหาร นักลงทุนจะมองการเลือกตั้งเป็นปัจจัยบวก แต่ระยะหลังๆ ที่รัฐบาลได้ประกาศโรดแมพเรื่องการเลือกตั้งออกมาแล้ว นักลงทุนก็จะเปลี่ยนเป็นให้ความสนใจกับนโยบาย และโครงการต่างๆ ว่าจะมีความต่อเนื่องหรือไม่หลังจากที่มีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่แล้ว
อินโฟเควสท์
สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 3/61 โต 3.3%
สภาพัฒน์ จัดประชุมประจำปี 61 ยุทธศาสตร์ชาติ อนาคตไทย อนาคตเรา 27 ก.ย.นี้
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สศช. กำหนดจัดการประชุมประจำปี 2561 เรื่อง "ยุทธศาสตร์ชาติ อนาคตไทย อนาคตเรา" ในวันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561 เวลา 9.00-17.00 น. เพื่อสร้างความรับรู้และการมีส่วนร่วมของภาคีการพัฒนาต่างๆ ในการขับเคลื่อนร่างยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะ 20 ปี ไปสู่เป้าหมายการพัฒนา "ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม ฐานทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน"
ตลอดจนเปิดโอกาสให้ภาคีการพัฒนาจากทุกภาคส่วนของสังคม ได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดทำแผนแม่บท เพื่อขับเคลื่อนร่างยุทธศาสตร์ชาติในมิติต่างๆ อย่างบูรณาการร่วมกัน อันจะเป็นการสร้างพลังในการผลักดันร่างยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติในระดับแผนงานโครงการให้เกิดผลสัมฤทธิ์
สำหรับ กิจกรรมช่วงเช้า ประกอบด้วย การนำเสนอวีดิทัศน์เรื่อง 'ยุทธศาสตร์ชาติ อนาคตไทย อนาคตเรา' ปาฐกถาพิเศษของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในประเด็นการดำเนินงานของรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี การนำเสนอในหัวข้อ "ยุทธศาสตร์ชาติ อนาคตไทย อนาคตเรา" โดยนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการ สศช. จะนำเสนอในประเด็นกรอบแนวคิดและสาระสำคัญของร่างยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ การเตรียมการจัดทำแผนแม่บท และแนวทางการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ
ในการประชุมดังกล่าว จะมีการระดมความเห็นในกลุ่มย่อย วิพากษ์การจัดทำร่างแผนแม่บทเพื่อขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม จำนวน 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง กลุ่มที่ 2 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน กลุ่มที่ 3 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ กลุ่มที่ 4 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม กลุ่มที่ 5 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกลุ่มที่ 6 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
นอกจากนี้ จะมีการจัดนิทรรศการเรื่อง "ยุทธศาสตร์ชาติ อนาคตไทย อนาคตเรา" เกี่ยวกับภาพรวมและสาระสำคัญของร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และกรณีตัวอย่างการขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาสำคัญโดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน นำผลงานความสำเร็จของการดำเนินงานภายใต้ร่างยุทธศาสตร์ชาติมาจัดแสดง อาทิ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บมจ. ปตท. (PTT) และบมจ. ไทยเบฟเวอเรจ
ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมจะเป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วนในสังคมไทยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี (ครม.), คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.), สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), องค์กรพัฒนาเอกชน, ภาคเอกชน, นักวิชาการ, ผู้นำชุมชน, ผู้แทนจากภาครัฐ, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, สื่อมวลชน, ประชาชน และนักเรียน นักศึกษา รวมจำนวนประมาณ 2,500 คน
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด