สภาพัฒน์จัดประชุมประจำปี 2563'ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด' 21 ก.ย. นี้
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กำหนดจัดการประชุมประจำปี 2563 เรื่อง 'ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด' ในวันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563 เวลา 8.30 - 12.00 น. ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี โดยได้รับเกียรติจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมและแสดงปาฐกถาพิเศษ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2563 การพัฒนาประเทศตามแนวทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ได้ดำเนินการมาเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งเป็นระยะครึ่งทางของแผนฯ จึงจำเป็นต้องมีการติดตามประเมินผลความสำเร็จของการพัฒนาตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผน และวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น ตลอดจนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการพัฒนาประเทศในทุกมิติ และวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงจากนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) นำมาจัดทำเป็นข้อเสนอแนะประเด็นการพัฒนาเพิ่มเติม หรือปรับแนวทางการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และแผนแม่บทตามยุทธศาสตร์ชาติในระยะเวลาที่เหลือให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ประเทศไทยต้องมีการปรับไปสู่ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ตลอดจนนำผลที่ได้ไปใช้ประกอบการวิเคราะห์เพื่อกำหนดประเด็นสำหรับการวางกรอบการพัฒนาในระยะถัดต่อไป
เลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า สศช. จึงกำหนดจัดการประชุมเรื่อง 'ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด'โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะครึ่งทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการภาครัฐที่ดี และใช้เป็นแนวทางวางแผนการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป รวมถึงเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคีการพัฒนาจากทุกภาคส่วนของสังคมได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาสำคัญในระยะที่เหลือของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และแผนแม่บทตามยุทธศาสตร์ชาติในช่วงระยะแรกไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ การประชุมดังกล่าวจะช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคีการพัฒนาต่างๆ ให้สามารถนำผลการติดตามและประเมินผลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงและบริหารจัดการแผนงาน/โครงการของหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ได้อย่างมีบูรณาการ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสำหรับการประชุมในปีนี้ เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สศช. จึงปรับรูปแบบการประชุมให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ โดยการจัดประชุมในห้องประชุมใหญ่ครึ่งวันภาคเช้าเท่านั้น และเน้นการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่นเอเอ็ม 891 กิโลเฮิร์ตซ์ เว็บไซต์ของ สศช. www.nesdc.go.th Facebook Live ที่เพจ ‘สภาพัฒน์’ และ YouTube สภาพัฒน์ เพื่อลดจำนวนผู้ร่วมงานตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ขณะเดียวกันยังสามารถเผยแพร่สาระของการประชุมให้กระจายออกไปในวงกว้าง โดยประชาชนที่สนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดและร่วมแสดงความคิดเห็นต่อแนวทางการขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาสำคัญในช่วงครึ่งหลังแผนฯ 12 และแนวทางพัฒนาที่ต้อง’เน้น’ และ ‘เร่ง’ หลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่านช่องทางดังกล่าวข้างต้นได้ ในวันที่ 21 กันยายน 2563 ตั้งแต่เวลา 8.30 น. เป็นต้นไป
สำหรับ กิจกรรมของการประชุม เริ่มด้วยการนำเสนอวีดิทัศน์เรื่อง 'ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด'จากนั้นศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการฯ กล่าวรายงาน ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานและแสดงปาฐกถาพิเศษ และการเสวนาเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และประเด็นท้าทายในระยะต่อไป โดยเลขาธิการฯ จะนำเสนอประเด็น ‘ครึ่งทางแผนฯ 12 เตรียมพร้อมรับมือชีวิตวิถีใหม่’ สำหรับผู้ทรงคุณวุฒิที่ร่วมเสวนา ได้แก่ นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายอุกฤษ อุณหเลขกะ ผู้ก่อตั้งกิจการเพื่อสังคม ‘Ricult’
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สภาพัฒน์ ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการ พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท
นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะโฆษกเปิดเผยว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการ พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ดังนี้
โดย ณ วันที่ 16 ก.ย. 63 ครม. ได้อนุมัติโครงการในรอบที่ 1 แล้ว 229 โครงการ วงเงิน 60,131 ล้านบาท (รวมวงเงินของ โครงการที่ ครม. มีมติให้ใช้จ่ายงบกลางจำนวน 160 โครงการ รวม 1,132 ล้านบาท) โดยขณะนี้ยังมีโครงการที่คณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของโครงการแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อเสนอโครงการ อีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ฯ และโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย) วงเงินรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอให้ ครม. พิจารณาได้ภายในเดือน ก.ย. 2563 ตามแผนการดำเนินงานที่คณะกรรมการฯ ได้เสนอ ครม. ไว้
อย่างไรก็ดี ขณะนี้มีการเบิกจ่ายเพียงร้อยละ 1.80 ของวงเงินอนุมัติ ซึ่งจากการพิจารณาแผนดำเนินโครงการตามข้อเสนอของหน่วยงานรับผิดชอบ พบว่าส่วนใหญ่ได้กำหนดว่าจะมีการเบิกจ่ายงวดแรกได้ในเดือน ก.ย. 63 เนื่องจากภายหลังจากที่ได้รับอนุมัติจาก ครม. ให้ดำเนินโครงการแล้ว หน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปด้วยความโปร่งใสและรัดกุม
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สภาพัฒน์เผยเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2563 ปรับตัวลดลงร้อยละ 12.2
ศ.พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพร้อมคณะผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ได้แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สองของปี 2563 และแนวโน้มปี 2563 ณ ห้อง 521 อาคาร 5 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2563
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2563 ปรับตัวลดลงร้อยละ 12.2 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.0 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2563 ลดลงจากไตรมาสแรกของปี 2563 (%QoQ_SA) ร้อยละ 9.7 รวมครึ่งแรกของปี 2563 เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงร้อยละ 6.9
ด้านการใช้จ่าย การระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งในและต่างประเทศส่งผลให้การส่งออกสินค้าและบริการ การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐขยายตัวสนับสนุนเศรษฐกิจ การบริโภคภาคเอกชน ปรับตัวลดลงร้อยละ 6.6 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.7 ในไตรมาสก่อนหน้าสอดคล้องกับการลดลงของฐานรายได้ในระบบเศรษฐกิจและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 และการดำเนินมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของภาครัฐ ซึ่งทำให้การบริโภคภาคเอกชนลดลงทั้งในหมวดสินค้าคงทน กึ่งคงทน และหมวดบริการ สอดคล้องกับการลดลงของการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าและบริการสำคัญๆ เช่น การซื้อยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 43.0) การใช้จ่ายเกี่ยวกับเสื้อผ้าและรองเท้า (ลดลงร้อยละ 21.4) การใช้จ่ายในร้านอาหารและโรงแรม (ลดลงร้อยละ 45.8) การใช้จ่ายซื้อสินค้าเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (ลดลงร้อยละ 17.1)
อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายเพื่อค่าน้ำและค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เทียบกับการปรับตัวลดลงร้อยละ 2.8 ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 22.3 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 19.7 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) รวมครึ่งแรกของปี 2563 การบริโภคภาคเอกชนลดลงร้อยละ 2.1 และการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลลดลงร้อยละ 0.7 การลงทุนรวมปรับตัวลดลงร้อยละ 8.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 6.5 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลงร้อยละ 15.0 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 5.4 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลดลงของการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรและการลงทุนในสิ่งก่อสร้าง ร้อยละ 18.4 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับ
และการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 เทียบกับการปรับตัวลดลงร้อยละ 9.3 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลงทุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.0 ในขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจลดลงร้อยละ 0.8 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 17.9 เทียบกับอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 10.8 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 16.8ในช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมครึ่งแรกของปี 2563 การลงทุนรวมลดลงร้อยละ 7.2 โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 10.2 ขณะที่การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2
ในด้านภาคต่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 49,787 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 17.8 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามภาวะถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจและการค้าโลก โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 16.1 และราคาส่งออกลดลงร้อยละ 2.0 กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าลดลง เช่น ข้าว (ลดลงร้อยละ 0.9) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 41.0) น้ำตาล (ลดลงร้อยละ 28.4) รถยนต์นั่ง (ลดลงร้อยละ 45.2) รถกระบะและรถบรรทุก (ลดลงร้อยละ 67.7) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 45.0) เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ลดลงร้อยละ 23.4) เคมีภัณฑ์ (ลดลงร้อยละ 20.4) ปิโตรเคมี (ลดลงร้อยละ 18.9) และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 42.7) เป็นต้น
กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าขยายตัว เช่น ผลไม้ (ร้อยละ 47.4) ปลากระป๋องและปลาแปรรูป (ร้อยละ 17.9) ผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ 23.4) อาหารสัตว์ (ร้อยละ 24.0) และคอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 5.8) เป็นต้น การส่งออกสินค้าไปยังตลาด สหรัฐฯ จีน กลับมาขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น อาเซียน (9) สหภาพยุโรป (15) ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง (15) ปรับตัวลดลงเมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 21.4 และมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปของเงินบาทลดลงร้อยละ 16.8
รวมครึ่งแรกของปี 2563 การส่งออกสินค้าคิดเป็นมูลค่า 110,654ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 8.2 การนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 41,746 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 23.4 (ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6) เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.0 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของการส่งออก อุปสงค์ในประเทศ และราคานำเข้าสินค้า โดยปริมาณการนำเข้าลดลงร้อยละ 19.3 ส่วนราคานำเข้าลดลงร้อยละ 5.1 รวมครึ่งแรกของปี 2563 การนำเข้าสินค้าคิดเป็นมูลค่า 94,562ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 12.3
ด้านการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาอุตสาหกรรม สาขาเกษตรกรรม สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาการขายส่งการขายปลีก และสาขาไฟฟ้าและก๊าซ ปรับตัวลดลง ในขณะที่การผลิตสาขาก่อสร้าง สาขาการเงินการประกันภัย และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร ขยายตัวโดยสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ลดลงร้อยละ 3.2 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 9.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ลดลง ได้แก่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ลดลงร้อยละ 28.2) มันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 5.1) และข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 43.7)
ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ กลุ่มไม้ผล (เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9) ปาล์มน้ำมัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3) และยางพารา (เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9) ตามลำดับ การผลิตหมวดประมงลดลงร้อยละ 16.1 ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ขยายตัวร้อยละ 6.2 ดัชนีราคาสินค้าเกษตรโดยรวมลดลงร้อยละ 1.4 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 8.8 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยดัชนีราคาสินค้าสำคัญที่ปรับตัวลดลง เช่น ราคายางพารา (ลดลงร้อยละ 27.0) ราคาสุกร (ลดลงร้อยละ 5.2) ราคาไก่เนื้อ (ลดลงร้อยละ 7.1) ราคามันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 10.1) ราคากุ้งขาวแวนนาไม (ลดลงร้อยละ 3.5) ส่วนดัชนีราคาสินค้าสำคัญที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น ราคาข้าวเปลือก (เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7) ราคาปาล์มน้ำมัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.5) ราคาอ้อย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4) และราคาไข่ไก่ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8)
การลดลงของดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมลดลงร้อยละ 6.0 ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน รวมครึ่งแรกของปี 2563 การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงลดลงร้อยละ 6.7 โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ 9.2 ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 และดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมลดลงร้อยละ 6.1 สาขาการผลิตอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 14.4 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.6 ในไตรมาสก่อนหน้าสอดคล้องกับการลดลงของการส่งออกและอุปสงค์ในประเทศ โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60 ลดลงร้อยละ 50.9
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ลดลงร้อยละ 13.1 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงร้อยละ 7.6 ตามลำดับ อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 52.9 เทียบกับร้อยละ 66.9 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 65.0 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 68.8) การผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 15.5) การผลิตเครื่องจักรอื่นๆ ที่ใช้งานทั่วไป (ลดลงร้อยละ 39.4) เป็นต้น
ดัชนี ผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตสัตว์น้ำบรรจุกระป๋อง (ร้อยละ 28.6) การผลิตเภสัชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค (ร้อยละ 15.4) และการผลิตอาหารสัตว์สำเร็จรูป (ร้อยละ 7.0) เป็นต้น รวมครึ่งแรกของปี 2563 การผลิตสาขาการผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 8.3 โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 12.9 อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 59.9 สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลงร้อยละ 50.2 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 23.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงมากของรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศและนักท่องเที่ยวชาวไทยซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
โดยในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 0.019 ล้านล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 97.1 โดยรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 0.019 ล้านล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 92.7 ในขณะที่รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในไตรมาสนี้ลดลงทั้งหมด อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6.51 ลดลงจากร้อยละ 51.50 ในไตรมาสก่อนหน้า และลดลงจากร้อยละ 70.79 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวมครึ่งแรกของปี 2563 การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารลดลงร้อยละ 36.2 โดยรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่ที่ 0.332 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลงร้อยละ 66.2 และอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 29.01 สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ลดลงร้อยละ 38.9 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 6.0 ในไตรมาสก่อนหน้า
สอดคล้องกับการลดลงของกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศ การท่องเที่ยว และการผลิตในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมซึ่งทำให้ความต้องการบริการขนส่งลดลง โดยบริการขนส่งทางอากาศลดลงร้อยละ 89.6 บริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียงลดลงร้อยละ 43.9 และบริการขนส่งทางน้ำลดลงร้อยละ 2.2 ตามลำดับ ประกอบกับบริการสนับสนุนการขนส่งลดลงต่อเนื่องร้อยละ 26.1 ในขณะที่บริการไปรษณีย์ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 22.9 และเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับรายรับของผู้ประกอบการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นรวมครึ่งแรกของปี 2563 การผลิตสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าลดลงร้อยละ 21.7 โดยบริการขนส่งลดลงร้อยละ 23.0 บริการสนับสนุนการขนส่งลดลงร้อยละ 14.0
ขณะที่บริการไปรษณีย์ขยายตัวร้อยละ 14.0 สำหรับสาขาการผลิตที่ขยายตัวได้ในไตรมาสนี้ ประกอบด้วย สาขาก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 7.4 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 9.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของการก่อสร้างภาครัฐ สาขาการเงินและการประกันภัยขยายตัวร้อยละ 1.7 ชะลอลงจากขยายตัวร้อยละ 4.5 ในไตรมาสก่อนหน้า และ สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 3.2
รวมครึ่งแรกของปี 2563 การผลิตสาขาก่อสร้างลดลงร้อยละ 1.3 สาขาการเงินและการประกันภัยขยายตัวร้อยละ 3.1 และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 2.0 เงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยลดลงร้อยละ 2.7 บัญชีเดินสะพัดขาดดุล 0.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (27.0 พันล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 0.8 ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ 241.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 มีมูลค่าทั้งสิ้น 7,433.1 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.8 ของ GDP
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2563
เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วงร้อยละ (-7.8) - (-7.3) เป็นการปรับลดจากการลดลงร้อยละ (-6.0) - (-5.0) ในการประมาณการครั้งก่อน (ณ 18 พฤษภาคม 2563) โดยเศรษฐกิจทั้งปีมีข้อจำกัดจาก (1) การปรับตัวลดลงมากของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ (2) ภาวะความถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (3) ผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศ และ (4) ปัญหาภัยแล้ง ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะปรับตัวลดลงร้อยละ 10.0 การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมปรับตัวลดลงร้อยละ 3.1 และร้อยละ 5.8 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ (-1.2) - (-0.7) และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.5 ของ GDP รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2563 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้
2.การลงทุนรวม คาดว่าจะลดลงร้อยละ 5.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 2.1 ในการประมาณการครั้งก่อน และการขยายตัวร้อยละ 2.1 ในปี 2562 โดยการลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 8.6 เทียบกับร้อยละ 5.6 ในการประมาณการครั้งก่อน และเร่งขึ้นจากร้อยละ 0.2 ในปี 2562 สอดคล้องกับการปรับเพิ่มสมมติฐานการเบิกจ่ายงบลงทุนภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2563 จากเดิมร้อยละ 55.0 ในการประมาณการครั้งก่อน เป็นร้อยละ 60.0 ในการประมาณการครั้งนี้
ส่วนการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะลดลงร้อยละ 10.2 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.8 ในปี 2562 และเป็นการปรับลดจากการลดลงร้อยละ 4.2ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของการส่งออก อัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ข้อจำกัดด้านการเดินทางของนักลงทุนระหว่างประเทศ และสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2563
การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2563 ควรให้ความสำคัญกับการป้องกันการกลับมาระบาดของไวรัสในประเทศ ควบคู่ไปกับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในประเด็นสำคัญๆ ประกอบด้วย(1) การประสานนโยบายการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดย (i) การเร่งรัดติดตามมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับเงื่อนไขในการฟื้นตัวของแต่ละภาคธุรกิจ (ii) การติดตามและป้องกันปัญหาในบางภาคการผลิตที่อาจส่งผลกระทบเชื่อมโยงไปยังภาคการเงิน และ (iii) การสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
(2) การพิจารณามาตรการเพิ่มเติมสำหรับธุรกิจและแรงงานในสาขาเศรษฐกิจที่ยังมีปัญหาอุปสรรคในการฟื้นตัว โดยเฉพาะ (i) กลุ่มธุรกิจและแรงงานในภาคการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง (ii) กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังมีศักยภาพในการฟื้นตัวแต่ยังมีปัญหาอุปสรรคในการเข้าถึงมาตรการภาครัฐ (iii) กลุ่มธุรกิจและแรงงานที่อยู่ในช่วงของการปิดกิจการชั่วคราว รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ว่างงานและแรงงานที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ (3) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าและสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับ (i) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทิศทางทางการค้าและการย้ายฐานการผลิตในช่วงก่อนหน้า รวมทั้งกลุ่มสินค้าที่ได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากการระบาดของโรคโควิด 19 (ii) การใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของประเทศไทยในด้านขีดความสามารถในการควบคุมการระบาดของโรค และ (iii) การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศภายในกลุ่มอาเซียน
(4) การดูแลภาคการเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้งและการลดลงของราคาสินค้าส่งออกโดยให้ความสำคัญกับ (i) การจัดหาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำ (ii) การชดเชยเยียวยาเกษตรกร(iii) การปรับเปลี่ยนการผลิตในภาคเกษตร และ (iv) การสนับสนุนช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรออนไลน์และบริการโลจิสติกส์ต้นทุนต่ำ (5) การขับเคลื่อนการใช้จ่ายภาครัฐภายใต้กรอบสำคัญ ๆ ทั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ในไตรมาสแรก และงบประมาณกันไว้เบิกเหลื่อมปี ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนมาตรการการสร้างศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะยาว (6) การส่งเสริมไทยเที่ยวไทยและการรณรงค์ใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ (7) การเตรียมการรองรับความเสี่ยงสำคัญ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากความยืดเยื้อของการระบาดของโรคและการกลับมาระบาดในระลอกที่สองความผันผวนขอเศรษฐกิจและการเงินโลก และเงื่อนไขความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจการเงินโลกในระยะปานกลาง และ (8) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองในประเทศเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจ และเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังเป็นไปอย่างช้าๆ และยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สศช. จัดประชุมระดมความเห็นเฉพาะกลุ่ม (Focus group) ครั้งที่ 1 'การพัฒนาเกษตรยั่งยืน'
นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานกล่าวเปิด การประชุมระดมความเห็น (Focus group) ครั้งที่ 1 การขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาสำคัญในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 สู่การปฏิบัติ เรื่อง ‘การพัฒนาเกษตรยั่งยืน’ จัดโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ณ โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส กรุงเทพฯ โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สศช. และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง 20 หน่วยงาน อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
สศช. ได้เล็งเห็นความสำคัญของการขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาสำคัญในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (2560 - 2565) สู่การปฏิบัติ เรื่อง การพัฒนาเกษตรยั่งยืน จึงได้จัดการประชุมในรูปแบบระดมความเห็นเฉพาะกลุ่ม (Focus group) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานขับเคลื่อนเกษตรยั่งยืนและรับฟังปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานในด้านต่างๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนเกษตรยั่งยืนให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ได้อย่างเป็นรูปธรรม
การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนนั้น มีการกำหนดทิศทางและนโยบายการพัฒนาภาคเกษตรที่มุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 – 2544) จนกระทั่งถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 โดยมุ่งเน้นความสำคัญไปที่การปรับโครงสร้างภาคเกษตรเพื่อเพิ่มผลิตภาพและมูลค่า/คุณค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรบนฐานความรู้ ต่อยอดด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่การสร้างความสมดุลและยั่งยืนในการพัฒนา
ทั้งนี้ การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน มีความเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ถึง 2 ยุทธศาสตร์ด้วยกัน ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน และยุทธศาสตร์การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนที่ผ่านมาโดย สศช. มีข้อค้นพบเบื้องต้นที่เป็นปัญหาในการขับเคลื่อนทั้งในเรื่องของนิยามของเกษตรยั่งยืนที่ค่อนข้างกว้าง มองความสมดุลในทุกมิติ แต่การแบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ เกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรผสมผสาน และเกษตรทฤษฎีใหม่ มีความซ้ำซ้อนกันในทางปฏิบัติ ทำให้วัดข้อมูลความสำเร็จได้ยาก การเพิ่มขึ้นของพื้นที่เกษตรยั่งยืนกระจุกตัวอยู่เฉพาะเกษตรอินทรีย์ อีก 4 ประเภท ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร รวมถึงมีกลไกระดับนโยบายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ขาดการบูรณาการการทำงาน
https://www.nesdc.go.th/ewt_news.php?nid=10528&filename=index
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สศช. จัดประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน SDGs ประสาน 'รัฐ-เอกชน-ประชาสังคม' ขับเคลื่อนไทยสู่ความยั่งยืน
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
สำหรับ มติการประชุมที่สำคัญ ได้แก่ (1) รับทราบความคืบหน้าในการขับเคลื่อน Thailand’s SDGs Roadmap ที่ สศช. ดำเนินการร่วมกับภาคีการพัฒนาทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักรู้แก่คนในประเทศ และการสร้างความร่วมมือกับภาคธุรกิจ ทั้ง SMEs และบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อสร้างผลตอบแทนกลับสู่สังคม ตลอดจนการสร้างความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทฯ ซึ่งเป็นทิศทางการพัฒนาประเทศไทยในระยะ 20 ปี เพื่อสร้างประเทศไทยให้มีความเข้มแข็ง ความมั่นคง และความยั่งยืนไปพร้อม ๆ กัน โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงการลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคมในทุกมิติ
(2) เห็นชอบในหลักการการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ SDGs และ SDG Targets เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการขับเคลื่อน SDGs และให้การดำเนินงานของหน่วยงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบในหลักการการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละเป้าหมายหลักและเป้าหมายย่อย ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นไปตามที่สหประชาชาติกำหนดเป้าหมายไว้ และ
(3) มอบหมายให้ สศช. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสถิติแห่งชาติ ขับเคลื่อน SDGs ระดับพื้นที่ โดยที่ประชุมได้เห็นชอบการคัดเลือก 9 จังหวัดนำร่องในการขับเคลื่อน SDGs ได้แก่ กาฬสินธุ์ นราธิวาส น่าน ยโสธร เลย ลพบุรี เพชรบุรี สุราษฏร์ธานี และฉะเชิงเทรา รวมทั้ง 5 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ อบจ.กระบี่ อบต.บ้านไร่ เทศบาลเมืองศรีสะเกษ เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี และเทศบาลตำบลวังไผ่
ทั้งนี้ ประธานอนุกรรมการฯ ได้ขอให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม ทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ ร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยขอให้ สศช. เป็นกำลังสำคัญและเป็นแกนกลางหลักในการประสานและเร่งรัดดำเนินงานให้เป็นไปตามที่ประเทศไทยได้อนุวัติไว้กับสหประชาชาติ เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
อ้างอิง >>> https://www.nesdc.go.th/ewt_news.php?nid=10431&filename=index
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด